ดร.โสภณ พรโชคชัย <1>
การต่อสู้ของประชาชนเพื่อให้ประเทศเป็นประชาธิปไตย จะนำมาสู่ความผาสุกของประเทศชาติในที่สุด เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 คืออีกก้าวหนึ่งของการต่อสู้ที่มุ่งหวังนำไทยไปสู่ความเป็นไท
ที่หน้าหอประชุมใหญ่ ธรรมศาสตร์ เมื่อวันเสาร์ที่ 6 ตุลาคม 2550 ผมได้รับเกียรติเป็นตัวแทนของคณะเพื่อน “โดมรวมใจ” กล่าวสดุดีวีรชน 6 ตุลาคม ในส่วนที่เป็นนักศึกษาธรรมศาสตร์ที่เสียชีวิตในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ผมจึงเขียนบทความนี้เพื่อร่วมส่งเสริมประชาธิปไตยในประเทศไทย
คือแผนการล้อมปราบ
เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 <2> อาจมองได้ในหลายแง่มุมจากจุดยืนที่แตกต่างกัน หรือมองจากคนอยู่ในเหตุการณ์หรือแบบคนนอก แต่ที่แน่นอนก็คือ เหตุการณ์นี้คือปรากฏการณ์รวบยอดของการล้อมปราบฝ่ายนิยมประชาธิปไตย อันเป็นภัยต่อความมั่นคงของสถาบันเผด็จการ ด้วยการป้ายสีว่ามีการแสดงละครหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในการชุมนุมวันที่ 4 ตุลาคม 2519 ในวันนั้นผมดูการแสดงดังกล่าวอยู่ด้วย ไม่มีใครคิดเลยว่าเป็นการหมิ่นฯ ละครดังกล่าวทำขึ้นเพื่อประท้วงกรณีที่ประชาชน 2 คนถูกฆ่าและแขวนคอขณะออกแจกใบปลิวต่อต้านจอมพลถนอมต่างหาก
ผมเชื่อว่าการปลุกระดมนี้ไม่ได้มุ่งหวังให้ประชาชนทั่วไปคลั่งเพื่อฆ่าฟันประชาชนอีกกลุ่มหนึ่ง แต่เพื่อการปรามไม่ให้ประชาชนทั่วไปสนับสนุนหรือเข้าร่วมกับกลุ่มประชาชนที่ชุมนุมอยู่ และเมื่อสถานการณ์สุกงอม เผด็จการจึงสามารถส่ง “หน่วยพิฆาต” ไปแสดงละครแห่งความโหดเหี้ยมจนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก นี่แสดงถึงภัยร้ายของการใช้สื่อสารมวลชนเพื่อโหมปลุกระดมสร้างเงื่อนไขปราบปรามประชาชน
ทำไมทำลายล้างประชาธิปไตย
บางท่านอาจเห็นว่าเผด็จการต้องการปราบปรามแนวคิดสังคมนิยมหรือคอมมิวนิสต์ ไม่ใช่ประชาธิปไตย แต่คอมมิวนิสต์ก็คือกลุ่มประชาธิปไตยเช่นเดียวกัน เพราะคอมมิวนิสต์หมายถึงเผด็จการของชนชั้นกรรมาชีพ ซึ่งก็หมายถึงเสียงส่วนใหญ่ของประเทศที่เป็นคนระดับล่างนั่นเอง <3> ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า ฝ่ายเผด็จการต้องการปราบปรามผู้นิยมในประชาธิปไตยที่ขัดขวางการกุมอำนาจและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของเผด็จการเป็นสำคัญ
คำว่าประชาธิปไตยตามบัญญัติของราชบัณฑิตยสถานหมายถึง “ระบอบการปกครองที่ถือมติปวงชนเป็นใหญ่, การถือเสียงข้างมากเป็นใหญ่” <4> ถ้าเรายึดถือตามนี้ ก็แสดงว่า เสียงส่วนใหญ่มีความสำคัญกว่าเสียงของคนมีอภิสิทธิ์ เช่น ผู้มีสกุลรุนชาติ คนมีการศึกษา หรือคนมีฐานะดีซึ่งเป็นคนส่วนน้อย ในประเทศไทย บุคคลผู้มีอภิสิทธิ์เหล่านี้ทำใจไม่ได้ที่จะให้ประชาชนส่วนใหญ่มีสิทธิมีเสียงเท่าตน จึงเข้าทำการปราบปรามเพื่อรักษาอภิสิทธิ์ของสถาบันเผด็จการหรือกลุ่มของตนเองไว้
สถาบันเผด็จการ
บางคนงงว่า ทำไมเผด็จการมีมากมาย ไม่สูญพันธุ์ ตั้งแต่เผด็จการจอมพลแปลก เผด็จการจอมพลถนอม – จอมพลประภาส เผด็จการ รสช. เผด็จการ คมช. เป็นต้น แสดงว่ายังไงๆ เราก็ไม่อาจปราบเผด็จการให้หมดสิ้นไปจากแผ่นดินไทยหรือไร ความจริงที่น่าสนใจอย่างหนึ่งก็คือ เผด็จการนั้นมีสถานะเป็นสถาบัน ไม่ใช่ตัวบุคคล ถ้าเราคงเงื่อนไขของสถาบันเผด็จการไว้ เผด็จการก็ยังอยู่ เพียงแต่เปลี่ยนตัวละครที่อยู่หน้าฉากเท่านั้น
เงื่อนไขของสถาบันเผด็จการก็คือ การมีอภิสิทธิ์เหนือประชาชนทั่วไป การกอบโกยทรัพยากรของชาติสำหรับประโยชน์เฉพาะกลุ่ม การเอื้อประโยชน์ด้วยระบบอุปถัมภ์-ผลประโยชน์ต่างตอบแทน การขาดการตรวจสอบจากองค์กรอิสระของรัฐหรือจากสังคมทั่วไป และการมีบุคคลผู้ทรงอิทธิพลหนุนหลังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายได้โดยที่ประชาชนไม่อาจขัดขืนหรือถูกโฆษณาชวนเชื่อให้ไม่ขัดขวางไว้ล่วงหน้าแล้ว
ทำไมจึงต้องขจัดเผด็จการ
เผด็จการคือผู้ละเมิดกฎหมาย ทำลายหลักกฎหมายด้วยการก่อรัฐประหารล้มล้างรัฐธรรมนูญ และมุ่งสืบทอดอำนาจ (เป็นช่วงที่กลายสภาพเป็นทรราช) ซึ่งมีให้เห็นอยู่ทั่วไปในประวัติศาสตร์ สาเหตุที่จำเป็นต้องต่อสู้กับเผด็จการก็เพราะส่วนมากเผด็จการไม่ยินดีลงจากอำนาจด้วยความเต็มใจ ซึ่งคงเป็นเพราะความเคยชินกับการได้เปรียบประชาชนส่วนรวม
โดยที่เผด็จการสามารถปล้นชิงงบประมาณแผ่นดินมาให้อามิสลาภยศต่อผู้ที่ยอมเป็นเครื่องมือของตน ดังนั้นผู้ที่คิดจะต่อสู้กับเผด็จการ จึงต้องไม่เห็นแก่สิ่งเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม ก็จะยังมีผู้พร้อม “พายเรือให้โจรนั่ง” หรือหวังว่าตนเองจะสามารถสร้างสรรค์สิ่งดีงามบางประการใต้เงาเผด็จการได้ ดังนั้นการสมประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่ายเช่นนี้ จึงทำให้สถาบันเผด็จการยืดอายุขัยของตนออกไปได้เรื่อย ๆ และอยู่ขูดรีดประชาชนมาหลายสิบปีจนถึงวันนี้
ประเทศเผด็จการนั้นมักไม่เจริญ ดูอย่างพม่าที่มีทรัพยากรมหาศาลไม่แพ้ไทย กลับเสื่อมทรุด ประชาชนอดอยาก ความจริงประชาชนพม่ากับประชาชนไทยคงทำงานได้ผลผลิตไม่ต่างกันนัก แต่ถูกเผด็จการขูดรีดไปมากกว่า ในยุคต้นของเผด็จการอาจดูคล้ายเจริญขึ้นในระดับหนึ่ง ด้วยมีอำนาจเบ็ดเสร็จ สั่งการได้รวดเร็ว แต่พอนานๆ เข้า ด้วยอำนาจที่ไร้การตรวจสอบ การฉ้อราษฎร์บังหลวงก็พอกพูน ทำให้ประเทศเสื่อมทรุด ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าเกาหลีใต้หลังยุคปักจุงฮี ฟิลิปปินส์หลังยุคมากอส ไทยหลังยุคจอมพลถนอม จึงเจริญรุ่งเรืองกว่าแต่ก่อน
ถอดชนวนเผด็จการ
เราอาจเรียนรู้จากเพื่อนบ้าน ที่อินเดียและศรีลังกา เขา “ขุน” ทหารไว้ป้องกันประเทศ ทหารจะได้รับการดูแลอย่างดี ไม่ต้องแสวงหาลาภยศทางอื่น ทหารแทบไม่เคยถูกเรียกใช้ในทางอื่น ยกเว้นกรณีพิบัติภัย เขายังไม่มีการเกณฑ์ทหาร จึงไม่มี “ไอ้เณร” ไว้ให้ใช้ตรึงกำลังระหว่างทำรัฐประหาร ทหารเป็นอาชีพอย่างหนึ่งเหมือนข้าราชการอื่น จะสังเกตได้ว่าในแวดวงใดหากมีการ “เกณฑ์” หรือรับ “อาสาสมัคร” ก็จะเกิดเป็นกองทัพได้ เช่น กองทัพทหารพราน กองกำลังเจ้าหน้าที่ป่าไม้ นวพล หรือลูกเสือชาวบ้านที่สามารถนำมาใช้เพื่อการต่อรองทางการเมือง <5>
ทหารในประเทศทั้งสองนี้ อยู่ภายใต้นักการเมืองหรือรัฐบาล หากฝ่าฝืนนโยบายของรัฐบาล ทหารก็มีโอกาสถูกปลดหรือย้ายได้ง่าย ๆ เช่นข้าราชการทั่วไป การที่นักการเมืองคุมกองทัพได้ ก็เพราะพรรคการเมืองมีความเข้มแข็ง ได้รับการสนับสนุนหรือมีฐานเสียงจากประชาชนอย่างหนาแน่น อาจกล่าวได้ว่าประชาธิปไตยได้รับการปลูกฝังกันมาตั้งแต่ระดับนักเรียน ระดับหมู่บ้าน มีการให้การศึกษาต่อเนื่อง ทหารจึงแทบไม่มีบทบาททางการเมือง
อย่าหลงกล อนาธิปไตย
เมื่อเราไม่เอาเผด็จการ เราก็ไม่ควรติดกับอนาธิปไตย <6> ซึ่งแสดงออกด้วยการไม่เคารพในกติกาสังคม เช่น การเคลื่อนไหวให้มี “นายกรัฐมนตรีพระราชทาน” อันเป็นการบิดเบือนนัยของมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญปี 2540 ซึ่งไม่เป็นไปตามครรลองประชาธิปไตย ผู้นิยมประชาธิปไตยจะใช้กฎหมู่ละเมิดกฎหมายไม่ได้ ในไต้หวันและฟิลิปปินส์เมื่อปีที่แล้ว มีการเรียกร้องให้ประธานาธิบดีลาออกแทบไม่เว้นวัน แต่ท่านถือตนว่าได้รับการเลือกตั้งมาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ก็ไม่ยอมลาออก ผู้เรียกร้อง (ซึ่งแม้มีเสียงเอ็ดอึงแต่เป็นคนส่วนน้อย) ก็ต้องยอมรับและอดทนรอเลือกตั้งใหม่ จะสร้างเงื่อนไขให้เกิดรัฐประหารย่อมไม่ได้
ในทุกวันนี้ มีความพยายามสร้างอนาธิปไตยขึ้นในประเทศไทย เช่น กรณีการเสนอให้มีสภาองค์กรชุมชนที่ซ้ำซ้อนกับการปกครองส่วนท้องถิ่นแทนที่จะแก้ไขข้อบกพร่องของการปกครองดังกล่าว <7> หรือการพยายามให้ประชาชนยึดทรัพยากรธรรมชาติของชาติให้เป็นของเฉพาะกลุ่มตน เช่น กรณีป่าชุมชนกับชาวเขา <8> หรือกรณีทรัพยากรทางทะเลกับการใช้ประโยชน์เฉพาะกลุ่ม <9> ซึ่งทำให้คนส่วนใหญ่ของประเทศที่อยู่ห่างไกลจากทรัพยากรเหล่านี้ กลายเป็นผู้ด้อยโอกาสไป ผู้มีจิตใจที่เป็นประชาธิปไตยจะยอมให้คนส่วนน้อยที่อยู่ใกล้ทรัพยากรยึดไปใช้สอยเองเลียนแบบเผด็จการไม่ได้ เราต้องเชื่อมั่นว่าในการตัดสินใจของประชาชนส่วนใหญ่ แน่นอนว่าในเรื่องวิชาการหรือเทคโนโลยี ผู้รอบรู้ส่วนน้อยย่อมรู้แท้จริงกว่าคนส่วนใหญ่ แต่ในทางการเมือง เสียงส่วนใหญ่ย่อมถูกต้อง ตามหลักการที่ว่า “เสียงของประชาชนคือเสียงสวรรค์” แม้คนส่วนน้อยไม่เห็นด้วย ก็ต้องปฏิบัติตาม ไม่เช่นนั้นสังคมก็คงวุ่นวายไม่สิ้นสุด เราต้องส่งเสริมประชาธิปไตยให้ถูกทาง หาไม่ประเทศไทยก็จะติดกับดักอนาธิปไตยในอีกทางหนึ่ง
การสืบทอดเจตนารมณ์ 6 ตุลา
เจตนารมณ์ของวีรชน 6 ตุลาคม 2519 ก็คือ การพิทักษ์ประชาธิปไตย และการต่อสู้กับเผด็จการ ดังนั้นภารกิจของผู้อยู่หลังก็คือ การส่งเสริมประชาธิปไตย ซึ่งย่อมหมายถึงการให้สิทธิการนำของคนส่วนใหญ่ ถ้าเราศรัทธาในหลักประชาธิปไตย ก็แสดงว่าเราเห็นความสำคัญของคนเล็กคนน้อยเท่ากับเรา เราก็จะยึดมั่นในสิทธิมนุษยชน ทรัพยากรที่เคยถูกเผด็จการตักตวงไปก็จะถูกแบ่งปันไปยังประชาชนทั่วไปมากขึ้น ความผาสุกของบ้านเมืองก็จะเกิดขึ้น เราจึงควรส่งเสริมการปกครองในระบอบประชาธิปไตยให้กว้างขวาง ลึกซึ้งในทุกหมู่เหล่าตั้งแต่เด็กถึงคนชรา ตั้งแต่ในวงวิชาชีพถึงวงกาแฟ เป็นต้น
อย่าให้ความตายของเหล่าวีรชนประชาธิปไตย สูญเปล่า ประชาชนชาวไทยต้องร่วมกันสถาปนาประชาธิปไตยที่เคารพในเสียงส่วนใหญ่ ประชาชนไทยคือเจ้าของประเทศนี้ คือผู้ตัดสินอนาคตของตนเองใช่ใครอื่นสมดังคำพูดอมตะที่ว่า “ประชาชนต้องเป็นใหญ่ในแผ่นดิน”
บทความ :โสภณ พรโชคชัย
หมายเหตุ
<1> ดร.โสภณ พรโชคชัย เป็นนักศึกษาปี 1 ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อ พ.ศ. 2519 และร่วมอยู่ในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ด้วย แต่รอดกลับบ้านได้ด้วยการว่ายน้ำและได้รับความช่วยเหลือจากชาวบ้านแถวท่ามหาราช ปัจจุบันเป็นประธานกรรมการ มูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย และกรรมการสภาที่ปรึกษา Appraisal Foundation ซึ่งก่อตั้งโดยสภาคองเกรสเพื่อการควบคุมการประเมินค่าทรัพย์สินในสหรัฐอเมริกา Email: sopon@thaiappraisal.org
<2> รายละเอียดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ผ่านทางสารานุกรมออนไลน์ (อ้างอิงในเดือนตุลาคม 2550) ได้ที่
<3> เผด็จการชนชั้นกรรมาชีพ: The “dictatorship of the proletariat” is a term employed by Marxists that refers to a temporary state between the capitalist society and the classless and stateless communist society; during this transition period, “the state can be nothing but the revolutionary dictatorship of the proletariat.” The term does not refer to a concentration of power by a dictator, but to a situation where the proletariat (working class) would hold power and replace the current political system controlled by the bourgeoisie (propertied class). ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ สารานุกรมออนไลน์ (อ้างอิงในเดือนตุลาคม 2550)
<4> โปรดดูใน http://rirs3.royin.go.th/word25/word-25-a2.asp
<5> ความส่วนนี้มาจากบทความของ ดร.โสภณ พรโชคชัย เรื่อง ทำอย่างไรจึงจะปลอดรัฐประหาร เผยแพร่ในประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์ 21 กรกฎาคม 2550
<6> อนาธิปไตย (Anarchy) โปรดดูคำจำกัดความที่ สารานุกรมออนไลน์ (ภาษาไทย) และ (ภาษาอังกฤษ) (อ้างอิงในเดือนตุลาคม 2550)
<7> โปรดอ่าน สภาองค์กรชุมชน: ควรมีไหม? เผยแพร่ใน หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ประชาไท ,16 มิถุนายน 2550
<8> โปรดอ่าน อสังหาริมทรัพย์กับชาวเขา ในบิลเดอร์นิวส์ ปักษ์แรก เดือนมีนาคม 2549 หน้า 28 หรือที่
<9> โปรดอ่านคำวิจารณ์แนวคิด “รักท้องถิ่น” ของคุณกรณ์อุมา พงษ์น้อย กลุ่มชาวบ้านบ่อนอก
ที่มา : http://www.prachatai.com/05web/th/home/page2.php?mod=mod_ptcms&ContentID=9947&SystemModuleKey=HilightNews&SystemLanguage=Thai
วันเสาร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550
6 ตุลาคม 2519 กับสถาบันเผด็จการ
ผู้จัดเก็บบทความ เจ้าน้อย ณ สยาม ที่ 12:50 ก่อนเที่ยง
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น