วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

อกุศโลบายฮ่องเต้

ตอน : ดาบอาญาสิทธิ์ของหลิวปัง

หลังการสิ้นพระชมน์ของฉินซืออ๋วงตี้ในปีก่อน คศ.210 ประเทศจีนก็กลับเข้าสู่ภาวะสงครามกลางเมืองอีกรอบ โดยมีกลุ่มต่อต้านราชวงศ์ฉินผุดขึ้นมามากมายในกลุ่มเหล่านี้กลุ่มที่มีกำลังเข้มแข็งที่สุดคือกลุ่มของขุนศึกเซี่ยงหวี่ ส่วนอดีตกำนันหลิงปังเป็นแค่กลุ่มกำลังเล็กๆ แต่สามารถบุกเข้านครเสียนหยางเมืองหลวงของรัฐฉินได้ก่อน ตามข้อตกลงใครบุกเข้าเสียนหยางได้ก่อนคนนั้นจะได้เป็นกษัตริย์คนใหม่ แต่เซียวเหอที่ปรึกษาของหลิวปังแนะนำให้ไม่รับตำแหน่งนี้เพราะกำลังไม่เข้มแข็งพอที่จะต่อกรกับขุนศึกเซี่ยงหวี่ทีกำลังบุกตะลุยบ้าเลือดเข้าเสียนหยางตามหลังมาติดๆ

สุดท้ายหลิวปังคิดดูแล้วก็เห็นตามนั้นยกตำแหน่งให้กับเซี่ยงหวี่ เซี่ยงหวี่ตั้งตนเป็นอ๋องแล้วก็แต่งตั้งกลุ่มต่างๆไปครองหัวเมืองในปกครอง โดยหลิวปังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นฮั่นจงอ๋อง ไปครองเสฉวนดินแดนบ้านนอกในเวลานั้น หลิงปังแม้จะเจ็บใจแต่ก็ต้องจำยอมเพราะคิดแล้วสู้ไม่ได้จริงๆ พอไปอยู่เสฉวนซึ่่งเป็นเมืองเล็กๆ แม่ทัพนายกองต่างหมดกำลังใจหนีทัพไปเข้ากับเซี่ยงหวี่ทุกวัน สภาพกองทัพของหลิวปังอยู่ในภาวะระส่ำระสาย หลิวปังแม้จะรู้ก็ไม่มีปัญญาทำอะไรได้

วันหนึ่งขณะเซียวเหอที่ปรึกษาของหลิวปังขี่ม้าตรวจค่ายทหารก็ไปพบกับหานซิ่น นายทหารขนกระสอบข้าว ที่ต้องโทษประหาร ขณะเพชรฆาตจะลงดาบ หานซิ่นตัดพ้อขึ้นมาว่า "เสียดายนัก ตัวข้าไม่เคยมีนายที่เห็นคุณค่า วันนี้ต้องตายอย่างไร้ประโยชน์" เซียวเหอได้ยินเลยสั่งชะลอการประหารแล้วเรียกหานซิ่นไปคุย เซียวเหอตกใจกับความรู้ด้านการทหารของหานซิ่น จึงพยายามแนะนำให้หลิงปังแต่งตั้งหานซิ่นเป็นแม่ทัพ แต่จนแล้วจนรอดหานซิ่นก็เป็นแค่นายกองขนข้าว จนในที่สุดหานซิ่นน้อยใจจนตัดสินใจหนีไปตายเอาดาบหน้า เซียวเหอทราบข่าวถึงกับควบม้าไปตามกลับมาด้วยตนเอง แล้วพาเข้าพบกับหลิวปัง แล้วกล่าวกับหลิว
ปังว่า "หากท่านอยากเป็นอ๋องบ้านนอกต่อไป ก็ปล่อยให้หานซิ่นหนีไป แต่หากอยากเป็นฮ่องเต้ ก็ต้องแต่งตั้งหลิวปังเป็นแม่ทัพใหญ่" หลิงปังจึงเรียกหานซิ่นมาคุย แล้วก็ทึ่งในความรู้ความสามารถในการทหารที่เหนือกว่าตนเอง หลิงปังเริ่มเห็นทางที่จะเอาชนะขุนศึกเซี่ยงหวี่ได้เป็นครั้งแรก

หลิวปังจึงแต่งตั้งหานซิ่นเป็นแม่ทัพใหญ่ แต่เซียวเหอคัดค้านว่า แค่แต่งตั้งธรรมดาไม่พอ ต้องแต่งตั้งอย่างเป็นพิธีการ เพื่อสร้างฐานะของหานซิ่นให้เหนือกว่าแม่ทัพนายกองใดๆ ที่เคยรับใช้หลิวปังมาตั้งแต่ต้น ไม่เช่่นนั้น หานซิ่นคงไม่มีใครยอมรับในอำนาจบัญชาการทหารสูงสุด หลิวปังจึงมอบหน้าที่ให้เซียวเหอไปจัดการ

เซียวเหอจึงกำหนดวันดีขึ้น เรียประชุมแม่ทัพนายกองทั้งหลาย ตั้งประรำพิธีอย่างโบราณราชประเพณี หลิงปังแต่งตัวอย่างฮ่องเต้นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร ทันใดนั้น หานซิ่นก็ขี่ม้าขาวเข้ามาด้วยชุดออกศึกของแม่ทัพใหญ่ แม่ทัพนายกองที่ติดตามหลิวปังมาแต่ต้นเห็นเข้าต่างปรามาสว่า หานซิ่นเป็นแค่ทหารแบกข้าว จะเอามาเป็นแม่ทัพใหญ่ได้อย่างไร หานซิ่นกลับไม่สนใจ เดินเข้าไปในประรำพิธีรับดาบอาญาสิทธิ์พร้อมตราแม่ทัพใหญ่จากหลิวปัง พร้อมทั้งรับคำบัญชาจากหลิวปังให้เป็นแม่ทัพใหญ่มีอำนาจสิทธิ์ขาด สามารถใช้ดาบอาญาสิทธิ์ประหารคนที่ขัดคำสั่งได้ก่อนกราบทูล สิ้นคำนั้นของหลิงปัง เหล่าแม่ทัพนายกองแม้ไม่พอใจต่างก็กลัวจนหัวหด เพราะโผล่หัวออกมาย่อมถูกหานซิ่นกุดหัว

และหานซิ่นก็เป็็นแม่ทัพใหญ่ที่เหมาะสมที่สุด นำทัพทหารฮั่นตะลุยแย่งแผ่นดินจนชนะเซี่ยวหวี่ซึ่งได้ชื่อว่ายอดนักรบแห่งยุค ส่งให้หลิวปังได้เป็นปฐมจักรพรรดิ์แห่งราชวงศ์ฮั่น

ที่ยกตัวอย่างเล่ามาซะยึดยาว เพราะอยากจะเปรียบเทียบให้ดูถึงอุบายการสร้างภาพคนแบกกระสอบข้าวให้เป็นจอมทัพในเวลาเพียงข้ามวันของหลิวปัง (จริงๆต้องบอกว่าเป็นอุบายของเซียวเหอ แต่หลิวปังเห็นดีด้วย) มันคืออุบายเดียวกันกับที่กษัตริย์.....ใช้ในการสร้างภาพของกลุ่มตุลาการที่เรียกตัวเองว่าตัวแทนศาล จากข้าราชการฝ่ายตุลาการที่รัฐธรรมนูญแยกอำนาจขาดออกจากฝ่ายนิติบัญญัติ และบริหาร ให้มีอำนาจเข้ามาแทรกแซงตัดสินได้โดยไม่มีใครกล้าเข้ามาแตะต้อง เพียงแต่เปลี่ยนปะรำพิธีมาเป็นถ่ายทอดสดทางทีวี และเปลี่ยนจากดาบอาญาสิทธิ์เป็นคำให้โอวาทแก่เหล่าตัวแทนศาลเท่านั้นเอง

ตัวแทนศาลเหล่านั้นก็ไม่ต่างกับหานซิ่นที่ได้รับดาบอาญาสิทธิ์จากหลิงปัง ตัวแทนศาลเหล่านั้นเริ่มกระทำการที่เรียกได้ว่า "แทรกแซงองค์กรอิสระและก้าวก่ายอำนาจอธิปไตยอีกสองส่วนอย่างไม่มีใครกล้าแตะต้อง" เพราะใครจะกล้ายื่นคอออกมาพาดเขียงเล่า เพราะตัวแทนศาลเชือด กกต ที่เป็นองกรณ์์กลาง ให้ติดคุกกันไปแบบไม่ให้อุธรณ์เพื่อจะล้มการเลือกตั้งและแต่งตั้งคนของตนเข้ามาทำหน้าที่แทน รวมถึงส่งคนที่ออกมากล่าวว่าในความเห็นส่วนตัวแล้วศาลกระทำเกินหน้าที่ด้วยการสั่งจำคุกด้วยข้อหาหมิ่นศาลโดยทันที

และในสุดท้ายกลุ่มตัวแทนศาล ก็ทำหน้าที่แม่ทัพใหญ่ในการล้มล้างระบอบประชาธิปไตย และสถาปนาระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์กลับมาใช้ในประเทศ.....ได้สำเร็จ รวมทั้งกำจัดหัวหอกฝ่ายก้าวหน้าที่เป็นที่นิยมอย่างสูงออกไปพร้อมกัน ต้องยอมรับว่าพิธีแต่งตั้งแม่ทัพใหญ่และดาบอาญาสิทธิ์ของหลิวปัง ยังใช้ได้ดีเสมอ แม้เวลาจะผ่านมาเกินกว่า 2000 ปีแล้วก็ตาม


โดย.คนไม่มีชื่อ แต่มีเสียง

ที่มา : แดนลึกลับ ไม่สามารถเข้าถึงได้

หมายเหตุ
เพื่อนจากแดนไกลส่งมาฝากบอกว่าลงในบล็อกให้หน่อย ผมเห็นว่าเปนเรื่องของประเทศในภูมิภาคเดียวกันเลยเอามาลงไว้อ่านประดับความรู้ แต่อ่านไปอ่านมามันก็แสนจะปวดเข้าไปในหัวใจ...

ไม่มีความคิดเห็น: