วันเสาร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2550

Royal Maneuvers : จอมบงการ

จอมบงการ
โดย Paul Handley
8 กันยายน 2549

วิธีการที่ราชสำนักใช้ในการขัดขวางไม่ให้หนังสือของข้าพเจ้าได้เกิด มันเทียบกันไม่ได้เลยกับวิธีการสกัดอำนาจของทักษิณที่ราชสำนักได้กระทำ

เมื่อข้าพเจ้าเริ่มคิดที่จะเขียนหนังสือเกี่ยวกับพระราชประวัติของกษัตริย์ภูมิพล ข้าพเจ้ารู้ดีว่าหนังสือเล่มนี้จะต้องโดนสั่งห้ามจากราชสำนักและรัฐบาลไทย เพราะมีหนังสือประเภทเดียวกันนี้โดนมาแล้วในอดีต อีกทั้งสันดานสอพลอประจบประแจงของข้าราชการไทย หนังสือของข้าพเจ้าคงไม่รอด ไม่ช้าที่อำนาจราชาธิปไตยคงต้องแสดงตัว แต่ก็มีคนไทยมากมายเป็นกำลังใจให้ข้าพเจ้าดำเนินการต่อ ราชสำนักกลัวว่าเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้จะทำลายภาพลักษณ์ของกษัตริย์ที่พวกเขาพยายามสร้างกันอย่างบ้าคลั่ง จะเป็นจุดอ่อนให้ฝ่ายตรงข้ามโจมตีได้ง่าย โดยเฉพาะเมื่อเวลาแห่งการผัดเปลี่ยนราชบัลลังค์กำลังจะมาถึง

ข้าพเจ้าคิดไม่ออกเลยจริงๆว่าหนังสือของข้าพเจ้าจะเป็นจุดอ่อนที่ว่าได้อย่างไร ในเมื่อกษัตริย์ภูมิพลกำลังเผชิญกับการท้าทายครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบหลายสิบปีจากคนที่ชื่อทักษิณ ชินวัตรอยู่แล้ว ความคิดของราชสำนักที่มุ่งมาที่หนังสือเล่มนี้ว่าเป็นภัยคุกคามต่อราชบัลลังค์ แต่กับการต่อกรกับทักษิณที่ผ่านมาเป็นไปอย่างเชื่องช้าและผิดพลาด นั่นเป็นการแสดงให้เห็นว่าราชสำนักขาดการเตรียมการที่จะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในศตวรรตที่ 21 อย่างชัดเจน

รัฐบาลไทยประกาศให้หนังสือ “The King Never Smiles” เป็นหนังสือต้องห้ามเมื่อเดือนมกราคม ทันทีที่มันถูกประกาศบนเวปไซท์ของสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเยล ทั้งๆที่มันยังไม่ได้รับการจัดพิมพ์ด้วยซ้ำ รัฐบาลไทยสั่งห้ามไม่ให้กล่าวถึงหนังสือเล่มนี้ในประเทศอย่างแยบยล เท่านั้นยังไม่พอ ยังกีดกันไม่ให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ทในประเทศไทยเข้าถึงหน้าเว็ปของมหาวิทยาลัยเยลและเว็ปอเมซอนอีกด้วย แต่ก็ไม่ได้ผล

รัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับหมายกำหนดการที่หนังสือเล่มนี้จะวางจำหน่ายอย่างยิ่ง เพราะมันบังเอิญได้ถูกกำหนดให้วางตลาดเพียงสองสามอาทิตย์ก่อนวันที่ 9 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันเฉลิมฉลองครบรอบ 60 ปี แห่งการครองราชย์ เมื่อต้นเมษายน บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิการรัฐสภา ได้เดินทางมาสหรัฐอเมริกาอย่างเงียบๆ เพื่อหยุดยั้งไม่ให้หนังสือออกวางจำหน่ายในวันที่กำหนด หรืออย่างน้อยให้เลื่อนออกไปก็ยังดี เอกสารหลายฉบับของรัฐบาลไทยแสดงให้เห็นว่าบวรศักดิ์ได้พยายามอย่างสุดความสามารถ เขาเข้าหาสมาชิกรัฐสภาอเมริกันที่เขาคุ้นเคย เข้าหานักการฑูต และศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยเยล ตลอดจนเข้าพบอดีตประธานาธิบดี จอร์จ บุช เพื่อต้องการให้หมายกำหนดการจัดจำหน่ายเลื่อนออกไปอีกหลายสัปดาห์ การที่รัฐบาลไทยได้โน้มน้าวรัฐสภาอเมริกันให้เลื่อนหมายกำหนดการจำหน่ายหนังสือให้พ้นช่วงเวลาเฉลิมฉลองออกไปถือเป็นการโต้ตอบหนังสือเล่มนี้อย่างทันควัน

ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นไม่ใช่เรื่องแปลก ราชสำนักพยายามทำทุกวิถีทางที่จะปกป้องภาพพจน์ของราชบัลลังค์ เหมือนดังที่หนังสือเล่มนี้บรรยายไว้ มีอย่างหนึ่งที่ข้าพเจ้าเขียนไว้ในหนังสือเล่มนี้ก็คือ ราชสำนักใช้ความสามารถทั้งหมดเน้นไปที่ภาพพจน์ แต่กลับละเลยที่จะวางกลยุทธรับมือการการเปลี่ยนแปลงของโลก สิ่งที่เห็นชัดในเรื่องนี้ก็คือการขาดแผนการต่อสู้ ใช้วิธีการแบบเดิมๆมาสู้กับทักษิณ ซึ่งข้าพเจ้าเห็นว่าทำได้ไม่ใกล้เคียงเลยกับที่ทำกับหนังสือของข้าพเจ้า

มันเป็นอย่างนี้มานานแล้ว กษัตริย์ทุกพระองค์ในประเทศเสรีประชาธิปไตยหนีไม่พ้นหรอกที่จะต้องต่อสู้กับผู้บริหารประเทศที่ชนะใจประชาชนจากการเลือกตั้ง ได้อำนาจมาด้วยความชอบธรรม กษัตริย์ต้องตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ทุกที่แหละ ความจริงแล้วกษัตริย์ภูมิพลก็มีประสพการณ์ในการต่อสู้ชิงอำนาจกับผู้นำรัฐบาลและผู้นำทางทหารที่ไม่ประสงค์ที่จะคืนอำนาจให้กษัตริย์หลังจากที่อำนาจนั้นได้ถูกแย่งไปตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี 2475 มาแล้วตลอด 11 ปีแรกที่ได้ขึ้นครองราชย์

การแย่งชิงอำนาจได้หวนกลับมาอีกครั้งเมื่อปี 2531 เมื่อเปรม ติณสูลานนท์ ผู้นำทหารที่กษัตริย์ภูมิพลทรงแต่งตั้งด้วยพระองค์เองให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาเป็นเวลาถึง 8 ปี ได้ถูกบังคับให้พ้นจากตำแหน่งจากผลการเลือกตั้งภายใต้บทพิสูจน์ที่ว่าใครกันแน่ที่มีอำนาจเลือกผู้นำประเทศ กษัตริย์กับพวกทหารที่จงรักภักดี หรือประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียง หลังจากนั้นเปรมก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นองคมนตรี ส่วนนายกรัฐมนตรีคนใหม่ยอดนักซิ่ง ชาติชาย ชุณหวัณ ก็จัดการกำจัดฐานอำนาจของกษัตริย์และเปรมออกไปให้พ้นจากระบบราชการ แต่ก็ไปได้ไม่เท่าไหร่ เมื่อทหารออกมายึดอำนาจในปี 2534 การปฏิวัติที่นำไปสู่การนองเลือดในปี 2535

หลังการปฏิวัติ ราชสำนักได้พยายามรื้อฟื้นอำนาจที่ถูกทำลายไปสมัยชาติชายให้กลับคืนมา พยายามสร้างภาพให้กษัตริย์เป็นต้นกำเกิดของสิ่งดีๆทั้งหลายทั้งปวงในราชอาณาจักร แต่ภาพของนายกรัฐมนตรีที่เป็นฝ่ายตรงข้ามกลับถูกสร้างให้เป็นหนทางนำไปสู่นรก ความพยายามนี้ดูเหมือนจะได้รับผลสำเร็จอยู่บ้าง โดยเฉพาะหลังปี 2540 ปีที่เศรษฐกิจพัง เปรมหวนคืนกลับมามีอำนาจอีกครั้งเมื่อได้รับการแต่งตั้งจากกษัตริย์ภูมิพลให้ดำรงตำแหน่งประธานองคมนตรีอภิมหานายกรัฐมนตรี (Privy Council Super Chairman the Great Adviser of Super Superman – เอ๊ะ...เป็นซุปเปอร์แมนทำไมต้องมีที่ปรึกษา- ผู้แปล)ในปลายปีนั้น จุดประสงค์ก็เพื่อที่จะหาทางให้รัฐธรรมนูญบัญญัติว่า สภาผู้แทนราษฎรจะเป็นผู้เลือกว่าใครจะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเท่านั้น

เปรมและพรรคพวกในคณะองคมนตรีอภิมหารัฐมนตรีทำงานหนักที่จะดำรงไว้ซึ่งอิทธิพลของกษัตริย์ผ่านระบบราชการโดยเฉพาะกองทัพบก ศึกแห่งการช่วงชิงอำนาจครั้งยิ่งใหญ่คงหลีกเลี่ยงไม่ได้เสียแล้ว

เพราะความมั่งคั่ง อวดดี และโง่อย่างเหลือเชื่อของทักษิณ เจ้าพ่อธุรกิจสื่อสารและนายกรัฐมนตรีผู้คงอำนาจเบ็ดเสร็จ ผู้ที่ชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลายในปี 2544 และปี 2548 โดยไม่ได้ตั้งใจ ทักษิณใช้โอกาศเมื่อโอกาศเป็นของเขา เสนอตัวเองแข่งกับเปรมและกษัตริย์ในขณะที่โอกาศของอีกฝ่ายไม่อำนวย ในเวลาเดียวกันก็พยายามเข้าไปอยู่ในหัวใจของประชาชนผู้ยากไร้ ซึ่งเป็นการแข่งบารมีกับกษัตริย์อย่างไม่รู้ตัว ไม่นานนัก พวกขี้อิจฉาฝ่ายตรงข้ามและพวกหนุนกษัตริย์ก็ออกมาขนานนามเขาว่า “ผู้แข่งบารมี”

ต่างฝ่ายต่างชิงดีชิงเด่นกันทุกด้าน ไม่ว่าด้านการเมือง ความมั่งคั่ง ด้านธุรกิจต่างๆ บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญเพื่อให้ตัวเองได้เปรียบ และเรื่องการสืบทอดราชบัลลังค์ ในการแข่งขันทุกๆด้านทางราชสำนักแสดงให้เห็นเป็นระยะว่าไม่เห็นด้วยที่ทักษิณมาแข่งกับกษัตริย์ และเห็นว่าทักษิณคงไม่ได้มาดีและจะไม่ยอมให้ทักษิณเป็นผู้ชนะ ทักษิณเอาจุดอ่อนของราชสำนักมาประเมินและเห็นว่าไม่บังควรที่จะเล่นเกมแบบครึ่งๆกลางๆ

การที่ทักษิณพุ่งขึ้นมาได้ขนาดนี้ไม่ใช่ความผิดของราชสำนัก แต่ราชสำนักผิดที่โดดลงไปในเกมของทักษิณโดยที่ไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน ราชสำนักล้มเหลวที่จะใช้บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญที่เขียนไว้ชัดเจนเรื่องหลักนิติรัฐ(rule of law) ให้เป็นเครื่องมือปกป้องตนเอง และก็ไม่ได้ทำให้เห็นชัดเจนว่าทักษิณไม่ซื่อสัตย์และไม่โปร่งใสอย่างไร

ทักษิณรู้จุดอ่อนของราชสำนักเป็นอย่างดี อย่างเรื่องที่เกิดเมื่อราวๆปี 2533 เป็นต้นมา ฟ้าชายและราชวงศ์คนอื่นๆรวมทั้งผู้ใกล้ชิดเบิกบานกับสิ่งที่ทักษิณได้ประทานมาให้ โดยไม่เฉลียวใจเลยว่านั่นเป็นหลุมพรางของทักษิณที่จะเอาตนเป็นพวก ทักษิณรู้ดีว่าราชสำนักต้องปกป้องความผิดของบุคคลสำคัญในราชสำนักจากการกระทำอันไม่สมควรและผิดกฎหมาย และทักษิณก็รู้ดีว่าราชสำนักต้องพึ่งรัฐบาลในการที่จะรักษาอำนาจของตนเอาไว้ในธนาคารไทยพานิชย์ที่มีสภาพง่อนแง่นหลังเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540(ภายหลังสำนักงานทรัพย์สินฯได้นำที่ดินตรงข้ามโรงพยาบาลพระมงกุฎฯมาแลกกับหุ้นของกระทรวงการคลัง เพื่อที่จะได้มีฐานะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่เหมือนเดิมในธนาคารไทยพานิชย์ ซึ่งเรื่องนี้ความจริงแล้วกฏหมายไม่อนุญาตให้ทำ-ผู้แปล) ทักษิณมีส่วนอย่างมากในการให้บริษัทชินคอร์ปเข้าไปซื้อหุ้น ITV ที่ขาดทุนบักโกรกจากธนาคารไทยพานิชย์ ในราคาที่สูงกว่ามูลค่าที่แท้จริงมากนัก โดยหวังว่าจะเอามาเป็นกระบอกเสียงทางการเมืองของตน

ทักษิณรู้แน่ๆว่าธนาคารไทยพานิชย์จะมีรายได้หลายพันล้านบาทจากการช่วยให้การขายหุ้นชินคอร์ปแก่เทมาเส็คของสิงคโปร์เป็นผลสำเร็จ แม้ว่าคนไทยจะออกมาก่นด่าทักษิณ(แต่ไม่เคยด่าราชสำนัก)ภายหลังว่าขายสมบัติของชาติให้ต่างชาติ
แน่นอนทักษิณนั้นโคตรโง่ที่คิดว่าการที่เขารู้จุดอ่อนของราชสำนักจะทำให้เขาเอาชนะกษัตริย์ที่มีประสพการณ์ในการกำจัดนักการเมืองที่สะเออะทำตัวเสมอท่านมาแล้วหลายคน และพระองค์ยังรักษาความนิยมในหมู่ประชาชนให้มั่นคงมาได้ตลอด 60 ปี แต่การที่ทักษิณโจมตีจุดอ่อนของกษัตริย์ใช่ว่าจะไร้ผล ทำให้ราชบัลลังค์เหลืออาวุธที่จะใช้ต่อกรน้อยเต็มที จึงถูกต้อนเข้าไปอยู่ในมุมอับ ความหวังที่จะใช้กระบวนการทางกฏหมายจัดการกับทักษิณก็ไม่เป็นผล เพราะความอ่อนแอของกฏหมายรัฐธรรมนูญและกระบวนการยุติธรรม สิ่งเหล่านี้ราชบัลลังค์ไม่เคยมีประสพการณ์มาก่อนและไม่คิดว่าจะเป็นปัญหา

ประชาชนที่อยู่ฝ่ายราชบัลลังค์ก็ลังเล กษัตริย์ภูมิพลชอบที่จะปฏิบัติพระองค์เหมือนเป็นผู้พิทักษ์ประชาชนจากความเลวร้ายของนักการเมืองแบบเดียวกับทักษิณเสมอ แต่คราวนี้โชคไม่ดีที่เสียงเรียกร้องให้พระองค์ออกมาขัดจังหวะถูกนำโดยนักธุรกิจหัวหมูที่ชื่อสนธิ ลิ้มทองกุล ที่มีเบื้องหลังไม่สู้ดีนักในเรื่องธุรกิจต่างๆในเครือของเขา(รวมทั้งกับทักษิณด้วย) ทั้งสถานภาพที่ออกมาเรียกร้องก็เดาไม่ออกว่าออกมาเรียกร้องในฐานะใดมีจุดประสงค์ที่แท้จริงอย่างไร มีสิ่งใดแอบแฝงหรือไม่ ในฝูงชนที่ออกมาร่วมขับไล่ทักษิณกับสนธิหลายคนยังมีพฤติกรรมน่าสงสัยว่าต่อต้านกษัตริย์อีกด้วย

เมื่อทำยังไงทักษิณก็ไม่ยอมไป ราชบัลลังค์จึงต้องหันไปพึ่งกองทัพ ที่ซึ่งทั้งทักษิณและเปรมแก่งแย่งกันเอาคนของตนข้าไปคุม ถึงเดือนกรกฎาคม เปรม ที่ปรึกษาสูงสุดของกษัตริย์ภูมิพลก็เอาเครื่องแบบทหารมาปัดฝุ่น ออกเดิยสายปราศรัยตามหน่วยต่างๆของกองทัพเป็นการชี้นำให้ทหารออกมาทำการปฏิวัติล้มล้างรัฐบาล ถ้าว่าทักษิณเลวอย่างไร การปฏิวัติก็เลวไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เพราะทำให้ประเทศชาติถอยหลังไปเป็นสิบปี เมื่อการปฏิวัติได้รับการยอมรับว่าเป็นวิธีการที่ถูกต้องในการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล

เปรมกับกษัตริย์ภูมิพลจะต้องเป็นฝ่ายชนะศึกครั้งนี้อย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนพรรคไทยรักไทยของทักษิณก็สูญเสียสมาชิกไปเป็นจำนวนมาก คนอื่นที่อ่อนแอกว่าคงขึ้นมาเป็นหัวหน้าแทนทักษิณ และพรรคประชาธิปัตย์ผู้โชคร้าย(ที่จะโดนปั่นจิ้งหรีด – หรือเต็มใจให้ปั่น?- ผู้แปล) อาจจะได้เข้ามาทำหน้าที่แทนพรรคไทยรักไทยในการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้น รัฐบาลใหม่ที่ได้มาจะต้องเป็นรัฐบาลที่อ่อนแอมะเขือเผา แล้วราชสำนักก็จะเข้าแทรกแซงให้เป็นไปในแนวทางที่ตนเองกำหนด

แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าการท้าทายอำนาจกษัตริย์จะหมดไป การดำรงอยู่ของกษัตริย์ภูมิพลพึ่งพาอยู่สองสิ่งคือบารมี กับกฏหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ แต่สองสิ่งนี้ดูเหมือนจะไม่เพียงพอเสียแล้วที่จะปกป้องพระองค์ การท้าทายของทักษิณที่ผ่านมาได้ปลุกให้เกิดหลายสิ่งขึ้นในสังคม เช่นการกล้าวิพากวิจารย์พระราชอำนาจของกษัตริย์ เรื่องในวังได้ถูกนำมาเป็นประเด็นซุบซิบนินทาทั้งในหนังสือ ใบปลิว นิตยสาร หนังสือพิมพ์ และแน่นอนที่สุดบนอินเทอร์เน็ท ทั้งใน blogs ห้องสนทนา เว็บบอร์ด และเว็ปไซท์ยอดฉลาดอย่างมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน และเว็ปบอร์ดสุดมันอย่าง propaganda (อันนี้ Paul ไม่ได้เขียนผมเขียนเอง – ผู้แปล) สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ไม่เคยมีมาก่อนนับแต่ปี 2483

การเอาจุดอ่อนของราชบัลลังค์มาเผย การสาวไส้เน่าๆของราชวงศ์ออกมาตีแผ่ การสาปแช่งกษัตริย์และที่ปรึกษาที่หนุนหลังปฏิวัติ แม้จะห้ามได้ เหมือนกับที่หนังสือของข้าพเจ้าโดน และการใช้กฎหมายหมิ่นฯมาจัดการกับพวกที่ชอบวิพากวิจารณ์ ก็แค่ทำให้แนวโน้มของการต่อต้านมันชลอลงเท่านั้นแหละ แต่ที่แน่ๆทักษิณได้ปลุกผีคนไทยยุคใหม่ให้ลุกขึ้นมาต่อสู้คัดค้านระบบกษัตริย์ทั้งๆที่ได้ถูกกษัตริย์และพวกขุดหลุมฝังกลบมานานนมเน

กษัตริย์ภูมิพลโชคดีไม่น้อยที่ทักษิณเซ่อเยอะ โง่เยอะ พอๆกับที่เขารวยเยอะ บัลลังค์จักรีคงจะรู้ตัวแล้วว่าจะต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดสถานการณ์แบบนี้อีกในอนาคต แน่นอนจะต้องไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวเรื่องการเมือง ปฏิบัติตามหลักนิติรัฐ โปร่งใส และตรวจสอบได้ เพียงแค่รัฐบาลที่สั่งซ้ายหันขวาหันได้ไม่เพียงพอเสียแล้ว

- จบ-

บทความชื่อ Royal Maneuversเขียนโดย Paul Handley ผู้เขียนหนังสือเรื่อง “The King Never Smiles” ลงใน เว็ป http://www.asiasentinel.com

ไม่มีความคิดเห็น: