วันอังคารที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

แอนนา เลียวโนเวนส์ ใครว่าหล่อนตอแหล?


ไม่มีเรื่องอะไรน่าตื่นเต้นได้เท่ากับการค้นพบ "หลักฐานใหม่" ทางประวัติศาสตร์ ที่สามารถให้ความกระจ่างในเรื่องซึ่งเคยคลาดเคลื่อนมานานนับ ๑๐๐ ปีเช่นนี้อีกแล้ว

ปลายปี ๒๕๔๖ ศิลปวัฒนธรรมได้ค้นพบความน่าตื่นเต้นที่ว่าโดยบังเอิญ เป็นสำเนาจดหมาย ๘ ฉบับของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่มีไปถึง My Dear Madam! นางแอนนา เลียวโนเวนส์ สำเนาจดหมายทั้ง ๘ ฉบับนี้ไม่เคยตีพิมพ์ หรือถูกอ้างอิงที่ใดมาก่อน แต่เก็บรักษาไว้ในหอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร นี่เอง

ที่มาของ "จดหมายแอนนา" ชุดนี้ แจ้งตามหนังสือของศาลาว่าการมหาดไทย ที่ ๓๓๔/๑๓๑๙๔ ลงวันที่ ๑๕ มีนาคม ร.ศ. ๑๒๗ (พ.ศ. ๒๔๕๒) เป็นจดหมายของพระยาศรีสหเทพ มีขึ้นกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่านายหลุยส์ เลียวโนเวนส์ ได้ไปพบมารดา ซึ่งเก็บพระราชหัตถเลขาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไว้หลายฉบับ เดิมทีแอนนา "คิดว่าจะพิมพ์ให้แพร่หลาย แต่ก็ยังไม่ได้จัดการเรียบเรียงประการใด" นายหลุยส์จึงได้ทำสำเนาพระราชหัตถเลขานั้นมามอบให้พระยาศรีสหเทพก่อนที่จะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย

แม้จะมีการรวบรวมพระราชหัตถเลขาที่เป็น "จดหมาย" ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกันหลายครั้ง รวมจำนวนประมาณ ๑๔๔ ฉบับ แต่ในจำนวนนี้ก็ไม่เคยปรากฏ "จดหมาย" ที่ทรงมีไปถึงแอนนาแม้แต่ฉบับเดียว นอกจากนี้ "จดหมายแอนนา" ชุดนี้ต้องได้ผ่านพระเนตรของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพแล้ว เมื่อยังทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดี กระทรวงมหาดไทย ตามในคำกราบบังคมทูลของพระยาศรีสหเทพว่า


"ข้าพระพุทธเจ้าได้นำถวายพระเจ้าน้องยาเธอฯ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยแล้ว และข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานทูลเกล้าฯ ถวายสำเนาทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท"


แต่เมื่อหอพระสมุดวชิรญาณ ซึ่งสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเป็นสภานายกอยู่นั้น ได้รวบรวมพิมพ์พระราชหัตถเลขาครั้งแรกในปี ๒๔๖๒ ครั้งที่ ๒ ในปี ๒๔๖๔ และครั้งที่ ๓ ในปี ๒๔๖๕ เป็นลำดับมากลับไม่มีครั้งใดที่มี "จดหมายแอนนา" รวมอยู่ด้วย

สำเนาจดหมายชุดนี้จึงหายไปนับตั้งแต่มีการทูลเกล้าฯ ถวายถึง ๙๔ ปี จนกระทั่งศิลปวัฒนธรรมไปพบเข้าโดยบังเอิญเมื่อปลายปีที่แล้ว

แอนนา เลียวโนเวนส์ เดินทางเข้ามาสยามเพื่อถวายงานสอนภาษาอังกฤษให้กับพระราชโอรส พระราชธิดา เจ้าจอม หม่อมห้าม ตามคำเชิญของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งแต่ปี ๒๔๐๕ และกลับออกไปจากสยามในปี ๒๔๑๐ รวมเวลาประมาณ ๕ ปีกว่า

ในเวลา ๕ ปีนี้เอง ที่เกิดปัญหาตามมาภายหลังขึ้นมามากมาย ว่าแอนนามีบทบาทอย่างไรในราชสำนักสยาม แอนนาผลักดันหรือชี้แนะอะไรบ้าง และทำจริงตามที่เขียนไว้ในหนังสือหรือไม่ เมื่อมีการสอบสวนเรื่องนี้โดยนักวิชาการ ก็ได้บทสรุปที่เชื่อกันว่าแอนนาแท้จริงแล้วไม่ได้มีบทบาทอะไรมากไปกว่าครูสอนภาษาอังกฤษ และลุกลามไปถึงการโจมตีหนังสือของแอนนาว่าโกหก หลอกลวง และ

ดูหมิ่นพระเกียรติพระมหากษัตริย์สยาม

ข้อกล่าวหานี้เกิดขึ้นจากหนังสือ ๒ เล่มที่แอนนาเขียนขึ้น คือ The English Governess at the Siamese Court และ The Romance of the Harem เนื้อหาของหนังสือ ๒ เล่มนี้กล่าวพาดพิงโดยตรงถึงพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และบทบาทของแอนนาในการ "ชี้นำ" นโยบายบางอย่าง ทำให้นักวิชาการไทยเดือดดาลต่อข้อเขียนนี้อย่างมาก รวมไปถึง "ฝรั่งคลั่งสยาม" อย่างมัลคอล์ม สมิธ (Malcolm Smith) และ เอ.บี. กริสโวลด์ (A.B. Griswold) ที่ต่างก็ "สับ" แอนนาไม่เหลือชิ้นดี

สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงมีความเห็นเกี่ยวกับหนังสือ ๒ เล่มนี้ว่า


"แหม่มแอนนาอาจมีความจำเป็นต้องหาเงินมาเลี้ยงลูก จึงปรุงแต่งเรื่องราวขึ้นให้มีรสชาติพอที่จะขายสำนักพิมพ์ได้ ตอนที่นางสอนหนังสืออยู่ในราชสำนักก็มิได้มีอิทธิพลมากมายถึงขนาดที่พระเจ้าอยู่หัวจะต้องไปใส่พระทัยรับฟัง เป็นไปได้ว่าสิ่งที่นางเขียนออกมานั้น ก็คือเรื่องที่ต้องการถวายความเห็นเป็นการย้อนหลัง เพราะจริงๆ แล้วไม่เคยมีโอกาสได้พูดออกมาเลย"
(จีระนันท์ พิตรปรีชา. ลูกผู้ชายชื่อนายหลุยส์. ประพันธ์สาส์น, ๒๕๔๒)


ส่วนมัลคอล์ม สมิธ ก็กล่าวไว้ไม่ต่างกันมากนัก


"หนังสือที่เธอแต่งไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่สอง แสดงให้เห็นว่านางมีความสามารถในการแต่งเรื่องไม่จริงได้ สุดแล้วแต่ปากจะพาไป"
(มัลคอล์ม สมิธ. ราชสำนักสยามในทรรศนะของหมอสมิธ. กรมศิลปากร, ๒๕๓๗)


เช่นเดียวกับกริสโวลด์ ที่ไม่ยอมรับหนังสือทั้งสองเล่มของแอนนาเหมือนกัน


"สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ทำให้นักประวัติศาสตร์อย่างแท้จริงแค้นเคืองหนังสือของเธอ แม้ว่าหนังสือของนางลิโอโนเวนส์จะมีสิ่งดีๆ อยู่เป็นอันมากแต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะเหตุว่าเราไม่อาจยอมรับข้อความตอนใดได้ว่าเป็นความจริง ถ้าไม่มีหลักฐานยืนยันจากที่อื่น การวิจัยย่อมแสดงให้เห็นว่าวิธีแต่งหนังสือของเธอนั้นใช้ไม่ได้"
(เอ.บี. กริสโวลด์. พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. ม.จ.จงจิตรถนอม ดิศกุล ทรงพิมพ์, ๒๕๐๘)


หากเรายอมรับข้อวิจารณ์เหล่านี้ ก็เท่ากับว่าเราควรจะประเมินหนังสือทั้ง ๒ เล่มของแอนนาว่าไม่ควรอยู่ในประเภท "หลักฐานทางประวัติศาสตร์" แต่ควรจะจัดไปอยู่ในประเภท "นิยาย" และเมื่อประเมินคุณค่าของหนังสือทั้ง ๒ เล่มนี้เป็นประเภทนิยายแล้ว นักวิชาการไทยก็ไม่ควร "หลง" ไปวิจารณ์หนังสือแอนนาในฐานะ "หลักฐานทางประวัติศาสตร์" อีก ยังไม่รวมนักวิชาการที่ "หลง" ไปวิจารณ์แอนนาจากหนังและละคร ซึ่งนักวิชาการกลุ่มนี้หาสาระที่จะกล่าวถึงในที่นี้ไม่ได้

แน่นอนว่าการวิพากษ์วิจารณ์ย่อมเป็นเรื่องที่ทำได้ และแอนนาก็สมควรถูก "ด่า" ในบางเรื่อง ซึ่งการบันทึกเรื่องราวต่างๆ ในสายตาฝรั่งย่อมมีการผิดเพี้ยนไปเสมอ ไม่เว้นแม้กระทั่งวันวลิต ลาลูแบร์ หรือปาเลกัว แต่น่าเสียดายที่นักวิชาการไทยไม่ยอมรับหนังสือของแอนนาทั้งหมด แม้กระทั่งไม่ยอม "สกัด" เอาส่วนที่น่าเชื่อถือมาใช้งาน

หากย้อนกลับไปดูจุดเริ่มต้นของหนังสือ The English Governess at the Siamese Court ซึ่งแอนนาเขียนเป็นบทความลงในนิตยสาร The Atlantic Montly ตั้งแต่ปี ๒๔๑๑ ก็จะพบว่าสิ่งที่แอนนารู้เห็นในราชสำนักสยามนั้นอยู่ในระดับ "หลักฐานทางประวัติศาสตร์" ได้ แต่บทความชุดนี้ไม่เคยมีนักวิชาการท่านใดเคยอ้างถึง จากนั้นบทความชุดนี้คงจะได้รับความนิยม จนแอนนาคิด "ปรุง" หนังสือ เพราะ "จำเป็นต้องหาเงินเลี้ยงลูก" จึงกลายมาเป็นหนังสือ The English Governess At the Siamese Court ในแบบมีสีสันมากขึ้น ส่วน The Romance of the Harem นั้น แม้แอนนาจะมีเจตนาให้เป็น "นิยาย" แท้ๆ แต่ "หลักฐานใหม่" ที่พบนี้กลับชี้ร่องรอยบางประการของความเป็นจริงไว้อย่างไม่น่าเชื่อ

การค้นพบ "หลักฐานใหม่" นี้ทำให้เราต้องกลับมาทบทวน "ความเป็นแอนนา" กันใหม่ทั้งหมด โดยเฉพาะข้อวิจารณ์ที่ว่า "นางสอนหนังสืออยู่ในราชสำนักก็มิได้มีอิทธิพลมากมายถึงขนาดที่พระเจ้าอยู่หัวจะต้องไปใส่พระทัยรับฟัง เป็นไปได้ว่าสิ่งที่นางเขียนออกมานั้น ก็คือเรื่องที่ต้องการถวายความเห็นเป็นการย้อนหลัง เพราะจริงๆ แล้วไม่เคยมีโอกาสได้พูดออกมาเลย" ความเห็นนี้ขัดแย้งกับ "จดหมายแอนนา" ชุดนี้อย่างสิ้นเชิง

เฉพาะจดหมายเลขที่ ๑๐๘ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชหัตถเลขาตอบเรื่องทาสนั้น ย่อมแสดงบทบาทของแอนนา "ในราชสำนักสยาม" ต่างไปจากการรับรู้เดิมโดยสิ้นเชิง จดหมายฉบับนี้ชี้ชัดว่าแอนนากับ "คิงมงกุฎ" มีการพูดคุยกันในระดับที่มากไปกว่านายจ้างกับครูภาษาอังกฤษ


"(ปัจฉิมลิขิตส่วนตัวอย่างยิ่ง)...อย่างที่ฉันเคยพูดไว้ ในการคุยเรื่องการเมืองกันในครั้งก่อน"


นอกจากนี้เรื่องการต่อสู้เพื่อให้อิสระกับทาสของแอนนา ตามที่ปรากฏใน The Romance of the Harem ก็มีเค้าความจริงในพระราชหัตถเลขาฉบับนี้เช่นกัน


"แม้จะเป็นพระเจ้าอยู่หัวของชาวสยาม การที่จะให้เสรีแก่ทาสให้พ้นจากข้อพันธะที่จะต้องรับใช้นายตามกฎหมายของพวกเขานั้น จะเป็นการละเมิดกฎหมาย และขนบประเพณีของสยามอย่างแรง หรือการที่จะให้ความสะดวกแก่เธอที่จะซื้อทาสทั้งสอง และปล่อยให้เป็นเสรี โดยปราศจากความยินยอมของคุณแพนายของพวกเขานั้น ก็เป็นการละเมิดอย่างสูงสุดเช่นกัน..."


นี่คือข้อเท็จจริงที่สูญหายไปเกือบร้อยปี จากนี้ไป "หลักฐานใหม่" ซึ่งเป็นจดหมายทั้ง ๘ ฉบับนี้คงจะเปิดโอกาสให้แอนนาได้อุทธรณ์ และแก้ข้อกล่าวหาบางส่วนได้บ้าง

"จดหมายแอนนา" ที่ศิลปวัฒนธรรมจะทยอยนำมาเปิดเผยนั้น อาจจะทำให้สังคมไทยได้รับมากไปกว่า "ความตื่นเต้น" แต่อาจถึงขั้น "พลิกประวัติศาสตร์" เลยก็เป็นได้ อยู่ที่ว่านักวิชาการไทยจะยอมรับข้อเท็จจริงแบบนี้ หรือยังคงชอบใช้หลักฐานประวัติศาสตร์ของฮอลลีวู้ดอยู่ก็ไม่ว่ากัน



ปรามินทร์ เครือทอง
ศิลปวัฒนธรรม
วันที่ 01 มกราคม พ.ศ. 2547 ปีที่ 25 ฉบับที่ 03

ที่มา : ศิลปวัฒนธรรม : รายงานพิเศษ

หมายเหตุ
การเน้นข้อความทำไปตามความเห็นของผู้จัดเก็บบทความ

ไม่มีความคิดเห็น: