วันอังคารที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2551

ลูกเขียนถึงพ่อที่มีแต่ความจงรักภักดีอยู่เต็มหัวใจ : จากหนังสืองานศพ คุณชูเชื้อ (วลี) สิงหเสนี


พ่อจ๋า

เมื่อก่อนลูกยังเล็ก
ลูกไม่รู้หรอกว่าทำไมพ่อจึงเฝ้าสอนให้ลูกๆจงรักภักดีต่อชาติ

ให้มั่นคงและปฏิบัติตนสม่ำเสมอในพุทธศาสนา ให้เคารพและภักดีต่อพระมหากษัตริย์ ลูกเฝ้าฉงนว่าทำไมจึงต้องจ้างพวกเราเด็กๆทุกคนในบ้านให้ไหว้พระสวดมนต์ ให้ร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีทุกวัน พ่อจำได้ไหมจ๊ะว่า "ท่านบนตึก"

เป็นผู้จ้างพวกเรา "ท่านบนตึก" ที่พวกเราไม่เคยเรียกว่า "คุณป้า" แต่เรียกกันจนติดปากเหมือนทุกคนในบ้านว่า "ท่านบนตึก"

เมื่อถึงเวลาย่ำค่ำท่านก็จะตีฆ้องเสียงดังกระหึ่ม เรียกเด็กๆทุกคนให้ขึ้นไปบนตึก เข้าไปในห้องกลางซึ่งเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ ด้านหนึ่งเป็นที่ตั้งโต๊ะหมู่บูชาใหญ่ เท่ากับความกว้างของห้อง มีพระพุทธรูปปางต่างๆมากมายหลายองค์ ขนาดใหญ่ที่สุดตั้งแต่ขนาดเท่าคนจริงๆ ลงมาจนถึงองค์เล็กเท่าฝ่ามือ ด้านตรงข้ามกันเป็นโต๊ะหมู่พระบรมรูปพระมหากษัตริย์รัชกาลต่างๆ พวกเราจะนั่งพับเพียบเรียบร้อยเรียงเป็นแถว หันหน้าไปทางโต๊ะหมู่บูชา

เริ่มต้นด้วยการสวดนะโมสามจบ แล้วจึงสวดบทพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ทั้งบทบาลีและภาษาไทย เมื่อจบแล้วก็จะลุกขึ้นยืนหันหน้าไปทางพระบรมรูปพระมหากษัตริย์รัชกาลต่างๆร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี และจบลงด้วยเพลงพุทธานุภาพ เมื่อจบแล้วเราก็จะได้รับแจกสตางค์คนละ 10 สตางค์ทุกคนทุกวัน พวกเราสนุกและชอบขึ้นไปสวดมนต์เพราะอยากจะได้สตางค์มากกว่าอยากสวดมนต์หรือร้องเพลงสรรเสริญ

เพราะฉะนั้นพอถึงเวลาย่ำค่ำเราจะใจจดใจจ่อคอยฟังเสียงฆ้องว่า เมื่อไหร่จะตีสักที วันที่พวกเราสนุกสนานกันเป็นพิเศษคือวันสำคัญทางศาสนา หรือวันคล้ายวันสวรรคตของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลก่อนๆ พวกเด็กจะถูกเกณฑ์ให้จัดทำดอกไม้ สำหรับบูชาเป็นพิเศษประกวดประชันกัน บางคนอาจจะร้อยมาลัย บางคนอาจจะทำพวงหรีดเล็กๆหรือช่อดอกไม้ ของใครสวยสุดก็จะมีรางวัลให้ แต่มีข้อแม้ว่าต้องทำด้วยตัวเอง เราสนุกกันตามประสาเด็กโดยไม่รู้ตัวสักนิดว่า เราถูกอบรมบ่มนิสัยด้วยวิธีการที่แนบเนียนเพียงไร


เมื่อมีเวลาว่างพ่อมักจะเล่านิทานชาดกในพุทธศาสนาบ้างเล่าเกร็ดพงศาวดารเกี่ยวกับบุญญาธิการ

และพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์บ้าง วีรกรรมของบรรพบุรุษบ้าง ให้ลูกได้ฟังอยู่เสมอ บางครั้งก็สอนให้ร้องเพลงปลุกใจ จนลูกจำเพลงปลุกใจของหลวงวิจิตรวาทการได้ขึ้นใจเกือบทุกเพลง ลูกๆของพ่อทุกคนจึงชอบอ่านหนังสือพงศาวดารซึ่งพ่อมีให้อ่านเต็มตู้ วันเดือนปี ผ่านไปอย่างรวดเร็ว วันหนึ่งพ่อก็หายไปจากบ้าน

ตามปกติพ่อเป็นคนรักลูกรักเมีย เมื่อเลิกงานพ่อจะรีบกลับบ้านเสมอ นอกจากวันไหนที่พ่อต้องเข้าเวรหรือตามเสด็จไปไหนๆ พ่อไม่เคยหายไปหลายวันอย่างนี้ ลูกเห็นแม่ร้องไห้ พวกเราก็ร้องไห้ แม่บอกพวกเราว่าพ่อถูกจับ เพราะเค้าหาว่าพ่อสมคบกับพวกฆ่าในหลวง

ใครๆก็พากันรังเกียจเหยียดหยามพวกเรา จนแทบจะเงยหน้าขึ้นจากแผ่นดินไม่ได้ ลูกได้ตะโกนก้องอยู่ในใจตามประสาเด็ก "ทำไมใครๆไม่รู้ว่าพ่อรักในหลวงมากมายเพียงไร" ครั้งหนึ่งลูกจำได้ว่าพ่อเอาอะไรอย่างหนึ่งมาบ้าน

พ่อบรรจงใส่ลงในผะอบเบญจรงค์ใบเล็กๆ แล้ววางไว้บนหิ้งบูชา พ่อเฝ้ามองแล้วก็ยิ้ม ลูกจำได้ติดตา

เพราะเป็นเรื่องที่ลูกคิดตามประสาเด็กว่าไม่เห็นจะสลักสำคัญอะไรเลย ทำไมพ่อต้องทำอย่างนั้นด้วย พ่อจำได้ใช่ไหมจ๊ะว่าลูกถามพ่อว่า "อะไรจ๊ะ" พ่อบอกลูกว่า "เส้นพระเกศา" ลูกไม่รู้หรอกว่าเส้นพระเกศาของพ่อคืออะไร

พ่อก็หยิบเอามาให้ดู ลูกคว้ามาเล่น เพราะสิ่งที่ลูกเห็นนั้นคือเส้นผมธรรมดาๆสีดำเป็นมันขลับเท่านั้นเอง

พ่อตีลูก ตอนนั้นลูกไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพ่อต้องตีลูก เพียงแต่ลูกแย่งเส้นผมจากมือพ่อ พ่อคงคิดได้ว่าลูกไม่รู้ประสาจึงอธิบายให้ฟังว่า
"ลูกเอ๋ย นี่คือเส้นพระเกศาของในหลวง เส้นผมไงล่ะลูก วันนี้ติดหวีของพระองค์ท่านมาเวลาพ่อล้างหวี พ่อจะเก็บไว้ทุกครั้งไม่ยอมให้ล่วงหล่นลงพื้นหรือหายไปไหน พ่อเก็บมาบูชาไงล่ะ"

ลูกก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี แต่ก็กลัวถูกตีจนไม่กล้าไปแตะต้องอีก แม้ลูกยังเล็ก ยังไม่เข้าใจอะไรลึกซึ้งนัก แต่ลูกก็พอจะรู้ว่าพ่อนั้นรักและเทิดทูนพระเจ้าอยู่หัวเพียงไร ทั้งพระองค์ท่านก็ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อพ่อเป็นล้นพ้น ทั้งทรงอาทรห่วงใยมาถึงครอบครัว ลูกจำได้ว่าในหลวงพระราชทาน ทรงมีรับสั่งเสมอว่า "ชิตเอาไปฝากลูกซิ" พ่อเคยเล่าให้แม่ฟังด้วยความภาคภูมิใจว่า เวลาที่ทรงพระประชวรนั้น นอกจากสมเด็จพระราชชนนีแล้ว มีพ่อเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะทรงยินยอมให้ทำอะไรถวายได้ ความผูกพันที่พ่อมีต่อพระองค์ท่านจึงเหนียวแน่นไม่มีวันเสื่อมคลาย

เมื่อลูกเติบใหญ่ลูกจึงรู้ว่า ความจงรักภักดีของพ่อนั้นใหญ่หลวงเพียงใด พ่อมอบกายมอบใจ แม้แต่ชีวิตก็ให้ได้ พ่อเคยบอกลูกอย่างนั้น แล้วสั่งสอนลูกต่อๆมา ให้อดทนต่อทุกสิ่งทุกอย่าง แม้จะทุกข์ยากลำบากแทบเลือดตากระเด็น

พ่อจ๋า แม้ลูกจะเป็นเด็ก ลูกก็จำได้ว่าเคยไปส่งปิ่นโตพ่อ ทุกครั้งพ่อจะสอนให้ลูกอดทน ให้ลูกลืมความทุกข์ยาก ลืมความอาฆาตพยาบาทที่จับอยู่ในหัวใจ พ่อจ๋า มันยากเหลือเกินนะจ๊ะ ลูกจะลืมได้อย่างไรที่เราต้องเจ็บปวดอดอยาก ลำบากยากแค้น ต้องเผชิญหน้ากับคนทั้งหลายที่เกลียดชัง ดูหมิ่นเหยียดหยามเรา แม้กระทั่งเพื่อนร่วมโรงเรียน ลูกของพ่อบางคนโชคดี มีเพื่อนที่ดี รักใคร่ อาทร เห็นอกเห็นใจคอยช่วยเหลือ ประคับประคองจิตใจ แต่ลูกบางคนต้องเจ็บปวดทรมานใจเพราะเพื่อนร่วมชั้น เกลียดชัง ดูหมิ่น เหยียดหยาม เยาะเย้ยสารพัด

บางครั้งลูกแทบจะอดใจไม่ได้เมื่อได้ยินกับหูว่า "เลือดสิงหเสนี ยังมีอยู่บนผืนแผ่นดินไทยอีกหรือ คิดว่าถูกกุดหัวไปเจ็ดชั่วโคตรแล้ว" พูดแล้วก็พากันหัวเราะเยาะหยันเหมือนเป็นของสนุกสำหรับพวกเขา แต่ลูกซิเจ็บแค้นแน่นอก ลูกอยากจะกู่ตะโกนให้ก้องโลกว่า

"เลือดสิงหเสนีนี่แหละที่ได้ทาแผ่นดิน ปกปักรักษาบ้านเมืองมาแล้ว พร้อมที่จะพลีชีวิตถวายเพื่อราชบัลลังก์ตลอดไป ชั่วลูก ชั่วหลาน ชั่วเหลน"

คนเหล่านั้นลูกจำได้ ลูกอยากจะรู้นักว่าเขาเหล่านั้น จะรักผืนแผ่นดินไทยเท่าพ่อไหม จะจงรักภักดีและเทิดทูนล้นเกล้าฯเท่าพ่อหรือเปล่า ลูกอยากจะท้าทาย อยากจะท้าพนัน โดยเอาชีวิตเป็นเดิมพันนัก แต่...มันก็ยอกแสลงอยู่ในหัวใจ แทบจะเงยหน้าขึ้นจากแผ่นดินไม่ได้ พ่อจ๋า กาลเวลาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า พวกเราอยู่ด้วยความอดทน เราต่อสู้กับความยากแค้น การดูหมิ่น เหยียดหยามมาได้อย่างไร

ใครๆก็ต่างเข้าใจอะไรดีขึ้น ถึงแม้จะไม่ใช่ทั้งหมด แต่เราก็แสดงให้เห็นแล้วว่า เราเป็นคนไทยที่รักผืนแผ่นดินไทยเหมือนต้นตระกูลของเรา เราจะยอมสละเวลา สละชีวิต เลือดเนื้อ เพื่อประโยชน์สุขของส่วนรวมได้โดยไม่ย่อท้อหวั่นไหว วิญญาณของพ่อจะอยู่แห่งไหนก็ตาม พ่อคงจะรู้นะจ๊ะว่า บัดนี้ แม้ซากร่างกายของพ่อจะเน่าเปื่อย ผุพังและถูกเผาไหม้เป็นเศษธุลี แต่คุณความดีของพ่อ ความมั่นคงในความซื่อสัตย์ ความจงรักภักดียังคงอยู่ และได้ถ่ายทอดมาสู่ลูกหลานแล้ว เทพเจ้าเบื้องบนสวรรค์เท่านั้น ที่จะรับรู้ว่าพ่อมีความบริสุทธิ์อย่างไร ลูกเชื่ออย่างนั้น เพราะพ่อเคยสอนลูกเสมอว่า "ลูกเอ๋ย การทำคุณงามความดีของเรานั้น เราควรทำทั้งในที่ลับและที่แจ้ง แม้คนไม่เห็นผีสางเทวดาก็เห็น"

พ่อจ๋า แม้จะสิ้นบุญ "ท่านบนตึก" ไม่มีใครจ้างเราให้สวดมนต์ แต่พ่อก็ให้บทสวดมนต์แก่ลูก พ่อสอนเสมอให้กราบไหว้ ท่องบ่น ให้ปฏิบัติยึดมั่นในธรรมบทให้จะแจ้ง และเข้าใจว่าพระธรรม คำสั่งสอนของพระพุทธองค์ นั้นเป็นที่สุดของธรรมทั้งปวง เป็นความจริงแท้ที่ยากจะพรรณาได้

พ่อจ๋า ลูกประจักษ์ในใจแล้วว่า เหตุใดพ่อจึงเดินเข้าสู่หลักประหารอย่างทรนง ไม่สะทกสะท้านเกรงกลัวใดๆ

เพราะพ่อได้วางใจไว้กับพระธรรมอันบริสุทธิ์แล้วนั่นเอง พ่อถือสัจจะเป็นที่ตั้ง จึงไม่หวั่นไหวต่อความทุกข์ยาก และภยนตรายใดๆ แม้แต่ความตาย พ่อจ๋า ขอวิญญาณของพ่อจงรับรู้ด้วยเถิดว่า พวกเราทุกคนจะทำตามคำสอนของพ่อ

แม้ชีวิตเลือดเนื้อของเราก็ยอมสละได้ ถ้าจะแลกกับความอยู่รอดของแผ่นดินและองค์พระมหากษัตริย์อันเป็นพระประมุขของชาติ และถ้าพ่อมีชีวิตอยู่จนบัดนี้ พ่อก็คงจะชื่นชมในพระบารมี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ และทูลกระหม่อมทุกพระองค์ ลูกของพ่อยังคงระลึกอยู่เสมอในการที่จะรักชาติ

ยึดมั่นในศาสนาในพระธรรมอันศักดิ์สิทธิ์

และสุดท้ายคือความจงรักภักดีที่มีต่อราชวงศ์

ต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ

และทูลกระหม่อมทุกพระองค์


จากลูกๆของพ่อ


จาก : หนังสืองานศพ คุณชูเชื้อ (วลี) สิงหเสนี

ภรรยา คุณชิต สิงหเสนี
หนึ่งในสามของนักโทษประหารจากกรณีสวรรคต ร 8


ปล.
"ท่านบนตึก" เป็นพี่สาวต่างมารดาของคุณ ชิต สิงหเสนีพ่อคุณชิต คือพระตำรวจเอก พลตรีพระยาอนุชิตชาญไชยสืบเชื้อสายจากเจ้าพระยาบดินทร์เดชา (สิงห์)


ทำสำเนามาโดย : Itchyass

ที่มา : บอร์ด "ฟ้าเดียวกัน" : ลูกเขียนถึงพ่อที่มีแต่ความจงรักภักดีอยู่เต็มหัวใจ


หมายเหตุ
การเเน้นข้อความทำโดยความเห็นของผู้จัดเก็บบทความ

ไม่มีความคิดเห็น: