วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2550

ระวังไฟไหม้วัง !!!

ผู้ใหญ่ในเมืองไทยมักจะห้ามเด็กๆ เล่นไม้ขีดไฟ ด้วยคำขู่ว่า “อย่าเล่นฟืนเล่นไฟ ไฟจะไหม้บ้าน”ในฐานะผู้ใหญ่คนหนึ่งที่แม้จะไม่ได้อยู่ในเมืองไทย แต่ก็ยังเป็นห่วงเมืองไทยตลอดเวลา ก็อยากจะเตือน คุณสุรเกียรติ์ เสถียรไทย ว่า อย่าก่อไฟในวัง เพราะพลาดพลั้งขึ้นมาวันใด ไฟ ไหม้วัง จะวอดวายกันหมด ที่ต้องเตือนกันแรงๆ และตรงๆ แบบนี้ ก็เพราะคุณสุรเกียรติ์ กำลังกระทำการในสิ่งที่ผมเรียกว่าก่อไฟในวัง นั่นเอง

ไฟที่ผมว่าก็คือ ไฟการเมือง ไฟแห่งความขัดแย้งของประชาชนสองฝ่าย หรือ บางทีอาจจะเป็นสามฝ่าย อันมีที่มาจากความขัดแย้งทางการเมือง และแก่งแย่งอำนาจปกครองแผ่นดิน ช่วงชิงผลประโยชน์กันนับแต่ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากระบอบกษัตริย์ หรือ สมบูรณญาสิทธิราชย์ มาเป็น ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข ซึ่งเป็นลักษณะ เฉพาะประชาธิปไตยแบบไทยๆ

สถาบันพระมหากษัตริย์ทรงดำรงสถานะอยู่เหนือการเมือง และเป็นกลางทางการเมืองมาโดยตลอด ทรงไม่ยุ่งเกี่ยวและไม่ชี้นำการเมือง ทรงให้อิสระประชาชน เป็นผู้ตัดสินใจเลือกผู้บริหารประเทศ ตามแนวทางประชาธิปไตย ที่เป็นสากล เมื่อประชาชนเลือกผู้ใดเป็นผู้บริหารประเทศ ก็จะทรงยอมรับการตัดสินใจของประชาชนเสมอ ซึ่งเป็นจารีตประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบไทยๆ ที่ส่งผลให้ประชาชนทุกคนเคารพสักการะ เทิดทูน จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เสมอมา ไม่ว่าความขัดแย้งทางการเมืองจะรุนแรงเพียงใด แม้กระทั่งเกิดการจลาจล เกิดสงครามกลางเมือง เกิดการนองเลือด ฆ่าฟันกันตาย แต่เมื่อ

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัส ประชาชนทุกคนทุกฝ่าย ไม่ว่าจะขัดแย้งกันรุนแรงเพียงใด ก็จะน้อมเกล้ารับพระราชดำรัส และนำไปปฏิบัติ เป็นการยุติปัญหาความขัดแย้งทั้งปวงในทันที ดังที่เราได้เห็นในเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 เหตุที่ประชาชนคนไทยทุกคนจงรักภักดี เคารพเทิดทูนพระมหากษัตริย์ ไว้เหนือเกล้าเหนือกระหม่อม และเชื่อฟังพระราชดำรัสอย่างเคร่งครัด ก็เพราะพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ของคนไทยทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ไม่ก้าวก่าย ไม่ยุ่งเกี่ยว ไม่ชี้นำการเมือง และทรงวางพระราชฐานะเป็นกลางทางการเมือง อย่างมั่นคง

แต่การตั้งกลุ่มเพื่อแผ่นดิน เพื่อที่จะขยายตัวเป็นพรรคเพื่อแผ่นดิน ของคุณสุรเกียรติ์ โดยมีการแถลงข่าวเปิดตัวอย่างใหญ่โต เมื่อเร็วๆ นี้ ด้วยการกวาดต้อนนักการเมืองทั้งเก่าและใหม่ ทั้งผู้มีภาพลักษณ์เป็นที่เคลือบแคลงสงสัยของประชาชนว่าเป็นผู้มีเจตนาต่อแผ่นดิน ต่อบ้านเมืองจริงหรือไม่ ผู้ที่มีคดีคอรัปชั่น กินสินบาท คาดสินบน ติดตัว คดีความยังอยู่ในศาล เข้ามารวมกลุ่ม โดยมีเป้าหมายที่จะทำงานการเมือง เพื่อแย่งชิงอำนาจรัฐ และตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มาให้จงได้ นี้เอง ที่จะเป็นการทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์สูญเสียพระราชฐานะในหัวใจของประชาชน และจะทำให้สถาบันพระมหา กษัตริย์ไม่อาจจะดำรงความเป็นกลางทางการเมือง ไว้ได้อีกต่อไป

เนื่องจาก มีการนำเสนอข่าวกันเป็นที่รับรู้ทั่วไปทั้งในประเทศไทย และในต่างประเทศ ผ่านเวปไซต์ต่างๆ ว่า คุณสุรเกียรติ์ ซึ่งเป็นผู้จัดการรวบรวมนักการเมืองมาร่วมงานกันทำงานการเมืองในนามพรรคเพื่อแผ่นดิน ตามคำพูดของคุณเสนาะ เทียนทอง ได้ไปหารือกับท่านผู้หญิงบุษบา สธนพงศ์ (กิติยากร) น้องสาวของสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ซึ่งเป็นแม่ภรรยา หรือ แม่ยาย ว่าจะตั้งพรรคการเมือง การหารือกันในวันนั้นมีผลลงเอยกันอย่างไร ไม่มีใครทราบได้ แต่ข่าวที่ออกมาถึงผู้คนทั่วไป รวมทั้งนักการเมืองจำนวนหนึ่งที่ถูกเกี้ยวหรือถูกจีบให้ไปรวมตัวกันสร้างพรรคเพื่อแผ่นดิน มีอยู่ว่า...ท่านผู้หญิงบุษบา น้องสาวของสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ สนับสนุนให้คุณสุรเกียรติ์ มาตั้งพรรคการเมือง และให้เงินสนับสนุนก้อนแรกมาด้วย จำนวน 500,000 บาท ซึ่งเรื่องนี้ท่านผู้หญิงบุษบา ได้กราบบังคมทูลให้สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ทรงทราบแล้ว และ สมเด็จฯ ทรงสนับสนุน ด้วยเรื่องเล่าแบบปากต่อปาก เช่นนี้เองที่ทำให้นักการเมืองในเมืองไทย ต่างพากันหยุดชะงัก และตรวจสอบกันว่าจริงเท็จอย่างไร ซึ่งเกือบทั้งหมด ตรวจกันตรวจกันมา ก็รับทราบเรื่องเล่าทำนองนี้คล้ายๆ กัน แตกต่างกันไปตามลีลาของผู้เล่าต่อ ว่าจะใส่สีตีไข่ให้น่าสนุกสนาน น่าเชื่อถือ มากยิ่งๆ ขึ้นไปอีกก่อนที่ คุณสุรเกียรติ์ และผู้ร่วมงานการเมือง จะแถลงข่าวตั้งพรรคการเมือง ไม่กี่วัน มีหนังสือพิมพ์ในประเทศไทยอย่างน้อยหนึ่งฉบับ รายงานข่าวหน้าหนึ่งด้วยหัวข่าวว่า “สุรเกียรติ์ นายกฯ” ซึ่งหมายความว่านายกรัฐมนตรีของประเทศไทย คนต่อไป ชื่อ คุณสุรเกียรติ์ เสถียรไทยหนังสือพิมพ์ฉบับนั้น รายงานข่าวอย่างหวือหวา ตามสไตล์หนังสือพิมพ์แทบลอยด์ ว่า คุณสุรเกียรติ์ ได้รับไฟเขียวมาจากแม่ยาย ซึ่งเป็นน้องสาวของพระราชินีแห่งประเทศไทย และ ในวัง ก็เห็นด้วยกับการตั้งพรรคการเมืองของคุณสุรเกียรติ์

เป็นครั้งแรกที่สื่อมวลชนในประเทศไทยเสนอข่าว พระราชินี ซึ่งเป็นบุคคลที่สำคัญเป็นลำดับที่สองของสถาบันพระมหากษัตริย์ เห็นด้วยกับการตั้งพรรคการเมือง ของคุณสุรเกียรติ์ อย่างเปิดเผย และเป็นทางการ ซึ่งข่าวนี้ถูกทำให้เข้าใจว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยพระราชินีแห่งประเทศไทย อยู่เบื้องหลังการจัดตั้งพรรคการเมือง เพื่อจะลงสมัครแข่งขันในการเลือกตั้งที่จะมาถึงในปลายปีนี้ เว็บไซต์บางเว็บไซต์ เรียกคุณสุรเกียรติ์ ว่า “หลานเขย” หมายถึงหลานเขยของพระราชินี นั่นเอง เพราะ คุณสุรเกียรติ์ แต่งงานกับ คุณสุธาวัลย์ ผู้เป็นหลานสาวของพระราชินี ดังนั้นคุณสุรเกียรติ์ จึงมีสถานะเป็นหลานเขย ของพระราชินี การผูกโยงระหว่าง คุณสุรเกียรติ์ กับ ท่านผู้หญิงบุษบา และ พระราชินีแห่งประเทศไทย เช่นนี้เอง ทำให้นักการเมือง และประชาชนจำนวนไม่น้อย เชื่อว่าพรรคแผ่นดินไทย ของคุณสุรเกียรติ์ เป็นพรรคการเมืองที่สถาบันพระมหากษัตริย์ รู้เห็นเป็นใจให้จัดตั้งขึ้น และจะช่วยระดมทุนสนับสนุนในการแข่งขันการเลือกตั้ง โดยคาดว่ากลุ่มทุนที่จะถูกเรียกมาให้จ่ายเงินเป็นนายทุนในการแข่งขันเลือกตั้งของพรรคเพื่อแผ่นดินไทย ก็คือ กลุ่มของนายเจริญ สิริวัฒนภักดี ผู้ผลิตและจำหน่ายเหล้ารายใหญ่ของประเทศไทย ซึ่งถวายเงินให้พระราชินี ปีละหลายร้อยล้านบาท กลุ่มบริษัท ซีพี ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจยักษ์ใหญ่ของประเทศไทย และ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด ของตระกูลโสภณพานิช ที่มีพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี เป็นประธานธนาคารการผูกโยงเรื่องราวการเมืองเข้ากับพระราชินี โดยผ่านท่านผู้หญิงบุษบา ผู้เป็นน้องสาวของพระราชินี ทำให้นักการเมืองจำนวนหนึ่งถูกดูดด้วยข่าวชิ้นนี้ เข้าสู่พรรคเพื่อแผ่นดิน และช่วยกันกระจายข่าวออกไปยังกลุ่มธุรกิจต่างๆ เพื่อให้ระดมทุนมาช่วยพรรคเพื่อแผ่นดิน โดยอ้างว่า เพื่อเป็นการแสดงความจงรักภักดี และพรรคการเมืองที่มีพระราชินี อยู่เบื้องหลังพรรคนี้ จะได้เป็นรัฐบาล อย่างแน่นอน และเชื่อว่าอีกไม่นานก็จะมีการกระจายข่าวชิ้นนี้ไปยังประชาชนในต่างจังหวัด เพื่อให้ประชาชนช่วยกันลงคะแนนให้แก่พรรคการเมืองพรรคนี้ เพราะในประเทศไทย ประชาชนในชนบท ยังคงมีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ สูงมาก ถึงแม้ว่าจะไม่นิยมพระราชินี มากเท่าในหลวง ก็ตามมีเหตุผลประการหนึ่งที่ทำให้นักการเมืองหลายคนเชื่อว่า พระราชินีสนับสนุนพรรคการ เมืองของคุณสุรเกียรติ์ นอกเหนือสถานภาพหลานเขย ก็คือ

ก่อนที่จะมีการรัฐประหาร มีข่าวออกมาว่า ท่านผู้หญิงบุษบา ได้ มอบกระเป๋าใบหนึ่งพร้อมทั้งใส่เงินจำนวนหนึ่งไว้ภายใน และผ้าพันคอสีฟ้า ให้กับนายสนธิ ลิ้มทองกุล หัวหน้าม็อบขับไล่นายกฯทักษิณ ชินวัตร และนายสนธิ ได้แถลงข่าวว่าได้รับของดังกล่าวมาจากท่านผู้หญิงท่านหนึ่ง ซึ่งมีความสนิทสนมกับสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยกระเป๋าที่ได้รับมานั้น สลักหมายเลข 902 ซึ่งเป็นรหัสวิทยุของพระราชินี ซึ่งนายสนธิ แถลงว่าการได้รับมอบงิน และผ้าพันคอสีฟ้า อันเป็นสีประจำพระองค์พระราชินี แสดงว่าพระราชินี สนับสนุนการขับไล่นายกฯทักษิณ ชินวัตร หลังการรัฐประหารผ่านพ้นไปไม่กี่วัน ก็มีการแพร่กระจายอย่างรวดเร็วในประเทศไทย และต่างประเทศ ว่า พระราชินีคือผู้สั่งการให้ทหารทำการรัฐประหาร ยึดอำนาจปกครองประเทศ และขับไล่นายกฯทักษิณ ชินวัตร ออกจากประเทศไทย ข่าวที่ออกมาสู่การรับรู้ของประชาชนทั้งประเทศ ว่า พระราชินี สนับสนุนการขับไล่นายกฯทักษิณ พระราชินีสั่งให้ทหารรัฐประหาร ในขณะที่ในหลวงต้องการให้มีการเลือกตั้ง ไม่ได้ถูกปฏิเสธ และไม่มีการชี้แจงใดๆ เลย ทุกฝ่ายปล่อยให้ข่าวแพร่กระจายออกไปทุกวันๆ จากการรับรู้ก็กลายเป็นความเชื่อ เพราะในประเทศ จะถือกันว่า หากข่าวใดไม่เป็นจริง

ผู้ที่ถูกกล่าวถึงในข่าวต้องปฏิเสธ การไม่ปฏิเสธ คือ การยอมรับ ทำให้ประชาชนในประเทศไทยจำนวนไม่น้อยเสื่อมศรัทธาต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และไม่นิยมพระราชินี มากขึ้นไปอีก ในฐานะที่เข้ามาเจ้ากี้เจ้าการ ชี้นำ บงการการเมือง ทรงไม่วางตัวเป็นกลางทางการเมืองดังนั้นเมื่อมีการกระจายข่าวว่าพระราชินี อยู่เบื้องหลังการตั้งพรรคการเมืองของคุณสุรเกียรติ์ จึงมีคนเชื่อมากกว่าไม่เชื่อ และมีคนเห็นว่าไม่เหมาะสมมากกว่าเหมาะสม ประชาชนผู้จงรักภักดีในประเทศไทย จำนวนมาก กำลังเป็นห่วงว่าข่าวพระราชินีอยู่เบื้องหลังการตั้งพรรคการเมือง จะทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ ถูกนำมาเป็นเงื่อนไขทางการเมืองอย่างเปิดเผย และจะได้รับการบอบช้ำจาการแข่งขันในการเลือกตั้ง จะเสื่อมเสียเมื่อเข้าสู่ความขัดแย้งทางการเมือง และการแบ่งผลประโยชน์ของพรรคการเมืองหลังการเลือกตั้ง ที่สำคัญคือ หากพรรคการเมืองของคุณสุรเกียรติ์ ไม่ชนะเลือกตั้ง ไม่ได้รับเสียงข้างมาก ไม่ได้เป็นรัฐบาล ก็จะถูกตีความว่าพรรคการเมืองของพระราชินี และพระราชินี ไม่เป็นที่นิยมของประชาชน ผลการเลือกตั้งของพรรคเพื่อแผ่นดิน ที่ปรากฏออกมาเป็นจำนวนคะแนน ไม่ว่าจะมากหรือน้อยอย่างไรก็ตาม จะทำให้ความเชื่อและคำพูดที่ว่า สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งชาติ เป็นเรื่องโกหกไปในทันที เพราะตัวเลขคะแนนเลือกตั้ง จะบอกแทนว่ามีประชาชนจำนวนเท่าไรกันแน่ ที่ลงคะแนนให้กับพรรคการเมืองที่พระราชินี สนับ สนุน แต่ความห่วงใยของประชาชนผู้จงรักภักดี คงไม่มีโอกาสที่จะต่อต้านความต้องการที่จะใช้ข่าวพระราชินีสนับสนุนพรรคเพื่อแผ่นดิน เป็นเครื่องมือทางการเมืองของนักการเมืองที่ไปรวมกันในพรรคเพื่อแผ่นดินได้

หนังสือพิมพ์บางกอกทูเดย์ และ หนังสือพิมพ์บ้านเมือง ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ระดับชาติในประเทศไทย นำเสนอบทความไม่เห็นด้วยกับการตั้งพรรคการเมืองของคุณสุรเกียรติ์ โดยอ้างข่าวพระราชินี สนับสนุน เป็นเงื่อนไขที่จะนำความสำเร็จมาสู่พรรคการเมือง อย่างอ้อมๆ ด้วยการยกตัวอย่างสมเด็จนโรดมสีหนุ กษัตริย์กัมพูชา สนับสนุนสมเด็จรณฤทธิ์ จัดตั้งพรรคการเมือง ลงแข่งขันในการเลือกตั้ง จนเป็นต้นเหตุให้ประชาชนกัมพูชาแตกแยกเป็นสามฝ่าย และสถาบันพระมหากษัตริย์อ่อนแอลงในที่สุด ไม่ว่าข่าวที่คุณสุรเกียรติ์ และทีมงาน ตั้งใจเผยแพร่ออกมาเพื่อสร้างความน่าสนใจในพรรคการเมืองตัวเองสร้างขึ้น จะเป็นจริงหรือไม่ก็ตาม ข่าวชิ้นนี้ และพรรคการเมืองของคุณสุรเกียรติ์ จะเป็นสิ่งที่น่ากลัวและเป็นอันตรายที่สุดของสถาบันพระมหากษัตริย์ในประเทศไทย เพราะยิ่งข่าวนี้กระจายออกไปมากเท่าใด ก็จะทำให้สถาบันพระมหา กษัตริย์ สูญเสียความเป็นศูนย์รวมแห่งจิตใจของคนไทยทั้งชาติ ไปเท่านั้น การเดินเกมการเมืองของคุณสุรเกียรติ์ ในครั้งนี้ จึงไม่ต่างอะไรกับการก่อกองไฟขึ้นกลางวัง หากคุมไฟไม่ดี เกิดเหตุไม่คาดฝัน ไฟอาจจะไหม้วังก็เป็นได้ เพราะใครๆ ก็รู้ว่าไฟการเมืองนั้น มีความรุนแรงเพียงใด สถาบันพระมหากษัตริย์ ในต่างประเทศ ต้องล่มสลาย ก็เพราะ ไฟการเมือง ทั้งสิ้น ทั้งใน ฝรั่งเศส รัสเซีย อิหร่าน ทางที่ดี คุณสุรเกียรติ์ ควรจะดับไฟที่ตัวเองก่อขึ้นมากลางวัง เสีย ด้วยการยุติบทบาทของตนเองในพรรคเพื่อแผ่นดิน คุณสุรเกียรติ์ ต้องยอมเสียสละประโยชน์ส่วนตัว เพื่อธำรงรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ ไว้ เพราะจนถึงวันนี้ไม่ว่าจะปฏิเสธอย่างไร ก็หาคนเชื่อยากแล้วว่าคุณสุรเกียรติ์ ไม่ได้เป็นท่อต่อระหว่างท่านผู้หญิงบุษบา น้องสาวของสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ กับกลุ่มผู้แสวงหาอำนาจการเมืองบางกลุ่ม

สำหรับคนไทยทั่วไปนั้น อย่าว่าแต่เสียประโยชน์ส่วนตนเลย แม้แต่เสียชีวิตเพื่อปกป้องพระมหากษัตริย์ ก็ยังทำได้ ดังนั้นคุณสุรเกียรติ์ ควรจะต้องเสียสละ ตัดตัวเองออกจากการถูกมองว่าเป็นท่อต่อ ระหว่างอำนาจในพระราชวังกับกลุ่มนักการเมืองที่กำลังแก่งแย่งช่วงชิงอำนาจการเมือง เพื่อป้องกันข้อครหานินทาให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่วางตัวเป็นกลางทางการเมือง หากคุณสุรเกียรติ์ ยังคงดึงดันที่จะเดินหน้าทำพรรคเพื่อแผ่นดิน ต่อไป ก็แสดงว่าคุณสุรเกียรติ์ กำลังแสวงหาอำนาจทางการเมือง อย่างคนหูหนวก ตาบอด ไม่ยอมฟังเสียงทักท้วงใดๆ ทั้งสิ้น แม้กระทั่งเสียงทักท้วงว่าคุณสุรเกียรติ์ กำลังใช้สถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นเครื่องมือทางการเมืองของตัวเอง โดยไม่ห่วงใยความศักดิ์สิทธิ์ของสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่เป็นศูนย์รวมดวงใจคนไทยทั้งชาติ มานานกว่า 800 ปี แล้วอย่างนี้ คุณสุรเกียรติ์ จะแอบอ้างว่าตัวเองเป็นผู้มีอุดมการณ์ เพื่อสร้างชาติ ธำรงศาสน์ เทิดราชบัลลังก์ ได้อย่างไร เพราะ คุณกำลังก่อไฟกลางวัง และ กำลังจะนำวังเข้าสู่กองไฟการเมือง


ไฟการเมืองได้เผาทำลาย

สถาบันพระมหากษัตริย์ในต่างประเทศ


ให้เห็นเป็นตัวอย่างแล้วหลายประเทศ...


คุณกำลังคิดอะไรอยู่หรือ คุณสุรเกียรติ์ เสถียรไทย


ปล.
บทความชิ้นนี้ เปนเมลล์ที่ได้รับ เกี่ยวกับสุรเกียรติ เสถียรไทย เมื่อ 16 กันยายน 2550

ไม่มีความคิดเห็น: