วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

สัมภาษณ์พิเศษ ‘พุทธทาสภิกขุ’ : การเมืองเรื่องศีลธรรม


วาระชาตกาล 100 ปี
‘พุทธทาสภิกขุ’
ปูชนียบุคคลของโลก
ตามการประกาศของ
องค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก้) ในปี 2549
‘ประชาไท’ ขออนุญาตท่านผู้อ่าน
นำธรรมะของ พุทธทาส มาเรียบเรียงนำเสนอในรูปบทสัมภาษณ์พิเศษ
นัยหนึ่งเพื่อนำเสนอเนื้อหาและธรรมะอันลุ่มลึก
นัยหนึ่งเพื่อยืนยันและให้ผู้คนทั่วโลกพิสูจน์ว่า
‘พุทธทาส’ ยังไม่ตาย

0 0 0

ท่านอาจารย์ครับ คำว่า ‘การเมือง’ ในความหมายทางศาสนาเหมือนหรือต่างจากความหมายโดยทั่วไปอย่างไร
สิ่งที่เรียกว่า การเมือง เรามีความหมายหรือบทนิยามโดยเฉพาะตามแนวทางของศาสนา แต่ก็คงจะมีใจความที่ตรงกันโดยหลักทั่วๆ ไปว่า การเมือง นั้นคือ การจัดอย่างถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ เพื่อคนมากจะอยู่ร่วมกันอย่างผาสุก. มันจะไม่ตรงกันบ้างก็คือว่า นักการเมืองทั้งหลาย จะไม่ยอมรับว่า ‘จะต้องมีการจัดอย่างถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ’ เพราะดูเหมือนเขาจะไม่พูดถึง กฎธรรมชาติกันเสียเลย ; เขาพูดถึงปรัชญาบ้าง อุดมคติบ้าง ตามลัทธินั้นๆ แล้วก็ตามความคิดเห็นของเขาเอง

เรื่องการเมืองนี้ก็ต้องเป็นเรื่องเพื่อคนมาก ถ้าคนน้อยก็ไม่จำเป็น ; เมื่อคนมันมากขึ้น จะอยู่ร่วมกันอย่างผาสุกได้อย่างไร? มันก็ต้องจัดไปด้วยเจตนาที่บริสุทธิ์ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของตัวผู้จัดเอง ; ดังนั้น เรื่องการเมืองที่บริสุทธิ์ ก็เป็นเรื่องของศีลธรรม ; แต่นักการเมืองสมัยนี้ก็ไม่ยอมรับ ลักษณะอย่างนี้ ; ไปถือว่าเป็นเรื่องอื่นไม่ใช่เรื่องศีลธรรม. (‘ธรรมสัจจะของธรรมชาติกับอุดมคติทางการเมือง’ ธรรมสัจจสงเคราะห์(ธรรมโฆษณ์) ธรรมทานมูลนิธิ, ๒๕๒๑)

ท่านอาจารย์กรุณาอธิบายเพิ่มเติมนิดหนึ่งว่า ทำไมการเมืองจึงต้องเป็นเรื่องของศีลธรรม
เรายืนยันว่า เป็นเรื่องที่มีหัวใจเป็นศีลธรรมโดยตรง ; ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วมันจะถูกต้องไม่ได้ คือมันจะไปตามความต้องการของคนบางหมู่บางคณะเท่านั้นเอง. มันก็เลยเป็นการเมืองที่ทุจริต หรือเป็นการเมืองที่ปลอม เทียม สร้างความยุ่งยากขึ้นในหมู่มนุษย์ แทนที่จะสร้างสันติภาพ ; ฉะนั้น เมื่อจะเอาความถูกต้องกันก็ต้องเล็งถึงการถูกต้องจริงๆ คือ ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ...

ฉะนั้น สิ่งที่เรียกว่า ศีลธรรมนั้นมีความสำคัญมาก คือเป็นสิ่งที่ทำให้อุดมการณ์ของมนุษย์ทุกชนิด ไม่เป็นปัญหา หรือถ้าจะเผอิญเกิดปัญหาขึ้นมา มันก็แก้ได้ด้วยความมีอยู่แห่งศีลธรรมนั้นเอง. นี้เป็นธรรมสัจจะที่ตายตัว. ถ้าธรรมสัจจะในส่วนนี้มันผิดไป อุดมคติทั้งหลายมันก็ผิดไป. อุดมการณ์ทางการเมืองโดยตรงนี้ ก็จะเสียไป ; เราจึงต้องย้อนไปหา สิ่งที่เรียกว่า ศีลธรรม ในฐานะเป็นรากฐานของอุดมคติทั้งหลาย. (‘ธรรมสัจจะของธรรมชาติกับอุดมคติทางการเมือง’ ธรรมสัจจสงเคราะห์(ธรรมโฆษณ์) ธรรมทานมูลนิธิ, ๒๕๒๑)

ถ้าเช่นนั้นในทรรศนะของท่านอาจารย์ การเมืองที่ถูกต้องควรเป็นอย่างไร
คำว่าการเมือง การเมือง เขาจะพูดกันอย่างไรก็ไม่รู้ตามปรัชญาการเมืองของเขา อาตมาไม่รู้ดอก แล้วไม่อยากจะรู้ด้วย, จะรู้เพียงแต่ว่า การเมือง คือระบบที่ทำให้อยู่กันเป็นผาสุก โดยไม่ต้องใช้ศาสตรา โดยไม่ต้องใช้อาญา, ไม่ต้องใช้ศาสตรา ไม่ต้องใช้อำนาจอะไร, เราอยู่กันได้ ตกลงกันได้ เข้าใจกันได้ อยู่กันอย่างความเป็นสุขสงบสุข เป็นผาสุก โดยไม่ต้องใช้ศาสตรา, นั้นแหละคือระบบการเมืองที่เราต้องการในที่นี้ ; แต่มันก็ต้องประกอบด้วยส่วนประกอบหลายๆ อย่าง เช่นว่ามันจะต้องเป็นอย่างที่มีอยู่นี้จะต้องมีรัฐบาล มีการบริหาร มีตุลาการ มีนิติบัญญัติ มีสภา มีตุลาการ เอาละ, เรายอมรับสิ่งเหล่านี้ว่าต้องมีในระบบการเมือง แต่ขอให้มันถูกต้อง.

ให้มีรัฐสภา หรือสภาประชาชน ที่ออกกฎหมายโดยถูกต้องสมควรแก่สถานการณ์จริงๆ ; แต่ถ้าเอาคนโง่มาเป็นสมาชิก มันก็ทะเลาะกันไม่มีที่สิ้นสุดแหละ, มันต้องมีคนที่มีธรรมะ มีศีลธรรม หรือเป็นมนุษย์อย่างที่กล่าวมาข้างต้นถูกต้องนั้น มาเป็นสมาชิกของรัฐสภาหรือสภาประชาชน...

แล้วจะต้องมีการควบคุมรัฐบาลอย่างถูกต้อง ควบคุมรัฐบาล สภาต้องควบคุมรัฐบาล ควบคุมรัฐบาลด้วยจิตใจที่เป็นธรรม, ไม่ใช่เพื่อจะล้มรัฐบาลอยู่ตลอดเวลา. เดี๋ยวนี้เรามีพรรคการเมืองที่พร้อมจะล้มรัฐบาลอยู่ตลอดเวลา จนไม่มีเวลาทำงานทำหน้าที่, พรรคการเมืองนี้ที่จริงส่วนใหญ่แล้ว มันเป็นของที่ไม่น่าเสน่หา เพราะว่าพรรคการเมืองมันเห็นแก่พรรคยิ่งกว่าเห็นแก่ชาติ, พรรคการเมืองไหนๆ ก็ตาม มักเห็นแก่พรรคมากกว่าเห็นแก่ชาติ มักเห็นแก่พรรคมากกว่าเห็นแก่ชาติทั้งนั้นแหละ. อาตมาคิดว่าทั้งโลกเลย จะเอาพรรคอยู่รอดและเอาพรรคเจริญก่อนชาติเจริญ, เพราะมันมีพรรคอย่างนี้แหละมันเลยยุ่ง ; ถ้ามันไม่มีพรรค มันมีพรรคเดียว ทุกคนมุ่งหน้าต่อประเทศชาติแล้ว มันคงจะไม่ยุ่ง...

แล้วจะต้องมีรัฐสภาหรือผู้แทนราษฎร ที่สื่อความประสงค์ของประชาชนอย่างถูกต้อง อย่างครบถ้วน ; ถ้ามันเป็นหน้าที่ของสมาชิกสภา มันก็ต้องเป็นผู้แทนราษฎรชนิดที่สื่อความประสงค์ของราษฎร ให้แก่สภาหรือแก่รัฐบาลอย่างถูกต้องและครบถ้วน...

ในที่สุดเราจะพูดว่า เขาจะต้องถือหลักศีลธรรมเป็นหลักในการปฏิบัติหน้าที่ทุกแขนง ; รัฐบาลก็ดี รัฐสภาก็ดี ตุลาการก็ดี อะไรก็ดี ที่รวมกันเป็นระบบการปกครองนี้ จะต้องมีศีลธรรมเป็นหลัก ให้เรามีความเป็นชาติที่มีศีลธรรม, ให้เรามีความเป็นชาติหรือชาติที่มีศีลธรรม ซึ่งจะต้องรวมถึงว่า มีวัฒนธรรม มีศาสนา มีขนบธรรมเนียมประเพณี อะไรที่ถูกต้อง แต่เราใช้คำว่าศีลธรรมคำเดียวก็พอ ถ้ามีศีลธรรมได้จริง มันไม่เสียในทางวัฒนธรรมหรือศาสนาใดๆ นี่ระบบการปกครองทุกแขนง ไม่ว่าจะไปในทิศทางไหน จะต้องมีความเป็นธรรม คือมีศีลธรรมในการปฏิบัติหน้าที่การงาน.

ฉะนั้น การเมืองนี้ ถ้ามันบริสุทธิ์ มันก็เพื่อความสงบ หรือสันติภาพของมนุษย์นั่นเอง... ถ้าการเมือง ไม่ประกอบอยู่ด้วยธรรมะ หรือพระธรรมแล้ว มันก็เป็นระบบโจรที่ปล้นธรรมชาติ โจรที่ทำลายธรรมชาติ โจรที่ทำลายทรัพย์สมบัติของพระเจ้านั่นเอง... (‘ธรรมสัจจะของธรรมชาติกับอุดมคติทางการเมือง’)

ในระบอบประชาธิปไตยซึ่งถือว่าเป็นการปกครองที่ให้ความสำคัญกับสิทธิเสรีภาพของประชาชนมากที่สุดแล้วนั้น ทำไมจึงยังมีปัญหามากมาย
...ประชาธิปไตย ถ้าว่าประชาชนหรือคนแต่ละคนมันไม่มีศีลธรรมแล้วมันก็วินาศแหละ วินาศในเวลาอันสั้น, ถ้าประชาชนทุกคนไม่มีศีลธรรมแล้วเอามาเป็นใหญ่สำหรับปกครองบ้านเมือง พักเดียวมันก็ทำวินาศหมด เราต้องมีประชาธิปไตยที่ประกอบไปด้วยธรรม เรียกว่าธัมมิกประชาธิปไตย นี้เกี่ยวกับการปกครอง ธัมมิกสังคมนิยม นั้นมันเกี่ยวกับเศรษฐกิจ, ถ้าธัมมิกประชาธิปไตย นี้มันเกี่ยวกับการปกครอง เอาธรรมะเป็นใหญ่ เอาความถูกต้องเป็นใหญ่ ไม่ใช่ประชาธิปไตยของคนเห็นแก่ตัว เอาคนที่เห็นแก่ตัว เต็มอัดทุกๆ คน มาเป็นระบบปกครองเป็นประชาธิปไตย มันก็ฆ่ากันตายหมดแหละ ด้วยความต่างคนต่างเห็นแก่ตัว ต่างคนต่างเห็นแก่ตัว. ฉะนั้นประชาธิปไตยต้องจำกัดความให้ดีๆ ว่าต้องของประชาชนที่มีศีลธรรม เลยต้องใช้คำว่า ธัมมิกประชาธิปไตย, มีธรรมเป็นหลัก มีความถูกต้องเป็นหลัก อย่าเห็นแก่ตัว แต่เห็นแก่ธรรมะ, เห็นแก่ธรรมะ แล้วก็อย่าเห็นแก่ตัว นี่เรียกว่า มีธรรมะเป็นหลัก มีระบบการปกครองชนิดนี้ แล้วก็จะมีการปกครองสังคม หรือโลกให้มีสันติภาพได้โดยง่าย.

...ทีนี้เราดูให้ดี เราจะเห็นได้ว่า ประชาชนในโลกสมัยนี้ กำลังตกเป็นทาสของวัตถุนิยม หนักขึ้นๆ อย่างรั้งไว้ไม่อยู่ เมื่อประชาชนทั้งหมดเป็นทาสของวัตถุนิยมแล้ว ประชาธิปไตย ก็มีความหมายแต่เพียงว่า ช่วยกันทำโลกนี้ให้เป็นทาสของวัตถุเร็วๆ เข้าเท่านั้นเอง และผลที่จะเกิดขึ้นก็คือ การเบียดเบียน เพราะว่าวัตถุเป็นที่ตั้งแห่งความลุ่มหลง ปราศจากธรรมะแล้ว ยิ่งมีความลุ่มหลงมาก ลุ่มหลงแล้วก็เห็นแก่ตัว ก็เบียดเบียนกันอย่างที่กำลังเป็นอยู่นี่

ทีนี้เราลองดูให้กว้าง ๆ ออกไปว่า ถ้าเป็นธรรมาธิปไตยแล้ว ก็หมดปัญหา จะใช้ระบบไหนก็ตาม ถ้าธรรมะเข้าไปเกี่ยวข้องแล้ว ก็เป็นธรรมาธิปไตยไปหมด สมมติว่า จะใช้ระบบเผด็จการ ผู้เผด็จการเป็นผู้ประกอบด้วยธรรมอย่างยิ่งแล้ว ก็ไม่เป็นเผด็จการไปได้ มันก็เป็นธรรมาธิปไตยอยู่นั่นเอง หรือเราจะใช้ระบบประชาธิปไตยอย่างที่ใช้ ๆ กันอยู่นี่ ถ้าทุกคนที่มีสิทธิ์มีเสียง ที่จะออกเสียงเป็นผู้มีธรรมะแล้ว มันก็กลายเป็นธรรมาธิปไตยไปหมด ฉะนั้น ขอให้ถือว่า โลกนี้จะรอดได้เพราะความเป็นธรรมาธิปไตย ไม่ใช่อธิปไตยอย่างไหนเลย. (‘ธรรมะ ทำไมกัน ?’ บรรยายในการประชุมสมาคมพุทธศาสนาทั่วราชอาณาจักร ครั้งที่ ๑๖ ณ ค่ายธรรมบุตร สวนโมกขพลาราม อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ๒๑ มกราคม ๒๕๑๒)

ในขณะที่โลกกำลังวุ่นวาย หลายประเทศเกิดปัญหาการเมืองทั้งภายในและระหว่างประเทศ เกิดสงครามแย่งชิงทรัพยากร ท่านอาจารย์มองปัญหาการเมืองของโลกที่เป็นอยู่นี้อย่างไร
...เราจะมองดูระบบการเมืองในโลกปัจจุบันกันสักสามแง่ คือ ดูที่ต้นเหตุของมัน, ดูที่ความเจริญของมัน, แล้วก็ดูที่มันพัวพันกันอย่างสับสน แง่อย่างแรก ที่ว่าต้นเหตุของปัญหาการเมืองทั้งโลกนี้มันมีอยู่ที่ไหน? อาตมาอยากระบุลงไปว่า โดยเฉพาะปัจจุบันนี้ ไปหลับหูหลับตาหลงใหลในเรื่องความเจริญทางวัตถุมากเกินไป ไม่มีใครรู้สึกตัว ไม่มีใครละอายในการที่จะกอบโกยวัตถุ. เมื่อตกเป็นทาสของกิเลสหรือตกเป็นทาสของวัตถุเสียแล้ว, จิตใจก็ไม่อาจจะรู้สึกละอายได้ ก็ไม่รู้สึกกลัวด้วย... เป็นทาสของเนื้อหนังมันก็ละทิ้งพระเจ้า ; พวกฝรั่ง เขาเคยมีพระเจ้า เขาก็ละทิ้งพระเจ้า เขาจัดให้พระเจ้าตายแล้ว ไม่มีอยู่แล้ว.

ฝ่ายตะวันออกนี้ก็ละทิ้งพระธรรม ซึ่งมีฐานะอย่างเดียวกับพระเจ้า ละทิ้งศาสนา ละทิ้งพระธรรม แม้แต่วัฒนธรรมของบรรพบุรุษฝ่ายตะวันออก อย่างจีน อย่างไทยแท้นี้ มันก็ถูกละทิ้งไป ไปเป็นทาส ของเนื้อหนัง... (‘ถ้าจะให้ธรรมะครองโลกต้องมีระบบการเมืองแบบธัมมิกสังคมนิยม’ เมื่อธรรมครองโลก (ธรรมโฆษณ์) ธรรมทานมูลนิธิ,๒๕๒๓.)

ลัทธิวัตถุนิยม ได้เป็นชนวนให้เกิดการแย่งชิงระหว่างชาติ ที่เราเรียกกันว่า สงคราม, ถึงขนาดที่เป็นวิกฤตกาลถาวร ยืดเยื้อเรื้อรังเหลือความสามารถขององค์การโลกทุกชนิดจะระงับได้ ดังที่ทุกคนได้เห็นกันอยู่แล้วในบัดนี้. นี่แหละคือการกระทำและผลงานของซาตาน ที่กระทำหน้าที่ของตนได้อย่างดีที่สุด ในการรับใช้พระเจ้า เพื่อการทดสอบมนุษย์และลงโทษมนุษย์ผู้สอบไล่ตก พร้อมกันไปในตัว. ดังนั้น เพื่อการที่มนุษย์เราจะเปลี่ยนกลับไปเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า จนได้รับสันติภาพที่แท้จริงเป็นรางวัลนั้น เราจะต้องมองลงไปยังสิ่งที่เรียกว่าวัตถุนิยม หรือ ‘วัฒนธรรมทางวัตถุ’ ที่เรากำลังบูชากันยิ่งกว่าพระเจ้านั่นเอง ว่าเป็นสิ่งที่ตั้งขวางกีดกั้นอยู่ ระหว่างเรากับพระเจ้า. ทำให้เราเกลียดพระเจ้าที่แท้จริง และตั้งตัวเอง เป็นพระเจ้าเสียเอง. (‘รบกันพลาง แลกธรรมกันพลาง’ เอกสารประกอบ คำบรรยายในโอกาสมีการประชุมพุทธสมาคมฯ ที่ค่ายธรรมบุตร ๒๒ ธันวาคม ๒๕๑๑)

ท่านอาจารย์บอกว่า มนุษย์กำลังบูชาวัตถุนิยมมากกว่าศาสนายิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ในสภาพเช่นนี้จะนำไปสู่การที่โลกจะไม่มีศาสนาหรือไม่
โลกในสภาพปัจจุบันนี้ เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปโดยไม่มีใครแย้ง ว่ากำลังตกอยู่ในวิกฤตกาลอย่างหนัก ใกล้ต่อความวินาศยิ่งขึ้นทุกที ทั้งนี้ เนื่องมาจากการที่โลกตกเป็นทาสของวัตถุ หรือวัตถุนิยม, มากเกินไปนั่นเอง. โลกกำลังก้าวหน้าแต่ทางวัตถุ. โดยไม่มีความก้าวหน้าทางวิญญาณ (spiritual) เอาเสียเลย, มีแต่จะตกต่ำหรือถอยหลังไปเสียอีก. โลกกำลังหลงใหลในความสุขทางเนื้อหนัง, กำลัง หันหลังให้ธรรม, หันหลังให้ศาสนา, หันหลังให้พระเจ้า, จนกระทั่งไม่ให้ความสำคัญแก่สิ่งเหล่านี้เลย. (‘รบกันพลาง แลกธรรมกันพลาง’ เอกสารประกอบ คำบรรยายในโอกาสมีการประชุมพุทธสมาคมฯ ที่ค่ายธรรมบุตร ๒๒ ธันวาคม ๒๕๑๑)

โลกไม่มีศาสนา ! ที่เป็นอย่างนี้ ไม่ใช่เป็นเฉพาะพุทธศาสนา เป็นหมดทุกศาสนา ; เพราะว่าโลกทั้งโลก มันถูกครอบงำด้วยวัตถุนิยม หรือความเจริญอย่างแผนใหม่ คนในโลกกำลังหายใจเป็นวัตถุ แล้วก็บูชาวิชาเทคโนโลยี่ ที่จะช่วยให้สำเร็จประโยชน์ สำเร็จตามความต้องการในทางวัตถุ เขาบูชาเทคโนโลยี่แทนสิ่งที่เรียกว่าศาสนา. ศาสนาไม่มีวัตถุให้ เหมือนเทคโนโลยี่ ; ศาสนามีแต่ความรู้แจ้งในฝ่ายจิตฝ่ายวิญญาณให้. ส่วนคนไม่ต้องการ เพราะว่าเขาเห็นว่า ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร ; ฉะนั้นจึงไม่พอใจ ไม่ชอบศาสนา ถือเป็นของทำให้เสียเวลา เป็นของครึคระ. (‘ วิญญาณของความเป็นครู’ บรรยายในโอกาส งานอบรมครูของทางราชการผู้พักแรมอยู่ที่ค่ายธรรมบุตร ๘ เมษายน ๒๕๑๓)

สรุปความว่า มนุษย์ในทุกวันนี้ ทำสงครามกับพระเจ้า. กำลังเอาชนะพระเจ้า เพื่อให้ตัวเองได้ทำอะไรตามชอบตัว ตามความเห็นแก่ตัว ตามกิเลสของตัว, โดยยกเอากิเลสนั้นขึ้นเป็นพระเจ้าเสียเอง. ข้อนี้เท่ากับการตั้งตัวเอง เป็นพระเจ้า, โดยการทำสงครามกับพระเจ้าตามที่มีอยู่ในบทบัญญัติทางศาสนา. เขาไม่เข้าใจพระเจ้าในบทบัญญัติของศาสนาอย่างถูกต้อง จนถึงกับมอบชีวิตกับพระเจ้าจริง จึงได้สร้างพระเจ้าองค์ปลอมขึ้นตามที่ตนจะถูกลวงด้วยซาตานอย่างไร พระเจ้ากิเลสของเขา ก็คือตัวเขาเอง กำลังเหยียบย่ำบทบัญญัติทางศาสนา ที่ได้ตราไว้โดยพระเจ้าที่แท้จริง นั่นคือการทำสงครามกับพระเจ้าของมนุษย์แห่งยุคปัจจุบัน (‘รบกันพลาง แลกธรรมกันพลาง’ เอกสารประกอบ คำบรรยายในโอกาสมีการประชุมพุทธสมาคมฯ ที่ค่ายธรรมบุตร ๒๒ ธันวาคม ๒๕๑๑)

เหมือนที่ท่านอาจารย์บอกไว้ตั้งนานแล้วว่าตอนนี้โลกเข้าสู่ ‘กลียุค’แล้ว
กลียุค คือยุคที่โลกมีความเสื่อม มีความทุกข์ร้อน มีความลำบากยากเข็ญ สำหรับอินเดีย ในสมัยพระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นนั้น มีความลำบากยากเข็ญ ด้วยเรื่องความคิดเห็น ถือกันเป็นปัญหาใหญ่ กำลังมีความคิดเห็นที่ผิด ซึ่งไปหลงที่จะแก้ปัญหาต่างๆ ด้วยการบูชายัญอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งเรียกกันว่า เป็นยุคที่มีความมืดทางวิญญาณ เพราะฉะนั้น ความหมายของคำว่า กลียุค ก็คือ ยุคที่โลกกำลังมีปัญหา กำลังเดือดร้อน.

แต่ถึงอย่างไรก็ดี มันยังไม่มีความสำคัญมากเท่าๆ กับว่า ในตัวบุคคลคนหนึ่งๆ นั่นแหละ กำลังมี กลียุค โดยส่วนตัวในใจของคนสมัยนี้กำลังมีลักษณะแห่งกลียุค กำลังเดือดร้อน, กำลังตกเป็นทาสของวัตถุ, กำลังในโอกาสแก่กิเลสตัณหามากขึ้นๆ จึงมีความทุกข์ร้อนอยู่ในจิตใจของมนุษย์ในสมัยนี้มากขึ้น จึงเรียกว่า กลียุคนั้นกำลังมีอยู่ในใจของคนทุกคน ในเวลานี้ จึงเป็นการสมควรอย่างยิ่งที่จะมีธรรมะเป็นเครื่องขจัดปัญหาข้อนี้ ความหมายของคำว่า กลียุคนั้น หมายถึงเรื่องของโลก แผ่นดินก็ได้ หมายถึงเรื่องของมนุษย์เป็นส่วนรวมก็ได้ แต่ไม่สำคัญเท่ากับเรื่องที่บุคคลคนหนึ่งกำลังมีกลียุคอยู่ในใจของตน ฉะนั้น ธรรมะมีขึ้นก็เพื่อที่จะแก้ไขปัญหาข้อนี้ เพื่อจะปัดเป่าความเป็นกลียุคนั้นให้หมดไปจากใจ นี่แหละ เราจะได้ดูกันต่อไปว่า มันจะได้อะไรที่ดีมากไปกว่านี้

แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังเชื่อว่า ถ้าได้ครอบครองวัตถุสิ่งของมากขึ้น ชีวิตก็จะมีความสุขเพิ่มขึ้น
พวกที่นิยมวัตถุนี้เขาเชื่อกันว่า ถ้าเราทำการพัฒนาทำให้เจริญนั้น, การพัฒนาหรือการทำให้เจริญนั้นมันขึ้นอยู่ กับวัตถุ โดยมุ่งแต่จะพัฒนาหรือให้เจริญทางวัตถุ ซึ่งมีผลมหาศาลออกมาเป็นที่พอใจมากมายได้เหมือนกัน; แต่มันเสียสมดุลในการที่ว่าจิตจะนำวัตถุ มันไม่สมดุล, มันก็ถูกให้วัตถุนำไป, เฮ เฮ เฮกันไปทางวัตถุ. ฉะนั้นการที่ถือว่าความเจริญหรือการพัฒนาขึ้นอยู่กับวัตถุนั้นแหละ คือวัตถุนิยม, เป็นความคิดที่เป็นวัตถุนิยม; ฉะนั้นการพัฒนาวัตถุจนท่วมโลก พัฒนากันจนโลกเป็นทาสของวัตถุนิยม, นั่นแหละคือวัตถุนิยม.

ระวังให้ดีๆ ผู้ที่ชอบวัตถุและพัฒนาทางวัตถุนั้นอย่าให้มันไปถึงขนาดว่า พัฒนาจนตัวเองตกเป็นทาสของวัตถุ; นี่พุทธบริษัทจะต้องระมัดระวัง มิฉะนั้น จะสูญเสียศักดิ์ศรีของความเป็นพุทธบริษัทจนหมดสิ้น.

มาศึกษาให้รู้ความเลวร้าย เสน่ห์อันเลวร้ายของวัตถุนิยม หลอกลวงคนไปจมปลักอยู่ในเรื่องของวัตถุ, ทรมานจิตใจอยู่ด้วยเรื่องมีกิเลสเป็นเหตุให้ทำกรรม ทำกรรมแล้วรับผลกรรม, รับผลกรรม แล้วก็เพิ่มกิเลส, แล้วก็เพิ่มกรรม แล้วก็เพิ่มผลของกรรม แล้วก็เพิ่มกิเลส, นี่คืออาการที่ว่ามันจมปลักอยู่ในวัตถุนิยม เห็นแก่ความสุขสนุกสนานเอร็ดอร่อยทางรูปธรรมก็ได้ ทางอรูปธรรมก็ได้; แต่ทางอรูปธรรมนั้นเป็นไปน้อยมาก ฉะนั้นเราจึงไม่พูดถึงกัน. แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่เรื่องดับทุกข์, อรูปธรรม อรูปฌาน อรูปสุขนี้ ยังไม่ใช่เรื่องดับทุกข์ มันต้องมาเป็นเรื่องของพระนิพพาน จึงจะเป็นเรื่องของการดับทุกข์, คืออยู่เหนืออำนาจของวัตถุ โดยประการทั้งปวง. (‘ปณิธานข้อสาม การนำโลกออกมาเสียจากวัตถุนิยม’ ธรรมบรรยาย วันล้ออายุ ภาคค่ำ ๒๗ พ.ค. ๒๕๒๙)

ปัจจุบัน ความขัดแย้งและสงครามได้ดึงเอาความแตกต่างทางด้านศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้อง และมีแนวโน้มว่าจะเป็นไปในทางที่รุนแรงยิ่งขึ้น ท่านอาจารย์มองเรื่องนี้อย่างไร และเราจะมีทางออกจากวิกฤตการณ์นี้อย่างไร
โลกต้องมีหลายศาสนา นี้เป็นสภาพความจริงอันแรกที่ต้องยอมรับ เพราะว่าคนในโลกไม่เหมือนกัน มันจัดเป็นพวกๆ เป็นยุคเป็นสมัย, แล้วก็มีภูมิหลังแห่งวัฒนธรรมต่างกันๆ ฝังแน่นอยู่ในจิตใจเปลี่ยนไม่ได้, เขาก็เหมาะที่จะถือศาสนาที่เหมาะสมกับภูมิหลังแห่งวัฒนธรรมของตนๆ โดยภูมิศาสตร์ ในโลกนี้ก็ต้องแบ่งศาสนาให้เหมาะสมกับมนุษย์ ตามถิ่นโดยภูมิศาสตร์และยังจะต้องคำนึงถึงขนบธรรมเนียมประเพณีที่มันมีอยู่อย่างแน่นแฟ้น ซึ่งจะต้องปรับปรุง

ศาสนาทุกศาสนาต้องทำหน้าที่เป็นแสงสว่างของสังคม, นำวิญญาณของสังคมไปอย่างถูกวิถีทาง คือไปสู่จุดหมายปลายทางไม่เห็นแก่ตัว แล้วรักผู้อื่น โดยอัตโนมัติ, ข้อนี้ขอให้สนใจให้มาก ถ้ามันไม่เห็นแก่ตัว แล้วมันจะรักผู้อื่นโดยอัตโนมัติ; ดังนั้น หน้าที่ของศาสนาจึงมีหน้าที่เพียงแต่ทำลายความเห็นแก่ตัว, ทำลายความเห็นแก่ตัว เมื่อหมดความเห็นแก่ตัวจะรักผู้อื่นโดยอัตโนมัติ โลกนี้ก็จะมีสันติภาพ.

เดี๋ยวนี้คนถือศาสนาต่างกันมาก จนไม่ค่อยจะมองหน้ากัน; แต่ไปดูเถอะว่าในหัวใจของคนเหล่านั้น ซึ่งต่างศาสนากันนั่นแหละ มันก็มีกิเลสเหมือนกัน. ความโลภของคนที่ถือศาสนาพุทธ ก็ไม่ต่างจากความโลภของคนที่ถือศาสนาคริสต์ อิสลาม พราหมณ์ ฮินดู ซิกข์อะไร, ความโกรธก็เหมือนกัน, ความหลงก็เหมือนกัน. ฉะนั้นความทุกข์ที่เกิดขึ้นมันก็เป็นความทุกข์เหมือนกัน, ถ้าไปดูกันที่ตัวกิเลสและตัวความทุกข์แล้ว มันก็เหมือนกันดิกเลยของทุกคนที่ถือศาสนาต่างกัน. เมื่อเป็นอย่างนี้มันก็ควรจะมีสิ่งซึ่งแก้ทุกข์หรือดับทุกข์ได้ร่วมกัน ไม่ว่าเขาจะถือศาสนาอะไร; เหมือนอย่างว่าปัจจุบันใครจะถือศาสนาอะไรก็ตามใจ ถ้ากินน้ำตาล มันก็รู้สึกหวาน, ถ้ากินเกลือ มันก็รู้สึกเค็ม. ถ้ากินน้ำส้ม มันรู้สึกเปรี้ยว, อย่างนี้ใช่ไหม? จะถือศาสนาอะไร มันก็ไม่เว้นที่ว่าจะต้องมีความเป็นอย่างเดียวกันอยู่ในด้านลึก. หรือว่าจะมียาแก้โรค ขึ้นมาในโลกแม้แต่ยาแก้ปวดศีรษะอย่างนี้ คนถือศาสนาอะไรซื้อไปกินมันก็หายได้, ไม่ว่าจะถือศาสนาอะไร. ทีนี้มันยิ่งกว่านั้นก็ว่าเมื่อกิเลสของคนก็เหมือนกัน ความทุกข์ของคนก็เหมือนกันในการที่จะดับทุกข์ มันก็เหมือนกันได้, เหมือนกับว่ายาแก้โรคทางฝ่ายกายใช้ร่วมกันได้อย่างนี้ ยาแก้โรคในทางฝ่ายจิตฝ่ายวิญญาณ มันก็ใช้ร่วมกันได้อย่างนี้แหละ.

การทำความเข้าใจระหว่างศาสนา ก็เพื่อแก้ปัญหาคือการกระทบกระทั่งกัน ในระหว่างศาสนา ซึ่งมีผลมาถึงบุคคลแต่ละคน เดี๋ยวนี้ก็มีปัญหาเกี่ยวเนื่องกับศาสนาต่างกัน ทางการเมืองบ้าง, ทางภายในหรือส่วนบุคคลบ้าง ก็มีอยู่แล้วก็เป็นปัญหาใหญ่โตเหมือนกัน ที่เป็นปัญหาทางการเมืองเกิดจากพลเมืองถือศาสนาต่างกันวิวาทกันอะไรกันทำนองนี้. เราอาจจะขจัดปัดเป่าปัญหาประเภทนี้โดยเฉพาะออกไปได้โดยการทำความเข้าใจระหว่างศาสนา. (‘ปณิธานข้อสอง การทำความเข้าใจระหว่างศาสนา’ ธรรมบรรยาย วันล้ออายุ ภาคบ่าย ๒๗ พ.ค. ๒๕๒๙)

ในขณะที่สังคมโลกกำลังรุดหน้าไปด้วยพลังของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนั้น โลกก็กำลังก้าวไปสู่ภาวการณ์ขาดสันติภาพยิ่งๆ ขึ้นเรื่อยๆ ขอให้ท่านอาจารย์กรุณาพูดถึงประเด็นนี้เป็นการทิ้งท้าย
...มนุษย์สามารถไปดวงจันทร์แล้วกลับมาได้ เขาตะโกนกันทั่วโลกอย่างระบือลือชาทีเดียวว่า ชัยชนะของมนุษย์! ชัยชนะของมนุษย์! ชัยชนะสูงสุดของมนุษย์!...

ถ้าไปดวงจันทร์ได้นั้น มันนำมาซึ่งสันติภาพหรือไม่ อาตมาเห็นว่า การไปดวงจันทร์ได้ ยังไม่นำมาซึ่งสันติภาพ แล้วก็เป็นการพ่ายแพ้แก่ดวงจันทร์ แล้วการกระทำนี้ เป็นการกระทำเพื่อขู่ขวัญกัน เพื่ออวดฝีมือในโลกนี้กันอย่างมากเท่านั้นเอง แล้วมันจะนำมาซึ่งสันติภาพอย่างไร ความรู้สึกของเราที่เป็นพุทธบริษัท รู้สึกว่านี่แหละคือวันที่พ่ายแพ้แก่ดวงจันทร์ถึงที่สุดแล้ว...

หรือว่าถ้าจะพูดให้ตรงกว่านั้น มันเป็นเรื่องการกระทำของคนบ้าถึงขนาดหนัก เท่านั้นเอง มันจึงทนทำของยุ่งยากลำบากหมดเปลืองอยู่ได้ แต่ถ้าว่าจะต้องการความดับทุกข์ หรือสันติภาพโดยตรงกันแล้ว มันไม่ต้องมากมายถึงอย่างนั้น มันไม่ต้องลงทุนมากถึงอย่างนั้น ไม่ต้องลำบากมากถึงอย่างนั้น ก็ยังทำให้มีสันติภาพ และความสงบสุขอันแท้จริงได้

ทีนี้การชนะผู้อื่น ซึ่งเป็นมนุษย์ เป็นคู่ปรปักษ์ หรือเป็นคู่แข่งกันนี้ ก็ไม่นำมาซึ่งสันติภาพ จงฟังดูให้ดีๆ ว่า ชนะวัตถุล้วนๆ เช่นก้อนดวงจันทร์เป็นต้นนั้น ก็ไม่นำมาซึ่งสันติภาพ เพราะฉะนั้นการชนะมนุษย์ด้วยกันซึ่งเป็นคู่ปรปักษ์คู่แข่งขัน คู่อะไรก็ตาม มันก็ไม่นำมาซึ่งสันติภาพ เพราะว่ามันทำให้สร้างความเกลียดชัง อาฆาต จองเวรอะไรกันมากขึ้น แล้วก็กลับแพ้ กลับชนะอย่างรุนแรงกันไปมา ๆ ยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม ดังนั้นการชนะคู่ปรปักษ์นั้นไม่นำมาซึ่งสันติภาพ แต่การชนะตน คือชนะกิเลสของตนเท่านั้นที่จะนำมาซึ่งสันติภาพ

ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ชนะตนนั่นแลเป็นดีเลิศนี้หมายความว่า ชนะตัวเอง อะไรเป็นตัวเอง ในที่นี้ก็หมายถึงอ้ายความโง่ ว่าตัวกูว่าของกูนั่นแหละ คือตน อุปาทานว่าตัวกูว่าของกูนั่นแหละคือตน อุปทานนั้นคือกิเลส เพราะฉะนั้นกิเลสนั่นแหละคือตน ทีนี้ชนะกิเลสหรือตนเสียให้ได้ ก็จะนำมาซึ่งความสุขหรือสันติภาพแก่ตน ดังนั้นทุกคน ๆ จะต้องพยายามชนะตน คือชนะกิเลสของตนให้ได้ แล้วการชนะนั้นจะนำมาซึ่งสันติภาพกล่าวคือพระนิพพาน ในปริยายใด ปริยายหนึ่ง ลักษณะใดลักษณะหนึ่ง หรืออันดับใดอันดับหนึ่งไม่มากก็น้อย มันจึงเป็นสันติภาพขึ้นมา การชนะตนเท่านั้นนำมาซึ่งสันติภาพ

ทีนี้ดูต่อไปอีก การชนะน้ำใจผู้อื่น หลังจากที่ชนะตนแล้ว ให้เหมือนกับที่ตนชนะตนเท่านั้น จะยิ่งนำมาซึ่งสันติภาพของสากลโลก หรือของสากลจักรวาล ข้อนี้หมายความว่า เมื่อเราชนะตัวเราเองได้ จริง ๆ แล้วหมดความเห็นแก่ตนแล้ว เราชนะน้ำใจผู้อื่น ให้เขาหมดความเห็นแก่ตัวอย่างเราบ้าง เหมือนกับที่เราได้หมดแล้วนั่นแหละจะนำมาซึ่งสันติภาพของสากลโลก สากลจักรวาล...
(‘ชนะดวงจันทร์ หรือชนะตนดี’ เทศน์ในวันอาสาฬหบูชา (กัณฑ์บ่าย), ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๑๒ ณ สวนโมกขพลาราม ไชยา)


0 0 0
พุทธทาสคงอยู่ไปไม่มีตาย
ถึงดีร้ายก็จะอยู่คู่ศาสนา
สมกับมอบกายใจรับใช้มา
ตามบัญชาองค์พระพุทธไม่หยุดเลย

พุทธทาสยังอยู่ไปไม่มีตาย
อยู่รับใช้เพื่อนมนุษย์ไม่หยุดเฉย
ด้วยธรรมโฆษณ์ตามที่วางไว้อย่างเคย
โอ้เพื่อนเอ๋ยมองเห็นไหมอะไรตาย

แม้ฉันตายกายลับไปหมดแล้ว
แต่เสียงสั่งยังแจ้วแว่วหูสหาย
ว่าเคยพรอดกันอย่างไรไม่เสื่อมคลาย
ก็เหมือนฉันไม่ตายกายธรรมยัง

ทำกับฉันอย่างกะฉันนั้นไม่ตาย
ยังอยู่กับท่านทั้งหลายอย่างหนหลัง
มีอะไรมาเขี่ยไค้ให้กันฟัง
เหมือนฉันนั่งร่วมด้วยช่วยชี้แจง
......................................

คำถาม และบทเรียบเรียง : โดย บัณฑิต เอื้อวัฒนานุกูล

ไม่มีความคิดเห็น: