ความรักที่ประชาชนมอบให้พระองค์เป็นความรักที่แท้จริง เป็นการยากที่จะคาดเดาได้ว่าความรักและภักดีอย่างสุดหัวใจที่คนไทยมีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์จะเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ถ้ากษัตริย์ภูมิพลไม่อยู่แล้ว เหมือนกับที่ Paul Handley กล่าวไว้ในหนังสือ "The King Never Smiles" ว่า พวกเจ้าและพวกนิยมเจ้าได้ใช้ความพยายามอย่างแสนสาหัสที่จะทำให้กษัตริย์เป็นเหมือนพระเจ้า ใช้เวลาเป็นหลายสิบปีในการฟื้นฟูสถาบันกษัตริย์ซึ่งครั้งหนึ่งได้ถูกกีดกันออกไป ให้กลับมาเป็นเสาหลักของบ้านเมืองอย่างถูกต้องตามกฏหมาย ซึ่งพวกเขาจะไม่มีทางยอมให้สิ่งที่เขาได้ทำ ได้ถูกทำลายไปเพียงชั่วข้ามคืน
แม้ว่าจะเกิดในสหรัฐอเมริกา จากเด็กชายที่ได้รับการศึกษาจากต่างประเทศ จนได้กลายมาเป็นธรรมราชา แต่การดำรงอยู่ของกษัตริย์ที่เปรียบดังพระเจ้าได้เป็นตัวถ่วงความเจริญก้าวหน้าทางการเมืองและกระบวนการยุติธรรมของประเทศ เห็นได้จากความวุ่นวายที่นำไปสู่การปฏิวัติรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน ปีที่แล้ว
เมื่อคนที่อยู่ในวงการสื่ออย่าง สนธิ ลิ้มทองกุล ได้ลุกขึ้นมาขับไล่ทักษิณ แน่นอนสนธิได้ชี้นำให้เห็นถึงว่าทักษิณมีความขัดแย้งกับในวัง สนธิได้จัดทำและแจกจ่าย(ความจริงขาย-ผู้แปล)เสื้อยืดสีเหลืองพิมพ์ข้อความว่า "เราจะสู้เพื่อในหลวง" ถึงแม้ว่าคนทั่วไปจะมองไม่เห็นเลยว่าสถาบันได้ถูกคุมคามอย่างไร ไม่นานหลังจากนั้นพวกนิยมเจ้าก็เริ่มพูดกันถึงว่ากษัตริย์ควรจะใช้ข้อบัญญัติในรัฐธรรมที่กำกวมปลดทักษิณออก แล้วแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่หรือไม่
ในตอนนั้นทักษิณโต้ตอบด้วยการประกาศให้มีการเลือกตั้งอย่างรวดเร็วในเดือนกุมภาพันธ์ 2549 พรรคฝ่ายค้านนำโดยพรรคประชาธิปัตย์ได้ประกาศว่าจะไม่ส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้งและได้เรียกร้องให้กษัตริย์ภูมิพลแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่
ในที่สุดกษัตริย์ภูมิพลก็เหาะลงมาจากสวรรค์ในวันที่ 25 เมษายน มีพระราชดำรัสกับคณะผู้พิพากษาศาลต่างๆให้แก้ปัญหาของประเทศ ปัญหาที่เกิดจากการไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งของพรรคฝ่ายค้าน ในเวลาเพียงสองอาทิตย์ บรรดาเหล่าผู้พิพากษาที่ว่านอนสอนง่ายก็ประกาศให้การเลือกตั้งที่พรรคไทยรักไทยได้รับชัยชนะอย่างถล่มทลายที่ผ่านมาเป็นโมฆะ ไม่เพียงเท่านั้น ศาลสูงทั้งสามศาลซึ่งไม่มีหน้าที่ตามกฎหมายนอกจากมีกษัตริย์ภูมิพลหนุนหลังได้เรียกร้องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต)ลาออก เมื่อคณะกรมการการเลือกตั้งปฏิเสธโดยอ้างว่าศาลไม่มีอำนาจตามกฏหมายที่จะเอาพวกเขาออก ศาลซึ่งมีคนในวังหนุนหลังก็หาเรื่องเอาผิดกับพวกเขาจนได้และปฏิเสธที่จะให้ประกันตัว เพียงเพื่อต้องการให้พวกเขาติดคุกจะได้ถอดถอนพวกเขาออกจากตำแหน่งเท่านั้น
ขณะที่การต่อสู้ทางด้านข้อกฎหมายอันพิสดารดำเนินอยู่นั้น ก็เกิดการต่อสู้อันแปลกประหลาดขึ้นมาอีกคู่หนึ่ง ระหว่างทักษิณกับที่ปรึกษาระดับสูงของกษัตริย์ภูมิพล นายทหารนอกราชการและอดีตนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีนั่นเอง
ทักษิณรู้ดีว่าแผนการปฏิวัติของทหารกำลังถูกกำหนดขึ้น เขาพยายามที่จะบอกให้โลกได้รู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดกับเขา ข้อความในจดหมายที่มีถึงประธานาธิบดีบุชเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน ทักษิณเขียนว่า "…เมื่อความพยายามที่จะให้เกิดการนองเลือดและความวุ่นวายล้มเหลว ขณะนี้ฝ่ายตรงข้ามของข้าพเจ้ากำลังหากลยุทธพิเศษที่ไม่ขัดรัฐธรรมนูญให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนเล่นงานข้าพเจ้า...." ในคำปราศรัยที่มีต่อข้าราขการเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2549 เขาพูดถึง "ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ" คนทั่วไปคิดว่าเขาหมายถึงองคมนตรีหรือไม่ก็คนอื่นๆที่ใกล้ชิดราชบัลลังค์ที่ต้องการที่จะล้มเขา แต่สาธารณชนก็ตำหนิเขาที่พูดเช่นนี้ ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องจริงเพียงใดก็ตาม
เปรมแต่งเครื่องแบบเต็มยศ ออกเดินสายปราศรัยตามหน่วยต่างๆของกองทัพ เขากล่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าทหารไม่ควรจงรักภักดีต่อรัฐบาล แต่ควรจะจงรักภักดีต่อกษัตริย์ หลายคนมองว่านี่เป็นไฟเขียวที่บอกให้ทหารออกมายึดอำนาจ
เปรมถูกมองว่าเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังการยึดอำนาจครั้งนี้ หลังจากเคลื่อนรถถังออกมาวิ่งบนถนนไม่กี่ชั่วโมงพวกหัวหน้าปฏิวัติก็เข้าเฝ้ากษัตริย์ภูมิพลเพื่อให้เกิดความชอบธรรมในสายตาประชาชน เปรมยังให้การสนับสนุนอย่างไม่มีเงื่อนไขต่อรัฐบาลที่ตั้งขึ้นโดยคณะปฏิวัติ ที่นำโดยพลเอกสุรยุทธ จุลานนท์ ซึ่งขณะนั้นมีตำแหน่งเป็นองคมนตรีอยู่ด้วย มีเหตุผลที่เชื่อได้ว่า กษัตริย์ภูมิพลได้ป้องกันไม่ให้มีการปฏิวัติซ้อน โดยปฏิเสธคำขอของนายทหารที่อยู่ในคณะปฏิวัติที่จะกำจัดรัฐบาลของสุรยุทธออกไป
ขณะที่พวกหัวโบราณและพวกรักประชาธิปไตยอาจมองทักษิณว่าเป็นภัยคุกคามต่อระบอบประชาธิปไตย บางทีพวกเขาอาจจะถูก แล้วพวกเขาจะเห็นอย่างไรเพราะความเป็นไปได้ยังมี ถ้ากษัตริย์ภูมิพลยกราชสมบัติให้กับพระราชโอรสฟ้าชายวชิราลงกรณ์ ไม่ต้องสงสัยว่าชาวไทยรักและเชื่อในกษัตริย์ภูมิพลเพียงใด แต่กับฟ้าชายวชิราลงกรณ์มันคนละเรื่อง
ฟ้าชายวชิราลงกรณ์ อายุ 54 อดีตนักบินกองทัพอากาศ ผู้ที่ประชาชนกลัวมากกว่าที่จะเคารพ พระองค์มีชื่อเสียงเรื่อง.................. เรื่องความประพฤติพิสดารต่างๆ พระองค์ได้ทำให้พระราชวังได้รับความอับอาย เมื่อรูป.......ของพระชายาคนล่าสุด ศรีรัสม์ อัครพงษ์ปรีชา ได้ถูกเผยแพร่ไปทั่ว เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่วังออกมาเตือนกับนักข่าวว่าผู้ที่เผยแพร่ภาพเหล่านี้ทางอีเมล์จะถูกดำเนินคดี
"ผมอยากรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในโรงหนังเมื่อพระบรมฯขึ้นเป็นเกษัตริย์" ผู้สื่อข่าวคนหนึ่งกล่าว เมื่อเขาคิดถึงตอนที่ประชาชนต้องลุกขึ้นยืนทำความเคารพต่อกษัตริย์ก่อนที่หนังจะฉาย
ความไม่ชอบฟ้าชายวชิราลงกรณ์ตรงข้ามกับความนิยมในตัวธิดาคนที่สองของกษัตริย์ภูมิพล ฟ้าหญิงสิรินธร พระองค์ถูกมองว่ามีพระจริยวัตรคล้ายคลึงพระบิดามากที่สุด หลายคนให้ความเห็นว่าพระองค์จะทำให้เกิดความกลมเกลียวภายในชาติได้ดีกว่าฟ้าชาย
แต่จงระวังปากเอาไว้ เรื่องอย่างนี้ไม่เคยพูดกันในที่สาธารณะ เพราะอาจโดนข้อหาหมิ่นสถาบันได้ กษัตริย์ภูมิพลเป็นกษัตริย์องค์ที่เก้าในราชวงศ์จักรี การห้ามไม่ให้พูดถึงเรื่องราวของราชวงศ์ที่อยู่หลังประตูวังไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าอยู่ในยุคกลางไม่ใช่ยุคโลกาภิวัฒณ์ในโลกของการซุบซิบนินทาบนอินเทอร์เน็ทอย่างปัจจุบัน
เรื่องการสืบทอดราชบัลลังค์ยังไม่มีอะไรแน่นอน แม้ว่าหลายคนเชื่อว่าสิ่งที่พวกเขาเห็นจากการประชาสัมพันธ์ต่างๆเป็นการบอกใบ้ว่า ฟ้าชายวชิราลงกรณ์จะเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังค์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ กฏมณเฑียรบาลปี 2467 ไม่อนุญาตให้เจ้าฟ้าหญิงสืบทอดบัลลังค์ แต่เมื่อกฏนี้ได้รับการแก้ไขภายหลัง ก็เป็นการเปิดโอกาสให้ฟ้าหญิงขึ้นครองราชได้ มาตรา 23 ของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 บอกว่า ถ้ากษัตริย์ไม่ได้ทรงแต่งตั้งใคร ให้เป็นหน้าที่ขององคมนตรีที่จะเสนอชื่อผู้ที่สมควรจะครองราช และจะต้องเสนอต่อสภาเพื่อขอความเห็นชอบ
แต่คณะปฏิวัติได้ฉีกรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ทิ้งเสียแล้ว ดังนั้นยังไม่แน่ว่าเรื่องการสืบทอดราชบัลลังค์จะเอายังไง หลายคนเห็นว่ากษัตริย์ภูมิพลคงจะต้องแต่งตั้งใครคนใดคนหนึ่งระหว่างฟ้าชายและฟ้าหญิงก่อนที่พระองค์จะสิ้นพระชนม์ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในวันข้างหน้า คนไทยคงจะยอมรับได้ถ้าพระเจ้าอยู่หัวแต่งตั้งฟ้าชายให้สืบทอดราชบัลลังค์ในขณะที่พระองค์ยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่
เหตุผลที่เอนเองมาทางฟ้าชายก็เพราะพระวรชายาคนล่าสุดเพิ่งให้ประสูติพระโอรส ทีปังกรรัศมีโชติเมื่อปี 2548 ถึงแม้ว่าฟ้าชายจะมีพระโอรสมาก่อนหน้านั้นแล้วสี่คนที่เกิดจากสามัญชนยุวธิดา แต่ทีปังกรรัศมีโชติก็มีภาษีดีกว่าที่จะเป็นผู้สืบทอดบัลลังค์ต่อจากพระองค์ ถ้าพระองค์ได้ขึ้นครองราช สำหรับฟ้าหญิงสิรินธร ขณะนี้อายุ 51 ไม่เคยสมรส ไม่มีโอรสธิดา ถ้าพระองค์ได้ขึ้นครองราช พระองค์ก็คงจะทรงแต่งตั้งทีปังกรฯให้เป็นผู้สืบทอดบัลลังค์ต่อจากพระองค์เป็นแน่ "หลายคนคิดว่าการแต่งตั้งฟ้าหญิงศิรินธรคงจะทำให้เกิดความสงบเรียบร้อยได้เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น คงจะไม่เป็นผลดีกับราชวงศ์" นักการฑูตตะวันตกผู้หนึ่งให้ความเห็น "ฟ้าชายนั้นเป็นสายตรง ถ้าสายตรงขาดเสียแล้วมันจะยุ่ง"
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า ความจริงก็จะต้องปรากฏ และก็ยังไม่รู้ว่าผู้ยิ่งใหญ่ในกองทัพจะมีความเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้ ฟ้าหญิงศิรินธรนั้นไม่มีความกระตือรือร้นที่จะขึ้นครองราชแทนพ่อ แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่ประชาชนต้องการก็ตาม
ฟ้าชายวชิราลงกรณ์ได้พยายามปรับปรุงภาพพจน์ของตัวเองเสียใหม่ ออกงานการกุศลมากขึ้น ทรงไปเยี่ยมผู้เคราะห์ร้ายจากเหตุการณ์รุนแรงในภาคใต้ เมื่อต้นเดือนนี้(มกราคม) พระองค์ได้ทรงขับเครื่องบินเที่ยวพิเศษจากกรุงเทพฯไปเชียงใหม่เพื่อหาทุนช่วยเหลือผู้ปฏิบัติงานในภาคใต้ มีแขกวีไอพี ทั้งหมด 112 คนบนเที่ยวบินนั้น ได้รับบริจาคทั้งหมด 80 ล้านบาท
ฟ้าชายได้เสด็จไปทำหน้าที่แทนพระองค์หลายครั้งหลังปฏิวัติ เมื่อเดือนตุลาคมได้เสด็จเป็นประธานในการเปิดประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ นี่เป็นครั้งแรกที่พระมหากษัตริย์ไม่ได้เสด็จด้วยพระองค์เอง ได้เสด็จเป็นประธานเปิดสภาร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งปกติแล้วเป็นหน้าที่ของพระมหากษัตริย์
ถึงแม้ว่าจะมีผู้เห็นชอบกับการปฏิวัติว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่จะฟื้นฟูระบอบประชาธิปไตยที่ถูกทำลายโดยทักษิณ แต่หลายคนมองว่านี่เป็นการกำจัดอุปสรรคเรื่องการสืบทอดราชบัลลังค์ พวกเขาเห็นว่าทักษิณไม่ได้เป็นแค่ผู้สร้างพรรคการเมืองที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของชาติเท่านั้น แต่ทักษิณยังเป็นผู้สนับสนุนทางการเงินให้แก่ฟ้าชายและเจ้าคนอื่นๆอีกด้วย การกำจัดทักษิณออกไปเป็นการประกันว่าเขาจะไม่มีโอกาศที่จะสนับสนุนฟ้าชายเรื่องการสืบทอดราชบัลลังค์อีกต่อไป
ยิ่งกว่านั้น การยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ยังเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดทักษิณ 2 ขึ้นในอนาคตอีกด้วย หลายคนเชื่อว่าผู้วางแผนปฏิวัติหวังที่จะให้การย้ายพรรคของผู้แทนง่ายขึ้น นำพาประเทศกลับไปสู่อดีตในยุคที่พรรคร่วมรัฐบาลอ่อนแอ จำนวนผู้แทนเพียงเล็กน้อยก็มีอิทธิพลต่อความมั่นคงของรัฐบาล เป็นการเปิดโอกาศให้กองทัพและสถาบันเข้าแทรกแซงทางประตูหลังเพื่อกำจัดอำนาจของนักการเมืองที่หวังจะกุมอำนาจเบ็ดเสร็จได้ง่าย
ธงชัย วินิจกุล อดีตผู้นำนักศึกษาคนเดือนตุลา 2519 ปัจจุบันเป็นศาสตราจารย์สอนหนังสืออยู่ที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน สหรัฐอเมริกา แสดงความเห็นไว้ชัดเจนในเอกสารที่เผยแพร่หลังการปฏิวัติ เพื่อเป็นหลักประกันในบทบาทของสถาบันกษัตริย์ต่อสังคมและการเมือง ธงชัยยืนยันว่า พวกเจ้าและพวกนิยมเจ้าต้องการ 3 สิ่งนี้ คือ ผู้สืบทอดราชบัลลังค์ที่เป็นที่นิยม รัฐบาลที่เชื่อฟัง(ควบคุมได้) และองคมนตรีผู้ทรงอำนาจที่สามารถแต่งตั้งกษัตริย์ได้ ในสายตาของประชาชน
"ทักษิณเป็นภัยต่อแผนการของพวกเจ้า" ธงชัยเขียน สำหรับพวกเจ้าแล้ว ทักษิณคือคนที่กำลังมีบทบาทในการสรรหากษัตริย์องค์ใหม่ คณะปฏิวัติได้ทำให้อำนาจนี้ตกอยู่กับเปรมและพวกเจ้าชั้นสูงอย่างมั่นคง เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่วางไว้ แล้วประเทศไทยจะกลับมาเป็นประชาธิปไตยเต็มรูปแบบภายใต้การชี้นำขององคมนตรีผู้ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งได้หรือ? รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เกิดจากความต้องการของพวกขี้ข้าเจ้าจะเปิดเผยลักษณะของรัฐบาลและระบบรัฐสภาตามที่พวกเขาคิดไว้ การปฏิวัติครั้งนี้ไม่ใช่เป็นการกำจัดอำนาจของทักษิณอย่างเดียว แต่เป็นการสร้างประชาธิปไตยแบบเปรม ๆ อีกต่างหาก
เหตุการณ์เมื่อสองสามเดือนที่ผ่านมาเผยให้เห็นบทบาทอันเด่นชัดของเปรมในการสมานความแตกแยกของกองทัพ สิ่งที่สาธารณชนเห็นได้ชัดคือเรื่องความขัดแย้งระหว่างพลเอกชาลิต ยงใจยุทธ อดีตผู้บัญชาการทหารบกและนายกรัฐมนตรี กับ พลเอกสะพรั่ง กัลยาณมิตร นายทหารห้าว ผู้ที่จะเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกต่อจากพลเอกสนธิ บุญรัตนกลิน ในเดือนตุลาคมนี้
สืบเนื่องจากเหตุระเบิดขึ้นหลายจุดในกรุงเทพฯเมื่อตอนปีใหม่ หนังสือพิมพ์ลงข่าวว่า สะพรั่งเรียกชวลิตว่า "ขี้ข้ารับใช้ทักษิณ" และสงสัยว่าชวลิตอยู่เบื้องหลังเหตุระเบิดครั้งนี้ พลเอกชวลิต อดีตรองนายกรัฐมนตรีสมัยทักษิณ โต้กลับว่า สะพรั่ง"ไม่มีน้ำยา" ถ้ารู้ว่าใครเป็นคนทำแล้วทำไมไม่มาจับเล่า
เป็นเหตุให้เปรมต้องต่อโทรศัพท์ถึงทั้งสองคนเพื่อทำให้เรื่องสงบ หลังจากที่ชวลิตได้เข้าพบเปรมเพื่อนเก่าเมื่อเร็วๆนี้ ชวลิตตกลงที่จะยุติการวิพากษ์วิจารณ์พวกปฏิวัติ
โดยธรรมชาติของทหารแล้วเป็นเรื่องยากที่จะรู้ถึงสาเหตุที่ทำให้นายทหารพวกหนึ่งต่อต้านอีกพวกหนึ่ง ดังตัวอย่างที่หนังสือพิมพ์บางกอกโพสท์ได้รายงานเมื่อเร็วๆนี้ว่าพลเอกชวลิต ไม่พอใจประธาน คมช. พลเอกสนธิ บุญรัตนกลิน ที่ไม่ได้ไปอวยพรวันเกิดของท่านที่บ้านด้วยตนเอง ลองนึกดูซิว่าประเทศชาติจะลำบากเพียงใดถ้าทหารแตกแยกทางความคิดเรื่องการสืบทอดราชบัลลังค์
ผนวกกับความอ่อนไหวของพวกนายทหารที่คุมกำลัง ที่ขณะนี้ยังวางเฉยอยู่ เหตุการณ์คงจะยิ่งวุ่นวายขึ้นไปอีก ถ้าเมื่อพวกนี้มีความคิดแตกต่างเรื่องสถาบันกษัตริย์ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า การสิ้นพระชนม์ของกษัตริย์ภูมิพล จะเป็นโอกาสให้พวกต่อต้านเจ้าเอาเรื่องเลวร้ายในวังมาเผยแพร่ต่อสาธารณชนมากขึ้น เมื่อพิจารณาตรงจุดนี้ นักวิเคราะห์ได้นึกถึงเหตุการณ์วันที่ 6 ตุลาคม 2519 ที่นักศึกษามารวมกันที่ธรรมศาสตร์เพื่อประท้วงการกลับประเทศของจอมพล ถนอม กิตติขจร จอมเผด็จการที่ถูกขับออกนอกประเทศจากเหตุการณ์นองเลือดเมื่อ 14 ตุลาคม 2516
เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2519 พวกหนังสือพิมพ์ขวาจัดได้ตีพิมพ์ภาพของนักศึกษาธรรมศาสตร์แสดงการถูกแขวนคอล้อเลียนชายสองคนที่ถูกตำรวจทำร้ายและแขวนคอเมื่อเดือนก่อน ภาพนั้นถูกเปิดเผยภายหลังว่าได้ถูกตกแต่งให้มีใบหน้าคล้ายฟ้าชายวชิราลงกรณ์ พวกนายพลหัวโบราณได้ฉวยโอกาศกล่าวหาการกระทำของนักศึกษาว่าเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ทหาร ตำรวจ ได้บุกเข้าไปในธรรมศาสตร์ ข่มขืน ฆ่า นักศึกษานับร้อย
"ผู้มีบารมีของสังคมได้ทำการล้างสมองประชาชนมาเป็นสิบๆปี" ผู้แทนของพรรคไทยรักไทยคนหนึ่งกล่าวโดยไม่ยอมให้เปิดเผยตัว "ประชาชนถูกสอนให้พูดว่า ไม่เป็นไร มาตลอด ซึ่งมันก็พิสูจน์แล้วว่าเป็นผลสำเร็จ แต่มันต้องไม่เป็นอย่างนั้นต่อไป เมื่อเมล็ดพืชของความจริงความถูกต้องถูกหว่านออกไป สังคมจะได้เรียนรู้และเข้าใจเสียทีว่าอะไรเป็นอะไร เป็นข่าวดีที่บุคคลสำคัญในหลายองค์กรก็คิดแบบนี้"
ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นประเทศประชาธิปไตยตั้งแต่จอมพลป. พิบูลสงครามและปรีดี พนมยงค์ ก่อการปฏิวัติยึดอำนาจมาจากกษัตริย์เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 แต่ตลอด 75 ปีที่ผ่านมา การปกครองของประเทศอยู่ในมือของนายพลผู้ที่ไม่ผ่านการเลือกตั้ง บ่อยครั้งที่ได้รับการหนุนหลังจากกษัตริย์
ความหวังที่ว่านายพลทั้งหลายที่ลุกขึ้นมาขับไล่ทักษิณออกไปจะทำให้ประเทศเป็นประชาธิปไตยกว่าเดิมริบหรี่ลงทุกที เอาแค่ที่เห็นเดือนนี้(มกราคม) พวกคมช.เรียกสื่อมวลชนเข้าไปพบขอร้องแกมข่มขู่ไม่ให้รายงานข่าวที่มาจากนายนพดล ปัทมะ ทนายความของอดีตนายกทักษิณ บทสัมภาษณ์ของทักษิณที่ให้ต่อ CNN ก็ถูกห้ามมิให้มีการเผยแพร่ หลายคนเชื่อว่าพวกคมช.คงจะทำลายพรรคไทยรักไทยลงโดยอาศัยอำนาจศาล พวกคมช.ซึ่งได้รับคำสั่งมาจากเปรม ยังคงรณรงค์ให้มีความสมานฉันท์และส่งเสริมเรื่องความเป็นไทยอย่างไม่จำกัดต้นทุน
ขณะที่กษัตริย์เป็นผู้ที่ได้รับความนิยมอยู่ในหัวใจของประชาชนผู้ยากไร้เป็นอันดับหนึ่ง ทักษิณอาจจะตามมาห่างๆเป็นอันดับสอง ศักยภาพของทักษิณอันนี้ทำให้พวกนิยมเจ้าหนักใจถ้าหากกษัตริย์ภูมิพลสวรรคต เป็นผลให้รัฐบาลที่มีทหารหนุนหลังพยายามป้ายสีให้ทักษิณเป็นเสมือนกับอสูรกายทำลายชาติ แนวทางเศรษฐกิจของเขาที่ได้รับความนิยมล้นหลามถูกแทนที่ด้วยปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่เข้าใจยากของกษัตริย์ ทักษิณคงจะถูกเล่นงานด้วยข้อหาต่างๆในเร็ววันนี้ นี่เป็นข่าวดีของพวกที่กลัวว่าอิทธิพลของทักษิณจะสร้างความเลวร้ายให้ประเทศมากกว่าทางเลือกระบอบอื่นภายหลังสิ้นกษัตริย์ภูมิพลแล้ว
"บางคนอาจจะเบาใจได้เมื่อประเทศกลับมาอยู่ในการปกครองแบบเดิมๆไม่ใช่ทุนนิยมสุดโต่งแบบทักษิณ" นักการฑูตคนหนึ่งกล่าว "แต่เหตุการณ์ในอนาคตจะเป็นเช่นไรหลังสิ้นกษัตริย์ภูมิพล ก็แล้วแต่ใครจะเดา"
ไม่ว่าจะเป็นทักษิณ ฟ้าชายวชิราลงกรณ์ หรือใครก็ไม่สามารถเติมเต็มช่องว่างสุญญากาศขนาดมหึมาที่ภูมิพลทิ้งไว้หลังจากพระองค์สวรรคต แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีคนมาเติม และนั่นเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญที่สุดสำหรับประเทศไทย ที่จะมีสถาบันที่เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง หรือจะทำให้ประเทศสั่นคลอน เกิดข่าวลือ เกิดการพูดจาเสียดสีกระแนะกระแหน หน่วงเหนี่ยวเสรีภาพของประชาชน แม้กระทั่งนำไปสู่การนองเลือด
นักคิดที่รู้จักกันดีอย่าง ศ. ศิวลักษณ์ ผู้ที่โดนข้อหาหมิ่นสถาบันมาแล้วหลายครั้ง ได้ไปพูดที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว "กษัตริย์ที่เป็นประชาธิปไตย จะมีอำนาจจำกัด มีธรรมจรรยาต่อเพื่อนร่วมโลก จะปฏิบัติต่อประชาชนเหมือนผู้ปกครองแผ่นดิน ถึงแม้ว่าประชาชนจะทำผิด กษัตริย์แบบนี้สามารถที่จะคงดำรงอยู่ได้ภายใต้รัฐธรรมนูญ แต่ถ้ากษัตริย์องค์ใดหยิ่งยะโส ทะนงตนคิดว่าตนเองเหนือคนอื่น ใกล้ชิดกับกองทัพ ดูถูกประชาชน รังเกียจคนเก่งที่มีความคิดก้าวหน้า(คนอย่างนี้อีกนั่นแหละที่ผิด) อำนาจของกษัตริย์จะถูกนำมาใช้ขัดขวางการเปลี่ยนแปลง สิ่งเหล่านี้จะเป็นอันตรายต่อความอยู่รอดของกษัตริย์ กษัตริย์แบบนี้ได้หว่านเมล็ดพันธ์ที่กำลังเติบโตขึ้นมาทำลายตัวกษัตริย์เอง"
แปลจากต้นฉบับภาษาอังกฤษใน
asia sentinel
Long Live the King! :
Their king is as much god as man to many Thais
Our Correspondent
26 January 2007
แปลไทย : ไม่ทราบชื่อผู้แปล
( เป็นการแปลให้อ่านกันใน propaganda.forumotion.com )
ที่มา : กษัตริย์ของคนไทยนั้นเป็นยิ่งกว่าพระเจ้า
วันพุธที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551
กษัตริย์ของคนไทยนั้นเป็นยิ่งกว่าพระเจ้า
ผู้จัดเก็บบทความ เจ้าน้อย ณ สยาม ที่ 2:57 ก่อนเที่ยง
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น