วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2550

ประชาธิปัตย์ กับ กบฎ !

ประชาธิปัตย์ กับ กบฎ !


ไม่แปลกกระไรเลยที่ พรรคประชาธิปัตย์ จะอ้าแขนรับ พล.อ.สนธิ บุญญรัตกลิน หัวหน้ากบฏ เข้าสู่วงการเมือง ด้วยความยินดียิ่ง พรรคประชาธิปัตย์ จะยินดียิ่งกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ แน่ๆ หากว่าหัวหน้ากบฏอย่างพล.อ.สนธิ จะเลือกพรรคประชาธิปัตย์ เป็นเรือนตาย เป็นผู้ให้ความคุ้มครองดูแลปกป้องผองภัยจากเวรกรรมที่ก่อไว้ เนื่องเพราะการเปิดประตูพรรคต้อนรับกบฏ เป็นประเพณี เป็นวัตรปฏิบัติที่สำคัญประการหนึ่งของพรรคประชาธิปัตย์ เนื่องเพราะการให้ความดูแล ปกป้องภยันอันตรายที่จะมากล้ำกรายกบฏทั้งหลายในวันหมดอำนาจ เป็นธรรมเนียม เป็นหน้าที่พึงปฏิบัติประการหนึ่งของพรรคประชาธิปัตย์

เนื่องเพราะการสร้างเงื่อนไขให้เกิดการยึดอำนาจ หรือก่อกบฏ เป็นภารกิจที่สำคัญ และเป็นหน้าที่อันจัดเจนประการหนึ่งของพรรคประชาธิปัตย์ จึงไม่แปลกกระไรเลยที่ สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ จะออกอาการกระดี๊กระด๊า หน้าบาน เมื่อได้ยินข่าวว่าพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน จะลงการเมือง ด้วยกาสมัครรับเลือกตั้งส.ส. และมีแนวโน้มว่าจะสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคการเมืองที่มีอยู่แล้ว มากกว่าที่จะไปตั้งพรรคการเมืองใหม่ ซึ่งจะถูกเรียกขานว่าเป็นพรรคทหาร มากกว่าพรรคการเมือง ที่บอกว่าไม่แปลกกระไรเลย ก็เพราะว่า...

พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร หรือ ชื่อเดิม มนูญ รูปขจร ก็คือ กบฏ ที่พรรคประชาธิปัตย์ ให้การอุ้มชูดูแล และรับเข้าเป็นสมาชิกพรรค ส่งลงสมัครส.ส. ปูนบำเหน็จตำแหน่งใหญ่โตทางการเมืองให้ครอบครอง รวมไปถึงสนับสนุนให้เป็นประธานวุฒิสภา

พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ หรือ อดีตนายทหารเลี้ยงม้า ของพล.อ.ฉลาด หิรัญศิริ ก็ คือ กบฏ ที่พรรคประชาธิปัตย์ ให้การคุ้มครอง ป้องกันภัยอันตรายทั้งหลายทั้งปวง เป็นบ้านพักอาศัย เป็นที่ซุกหัวนอน เป็นแหล่งทำมาหากิน เมื่อเจ้านายใหญ่ พล.อ.ฉลาด หิรัญศิริ ต้องโทษประหารชีวิต ดับสิ้นไป เพราะข้อหากบฏ แต่นายทหารเลี้ยงม้า อย่าง พ.ท.สนั่น ในขณะนั้น กลับรอดตาย แล้วยังได้ดิบได้ดี ในภายหลัง เป็นผู้ทรงอิทธิพลสูงสุดในประเทศไทย ถึงสองครั้งสองครา ในรัฐนาวาชวน หลีกภัย ที่แล่นไหลไปอย่างเชื่องช้า ก็เพราะว่า พรรคประชาธิปัตย์ ให้การสนับสนุน

ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง หรือ สารวัตรเหลิม อดีตนายตำรวจกองปราบที่โด่งดังที่สุดในประเทศไทย ก็คือ กบฏ ที่ก้าวพ้นคุกออกมา พรรคประชาธิปัตย์ รับไปเป็นสมาชิก ส่งลงสมัครส.ส.กทม. ทันที แต่ด้วยความเป็นคนที่รู้ทันเล่ห์เหลี่ยมพรรคประชาธิปตย์ ที่คิดหาประโยชน์จากชื่อเสียง ความดัง และใจถึงของสารวัตรเหลิม เป็นเสน่ห์ให้คนกรุงเทพฯ สนใจ เพียงเท่านั้น เมื่อไม่ได้ตามใจหมาย ก็คิดทำลาย สารวัตรเหลิม จึงตีกรรเชียงหนีออกมา ตั้งพรรคมวลชนเป็นของตนเอง และเป็นศัตรูกับพรรคประชาธิปัตย์ นับแต่นั้นมา

พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี ก็คือ กบฏเมษาฮาวาย ที่พรรคประชาธิปัตย์ ยินดีต้อนรับ นำมาปัดฝุ่น ปรุงแต่งจากอดีตกบฏ และจอมวางแผนพาคนไปตายในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ จนได้เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทวงกลาโหม สมัยนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรีควบรัฐมนตรีกลาโหม นับเป็นการปลุกผีดิบที่ชื่อ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี ให้ฟื้นคืนชีพ และไม่มีวันตาย และก่อความวุ่นวายให้กับการเมืองไทย มาจนถึงวันนี้

ตัวอย่างเหล่านี้คือความผูกพันระหว่างประชาธิปัตย์กับผู้ก่อการกบฏ ล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย ฉีกรัฐธรรมนูญ ฉบับแล้วฉบับเล่า มีทั้งที่ฉีกสำเร็จและฉีกไม่สำเร็จ ผู้ก่อการกบฏเหล่านี้ เมื่อหมดสิ้นอำนาจ หรือ เมื่อพ่ายแพ้ ยึดอำนาจไม่สำเร็จ ตกเป็นผู้ต้องหาคดีกบฏ ก็มักจะได้รับการดูแล คุ้มครอง สนับสนุน อุ้มชู ผลักดันให้กลับมามีบทบาทสำคัญทางการเมือง กลับมามีหน้ามีตาในวงการเมือง และกองทัพ อีก จะเป็นด้วยเหตุบังเอิญหรือไม่ก็ยากจะคาดเดา การรัฐประหาร 2 ครั้งหลัง คือ เมื่อปี 2531 กับ ปี 2549 เกิดขึ้นในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ มิได้เป็นรัฐบาล และอยู่ในฐานะเสียเปรียบทางการเมือง

เมื่อครั้งปี 2531 พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ กำลังนำพาประเทศไทย ก้าวไกลทางเศรษฐกิจ ประเทศชาติแล่นฉิวไปบนเวทีโลก อย่างมีศักดิ์ศรี หลังจากถูกดองเค็มโดยพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ และ พรรคประชาธิปัตย์ มานานถึง 8 ปี ช่วงปลาย รัฐบาลพล.อ.ชาติชาย พรรคประชาธิปัตย์ ประกาศสละเรือ ลาออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล พร้อมกับสาดโคลนใส่ จุดไฟเผาบ้านที่เคยอยู่ " ไม่ขอพายเรือให้โจรนั่ง" ทำเอารัฐบาลพล.อ.ชาติชาย มีภาพพจน์หล่นวูบ ปัญหาการเมือง กระทบเสถียรภาพรัฐบาล และคุกคามความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ พรรคประชาธิปัตย์ ตั้งข้อกล่าวหาร้ายแรงหลายข้อหาต่อพล.อ.ชาติชาย โดยเฉพาะเรื่องการทุริตคอรัปชั่น จนกลายเป็นเงื่อนไขให้ทหารใช้เป็นเงื่อนไขข้ออ้างสร้างเหตุก่อการยึดอำนาจ ล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย

เมื่อครั้ง 19 กันยายน 2549 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กำลังนำพาประเทศไทย เข้าสู่ยุคแห่งการเติบโตแบบก้าวกระโดดทางเศรษฐกิจ การเมืองและสังคมประเทศไทยจากคนขี้โรคแห่งเอเชีย พ้นจากวิกฤตต้นยำกุ้ง พุ่งสู่แถวหน้าของเอเชีย เป็นพี่ใหญ่ในอาเซียน เพราะปัจจัยภายในเกื้อหนุน การเมืองนิ่ง พื้นฐานเศรษฐกิจแน่น นักลงทุนเชื่อมั่น เงินทุนหลั่งไหลเข้าสู่ประเทศไทย แต่แล้วจู่ๆ พรรคประชาธิปัตย์ ที่แพ้เลือกตั้ง 2 สมัยติดต่อกัน ให้แก่พรรคไทยรักไทย ก็ไปสมคบคิด วางแผนร่วมกับสนธิ ลิ้มทองกุล และพันธมิตร เปิดเกมการเมืองนอกสภา ก่อมวลชนข้างถนน จุดไฟเผารัฐบาล ใส่ร้ายป้ายสีด้วยความเท็จ และสร้างเกมบอยคอตเลือกตั้ง ไม่ยอมรับการเมืองระบอบประชาธิปไตย ไม่ยอมรับระบบรัฐสภา สร้างเงื่อนไขให้ทหารใช้เป็นเหตุแห่งการยึดอำนาจอีกครั้ง

ประชาธิปไตยที่คนไทยทั้งชาติ เพียรสร้างขึ้นมาและยืนอยู่บนรากฐานรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2540 ที่ประชาชนช่วยก่อร่างสร้างขึ้นมา ถูกทุบพังพาบลงอีกครั้ง เพราะคณะเผด็จการทหาร กล่าวได้ว่า การก่อการรัฐประหาร ยึดอำนาจปกครองแผ่นดิน ฉีกทิ้งรัฐธรรมนูญ 2 ครั้งหลังนี้ เกิดขึ้น เพราะพรรคประชาธิปัตย์ เป็นผู้มีส่วนร่วมสำคัญในการสร้างเงื่อนไขให้ทหารเข้าแทรกแซงการเมือง ยึดอำนาจ ก่อการรัฐประหาร ก็ไม่น่าจะผิด

นี่เป็นความผูกพันอย่างมีนัยยะสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์กับผู้ก่อการกบฏ

นี่เป็นความผูกพันอย่างมีนัยยะสำคัญระหว่างบทบาทท่าทีทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ กับการก่อกบฏ

นี่เป็นความผูกพันกันอย่างมีนัยยะสำคัญและอย่างประหลาด ของพรรคการเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย และอวดอ้างว่าเป็นพรรคการเมืองที่ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย กับ คณะเผด็จการทหารที่ก่อการยึดอำนาจ ก่อการกบฏ ล้มล้างระบอบประชาธิปไตย ฉีกรัฐธรรมนูญฉบับแล้วฉบับเล่า

นี่เป็นความผูกพันกันอย่างลึกซึ้งของพรรคการเมืองที่ชื่อพรรคประชาธิปัตย์ กับ เชื้อชั่วเผด็จการทหารที่ไม่เคยตายไปจาก
การเมืองระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทย

ทุกครั้งที่พรรคประชาธิปัตย์ เสียเปรียบทางการเมือง จะเกิดการรัฐประหาร เกิดการยึดอำนาจโดยเผด็จการทหาร

ทุกครั้งที่การรัฐประหารจบสิ้นลง ไม่ว่าเผด็จการทหารจะมีบทลงท้ายอย่างไร พรรคประชาธิปัตย์ ก็จะเติบโตและเป็นครองอำนาจฝ่ายบริหารเสมอ

หลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ สิ้นสุดลง พร้อมๆ กับการล่าถอยออกจากการเมืองเพราะไม่มีที่ยืนของเผด็จการ รสช. พรรคประชาธิปัตย์ ก็ก้าวขึ้นครองอำนาจแทน และเผด็จการ รสช.ทุกคน ก็อยู่ดีมีสุขใต้การปกครองของพรรคประชาธิปัตย์ ในขณะที่กลุ่มญาติวีรชน ต้องเรียกร้องหาความเป็นธรรม เป็นประจำทุกปี ปีละหลายๆ ครั้ง แต่ไม่เคยมีสักครั้งเดียวที่พรรคประชาธิปัตย์ จะนำข้อเรียกร้องที่รับฟังไปปฏิบัติ

หลังเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 คณะเผด็จการทหาร ก็ทุบทำลายพรรคไทยรักไทย ศัตรูคู่แข่งทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ จนย่อยยับ และพังทลาย ทั้งยุบพรรค และสกัดกั้นกระทั่งการห้ามจดทะเบียนพรรคการเมืองใหม่ที่ชื่อ ไทยรักไทย หรือ ชื่อใกล้เคียง แม้แต่สัญญาลักษณ์คล้ายคลึง ก็ห้ามใช้ เป้าหมายของเผด็การ คมช. มีเพียงประการเดียวคือ เพื่อให้พรรคประชาธิปัตย์ กลับคืนสู่อำนาจการเมืองอีกครั้ง โดยไม่มีคู่แข่ง ดังที่พล.อ.สนธิ เปิดเผยออกมาแล้วตามแผนบันได 4 ขั้น ในขณะที่พรรคการเมืองอย่างชาติไทย และ พรรคมหาชน ยินดีอย่างยิ่งที่จะจับมือฮั้วเลือกตั้ง และจับมือตั้งรัฐบาลใหม่

แน่นอนว่าภารกิจสำคัญประการหนึ่งของรัฐบาลใหม่ ที่นำโดยพรรคประชาธิปัตย์ ก็คือ การหาที่ยืนที่ปลอดภัย และการให้ความคุ้มครองแก่คณะเผด็จการคมช. ที่ได้ทำทุกวิถีทางจนสามารถยุบพรรคไทยรักไทย ลงได้ ซึ่งนับเป็นผู้มีบุญคุณอย่างยิ่งยวด ต่อพรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย และพรรคมหาชน
ฉะนั้นจึงไม่แปลกกระไรเลยที่พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย และพรรคมหาชน จะไม่อิดเอื้อน ไม่สงวนท่าทีที่จะตอบสนองความต้องการของเผด็จการทุกประการ แม้แต่การรับร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับ 2550 ที่เขียนไว้ว่า การฉีกรัฐธรรมนูญ ไม่ต้องได้รับโทษ พรรคการเมืองทั้ง 3 พรรคที่ที่ประกาศตัวเป็นฝ่ายประชาธิปไตย ก็ยังยอมรับได้

นี่ยังไม่รับว่านายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย เป็นคนคุยเขื่องเรื่องรัฐธรรมนูญ 2540 เสมอมา ว่าเป็นผงานชิ้นโบว์แดงในชีวิตของตนเอง ที่อยู่ในวงการเมืองมาอย่างยาวนานกว่า 30 ปี และเป็นผลงานที่นำไปใช้หาเสียงเลือกตั้ง ในทุกเขตเลือกตั้ง ว่าพรรคชาติไทย เป็นผู้ริเริ่มปฏิรูปการเมืองไทย และเป็นผู้กำเนิดรัฐธรรมนูญ ปี 2540 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญของประชาชน ฉบับแรก ก็ยังยอมรับได้

พรรคประชาธิปัตย์ ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ก็ไม่ต่างจากปีศาจคาบคัมภีร์

พรรคชาติไทย ของนายบรรหาร ศิลปอาชา
ก็คือคนที่เขียนด้วยมือลบด้วยเท้า

พรรคมหาชน ของพล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์
ก็คือ กบฏย่อมเข้าใจในกบฏ

ฉะนั้น สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ และ ประชาชนคนไทยทั้งประเทศ จึงอย่าได้แสดงท่าทีแปลกใจกระไรเลย เมื่อได้ยินพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวยินดีต้อนรับ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้ากบฏ เข้าสู่วงการเมือง และจะยินดีเป็นที่สุด หากว่าพล.อ.สนธิ จะเข้ามาเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์

ประชาธิปัตย์ วันนี้ ไม่ได้แตกต่างจากประชาธิปัตย์ เมื่อวันวาน

ความแตกต่าง อยู่ที่ฝ่ายประชาชนต่างหาก

เนื่องเพราะ ประชาชนในวันนี้ ไม่ใช่ประชาชนที่จะถูกพรรคประชาธิปัตย์ หลอกง่ายๆ เช่นเมื่อวันวานอีกต่อไป ลำพังการท่องคำ ประชาธิปัตย์ คือ พรรคเก่าแก่ที่สืบทอดอุดมการณ์ประชาธิปไตยมากว่า 60 ปี ไม่สามารถหลอกประชาชนคนไทยให้หลงเชื่อได้อีกต่อไป พรรคประชาธิปัตย์ มิเคยเปลี่ยนแปลง ประชาชนต่างหากที่เปลี่ยนไป

แม้ประชาชนอย่างผมจะพยายามเข้าใจถึงภาวะ "อดอยากปากแห้ง" ที่พรรคประชาธิปัตย์ เป็นอยู่ แต่ก็รับไม่ได้กับ อาการอดอยากปากแห้ง จนหน้ามืดตามัว อ้าแขนต้อนรับ หัวหน้ากบฏ ด้วยท่าทียินดียิ่ง และเสียงหัวเราะครื้นเครงเฮฮา บนคราบน้ำตาของวีรชนประชาธิปไตย รุ่นแล้วรุ่นเล่า ที่เอาชีวิตเข้าแลก เพื่อการสถาปนาระบอบประชาธิปไตย ในประเทศไทย การสถาปนาประชาธิปไตยที่ไม่มีวันสำเร็จ เพราะเวรกรรมของประเทศไทย ที่มีพรรคการเมืองที่ชื่อ ว่า ประชาธิปัตย์ พรรคการเมืองที่พร้อมจะให้ที่ซุกหัวและเลี้ยงดูโจรกบฏ ศัตรูของประชาธิปไตย ทุกยุคทุกสมัย...

11/07/07

บทความโดย. ผู้ไม่ออกนาม

ไม่มีความคิดเห็น: