บทความจาก 'พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร' เนื่องในโอกาสครบรอบ 1 ปี รัฐประหาร
ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ The Asian Wall Street Journal
ฉบับวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2550
ในวันเดียวกันนี้ของปีที่แล้ว ผมอยู่ที่กรุงนิวยอร์ก และเตรียมการที่จะขึ้นกล่าว สุนทรพจน์ต่อที่ประชุมใหญ่ขององค์กรสหประชาชาติในฐานะนายกรัฐมนตรีของ ประเทศไทย ผมมีความภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสทำหน้าที่สำคัญนี้ เพื่อ ประเทศชาติอันเป็นที่รักของผม
หนึ่งปีก่อนหน้านั้น ผมได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องชาวไทยในการเลือกตั้ง ทำ ให้ผมสามารถจัดตั้รัฐบาลเสียงข้างมากขึ้นใหม่ด้วยคะแนนเสียงท่วมท้นเป็นสมัยที่ สองติดต่อกัน โดยในประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยเกือบ 100 ปีของไทย ผมเป็น นายกรัฐมนตรีคนแรกที่มาจากการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหา กษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งนอกจากจะสามารถอยู่ในตำแหน่งได้จนครบวาระ ผม ยังได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องชาวไทยส่วนใหญ่ของประเทศให้รับตำแหน่ง หน้าที่อันยิ่งใหญ่นี้ต่ออีกวาระหนึ่ง ภายใต้กาบริหารงานของรัฐบาลของผม เราสามารถลดความยากจนของประชาชนของประเทศได้เกือบครึ่ง ให้โอกาสประชาชน เข้าถึงระบบของสวัสดิการรักษาพยาบาลในราคาต่ำเป็นครั้งแรกของประเทศไทย รัฐบาลของผมสามารถบริหารแผ่นดินด้วยงบประมาณที่สมดุลและยังสามารถชำระ หนี้สินของประเทศชาติคืนให้แก่กองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือ IMF ได้จนครบถ้วน ในการเตรียมการที่จะกล่าวสุนทรพจน์ในที่ประชุมใหญ่สหประชาชาติ ผมตั้งใจที่จะตอกย้ำถึงความสำเร็จและความก้าวหน้าของระบอบประชาธิปไตยของไทย
ในวันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2549 ผมไม่สามารถมีโอกาสที่จะได้กล่าว สุนทรพจน์ในที่ประชุมใหญ่ขอองค์การสหประชาชาติตามที่กำหนดไว้ เพราะรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยของผม ถูกโค่นล้มโดยการ กระทำรัฐประหารโดยกองทัพ
การกระทำรัฐประหารต่อรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนเป็นสิ่งที่ผมและ พี่น้องชาวไทยส่วนใหญ่ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดขึ้นได้ในยุคนี้ ผมเชื่อมั่นว่าการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนั้นได้ฝังรากลึกในสังคมไทย เรามีรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ.2540 ที่ได้ชื่อว่าเป็น
รัฐธรรมนูญของประชาชน และมีความเป็นประชาธิปไตยสูงสุดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน พี่น้องประชาชนชาวไทยมีความเชื่อมั่นและคาดหวังในระบอบประชาธิปไตยเช่น เดียวกับพี่น้องประชาชนในนานาอารยประเทศ และผมมั่นใจว่าพี่น้องประชาชนชาวไทยจะยืนหยัดต่อต้านอำนาจเผด็จการจนกว่าพี่น้องประชาชนจะได้อำนาจในการปกครองประเทศภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขคืนมา เป็นที่น่าเสียดายยิ่งนักที่คณะรัฐประหารเสียเวลา 1 ปีที่ผ่านมาไปกับการกีดกันผมหรือใครก็ตามที่มีความเห็นทางการเมืองร่วมกับผม มิให้สามารถกลับคืนสู่เวทีการเมืองได้ แทนที่จะใช้เวลา 1 ปีที่ผ่านมาไปกับการส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ หรือคืนสิทธิพื้นฐานโดยชอบธรรมให้แก่พี่น้องประชาชนเมื่อคำนึงถึงระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา ผมต้องตกใจและเสียใจกับความเสียหายอันใหญ่หลวงที่พี่น้องชาวไทยและประเทศชาติได้รับจากการกำหนดนโยบายและการบริหารประเทศที่ผิดพลาดของคณะรัฐประหาร
ผมได้ชี้แจงหลายครั้งแล้ว และขอยืนยัน ณ ที่นี้ว่า ผมไม่มีความปรารถนาจะกลับเข้าไปสู่เวทีการเมืองอีกต่อไป ผมยังมีความจงรักภักดีและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้ยิ่งชีวิต ผมรักประเทศไทยที่เป็นบ้านเกิดเมืองนอน และความปรารถนาเพียงประการเดียวของผม คือการได้กลับคืนสู่ประเทศชาติอันเป็นที่รักยิ่งที่อยู่ภายใต้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเพื่อ ใช้ชีวิตร่วมกับภรรยาและครอบครัวของผมโดยสงบคณะรัฐประหารได้อ้างเหตุผลเพื่อความสร้างความชอบธรรมในการทำรัฐประหารว่า รัฐบาลภายใต้การนำของผมนั้นกระทำการทุจริตคิดไม่ชอบ ภายหลังการรัฐประหารพวกเขาก็ได้ตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจขึ้นมาโดยมีภารกิจหลักเพียงประการเดียวคือ การพยายามคิดค้นหลักฐานและข้อกล่าวหาต่างๆ เพื่อกล่าวหาว่าผมและครอบครัว มีการดำเนินการทางการเงินที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งนี้ เพื่อสร้างความชอบธรรม ให้กับข้อกล่าวอ้างของการทำรัฐประหาร แต่จนเวลาผ่านไป 1 ปี หน่วยงาน เฉพาะกิจของคณะรัฐประหารกลับไม่สามารถหาหลักฐานใดๆ มาพิสูจน์ข้อกล่าวหา ที่มีตั้งแต่ต้นว่าผมทุจริตได้ จนต้องมีการปรุงแต่งเรื่องราวใหม่ๆ มาใส่ความผมและ ครอบครัวเพิ่มเติม และพวกเขายังต้องดำเนินการให้มีการประดิษฐ์การตีความ กฎหมายแบบใหม่ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนและภาษีอากรเพื่อใช้ดำเนินคดี กับผมและครอบครัวเป็นการเฉพาะ
การใช้บังคับและตีความกฎหมายเพื่อดำเนินการโดยเฉพาะกับผมและครอบครัว เป็นสิ่งที่ไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง เพราะการกระทำเช่นนั้นจะกระทบถึงชื่อเสียงของ ประเทศไทยที่เคยเป็นประเทศที่ยึดมั่นในหลักนิติธรรมและมีความเที่ยงธรรมใน การบังคับใช้กฎหมาย ผลที่ตามมาของการกระทำของคณะรัฐประหารก็คือ การชะลอตัวของการลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งเป็นกลไกสำคัญของการขยายตัวทาง เศรษฐกิจของประเทศไทย
คณะรัฐประหารยังพยายามหยุดยั้งมิให้ผมหรือใครก็ตามที่มีความเลื่อมใสในระบบเศรษฐกิจเสรีนิยมและระบอบประชาธิปไตยเช่นเดียวกับผมได้รับการเลือกตั้งจาก พี่น้องประชาชนโดยดำเนินการให้มีการยุบพรรคไทยรักไทยซึ่งเป็นพรรคการเมืองภายใต้การนำของผม และยังได้ดำเนินการเพิกถอนสิทธิทางการเมืองของผู้นำทางการเมืองของพรรคไทยรักไทยกว่า 100 คน นอกจากนี้ คณะรัฐประหารยังได้ดำเนินการอายัทรัพย์สินของผมในประเทศไทยอีกด้วย ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาประเทศไทยต้องอยู่ภายใต้กฎอัยการศึก มีการจำกัดเสรีภาพของสื่อมวลชน และยังห้ามพรรคการเมืองดำเนินกิจกรรมทางการเมืองอีกด้วยคณะรัฐประหารได้ตั้งคณะบุคคลขึ้นมาเพื่อทำการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประเทศ โดยมีภารกิจหลักเพื่อลดบทบาททางการเมืองของประชาชนและผู้แทนราษฎรในการตัดสินใจเรื่องที่มีความสำคัญระดับประเทศ รัฐธรรมนูญที่คณะรัฐประหารจัดทำขึ้นมาได้ลดจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจาก 500 คน เหลือ 480 คน ลดจำนวนวุฒิสมาชิกจาก 200 คน เหลือ 160 คน และยังกำหนดให้มีการแบ่งเขตเลือกตั้งใหม่เพื่อทำลายฐานเสียงของพี่น้องประชาชนใน 35 จังหวัดภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ต่อต้านการรัฐประหารอย่างรุนแรงอีกด้วย
นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ร่างโดยคณะรัฐประหารยังตัดสิทธิประชาชนชาวไทยในการเลือกตั้งวุฒิสมาชิก โดยวุฒิสมาชิกส่วนหนึ่งจะมาจากการแต่งตั้ง โดยกลุ่มบุคคลที่มิได้เป็นผู้แทนของประชาชน และยังมีการเพิ่มบทบาทที่ขัดกับหลักการในระบอบประชาธิปไตยให้แก่วุฒิสมาชิกและสถาบันตุลาการในการคัดเลือก องค์กรอิสระ และให้สิทธิในการถอดถอนนายกรัฐมนตรีผู้มาจากการเลือกตั้งของ ประชาชน
ในการลงประชามติเพื่อให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญเมื่อเดือนที่แล้ว ปรากฏว่ามีพี่น้องชาวไทยจำนวนมากที่ลงมติไม่เห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว แม้ว่ารัฐบาลและคณะรัฐประหารจะใช้มาตรการที่รุนแรงมากมายในการจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของพี่น้องประชาชนและองค์กรต่างๆ ที่คัดค้านร่างรัฐธรรมนูญ
ในขณะที่ประเทศไทยกำลังจะมีการเลือกตั้งในวันที่ 23 ธันวาคม ซึ่งคณะรัฐประหารต้องการให้สังคมโลกยอมรับว่าเป็นการเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรม แต่กลับไม่ยอมยกเลิกกฎอัยการศึกใน 35 จังหวัดในเขตภาคเหนือและภาคอีสาน คณะรัฐประหารยังบังคับใช้กฎอัยการศึกและห้ามการดำเนินกิจกรรมทางการเมือง
โดยคน 10 คนขึ้นไป แต่คณะรัฐประหารกลับไม่บังคับใช้กฎอัยการศึกดังกล่าว กับกิจกรรมทางการเมืองของพรรคการเมืองที่ยอมสยบต่ออำนาจของคณะรัฐประหาร และเพื่อให้มั่นใจว่าสามารถควบคุมผลการเลือกตั้งได้อย่างเต็มที่ คณะรัฐประหารก็ต่อต้านความพยายามของสหภาพยุโรปและนานาอารยประเทศในการที่จะ
เข้าไปสังเกตการณ์การเลือกตั้งครั้งนี้
ดูเหมือนประชาคมโลกจะยอมรับพฤติกรรมต่างๆ ของคณะรัฐประหารแม้จะเบี่ยงเบนจากหลักการประชาธิปไตยด้วยเหตุผลที่เข้าใจได้ง่าย แต่ขณะเดียวกันก็เป็นเรื่องลำบากใจที่จะยอมรับเหตุผลดังกล่าวของประชาคมโลกก็คือ ประชาคมโลกรังเกียจการบริหารประเทศที่ผิดพลาดของคณะรัฐประหาร จนต้องการให้คนกลุ่มนี้พ้นจากตำแหน่งหน้าที่ไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ ดังนั้น แทนที่ประชาคมโลกจะ โต้แย้งพฤติกรรมอันไม่เป็นประชาธิปไตยต่างๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย พวกเขาก็พร้อมที่จะเบือนหน้าหนีเพื่อที่คณะรัฐประหารจะได้ไม่สามารถสรรหาเหตุผลต่างๆ มาเพื่อเลื่อนการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันที่ 23 ธันวาคมนี้ได้ จึงเป็นเรื่องที่น่า ประหลาดที่จุดอ่อนที่สุดของคณะรัฐประหาร อันได้แก่ ความไร้สมรรถภาพและไม่
เป็นที่ยอมรับของประชาชนกลับช่วยชีวิตให้คณะรัฐประหารให้อยู่รอดได้ในระยะเวลาอันสั้นนี้
ประชาคมโลกกำลังคาดการณ์ผิดถ้าคิดว่าความสงบและความมั่นคงจะกลับคืนสู่ประเทศไทยได้ แม้ประเทศไทยจะไม่ได้อยู่ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง แม้ว่าประชาชนชาวไทยในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่กำลังถูกคุกคามและจำกัดสิทธิเสรีภาพโดยคณะรัฐประหารนั้นอาจจะยากจนข้นแค้น แต่พวกเขาจะไม่ยอมให้มีการปฏิเสธสิทธิเสรีภาพของพวกเขา เช่นเดียวกับพี่น้องชาวไทย อีกนับล้านคนที่กำลังถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพโดยคณะรัฐประหาร พวกเขาก็จะไม่ยอมรับการกดขี่เช่นนี้ตลอดไป
เราจะไม่มีวันได้เห็นความมั่นคง ประชาธิปไตยและการพัฒนาของประเทศไทย ตราบเท่าที่เรายังไม่มีแผนการเพื่อสร้างความสามัคคีของคนในชาติ ผมคงไม่จำเป็นต้องย้ำว่ากระบอกปืนหรือการเลือกตั้งที่สกปรกจะไม่มีวันนำประเทศไทยกลับคืนไปสู่ความสมานสามัคคีของคนในชาติได้ วิถีทางเดียวที่จะทำให้ประเทศ
ชาติกลับคืนสู่ความสงบและความมั่นคงได้ ก็เมื่อบรรดานายทหารและนักการเมือง ให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของประเทศชาติเหนือผลประโยชน์เฉพาะหน้าของพวกเขา
พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร
อดีตนายกรัฐมนตรี
.........................................................................
1 บทความนี้ได้รับการตีพิมพ์ในหนังสือ The Asian Wall Street Journal และหนังสือพิมพ์อื่นๆ ในภาคพื้นยุโรปและ The Wall Street Journal ของสหรัฐอเมริกา สำหรับวันครบรอบ 1 ปีของการ ก่อรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร
http://www.hi-thaksin.org/contentdetail.php?ParamID=73619
...........................................
บทความตอกกลับจาก วอร์รูมรัฐบาล
วอร์รูมรัฐบาลอัด 'ทักษิณ' เขียนบทความทำลายชาติ
วันนี้ (20 ก.ย.) นายประสาร มฤคพิทักษ์ ประธานอนุกรรมการประชาสัมพันธ์ในประเทศ (ศปชท.) กล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เขียนบทความครบรอบ 1 ปีการรัฐประหาร ในหนังสือพิมพ์ดิ เอเซียน วอล์ท สตรีท เจอร์นัล ว่าการนำเสนอบทความชิ้นนี้ผ่านสื่อในต่างประเทศ มีนัยสำคัญคือการทำลายความชอบธรรมของคณะรัฐประหาร ควบคู่ไปกับการทำร้ายประเทศชาติ โดยมีเนื้อหาโฆษณาชวนเชื่อให้สังคมโลกเห็นว่าตัวเองถูกคุกคามและจำกัดเสรีภาพของประชาชน และถูกยุบพรรค นายประสาร กล่าวต่อว่า เนื้อหาบทความดังกล่าวหลีกเลี่ยงการพูดความจริงประเด็นเรื่องการทุจริตต่างๆ ซึ่งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียแก่รัฐ (คตส.) และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้มีการสรุปสำนวนสอบสวนคดีทุจริตไปแล้วหลายคดี และยังอายัดทรัพย์สิน รวมทั้งออกหมายจับ ในขณะที่มีอีกหลายคดีพบพยานหลักฐานการซุกหุ้นและอยู่ในระหว่างดำเนินการเขียนสำนวนเพื่อยื่นฟ้องต่อไป ทั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ยอมมาชี้แจงหรือมอบ หมายให้ใครมาชี้แจงข้อกล่าวหา นายประสาร ยังกล่าวตอบโต้ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่อ้างว่าคณะรัฐประหารพยายามสกัดกั้นไม่ให้ได้รับการเลือกตั้งโดยการยุบพรรคไทยรักไทยว่า ความจริงพรรคไทยรักไทยถูกยุบโดยคำวินิจฉัยของตุลาการรัฐธรรมนูญ ระบุว่าเกิดทุจริตในการเลือกตั้งและพบหลักฐานการกระทำความผิดเรื่องการจ้างพรรคการเมืองลงรับสมัครเลือกตั้ง ส่วนกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ อ้างว่าคณะรัฐประหารต่อต้านการเข้ามาของสหภาพยุโรปและนานาอารยประเทศ ในการเข้ามาสังเกตการณ์การเลือกตั้งในครั้งนี้ นายประสาร เห็นว่ารัฐบาลและคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีจุดยืนชัดเจนในการที่จะทำให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม และพร้อมจะให้สิทธิกับ ทุกประเทศเข้ามาสังเกตการณ์การเลือกตั้ง แต่จะต้องอยู่ภายใต้ขอบเขตกฎหมายไทย รวมทั้งต้องยอมรับและเคารพต่อกระบวนการทำงานขององค์กรที่ทำหน้าที่ดูแลการเลือกตั้งด้วย...
http://www.thairath.co.th/online.phpsection=newsthairathonline&content=61791
วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2550
"การกลับคืนสู่ระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทย" : "To Return to a Democratic Thailand"
ผู้จัดเก็บบทความ เจ้าน้อย ณ สยาม ที่ 8:56 หลังเที่ยง
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น