วันพุธที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2550

ตำนานไพร่ธุลีดิน


พิธีการได้สร้างความยิ่งใหญ่ให้เป็นอันมาก และเป็นความยิ่งใหญ่ที่ไม่สามารถเพิกถอนได้ด้วย มนุษย์ในสมัยโบราณ เมื่อมีคนตายลงในครอบครัว ซึ่งโดยมากก็เป็นผู้มีอายุมาก เช่นปู่ย่าตายาย หรือพ่อแม่ เมื่อตายแล้วคนที่อยู่ข้างหลังก็เอาศพไปฝัง หน้าตาของคนตายย่อมจะน่าเกลียดน่ากลัว คนที่อยู่ภายหลังย่อมจะกลัวรูปร่างอันนั้นลุกขึ้นมาหลอกหลอน ต้องทำพิธีฝังอย่างมั่นคง เป็นต้นว่าเอาหินมาทับทำพิธีเคารพบูชาขออย่าให้มาปรากฏให้เป็นที่น่ากลัวแก่ลูกหลานอีก “เพียงเท่านั้นซากศพก็มีความยิ่งใหญ่ขึ้นมา” ต่อมาเมื่อเกิดพิธีเคารพบูชาก็กลายมาเป็นขออำนาจศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองป้องกัน หรือให้ลาภผล ช่วยรักษาโรค ช่วยขจัดภัย ซากศพนั้นก็กลายเป็นเทพเจ้าที่เชื่อกันว่าสามารถจะดลบันดาลให้ผลอย่างหนึ่งอย่างใดแก่ผู้เคารพบูชา คนก็บูชาเรื่อยมา ชั้นเดิมก็เป็นแต่เพียงบรรพบุรุษบูชากันในครอบครัวหนึ่ง ต่อมาอีก 2-3 ชั่วคน ครอบครัวนั้นขยายใหญ่ขึ้น คนเคารพบูชาก็มีมากขึ้น เทพเจ้านั้นก็ได้เปลี่ยนสถานะจากเทพเจ้าเฉพาะครอบครัวเฉพาะตระกูลเป็นเทพเจ้าของคนทั้งหมู่ แล้วก็เลื่อนฐานะสูงขึ้นมาทุกที กลายเป็นเทพเจ้าประจำตำบล ประจำเมือง ตลอดถึงประจำอณาจักร สิ่งที่เคยเป็นของปฏิกูลเน่าเปื่อยน่าเกลี่ยดน่าชังในตอนต้นก็ได้รับการตกแต่งให้ดีวิเศษขึ้น อาจได้รับการตั้งชื่อใหม่ให้เป็นพวกฟ้าพวกสวรรค์ ซึ่งวิธีการนี้ได้เกิดเหมือนกันขึ้นทุกๆ แห่งหน อียิปต์โบราณ กรีกโบราณ อินเดียโบราณ จีนโบราณ มีวิธีการอย่างเดียวกัน ผู้ปกครองบ้านเมืองแท้จริงกลายเป็นเทพเจ้าที่ไม่มีตัวตน ซึ่งเกิดจากพิธีการที่ทำให้ยิ่งใหญ่กว่ามนุษย์ซึ่งเป็นผู้ปกครองอยู่จริงๆ เสียอีก

ต่อมาเมื่อมีเทวาลัยเทวสถาน หรือที่สิงสถิตแห่งเทพเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวข้างต้น ก็ต้องมีคนรักษาสถานที่คอยปัดกวาดทำความสะอาด คอยซ่อมแซมสิ่งซึ่งจะชำรุดหักพัง คนที่มาทำงานในหน้าที่นี้ อาจเป็นพวกไม่มีทางทำมาหากินอย่างอื่น และเข้ามาอาศัยเทวสถานเป็นที่อยู่ อาศัยของกินของผู้ที่นำมาสังเวยเทพเจ้า หรือฉวยโอกาสขอทานในเมื่อมีคนมาสักการบูชาเทพเจ้า คนที่มาสักการบูชานั้น บางทีก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร เช่นจุดไฟตรงไหน ทำการกราบไหว้อย่างไรจึงจะได้ผลศักดิ์สิทธิ์จริง เมื่อไม่รู้จึงต้องถามคนเฝ้า คนเฝ้าจะรู้หรือไม่ก็ตามที เมื่อมีคนถาม ก็จะทำตนให้กลายเป็นผู้รู้ขึ้นมาทันที บอกให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ คนเฝ้าคนปักกวาดคนพเนจรมานอนอาศัย คนขอทานพวกนั้นก็เลื่อนขั้นเลื่อนฐานะขึ้นสู่ความยิ่งใหญ่ กลายเป็นผู้สอนเรื่องวิธีการสักการบูชาเทพเจ้า

พอจับเคล็ดอันนี้ได้ เรื่องก็ไปกันใหญ่ คนเฝ้าเทวาลัยที่เจ้าปัญญาอยู่บ้างก็คิดวิธีสักการะให้วิจิตรพิสดารมากขึ้น เช่นต้องจุดอย่างนั้นอย่างนี้ ต้องวางที่นั้นที่นี้ ของอย่างนี้บูชาได้ของอย่างนี้บูชาไม่ได้ ยิ่งสร้างพิธีการให้มากเพียงใดก็ยิ่งสร้างความยิ่งใหญ่ให้แก่เทวสถาน เทวาลัย เทพเจ้า และ “ตัวเอง”

พวกนี้คิดวิธีสักการบูชาได้วิจิตรพิสดารมากขึ้นทุกที ซ้ำคิดมนต์คาถาซึ่งคนอื่นไม่รู้ หรือรู้ไม่ได้ ต้องรู้แต่เฉพาะพวกเขา พอมาถึงขั้นนี้ การทำสักการบูชาก็ต้องให้พวกนี้ทำ คนอื่นทำไม่ได้ เป็นอันเลื่อนฐานะขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง คือเป็นบุคคลพวกเดียวที่สามารถจะประกอบพิธีการแล้วก็เลื่อนขึ้นไปทีละขั้น จนกระทั่งเป็นบุคคลที่สามารถจะพูดให้ได้ยินถึงเทพบนสวรรค์ พิธีการซึ่งไม่มีอะไรในขั้นต้นก็มีมากขึ้นทุกที บุคคลพวกนี้ได้กลายเป็นชั้นวรรณะอันหนึ่งซึ่งสูงกว่าคนทั้งหลายทั่วไป อย่างที่เขาเรียกกันว่า “พระ” หรือ “พราหมณ์”

เมื่อแสดงตนว่าเป็นผู้สามารถพูดกับเทพเจ้าบนสวรรค์ได้ ก็ได้รับความยิ่งใหญ่อีกประการหนึ่ง คือกลายเป็นนักปราชญ์ขึ้นมา ใครไม่รู้อะไรก็ต้องมาถาม เมื่อมีคนมาถามก็ต้องหาทางตอบให้ได้ ถ้าตอบทันทีไม่ได้ก็ต้องหาทางผลัดเพี้ยนให้ได้ปรึกษาหารือกันในพวกของตน เพื่อหาคำตอบให้สมเหตุสมผล วิธีผลัดเพี้ยนก็คือว่า ขอผลัดทำพิธีถามเจ้า เมื่อปรึกษาหารือตกลงกันอย่างไร ก็ต้องจดจำไว้ เพราะการกล่าวเท็จนั้นต้องจำเก่ง พวกนี้มีความจำเป็นต้องเล่าเรียนศึกษา ลูกเต้าที่ออกมาใหม่ต้องได้เล่าเรียน เพราะต่อไปจะต้องเป็นปราชญ์สืบตระกูลแทนคนพวกนี้เลยกลายเป็นต้นตอแห่งการศึกษาหาความรู้ เมื่อให้คำตอบแก่ผู้ต้องการถามไปแล้วก็ต้องจดหรือจำไว้เป็นลัทธิ มีความจำเป็นต้องตอบคำถามมากๆ เข้าความเป็นลัทธิก็มากขึ้น

คนที่จะมาขอความช่วยเหลือจากเทพเจ้านั้น อาจมีหลายประเภท แต่ส่วนมากที่สุดในสมัยโบราณ เป็นผู้ที่มีโรคภัยไข้เจ็บ ไม่รู้จะรักษาอย่างไร ก็ต้องมาหาเทพเจ้า และบุคคลผู้เฝ้าเทวสถาน ซึ่งบัดนี้ก้าวขึ้นสู่ความยิ่งใหญ่ มีฐานะเป็นพระ เป็นพราหมณ์ขึ้นมาแล้ว ก็ต้องทำพิธีรักษาให้ ซึ่งอาจจะเริ่มต้นด้วยน้ำมนต์ โดยถือว่าเป็นน้ำของเทพเจ้า ถ้าเผอิญรักษาหายเข้า ความศักดิ์สิทธิ์ก็บังเกิดขึ้น ถ้ารักษาไม่หาย ก็ไม่ว่ากระไร เพราะจะลบหลู่เทพเจ้าไม่ได้ นอกจากนั้น พวกพระหรือพรามหมณ์ผู้เฝ้าเทวสถานอาจจะบอกให้เอาใบไม้รากไม้ หรือเปลือกไม้อย่างนั้นอย่างนี้ทำเป็นยารักษาโรค ถ้าเผอิญไปถูกเข้า ก็จดจำไว้ ถ้าผิดก็ตายไป ไม่มีใครว่ากระไร ทำกันมานานๆ ทำสืบต่อกันมาหลายชั่วคน หลายสิบหลายร้อยปี วิชาแพทย์ก็เกิดขึ้นด้วยการทดลองชีวิตคนเป็นจำนวนมากเหลือจะคณนา ผู้รักษาเทวสถานกลายเป็นบุคคลอีกพวกหนึ่ง คือแพทย์

ทุกแห่งทุกหนในหมู่ชนชาติโบราณ ได้มีวิธีการอย่างเดียวกันนี้ ตั้งแต่อียิปต์ในแอฟริกา กรีกในยุโรป อินเดีย และจีนในบูรพาทิศ มีวิธีอย่างเดียวกัน พระของอียิปต์กำความยิ่งใหญ่ คืออำนาจทางบ้านเมืองไว้หมด พระอียิปต์เป็นผู้พูดกับเทพเจ้า เป็นผู้พิพากษาที่จะให้คนตายไปสวรรค์หรือลงนรก เป็นผู้ที่สามารถถามเทพเจ้าว่าปีนี้เทพเจ้าจะให้น้ำในลำแม่น้ำไนล์มากหรือน้อย รายการที่เขาจดกันมาหลายร้อยปีทำให้ได้สถิติแน่นอน ว่าถ้าน้ำขึ้นเท่านี้ในเดือนนี้ จะขึ้นเท่าไรในเดือนหน้า จะสูงสุดเท่าไรในฤดูน้ำ สามารถจะให้คำแนะนำแก่พลเมืองได้ค่อนข้างถูกต้องเป็นส่วนมากว่า จะควรป้องกันน้ำหลากหรือความแห้งแล้วอย่างไร เขาไม่บอกว่าได้จากการคำนวณทางวิชาการ แต่เขาบอกว่าเขาถามเทพเจ้า ทำพิธีถามกันจริงๆ เป็นพิธีใหญ่ พิธีซึ่งทำให้พวกพระอียิปต์มีฐานะยิ่งใหญ่ถึงกับเป็นฑูตของพระเจ้าจากสวรรค์

ฐานะของพระเจ้าแผ่นดินนั้น ในชั้นเดิมก็เกิดจากพ่อ ระบอบการปกครองเรื่องพ่อปกครองลูก ได้ตั้งต้นก่อนอย่างอื่น เริ่มตั้งแต่พ่อในครอบครัว จนกระทั่งถึงพ่อบ้านพ่อเมือง องค์พระมหากษัตริย์ก็คือพ่อที่สูงสุดบังคับบัญชากันภายในวงอำนาจของพ่อ ลดหลั่นกันไป พระมหากษัตริย์ออกคำสั่งไปยังพ่อเมือง พ่อเมืองออกคำสั่งไปยังพ่อบ้าน แล้วก็ควบคุมกันเป็นลำดับไป เป็นวิธีการปกครองที่ดีเลิศ เพราะเป็นระบอบของธรรมชาติและยุติธรรมที่สุด ผู้ปกครองกับผู้อยู่ใต้ปกครองมีความสัมพันธ์กันอย่างครอบครัว มีความรักใคร่สนิทสนมเมตตากรุณา เอื้อเฟื้อช่วยเหลือกัน ผู้อยู่ใต้ปกครองย่อมเคารพนบนอบอยู่ในโอวาท เพราะเป็นพ่อไม่ใช่คนอื่น

แต่ระบอบการปกครองอันดีเลิศนี้ ไม่สามารถจะดำเนินยั่งยืนได้นาน เพราะถ้ามัวแต่เป็นพ่ออยู่ อำนาจก็ค่อยๆ หมด แทนที่ลูกจะเชื่อพ่อ กลับไปเชื่อ พระอิทธิพลของพระเข้าครอบงำพวกลูกบ้านลูกเมืองจนหมด ทั้งนี้เพราะว่า พระมหากษัตริย์ซึ่งปกครองอย่างเป็นพ่อนั้น เป็นแต่เพียงมนุษย์ธรรมดา คำของพ่อเป็นคำมนุษย์ ส่วนคำของพระเป็นคำของเทพเจ้า คนเราชอบนับถือสิ่งที่มองไม่เห็นมากกว่าสิ่งที่มองเห็น ถ้าขืนปล่อยไปอย่างนี้ ผู้ที่จะครอบครองบ้านเมืองก็จะไม่ใช่พระมหากษัตริย์ กลายเป็นพระ ในอียิปต์โบราณก็ได้มีตัวอย่างมาแล้ว คือพระประกาศตัวเป็นกษัตริย์ ครองภาคหนึ่งของอียิปต์ เดือดร้อนพระมหากษัตริย์ต้องทำความพยายามแย่งชิงเอาความยิ่งใหญ่มาจากมือพระ ให้องค์พระมหากษัตริย์เป็นผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด เพื่อให้มีอำนาจครอบครองบ้านเมืองได้ และการจะช่วงชิงความยิ่งใหญ่มาได้นี้ ก็ต้องอาศัยพิธีการเหมือนกัน

อียิปต์ได้เริ่มต้นทำก่อนผู้อื่น คือล่อเอาพระที่มีอิทธิพลมากๆ และที่แตกแยกกับพระสูงสุดในประเทศนั้นมาเข้าพวกพระมหากษัตริย์ พระที่แตกแยกออกมานี้เริ่มสอนคนว่าได้ยินได้ฟังมาจากเทพเจ้าว่า พระมหากษัตริย์นั้นไม่ใช่คนอื่นเป็นลูกของเทพเจ้าสืบสายโดยตรงจากเทพเจ้า โฆษณาชวนเชื่อในทำนองนี้ สามารถจูงใจคนได้ทีละเล็กละน้อย ทำกันไปนานๆ คนทั้งหลายเลยยอมรับว่าพระมหากษัตริย์นั้นไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา เป็นลูกของเทพเจ้า หรือเป็นตัวเทพเจ้าซึ่งจุติลงมาเกิด พระมหากษัตริย์จึงยิ่งใหญ่กว่าพระ เพราะพระเป็นแต่เพียงทูตของเทพเจ้า ส่วนพระมหากษัตริย์นั้นเป็นลูกของเทพเจ้า หรือเป็นตัวเทพเจ้าองค์หนึ่งเอง ในฐานะที่เป็นลูกหรือเป็นเทพเจ้าองค์หนึ่งย่อมสามารถจะพูดกับเทพเจ้าเบื้องบนได้ดีกว่าพระ ซึ่งเป็นแต่เพียงทูต เพราะฉะนั้นพระมหากษัตริย์จึงสามารถจะทำพิธีเส้นสรวงเทพเจ้าวิงวอนร้องขออะไรจากเทพเจ้าได้เอง ไม่ต้องอาศัยพระ

ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ ฐานะในทางปกครองของพระมหากษัตริย์ จึงได้เปลี่ยจากความเป็นพ่อ มาเป็นเทวราช อันที่จริงก็เกิดจากความจำเป็น เพราะถ้าพระมหากษัตริย์ยังทรงเป็นมนุษย์สามัญอยู่ ก็สู้พระไม่ได้ จำเป้นที่พระมหากษัตริย์จะต้องเลื่อนฐานะของพระองค์เองขึ้นเป็นเทวดาเสียเอง และเมื่อพระมหากษัตริย์เลื่อนขึ้น ราษฎรก็เลื่อนลง เมื่อพระมหากษัตริย์เป็นสมมติเทวราช ราษฎรก็เป็นสมมติสัตว์ ลดฐานะลงมาเป็นไพร่ทาส ไม่เป็นลูกเหมือนแต่ก่อน ความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงนี้ ไม่ใช่ด้วยอุปกรณ์อย่างอื่นเลย พิธีการเท่านั้นที่สร้างความยิ่งใหญ่อย่างมหาศาล สร้างได้มากเกินความคาดหมาย ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ คนเฝ้าคนกวาดคนทำความสะอาดในเทวาลัยสถาน กลายเป็นมนุษย์พิเศษ เป็นทูตของเทพเจ้า ผู้ปกครองซึ่งเป็นมนุษย์ธรรมดา กลายเป็นเทวดา แล้วถือกันจริงๆ เสียด้วย


หลวงวิจิตรท่านต้องเผชิญกับกระแสกดดันอะไรบางอย่างจนต้องเขียนกลอนว่า...

อันที่จริงเขาอยากเห็นเราดี แต่ถ้าเด่นขึ้นทุกทีเขาหมั่นไส้
จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย ไม่มีใครเขาอยากเห็นเราเด่นเกิน


จากบางส่วนในหนังสือ "กุศโลบายสร้างความยิ่งใหญ่" ของหลวงวิจิตรวาทการ

โดย : Henry แห่ง ประชาไท

ที่มา : http://www.prachatai.com/webboard/topic.php?id=514055

หมายเหตุ
ผมยอมรับในการเปนผู้รู้และผู้คงแก่เรียนของ หลวงวิจิตรวาทการเพราะว่าท่านเปนทั้งนักคิดและนักเขียนในตลอดช่วงเวลาแห่งการทำงานของท่าน แต่ก็ยังมีในสิ่งที่ท่านตัดสินใจผิดโดยการ..
ช่วยผิดคน และอยู่ผิดข้าง เน้นข้อความโดยผู้จัดเก็บบทความ

ไม่มีความคิดเห็น: