วันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

ความจงรักภักดีของคนไทยเหมือนพวกหัวรุนแรงหรือเปล่า ?


ผมเห็นหลายๆ คนในหลายๆ web คลั่งไคล้ชื่นชมนับถือเทิดทูนกษัตริย์และพระราชวงศ์อย่างรุนแรง หากใครไปว่า สะกิด หรือแม้แต่เฉยๆ ไม่ได้แสดงความนับถือเท่ากับที่พวกตนนับถือก็จะโกรธ และมักด่าว่าด้วยคำแรงๆ เท่าที่จะพึงหาได้ เหมือนกับว่าได้ด่าแรงกลับไปเท่าไรก็จะเป็นการแสดงความจงรักภักดีมากเท่านั้น

ผมเคยเห็นใน pantip บางคนบอกว่า พวกโจรตัดเศียรพระพุทธรูปเราก็ว่าแย่แล้ว แต่มันทำกับในหลวงถึงขนาดนี้เรายอมไม่ได้ คนที่เขียนเหมือนกับว่าจะเป็นคนพุทธแต่จะเคารพในหลวงมากกว่าพระพุทธเจ้าเสียอีก

บางคนก็ออกมาแสดงความเห็นในทำนองว่ารักในหลวงมากกว่าพ่อแท้ๆ ของตนเอง เข้าใจว่าคนแสดงความเห็นคงมีพ่อที่ดีพอใช้ได้ ไม่ใช่พ่อแบบที่แย่มากๆ มิฉะนั้นจะบอกว่ารักในหลวงมากกว่าพ่อจะมีประโยชน์อะไร

ผมเคยพูดกับคนรู้จักเรื่องการปิดถนนสำหรับขบวนเสด็จ ก็มีคนแก้แทนให้ว่า ท่านไม่ได้อยากจะปิด พวกตำรวจเขาปิดเองเพื่อถวายความปลอดภัย อย่างเรื่องเครื่องบิน รถมายบัค เขาก็บอกว่ารัฐบาลซื้อให้เองมั่ง หรือมีคนไปถวายท่านมั่ง ท่านไม่ได้อยากได้เพราะท่านเป็นคนดีคนประหยัด แก้แทนให้เสร็จสรรพ อย่างเรื่องว่าในหลวงทรงประหยัดใช้เสื้อขาด ดินสอกุด ยาสีฟันหลอดแบนราบ ก็ชื่นชมกันใหญ่ แต่พอบอกว่าในหลวงชอบกินหูฉลามนะ เขาก็บอกว่าเขาไม่เคยได้ยิน พอเอาเรื่อง ความจริงลอยเหนือน้ำเหนือฟ้าให้อ่าน เขาก็โกรธ บอกว่าเขียนอะไรด้านเดียว แต่ถามว่าข่าวสองทุ่มก็ด้านเดียวนะ เขาก็ยอมรับ แต่ก็ไม่โกรธ กลับดูได้

ผมอยากรู้จริงๆ นะ ว่าคนพวกนี้เขารักในหลวงเทิดทูนในหลวงอย่างจริงใจหรือเป็นแค่การเสแสร้ง สังคมมองว่าในหลวงคือสัญลักษณ์ของความดีงามความถูกต้อง ก็เลยต้องการเอาภาพของตนเองไปผูกติดกับในหลวงหรือเปล่า หรือเขารักของเขาจริงๆ เทิดทูนจริงๆ เลยไม่อยากเห็นคนที่ตนเองรักและเทิดทูนถูกกล่าวว่าในทางร้าย

จะบอกว่ารักและเทิดทูนแบบจริงใจหรือไม่จริงใจก็แล้วแต่ มันก็ไม่ดีทั้งนั้นนะ เพราะผมเห็นว่ามันไม่เป็นกลาง แบบแรกก็คือมองแต่ด้านดีหรือด้านที่ตนเองคิดว่าดี ด้านที่ถูกยัดเยียดให้เห็นว่าดี ปิดหูปิดตาจากสิ่งที่ตนเองไม่อยากเห็นไม่อยากรับรู้ว่าเป็นอย่างนั้น ส่วนแบบที่สองก็เป็นพวกจอมปลอม ไม่จริงใจ ถือว่าไม่มีคุณภาพด้วยกันทั้งคู่ อะไรเป็นสาเหตุให้คนไทยเราเป็นไปได้ถึงขนาดนี้

สำหรับผมนะ ผมว่าทางออกที่ดีบนความโปร่งใส ตอนนี้คนเราคิดไม่เหมือนกัน เห็นไม่เหมือนกันก็เพราะมีการปกปิดข้อมูล ฝ่ายหนึ่งก็เห็นไปในทางนี้ อีกฝ่ายก็เห็นไปในทางนั้น คุยกันยังไงก็ไม่รู้เรื่อง เพราะแต่ละฝ่ายก็ย่อมจะคิดว่าเรื่องที่ตนเองคิดเห็นนั้นเป็นข้อมูลที่ถูกต้อง และก็ไม่มีทางพิสูจน์ได้ชัดว่าใครผิดถูก ข่างลือไหนจริง อันไหนไม่จริง เพราะทางการปิดข้อมูลไว้ หากเปิดเผยออกมาน่าจะทำให้ทุกอย่างชัดเจน ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ทั้งประชาชนและกษัตริย์ จะได้ไม่ต้องมาทะเลาะกันว่าจริงๆ แล้วพวกนี้ดีหรือไม่ดี บ้านเมืองไม่แตกแยก

ในเมื่อตอนนี้เป็นแบบนี้ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าที่ปิดข่าวไว้นั้นคงเป็นเพราะจะมีเรื่องเสียหายมากเสียกว่าจะเป็นเพราะเหตุอื่น

ผมว่าส่วนหนึ่งของความเป็นคนไม่รู้จักคิดมีเหตุมาจากความรู้สึกขาดความมั่นคง ไม่มีที่ยึดเหนี่ยวของคนทั่วไป

คนไทยส่วนใหญ่ไม่ได้ถูกเลี้ยงดูมาให้คิด แต่ให้ทำตาม เป็นเด็กทำตามผู้ใหญ่ ทำตามครูบาอาจารย์ รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่ ระบบอาวุโส พอเข้ามหาวิทยาลัยก็มีรุ่นพี่รุ่นน้อง ร้องเพลงเชียร์ รู้สึกอบอุ่นเป็นกันเอง พี่บอกให้ทำอะไร แม้บางอย่างเป็นเรื่องไม่มีเหตุผลก็ยอมทำ ฯลฯ

ใครไม่ทำอย่างที่คนอื่นเขาทำกัน แม้จะไม่ได้ทำอะไรให้ใครเดือดร้อน ก็มักถูกตั้งข้อรังเกียจว่า ก้าวร้าว หัวแข็ง เห็นแก่ตัว

ในความเห็นผม คนกลุ่มนี้ต้องการการยึดเหนี่ยว ความผูกพัน ต้องการให้คนทำอะไรเหมือนๆ กัน คิดอะไรเหมือนๆ กัน ต้องการความสามัคคีรักใครกลมเกลียวแบบไม่ต้องมีปัญญามาก ซึ่งก็จริงอยู่ว่าหากทุกคนเป็นแบบนี้ได้หมด สังคมก็คงสงบสุข แต่ในเมื่อสังคมไม่อาจเป็นเช่นนั้นได้ ก็ไม่เป็นธรรมที่ไปกล่าวหาว่าคนที่คิดอะไรไม่เหมือนคนอื่นนั้นเป็นต้นเหตุของความแตกแยก

เรื่องระบบกษัตริย์เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นวิธีการคิด การดำรงชีวิตของคนไทย ปัญหาจริงไม่ได้มีรากอยู่ที่ระบบกษัตริย์ แต่มาจากความคิดอ่านและการกระทำของคนทั่วไปนั่นเอง

ทั้งหมดนี้ผมคิดเองเออเองนะ ผิดถูกยังไงท่านก็พิจารณาดูเอาละกัน


Hualamphong

ที่มา : http://www.propaganda.forumotion.com/

ไม่มีความคิดเห็น: