วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2550

กรณีถวัติ ฤทธิเดช ฟ้องพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ


กรณีถวัติ ฤทธิเดช ฟ้องพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ: ศิลปวัฒนธรรม ฉบับ "วันกรรมกร" ปีที่แล้ว (พฤษภาคม ๒๕๔๗) ได้ตีพิมพ์บทความประวัติชีวิตถวัติ ฤทธิเดช ของศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ โดยเขียนโฆษณาบนหน้าปกที่เป็นรูปกำปั้นกรรมกรกำลังชูขึ้นบนพื้นหลังสีแดงอันขึงขังว่า "ฟ้องรัชกาลที่ ๗ ทรง "หมิ่นประมาท"! ถวัติ ฤทธิเดช ผู้นำกรรมกร" ผู้ที่พอมีความรู้ประวัติศาสตร์การเมืองสยามสมัยหลัง ๒๔๗๕ ย่อมทราบว่าข้อความโฆษณาบนปกศิลปวัฒนธรรมนี้พาดพิงถึง ในเหตุการณ์ที่สร้างชื่อเสียงในลักษณะ "ตำนาน" ให้ถวัติ นั่นคือกล่าวขานกันว่าเขาเป็นคนแรกที่กล้าขนาดฟ้องพระมหากษัตริย์

เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้มีความน่าสนใจจนบรรณาธิการเลือกที่จะนำมาโฆษณาบนหน้าปกมากกว่าชื่อบทความเองที่เน้นความเป็น "ผู้นำกรรมกรคนแรก" ของถวัติ ในบทความและในหนังสือเล่ม (ซึ่งบทความย่อมา) ที่ออกตามมาในเวลาไม่นานหลังจากนั้น การฟ้องพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ นี้เป็นเพียงตอนหนึ่งซึ่งไม่ยาวนัก

อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะมีประโยชน์อยู่บ้าง แต่การพูดถึงกรณีนี้ของศิโรตม์มีความคลาดเคลื่อนสำคัญไม่น้อยและไม่มีตอนจบ (คือไม่ได้เล่าว่ากรณีนี้ลงเอยอย่างไร) จริงอยู่เรื่องถวัติฟ้องพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ นี้ ปัจจุบันหาหลักฐานชั้นต้นในที่สาธารณะแทบไม่ได้จริงๆ แต่เฉพาะหลักฐานที่มีอยู่ ถ้าหากจะใช้ความระมัดระวังในการวิพากษ์หลักฐานมากกว่านี้ ก็น่าจะหลีกเลี่ยงความผิดพลาดเหล่านั้นได้ (ยกตัวอย่างเช่น ประเด็นสำคัญที่ว่า ถวัติฟ้องพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ต่อศาลอาญา แต่ศาลไม่รับฟ้อง ตามที่ศิโรตม์เขียนนั้น แท้จริงถวัติไม่เคยฟ้องพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ต่อศาลอาญาแต่อย่างใด) ที่สำคัญ โดยส่วนตัวผมไม่คิดว่าการบรรยายเรื่องราวของถวัติในลักษณะ "ตำนานคนกล้า" (heroic tale) ที่ศิโรตม์ทำ ตามแบบจารีตการเขียน "ประวัติการต่อสู้ของกรรมกรไทย" อันเป็นที่นิยมในหมู่ปัญญาชน "ทวนกระแส" ซึ่งสังศิต พิริยะรังสรรค์ บุกเบิกไว้เมื่อหลายปีก่อน จะช่วยทำให้เข้าใจชีวิตของถวัติได้อย่างแท้จริง ผมเห็นด้วยว่าชีวิตของถวัติมีความน่าสนใจ แต่ก็มีความประหลาด "ไม่ลงตัว" หลายประการเกินกว่าจะจับลงไว้ในกรอบการพรรณนา (narrative) เรื่อง "ปัญญาชนของชนชั้นกรรมกร" หรือ "ราษฎรผู้หาญกล้าท้าทายสมบูรณาญาสิทธิ์ไทย" ได้ (เช่นเดียวกับกรณีร่วมสมัยของนายนรินทร์ ภาษิต ซึ่งบังเอิญกำลังเป็นข่าว "ฮือฮา" พร้อมๆ กับกรณีถวัติฟ้องพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ พอดี ด้วยการอดอาหารประท้วง จนมีข่าวว่าใกล้เสียชีวิต)

จุดมุ่งหมายของบทความต่อไปนี้คือ นำเสนอเอกสารที่เกี่ยวข้องกับกรณีอันน่าสนใจ "ถวัติ ฤทธิเดช ฟ้องพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ" นี้ โดยจงใจหลีกเลี่ยงไม่สรุปล่วงหน้าว่ามีนัยยะความหมายอะไรและจำกัดการแสดงความเห็นและตีความให้อยู่ในระดับต่ำ ผมควรชี้ให้เห็นด้วยว่า หลักฐานที่เหลืออยู่ขาดความสมบูรณ์อย่างมาก โดยเฉพาะเป็นที่น่าเสียดายว่า บันทึกการประชุมคณะรัฐมนตรีระหว่างต้นเดือนกันยายนถึงปลายเดือนธันวาคม ๒๔๗๖ ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นของกรณีนี้ ปัจจุบันไม่มีเหลือเก็บอยู่ที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) แล้ว เหลือเพียงจดหมายโต้ตอบเกี่ยวกับกรณีนี้ซึ่งไม่สมบูรณ์ แต่ก็ยังให้ข้อมูลที่หาไม่ได้ในหลักฐานสาธารณะที่มีอยู่

เหตุการณ์ที่จะเล่าต่อไปนี้ ผมเรียงตามลำดับเวลาการเกิดก่อนหลัง


จุดเริ่มต้น : ข่าวถวัติจะฟ้อง พระปกเกล้าฯ ต่อสภา กลางกันยายน ๒๔๗๖

กลางเดือนกันยายน ๒๔๗๖ ระหว่างวันที่ ๑๖ ถึง ๑๘ หนังสือพิมพ์หลายฉบับได้รายงานข่าวว่าถวัติ ฤทธิเดช ที่รู้จักกันในฐานะผู้นำกรรมกรรถราง (เขาก่อตั้งสมาคมรถราง) จะยื่นฟ้องพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ต่อสภาผู้แทนราษฎร อ้างว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงหมิ่นประมาทตน เพราะใน "บันทึกพระบรมราชวินิจฉัยเค้าโครงการเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐมนูธรรม" ที่มีการแจกจ่ายระหว่างเกิดวิกฤตการณ์เรื่องเค้าโครงการเศรษฐกิจเมื่อเดือนมีนาคม-เมษายน ๒๔๗๕ (ปฏิทินเก่า เทียบปัจจุบันคือ ๒๔๗๖ คือปีเดียวกับที่เรากำลังพูดถึง) มีข้อความตอนหนึ่งพาดพิงถึงผู้นำกรรมกรรถรางว่า "การที่กรรมกรรถรางหยุดงานนั้น หาใช่เกิดการหยุดเพราะความเดือดร้อนจริงจังอันใดไม่ ที่เกิดเป็นดังนี้นั้นก็เพราะมีคนยุให้เกิดการหยุดงานขึ้น เพื่อจะได้เป็นโอกาสให้ตั้งสมาคมคนงาน และตนจะได้เป็นหัวหน้า และได้รับเงินเดือนกินสบายไปเท่านั้น"

ดังที่ถวัติจะเล่าเองในภายหลัง เขาได้ยื่นฟ้องพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ต่อสภาผู้แทนราษฎรโดยผ่านทางมังกร สามเสน สมาชิกสภาผู้หนึ่ง แต่มังกรไม่ยอมรับ อ้างว่าทำไม่ได้เพราะขัดกับรัฐธรรมนูญฉบับ ๑๐ ธันวาคม ๒๔๗๕ ที่กำลังใช้อยู่ มาตรา ๓ "องค์พระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการ ผู้ใดจะละเมิดมิได้" ไม่ชัดเจนว่าเหตุใดถวัติจึงพยายามฟ้องต่อสภาไม่ใช่ต่อศาล เข้าใจว่า เขาถือโดยอนุโลมตามรัฐธรรมนูญฉบับแรก ๒๗ มิถุนายน ๒๔๗๕ ที่มีบัญญัติในมาตรา ๖ ว่า "กษัตริย์จะถูกฟ้องร้องคดีอาชญายังโรงศาลไม่ได้ เป็นหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎรจะวินิจฉัย" รัฐธรรมนูญ ๑๐ ธันวา ไม่มีบทบัญญัติเรื่องฟ้องพระมหากษัตริย์ในคดีอาญาไม่ได้ หรือเรื่องให้สภาวินิจฉัยพระมหากษัตริย์แล้ว แต่ในระหว่างการพิจารณามาตรา ๓ ของรัฐธรรมนูญนี้เอง กรรมการร่างรัฐธรรมนูญได้อธิบายนัยยะของการที่ "ผู้ใดจะละเมิดมิได้" คล้ายกับมาตรา ๖ เดิม คือฟ้องพระมหากษัตริย์ในคดีอาญาไม่ได้ แต่ไม่ได้พูดชัดเจนเรื่องให้สภาวินิจฉัย เรื่องมังกร สามเสน ไม่รับเป็นผู้เสนอฟ้องของถวัติต่อสภานี้ เข้าใจว่ารู้กันระหว่างถวัติกับมังกร ไม่ได้เป็นข่าวด้วย เพราะคงเกิดภายหลังจากถวัติให้ข่าวเรื่องจะฟ้องต่อหนังสือพิมพ์ไปแล้ว


ผู้ที่ร้อนใจต่อข่าว (๑) : รัฐมนตรีมหาดไทย ๑๘ กันยายน ๒๔๗๖

ปรากฏว่าข่าวถวัติจะฟ้องพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ต่อสภาสร้างความร้อนใจให้กับบางคนอย่างมาก คนแรกคือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พระยาอุดมพงศ์เพ็ญสวัสดิ์ วันที่ ๑๘ กันยายน เขาเขียนจดหมายถึงพระยาพหลฯ นายกรัฐมนตรีฉบับหนึ่ง ดังนี้

ที่ ๔๑๑/๘๐๕๐ ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย
วันที่ ๑๘ กันยายน พุทธศักราช ๒๔๗๖
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เรียน นายกรัฐมนตรี

ด้วยมีหนังสือพิมพ์หลายฉะบับ ลงข่าวเรื่องนายถวัติ ฤทธิเดช ฟ้องพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต่อสภาผู้แทนราษฎร ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญที่เกิดขึ้นในบัดนี้ น่าจะเป็นทางเพาะภัยให้แก่พระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตลอดจนบ้านเมืองได้อย่างไม่เคยพบเห็น ระวางนี้ ได้ให้กรมอัยยการตรวจอยู่แล้ว ข้าพเจ้าขอโอกาสที่จะได้นำมากราบเรียนในวันนี้เวลาบ่าย

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด
พระยาอุดมพงศ์เพ็ญสวัสดิ์

สำหรับจดหมายราชการแล้ว จดหมายของพระยาอุดมพงศ์ฯ ฉบับนี้ต้องนับว่าใช้ถ้อยคำน้ำเสียงที่รุนแรงไม่น้อย ("เรื่องสำคัญที่เกิดขึ้นในบัดนี้", "เพาะภัย...อย่างไม่เคยพบเห็น") แต่ดูเหมือนพระยาพหลฯ เองไม่ได้ตื่นเต้นร้อนใจไปด้วย เมื่อรับจดหมายแล้ว เขาเพียงแต่เขียนลงในตอนท้ายว่า "ทราบ [ลงชื่อ] พระยาพหลฯ ๑๘/ก.ย./๗๖" เท่านั้น ไม่แน่ชัดว่า ที่พระยาอุดมพงศ์ฯ ขอเข้าพบในบ่ายวันนั้น พระยาพหลฯ ได้ให้เข้าพบหรือไม่


ผู้ที่ร้อนใจต่อข่าว (๒) : พระปกเกล้าฯ ๒๘ กันยายน ๒๔๗๖

พระยาพหลฯ อาจจะเพิกเฉยต่อพระยาอุดมพงศ์ฯ ได้ แต่ไม่สามารถเพิกเฉยต่อผู้ที่ร้อนใจต่อข่าวนี้อีกคนหนึ่งได้ ช่วงก่อนวันที่ ๒๘ กันยายน น่าจะไม่เกิน ๑-๒ วัน เขาได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ที่วังไกลกังวล หัวหิน [เราทราบว่ามีการเข้าเฝ้าจากจดหมายวันที่ ๑๐ ตุลาคม ของราชเลขานุการ ส่วนวันที่เข้าเฝ้า เดาจากวันที่ของจดหมายพระยาพหลฯ ถึงประธานสภา] ในระหว่างการเข้าเฝ้านี้ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ได้มีพระราชกระแสเรื่องการฟ้องพระองค์ของถวัติ และทรงแสดงพระราชประสงค์ให้สภาตีความรัฐธรรมนูญ มาตรา ๓ พระยาพหลฯ จึงต้องนำเรื่องเข้าปรึกษา ครม. แล้วมีหนังสือถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร ดังนี้

ที่ ส.๔๐๓๗/๒๔๗๖ ที่ทำการคณะรัฐมนตรี วังปารุสกวัน
วันที่ ๒๘ กันยายน พุทธศักราช ๒๔๗๖
นายกรัฐมนตรี เรียน ประธานสภาผู้แทนราษฎร

ด้วยคณะรัฐมนตรีได้ประชุมปรึกษาลงมติให้เสนอญัตติเรื่องพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชกระแสโปรดเกล้าฯ ว่า เรื่องนายถวัติ ฤทธิเดช จะฟ้องพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น มีพระราชประสงค์จะให้สภาผู้แทนราษฎร ตีความมาตรา ๓ แห่งรัฐธรรมนูญ

จึ่งเรียนมาเพื่อท่านได้โปรดนำขึ้นปรึกษาในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรโดยด่วนด้วย
ควรมิควรแล้วแต่จะกรุณา
(ลงนาม) พ.อ. พระยาพหลพลพยุหเสนา
นายกรัฐมนตรี


คำขอของพระปกเกล้าฯ ผ่านรัฐบาลเข้าสู่สภาครั้งที่ ๑ (๒๘ กันยายน ๒๔๗๖)

เย็นวันเดียวกันนั้น มีการประชุมสภา ญัตติด่วนของรัฐบาล "เรื่องให้สภาผู้แทนราษฎรตีความในมาตรา ๓ แห่งรัฐธรรมนูญ เนื่องจากนายถวัติ ฤทธิเดช จะฟ้องพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" จึงถูกบรรจุเข้าวาระโดยอยู่ท้ายสุด เมื่อถึงเวลา ผู้ทำการแทนประธานสภาเสนอว่าก่อนจะตีความมาตรา ๓ อย่างไร จะขออ่านคำอธิบายมาตรานี้ของพระยามโนฯ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญให้ฟัง แต่ยังไม่ทันได้อ่านก็มีผู้เสนอให้เลื่อนประชุมออกไป เพราะเป็นญัตติสำคัญแต่เพิ่งได้รับบ่ายวันนั้น ยังไม่มีเวลาพิจารณาเพียงพอ ซึ่งที่ประชุมเห็นด้วย โดยตกลงว่าจะพิมพ์คำอธิบายมาตรา ๓ ของพระยามโนฯ แจกให้ไปอ่านกันก่อน

คำอธิบายของ OSKพระยามโนฯ ดังกล่าว ให้ไว้เมื่อนำเสนอร่างรัฐธรรมนูญต่อสภา เมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๔๗๕

คำว่าผู้ใดจะละเมิดมิได้นี้ เราหมายว่า ใครจะไปละเมิดฟ้องร้องว่ากล่าวไม่ได้ ถ้าอาจจะมีใครสงสัยว่าถ้าฟ้องร้องท่านไม่ได้แล้วจะทำอย่างไรเมื่อมีใครได้รับความเสียหาย ประการหนึ่งเราต้องนึกว่าที่ว่าเป็นประมุขนั้น ตามแบบเรียกว่า รัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ศาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พิจารณาตัดสินความในนามของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะฉะนั้นถ้าจะพูดถึงหลักกฎหมายในบางประเทศแล้ว ฟ้องร้องท่านไม่ได้ทั้งทางอาชญาและประทุษฐ์ร้ายส่วนแพ่ง แต่มีว่าถ้าท่านต้องทรงรับผิดชอบในเรื่องเงินแล้ว ก็ฟ้องร้องได้ทางพระคลังข้างที่ และที่เขียนมานี้ไม่กระทบกระเทือนสิทธิและความเสียหายของราษฎรใดๆ เลย

จะเห็นว่า ขณะที่ยืนยันเหมือนมาตรา ๖ ในรัฐธรรมนูญชั่วคราวที่ใช้อยู่ ว่าฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางอาญาไม่ได้ พระยามโนฯ ไม่ได้พูดถึงการให้สภาเป็นผู้วินิจฉัยหากมีปัญหาทางอาญาเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์เหมือนในมาตรานั้น (พูดเฉพาะกรณีแพ่ง ให้ฟ้องพระคลังข้างที่แทน) ผมเดาว่า คงเป็นเพราะสำหรับพระยามโนฯ ผู้โน้มเอียงไปทางรัชกาลที่ ๗ ไม่น้อย การมีเรื่องทางอาญากับพระมหากษัตริย์เป็นสิ่งที่ไม่ได้อยู่ในใจเท่าไรนัก


รมต. มหาดไทยเสนอเรื่องเข้า ครม. ๒๙ กันยายน ๒๔๗๖ ตกลงให้ฟ้องถวัติ

ในเวลาเดียวกันกับที่กระบวนการขอให้สภาตีความ มาตรา ๓ ซึ่งรัฐบาลทำตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ดำเนินไปนี้ พระยาอุดมพงศ์ฯ รัฐมนตรีมหาดไทยก็ได้มีหนังสือถึงพระยาพหลฯ เสนอว่าอัยการมีความเห็นให้ฟ้องถวัติได้ (ขณะนั้นกรมอัยการสังกัดกระทรวงมหาดไทย) อันที่จริง เขาเสนอเรื่องนี้ก่อนที่รัฐบาลจะขอให้สภาตีความมาตรา ๓ ด้วยซ้ำ ดังนี้

ลั
ที่ ๔๓๕/๘๔๗๙ ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย
วันที่ ๒๖ กันยายน พุทธศักราช ๒๔๗๖
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เรียน นายกรัฐมนตรี

ตามที่หนังสือพิมพ์ลงข่าวเรื่องนายถวัติ ฤทธิเดช ฟ้องพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งข้าพเจ้าได้มาเรียนชี้แจงแล้วนั้น ได้ให้เจ้าหน้าที่ไต่สวนต่อมาแล้ว อัยยการเห็นว่า ควรฟ้องได้ ได้เสนอสำนวนในเรื่องนี้มาด้วย เพื่อได้รับความวินิจฉัยโดยด่วน

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด
พระยาอุดมพงศ์เพ็ญสวัสดิ์

ครั้งนี้พระยาพหลฯ เขียนสั่งท้ายจดหมายว่า "ให้เจ้าหน้าที่ทำเรื่องเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อวินิจฉัย [ลงชื่อ] พระยาพหลฯ ๒๗ ก.ย. ๗๖" แต่กว่าเรื่องจะถูกนำเข้า ครม. ก็เป็นการประชุมวันที่ ๒๙ กันยายน คือหลังการประชุมที่ลงมติขอให้สภาตีความมาตรา ๓ แล้ว (เพราะเรื่องนั้นมีมติไม่เกินวันที่ ๒๘) เรารู้ว่า ครม. ตัดสินใจเรื่องฟ้องถวัติเมื่อวันที่ ๒๙ ก็เพราะมีจดหมายยืนยัน ดังนี้

ที่ ข. ๔๐๙๑/๒๔๗๖ กรมเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
วันที่ ๓๐ กันยายน พุทธศักราช ๒๔๗๖
เลขาธิการคณะรัฐมนตรี เรียน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

หนังสือเรียนนายกรัฐมนตรี ที่ ๔๓๕/๘๔๗๙ ลงวันที่ ๒๖ เดือนนี้ เสนอสำนวนการไต่สวน หนังสือพิมพ์ลงข่าวเรื่อง นายถวัติ ฤทธิเดช ฟ้องพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งอัยยการเห็นว่าควรฟ้องได้มานั้น คณะรัฐมนตรีได้ประชุมปรึกษาลงมติเมื่อวันที่ ๒๙ เดือนนี้ ให้อัยยการจัดการฟ้องร้องต่อไป

จึ่งเรียนยืนยันว่า สำนวนการไต่สวนนั้น ท่านได้รับคืนไปแล้ว แต่วันที่ ๒๖ เดือนนี้

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด
ธำรง
เลขาธิการคณะรัฐมนตรี

ตามคำบอกเล่าของถวัติเอง เขาถูกอัยการฟ้องในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและกบฏ เมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน เรื่องนี้คงเป็นข่าวหนังสือพิมพ์ด้วย เพราะพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงทราบ ดังจะเห็นต่อไป น่าเสียดายว่าขณะนี้ผมยังหาเอกสารเกี่ยวกับการฟ้องร้องนี้ไม่ได้๑๐


คำขอของพระปกเกล้าฯ ผ่านรัฐบาลเข้าสู่สภาครั้งที่ ๒ (๕ ตุลาคม ๒๔๗๖)

ในการประชุมสภาครั้งต่อมาในเย็นวันที่ ๕ ตุลาคม ญัตติขอตีความมาตรา ๓ ซึ่งถูกเลื่อนการพิจารณามาจากครั้งก่อนได้ถูกกำหนดให้อยู่ในวาระการประชุมอีก แต่พระยาพหลฯ ได้ลุกขึ้นพูดเสนอตั้งแต่เริ่มประชุมว่า "ข้าพเจ้าขอให้พิจารณา คือเอาเรื่องที่บอกให้สภาผู้แทนราษฎรตีความในมาตรา ๓ แห่งรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องสุดท้าย เพราะมีญัตติอื่นๆ ที่จะต้องพิจารณาก่อน คือพระราชบัญญัติควบคุมยุทธภัณฑ์และเรื่องการภาษี" ผมคิดว่านี่เป็นหลักฐานอีกอันหนึ่ง (นอกจากท่าทีต่อจดหมายพระยาอุดมพงศ์ฯ ฉบับแรก) ที่สนับสนุนว่าพระยาพหลฯ เอง ไม่ถึงกับกระตือรือร้นต่อเรื่อง "ถวัติฟ้องพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ-ตีความ มาตรา ๓" ทั้งหมดนี้นัก ยิ่งกว่านั้น หลังจากที่ประชุมอภิปรายพระราชบัญญัติ ๒-๓ ฉบับก่อนจนหมดวาระตามที่เขาเสนอเอง เขาก็สนับสนุนให้เลื่อนการตีความมาตรา ๓ ออกไปโดยไม่มีกำหนด๑๑

แต่ก่อนที่สภาจะได้เข้าสู่วาระประชุมปรกติตามข้อเสนอของพระยาพหลฯ ประธานสภาได้หยิบเอาจดหมายของถวัติ ฤทธิเดช ลงวันที่ ๔ ตุลาคม มาปรึกษาที่ประชุม ดังนี้

ประธานสภาฯ กล่าวว่า ตามที่ท่านนายกรัฐมนตรีขอร้องเรื่องญัตติด่วนให้พิจารณาก่อน [หมายถึงพระราชบัญญัติ ๒-๓ ฉบับ-สมศักดิ์] ส่วนเรื่องตีความในมาตรา ๓ ขอรอเอาไว้เป็นเรื่องสุดท้าย แต่ก่อนที่จะลงมติอนุญาต ข้าพเจ้าอยากเสนอให้สมาชิกทราบว่า ข้าพเจ้าได้รับหนังสือจากนายถวัติ ฤทธิเดช วันนี้เวลา ๑๒ นาฬิกาเรื่องหนึ่ง มีใจความว่า

สมาคมกรรมกรรถรางแห่งสยาม
วันที่ ๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๖
กราบเรียน ท่านเจ้าพระยาพิชัยญาติ ประธานสภาผู้แทนราษฎร

เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงบริภาษใส่ความเป็นการหมิ่นประมาทข้าพเจ้าในหนังสือที่ชื่อบันทึกพระบรมราชวินิจฉัยเรื่องเค้าโครงการเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐมนูธรรม ข้าพเจ้าจึงเป็นโจทก์ยื่นฟ้องทางสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้นำเสนอสภาผู้แทนราษฎรวินิจฉัย แต่นายมังกร สามเสน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรส่งฟ้องกลับคืนมายังข้าพเจ้า โดยอ้างเหตุว่า ขัดต่อมาตรา ๓ แห่งรัฐธรรมนูญ

ครั้นเมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ. นี้ กรมอัยยการกลับเป็นโจทก์ฟ้องหาข้าพเจ้ากับพวกว่า หมิ่นพระบรมเดชานุภาพและเป็นกบฏต่อศาลโปรีสภาที่ ๑ คดีนี้ยังอยู่ในระหว่างไต่สวน

บัดนี้ ข้าพเจ้าทราบว่าสภาผู้แทนราษฎร จะได้ประชุมวินิจฉัยตีความในมาตรา ๓ แห่งรัฐธรรมนูญ ข้าพเจ้าจึงขอเสนอคำแถลงการณ์เปิดคดี ซึ่งข้าพเจ้าให้ทนายของข้าพเจ้าเตรียมทำไว้เพื่อยื่นฟ้องต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้ง ๗๐ ท่าน แต่ต้องระงับไว้ก่อน เพราะอัยยการกลับเป็นโจทก์ ฟ้องข้าพเจ้ากับพวกดังกราบเรียนมาแล้ว

ข้าพเจ้าขอให้ถือว่าคำแถลงการณ์เปิดคดีนี้เป็นคำแถลงของข้าพเจ้าในการที่โต้แย้งคัดค้านความในมาตรา ๓ แห่งรัฐธรรมนูญซึ่งไม่คุ้มครองพระมหากษัตริย์ ในเมื่อพระมหากษัตริย์ทรงทำผิดและผู้ถูกประทุษฐร้ายหรือเสียหายมีอำนาจฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ได้

ข้าพเจ้าขอความกรุณาพระเดชพระคุณ ได้โปรดนำคำแถลงการณ์ของข้าพเจ้าซึ่งส่งมาพร้อมกับเรื่องราวฉะบับนี้ แจกจ่ายแด่ท่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้ง ๗๐ ท่านเพื่อพิจารณาด้วย จักได้สิ้นวิมุติกังขาในเรื่องพระมหากษัตริย์อยู่ใต้กฎหมายกันเสียที

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด
(ลงนาม) นายถวัติ ฤทธิเดช


บันทึกพระบรมราชวินิจฉัยฯ เรื่องนี้จะให้แจกได้หรือไม่

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องนี้ให้แจกแก่สมาชิกทั้งหลายได้ แล้วเอาไว้พิจารณาคราวหน้า

ผมไม่แน่ใจว่า "บันทึกพระบรมราชวินิจฉัยฯ เรื่องนี้" ที่ประธานสภาพาดพิงถึงตอนท้าย หมายถึงอะไร? พระราชบันทึกของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ เกี่ยวกับมาตรา ๓ ซึ่งทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นใหม่? เราไม่มีหลักฐานเรื่องนี้เหลืออยู่

ผมอยากตั้งข้อสังเกตในที่นี้เกี่ยวกับจดหมายถึงประธานสภาของถวัติข้างต้น จะเห็นว่าในจดหมายนี้ ถวัติได้ยืนยันข้อเท็จจริง ๒ ประการ คือ ๑. เขาตั้งใจจะฟ้องว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงหมิ่นประมาทเขาต่อสภาไม่ใช่ต่อศาล และ ๒. เขาเห็นว่ามาตรา ๓ ไม่ได้คุ้มครองให้พระมหากษัตริย์ถูกฟ้องไม่ได้ ผมคิดว่า ๒ ประเด็นนี้ ความจริงขัดแย้งกันเอง คือ ถ้าถวัติเชื่อว่ามาตรา ๓ ไม่คุ้มครองพระมหากษัตริย์จากการถูกฟ้องจริงๆ ทำไมเขาไม่ยื่นเรื่องฟ้องต่อศาลเลย ทำไมจึงพยายามยื่นต่อสภา? ถ้าจะอธิบายว่าเขาพยายามยื่นต่อสภาตามที่รัฐธรรมนูญเก่ากำหนดไว้ (มาตรา ๖) รัฐธรรมนูญนั้นเองก็บอกว่า พระมหากษัตริย์ได้รับการคุ้มครอง ถูกฟ้องไม่ได้ ถ้าเขาเชื่อว่ารัฐธรรมนูญใหม่ที่ใช้อยู่ พระมหากษัตริย์ไม่ได้รับการคุ้มครอง ถูกฟ้องได้จริง ก็ไม่น่าจะต้องมายื่นต่อสภาตามรัฐธรรมนูญเก่า (ที่บอกว่าฟ้องไม่ได้) อีก สรุปแล้ว ในความรู้สึกของผม เรื่องถวัติพยายามจะฟ้องพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ต่อสภานั้น ออกจะไม่มีเหตุผลหรือหลักการรองรับเท่าใดนักตั้งแต่ต้น

ในที่ประชุมสภาวันที่ ๕ ตุลาคม หลังจากประธานอ่านจดหมายของถวัติแล้ว ที่ประชุมก็ใช้เวลาถกเถียงกันอยู่นานว่า ควรจะอนุญาตให้แจก "คำแถลงการณ์เปิดคดี" ของถวัติหรือไม่ (คือ "คำฟ้อง" พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ที่เขาเตรียมไว้ตอนแรก แต่มังกรไม่รับ น่าเสียดายว่าเอกสารนี้ก็หาไม่ได้แล้วเช่นกัน) ในที่สุดตกลงร่วมกันว่า การเสนอเรื่องเข้ามาในสภาต้องเสนอผ่านสมาชิก (เสนอแล้วยังต้องให้ที่ประชุมโหวตว่าจะรับหรือไม่) "แถลงการณ์เปิดคดี" ของถวัติที่พยายามเสนอเข้ามา ไม่มีใครยอมเป็นผู้เสนอให้ รวมทั้งตัวประธานสภาด้วย จึงเข้ามาไม่ได้เลย (ยังไม่ต้องถึงขั้นโหวตว่าที่ประชุมจะรับหรือไม่)๑๒

เมื่อผ่านเรื่องความพยายามของถวัติที่จะเสนอเอกสารฟ้องพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ของเขาไปแล้ว ที่ประชุมสภาครั้งนั้นก็หันเข้าสู่วาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ ๒-๓ ฉบับ แต่ดังที่กล่าวแล้ว หลังจากนั้นแทนที่จะกลับมาพิจารณาตีความมาตรา ๓ ตามที่รัฐบาลยื่นเป็น "ญัตติด่วน" และค้างไว้ตั้งแต่สัปดาห์ก่อน รัฐบาลเองก็ขอเลื่อนออกไปโดยไม่มีกำหนด


จดหมายจากพระปกเกล้าฯ ถึงพระยาพหลฯ ทวงถาม เรื่องการตีความรัฐธรรมนูญ ๑๐ ตุลาคม ๒๔๗๖

ผมคิดว่า ในส่วนของรัฐบาล (หรืออย่างน้อยคือตัวพระยาพหลฯ) คงอยากจะลืมเรื่องการตีความมาตรา ๓ ไปเลย สำหรับกรณีถวัติ ก็ถือว่าได้ยื่นฟ้องหมิ่นพระบรมเดชานุภาพไปแล้ว ก็คงอยากปล่อยให้เป็นเรื่องในศาลไปเรื่อยๆ แต่เรื่องไม่ยอมหายไปง่ายๆ อย่างน้อยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ไม่ทรงถือว่าเป็นเรื่องที่ควร "เลื่อน" ออกไปอย่างไม่มีกำหนดแบบรัฐบาล วันที่ ๑๐ ตุลาคม จึงทรงให้ราชเลขานุการในพระองค์มีจดหมายถึงพระยาพหลฯ ฉบับหนึ่ง ดังนี้

ที่ ๓๔๙/๑๖๖๕ กรมราชเลขานุการในพระองค์
หัวหิน
วันที่ ๑๐ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๗๖
เรียน พระยาพหลพลพยุหเสนา นายกรัฐมนตรี

มีพระราชดำรัสเหนือเกล้าฯ ว่า ตามที่ได้มีพระราชดำรัสแก่ท่านเมื่อมาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทที่สวนไกลกังวลครั้งสุดท้าย ขอให้คณะรัฐมนตรีเสนอญัตติในสภาผู้แทนราษฎร ให้ลงมติแปลความหมายของความในมาตรา ๓ แห่งรัฐธรรมนูญ เพื่อจะป้องกันการที่มีบุคคลบังอาจฟ้องร้องให้เป็นที่เสื่อมเสียพระบรมเดชานุภาพ ท่านได้รับสนองพระราชกระแสว่า จะรีบจัดการเป็นการด่วนนั้น เวลาก็ล่วงเลยมาหลายวันแล้ว ยังมิได้ทรงทราบผลว่าสภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติประการใด การที่รัฐบาลได้ให้อัยยการฟ้องนายถวัติ ฤทธิเดช กับพวก ฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและกบฏนั้น ก็เป็นแต่แก้ปัญหาปัจจุบันฉะเพาะเรื่องเท่านั้น ตราบใดสภาผู้แทนราษฎรยังมิได้แปลความหมายในมาตรา ๓ แห่งรัฐธรรมนูญให้เด็ดขาดไปว่า บุคคลจะฟ้องพระมหากษัตริย์ได้หรือไม่ ก็ยังอาจมีเรื่องเช่นนี้ได้เสมอ ทรงพระราชดำริว่า ปัญหาเรื่องนี้เป็นปัญหาสำคัญที่สุดสำหรับพระเกียรติยศ ทรงหวังพระราชหฤทัยว่าสภาผู้แทนราษฎรจะถวายความเคารพโดยลงมติว่า ผู้ใดจะบังอาจฟ้องร้องพระมหากษัตริย์มิได้เป็นอันขาด แต่ถ้าหากสภาผู้แทนราษฎร ลงมติเปิดโอกาสให้บุคคลฟ้องพระมหากษัตริย์ได้แล้ว ก็จะเป็นการยากที่จะทรงรักษาพระเกียรติยศให้สมควรแก่ประมุขแห่งชาติ และจะน่าเสียใจอย่างยิ่ง

บัดนี้ ใกล้ถึงกำหนดเสด็จพระราชดำเนินกลับกรุงเทพฯ เพื่อพระราชทานพระกฐินตามที่กำหนดไว้ว่าวันที่ ๑๑ เดือนนี้แล้ว ยังมิได้ทรงรับรายงานจากท่านเลย เพียงแต่ได้ทรงทราบจากหนังสือพิมพ์ข่าวว่าคณะรัฐมนตรีได้เสนอญัตตินี้แล้ว แต่สภาผู้แทนราษฎรลงมติให้เลื่อนไปพิจารณาคราวหลัง ซึ่งดูเหมือนหนึ่งว่าการพิจารณาพระราชบัญญัติต่างๆ ในวันนั้น สำคัญยิ่งกว่าพระเกียรติยศพระมหากษัตริย์ ยังไม่มีกำหนดว่าสภาจะลงมติเด็ดขาดเมื่อไร การที่จะเสด็จพระราชดำเนินกลับกรุงเทพฯ ในเวลาที่ยังมิได้ทรงทราบฐานะของพระองค์โดยแน่ชัดเช่นนี้ ย่อมไม่พึงปรารถนา จึงโปรดเกล้าฯ ให้งดการเสด็จพระราชดำเนินกลับไว้ก่อน จนกว่าจะได้รับรายงานเป็นทางราชการว่าสภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติแปลความในมาตรา ๓ แห่งรัฐธรรมนูญ ให้เป็นที่พอพระราชหฤทัยสมพระเกียรติยศแล้ว

วิบูลสวัสดิ์วงศ์
ราชเลขานุการในพระองค์

เห็นได้ชัดว่าทรงให้ความสำคัญกับประเด็นนี้มากกว่าที่รัฐบาลให้อย่างมาก ถึงกับทรงใช้เป็นข้ออ้างไม่เสด็จกลับมาพระราชทานกฐิน อย่างไรก็ตามจดหมายฉบับนี้ถึงกรมเลขาธิการคณะรัฐมนตรีในเย็นวันที่ ๑๑ ตุลาคม นอกจากเจ้าหน้าที่ในกรมแล้ว ยังไม่ทันที่คนในรัฐบาลจะมีโอกาสรับรู้ ก็เกิดเหตุการณ์ใหญ่ชนิดคอขาดบาดตายขึ้นก่อน กบฏบวรเดชเริ่มขึ้นในเวลาเดียวกับที่จดหมายฉบับนี้มาถึงพอดี๑๓


กบฏบวรเดชอ้างกรณี ถวัติฟ้องพระปกเกล้าฯ ๑๑ ตุลาคม ๒๔๗๖

เมื่อกบฏบวรเดชยกกำลังเข้าประชิดกรุงเทพฯ ที่บางเขนเมื่อเย็นวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๔๗๖ นั้น ได้หยิบเอากรณีถวัติฟ้องพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ (ซึ่งความจริงเป็นเพียงข่าว) มาเป็นข้ออ้างอธิบายการกระทำของพวกเขาอย่างหนึ่งด้วย (อีกข้อหนึ่งคือการที่รัฐบาลเอาปรีดีกลับมาเป็นรัฐมนตรี) รัฐบาลตัดสินใจสู้กับกบฏ พร้อมกันนั้นก็ได้ส่งโทรเลขฉบับหนึ่งลงวันที่ ๑๒ ตุลาคม ถึงพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ที่หัวหิน

ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม

ด้วยเมื่อเย็นวานนี้ ทหารช่างอยุธยาเคลื่อนมาถึงบางเขน และนครราชสีมาเคลื่อนมาถึงดอนเมือง เมื่อ ๑๔ นาฬิกาเศษวันนี้ พระแสงสิทธิการ นำหนังสือนายพันเอก พระยาศรีสิทธิสงคราม มายื่น มีใจความว่า คณะรัฐบาลนี้ปล่อยให้คนลบหลู่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และเอาหลวงประดิษฐมนูธรรมกลับเข้ามาเพื่อดำเนินการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ต่อไป จึงขอให้กราบถวายบังคมลาออกจากตำแหน่งภายใน ๑ ชั่วโมง ถ้ามิฉะนั้นจะใช้กำลังบังคับ และจะเข้ายึดการปกครองชั่วคราว จนกว่าจะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งคณะรัฐมนตรีใหม่ ซึ่งไม่มีนายทหารเข้าเกี่ยวข้องด้วย

โดยที่ข้อหาสองข้อนี้ไม่มีความจริง รัฐบาลได้รีบสั่งฟ้องผู้ลบหลู่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และได้วางหลักประกันไว้แล้วว่า หลวงประดิษฐมนูธรรมจะไม่เป็นคอมมิวนิสต์ดังที่ทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทอยู่แล้ว...๑๔


คำขอของพระปกเกล้าฯ ผ่านรัฐบาลเข้าสู่สภาครั้งที่ ๓ (๒๓ พฤศจิกายน ๒๔๗๖)

หลังการกบฏสิ้นสุดลง เจ้าหน้าที่ในกรมเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้ตรวจพบจดหมายของราชเลขานุการในพระองค์ข้างต้น และได้เสนอให้เลขาธิการคณะรัฐมนตรี (หลวงธำรง) รับรู้ ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่า จดหมายฉบับดังกล่าวได้นำไปสู่การตัดสินใจของคณะรัฐมนตรีอย่างไรหรือไม่ มีเพียงลายมือของเจ้าหน้าที่บันทึกไว้ว่า "เสนอเลขาธิการ หนังสือฉะบับนี้รับไว้ตั้งแต่วันที่ ๑๑ ตอนเย็น ตั้งใจไว้ว่าจะเสนอวันที่ ๑๒ แต่พอเกิดเรื่องจึงมิได้เสนอ เพิ่งได้ตรวจดูวันนี้ [ลงชื่อ] ชำนาญอักษร ๑๘/๗/๗๖" และ "เลขาธิการมีบัญชาให้รวมเรื่องไว้ [ลงชื่อ] ชำนาญอักษร ๑๘/๗/๗๖" (เดือน ๗ ตามปฏิทินเก่า คือตุลาคม)

ประมาณ ๑ เดือนต่อมา ในวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๔๗๖ รัฐบาลได้เสนอญัตติขอให้ตีความรัฐธรรมนูญมาตรา ๓ เข้าสู่สภาอีกเป็นครั้งที่ ๓ ครั้งนี้รัฐบาลได้เตรียมร่างการตีความที่ต้องการให้สภาลงมติรับรองไว้ล่วงหน้า :


ญัตติตีความ มาตรา ๓ แห่งรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรสยาม

สภาผู้แทนราษฎร มีอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติ ไม่ใช่ศาล ไม่มีอำนาจชำระคดีอาชญา หรือแพ่ง เกี่ยวแก่พระมหากษัตริย์

ในกรณีแพ่ง การฟ้องร้องในโรงศาล ให้ฟ้องรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัง

ส่วนในกรณีอาชญา ซึ่งหากจะบังเอิญเกิดขึ้น ก็จะฟ้องพระมหากษัตริย์ไม่ได้ แต่สภามีอำนาจที่จะจัดการตามวิถีทางรัฐธรรมนูญ เพื่อให้การเป็นไปโดยยุตติธรรมได้

ก่อนจะนำเสนอต่อสภา รัฐบาลยังได้ให้พระยานิติศาสตร์ไพศาล กับหม่อมเจ้าวรรณไวทยากร ไปเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ที่สงขลา (ทรงย้ายที่ประทับไประหว่างเกิดกบฏ) กราบบังคมทูลเสนอร่างการตีความนี้ให้ทรงรับรองก่อน พระยานิติศาสตร์กับ "ท่านวรรณ" ได้โทรเลขผลของการเข้าเฝ้ามายังรัฐบาลในวันที่ ๒๓ นั้นเองว่า "ร่างญัตติตีความมาตรา ๓ นั้นโปรดแล้ว [ลงชื่อ] นิติศาสตร์ วรรณไวทยากร"๑๕

เมื่อถึงเวลาประชุมสภา หน้าที่การนำเสนอญัตติในนามรัฐบาลครั้งนี้ตกเป็นของOSKปรีดี พนมยงค์ (เขาเพิ่งกลับจากการถูกบังคับให้ออกนอกประเทศระหว่างวิกฤติเค้าโครงการเศรษฐกิจ ถึงสยามเมื่อวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๔๗๖ และได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีวันที่ ๑ ตุลาคม จึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีถวัติฟ้องพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ-ตีความ มาตรา ๓ ในตอนต้น) เขาเริ่มต้นอย่างน่าสนใจ ดังนี้

มีเรื่องที่จะเสนออีกเรื่องหนึ่งซึ่งข้าพเจ้าได้รับฉันทะจากคณะรัฐมนตรีให้มาแถลงให้ที่ประชุมทราบ คือเรื่องความบาดหมางและความมัวหมองต่างๆ อันเกี่ยวกับเรื่องกบฏเกิดขึ้นครั้งนี้ เป็นเรื่องเร้าใจให้ข้าพเจ้าอยากแถลงความจริงต่อที่ประชุม เรื่องนี้พวกเราเองต้องการจะสมานสามัคคีปรองดองให้มีขึ้นในระหว่างราษฎรและถึงแม้ในพระมหากษัตริย์ก็เหมือนกัน เราพยายามป้องกันจนสุดความสามารถ และให้เกียรติยศอันสูงเพื่อมิให้พระองค์ได้ทรงรับความมัวหมองไปด้วย ฉะนั้นจึงเห็นว่าสภาฯ นี้ควรจะตีความในมาตรา ๓ แห่งรัฐธรรมนูญ๑๖

ผมคิดว่า นี่คือคำอธิบายว่าเหตุใดครั้งนี้รัฐบาลจึงมีความจริงจังที่จะให้มีการตีความออกมา ต่างจาก ๒ ครั้งก่อนหน้านั้น พูดง่ายๆ คือ กบฏบวรเดชทำให้รัฐบาลรู้สึกจำเป็นมากขึ้นที่จะต้องพยายามมีสัมพันธ์อันดีกับพระมหากษัตริย์ จึงหวังว่าการตีความนี้จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยสร้างความสัมพันธ์นั้น แม้ปรีดีไม่ได้พูดออกมา แต่เราอาจกล่าวได้ว่า รัฐบาลรู้สึกสั่นคลอน (vulnerable) จากการกบฏ (หรืออย่างน้อยก็ตัวปรีดีเอง สังเกตคำของเขาที่ว่า "กบฏเกิดขึ้นครั้งนี้ เป็นเรื่องเร้าใจให้ข้าพเจ้าอยากแถลงความจริงต่อที่ประชุม")

หลังจากนั้น OSKปรีดีได้อธิบายการตีความมาตรา ๓ ด้วยถ้อยคำที่ไม่ต่างกับร่างญัตติที่เตรียมไว้นัก ที่น่าสังเกตคือ แทบไม่มีการอภิปรายจากสมาชิกสภาเลย ความจริง ข้อเสนอของรัฐบาลถ้าอภิปรายซักถามกันจริงๆ น่าจะเห็นช่องว่างและปัญหาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นที่ว่า "ในกรณีอาชญา ซึ่งหากจะบังเอิญเกิดขึ้น ก็จะฟ้องพระมหากษัตริย์ไม่ได้ แต่สภามีอำนาจที่จะจัดการตามวิถีทางรัฐธรรมนูญ เพื่อให้การเป็นไปโดยยุตติธรรมได้" นั้น หมายความว่าอย่างไร? คดีอาญาประเภทไหนบ้างที่อาจจะ "บังเอิญเกิดขึ้น" ได้? ในลักษณะใด? ถ้า "สภาไม่ใช่ศาล ไม่มีอำนาจชำระคดี" แล้วจะ "จัดการ...โดยยุตติธรรม" ด้วยวิธีใด? "ตามวิถีทางรัฐธรรมนูญ" ในที่นี้ คืออย่างไร? ดูเหมือนว่าในสถานการณ์ขณะนั้น แทบทุกคนอยากจะช่วยรัฐบาล "สมานสามัคคีปรองดอง" กับพระมหากษัตริย์ และไม่ต้องการเพิ่มปัญหาด้วยการพิจารณาญัตตินี้อย่างละเอียดเข้มงวด ในความเป็นจริง ข้อเสนอตีความของรัฐบาลครั้งนี้ แทบไม่มีอะไรใหม่เลย ถ้าไม่นับเรื่องคดีแพ่งที่เพิ่มขึ้นมาว่าให้ฟ้องกระทรวงวัง ส่วนใหญ่ก็คือ มาตรา ๖ ในรัฐธรรมนูญฉบับแรกนั่นเอง และไม่ต่างอะไรกับคำอธิบายของOSKพระยามโนฯ เมื่อเสนอร่างรัฐธรรมนูญฉบับ ๑๐ ธันวาเอง (ยกเว้นเรื่องให้สภา "จัดการ" ซึ่งกลับไปหามาตรา ๖ และเปลี่ยนจากพระคลังข้างที่เป็นกระทรวงวังในคดีแพ่ง)

ในที่สุด ที่ประชุมลงมติเป็นเอกฉันท์ตีความมาตรา ๓ ตามที่รัฐบาลเสนอ แต่ก่อนลงมติ มีผู้พาดพิงถึงกรณีถวัติ ฤทธิเดช ดังนี้

พระยาปรีดานฤเบศร์ ถามว่า มีความจำเป็นอย่างไรที่จะต้องตีความในที่นี้ เดี๋ยวนี้นายถวัติฟ้องในหลวงแล้วหรือยัง ถ้ายังจะไปตีความทำไม

OSKหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ ตอบว่า เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชประสงค์จะให้ตีความ

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องนี้อยากพูดถึงญัตติเดิม

พระยาปรีดานฤเบศร์ กล่าวว่า เรื่องฟ้องนายถวัติ ฤทธิเดช รัฐบาลได้ส่งฟ้อง

OSKหลวงประดิษฐมนูธรรม กล่าวว่า นี่เป็นอีกปัญหาหนึ่ง ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่สภาฯ กำลังจะพิจารณาอยู่นี้

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ผู้ใดอยากจะทราบเรื่องนี้ เมื่อเลิกประชุมแล้ว ขอให้มาถามข้าพเจ้าได้โดยส่วนตัว เพราะไม่ต้องการจะแถลงในที่นี้


ถวัติเข้าเฝ้า ขอพระราชทานอภัยโทษ ๒๕ (?) พฤศจิกายน ๒๔๗๖

ผมไม่ทราบว่าการพูดแบบปริศนาของพระยาพหลฯ เรื่องถวัติถูกรัฐบาลฟ้อง ในที่ประชุมสภาวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน หมายความว่าอะไร แต่เมื่อไม่นานมานี้ ผมเพิ่งพบหลักฐานว่า แทบจะในเวลาเดียวกับที่รัฐบาลกำลังเสนอให้สภาตีความมาตรา ๓ เพื่อ "สมานสามัคคีปรองดอง" กับพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ หลังกบฏบวรเดชนี้ ถวัติเองได้ไปเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ถึงสงขลาเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษ วันที่เข้าเฝ้าแน่นอนไม่เป็นที่ทราบ แต่คงประมาณวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน หรือก่อนวันนั้นไม่กี่วัน เพราะมีจดหมายลงวันที่นั้นของราชเลขานุการในพระองค์ยืนยันเรื่องการเข้าเฝ้า

ที่ ส.ข. ๖๕/๒๔๗๖ กรมราชเลขานุการในพระองค์
สงขลา
วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๗๖
ราชเลขานุการในพระองค์ เรียน นายกรัฐมนตรี

ด้วยนายถวัติ ฤทธิเดช กับ นาย ต. บุญเทียม ได้มาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ขอพระราชทานอภัยโทษ ในการที่ได้หมิ่นพระบรมเดชานุภาพนั้น ทรงพระราชดำริว่า นายถวัติ ฤทธิเดช เข้าใจผิดในเรื่องรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นของใหม่ และนาย ต. บุญเทียม มิได้มีเจตนาร้าย เพราะฉะนั้นไม่มีพระราชประสงค์ที่จะเอาโทษแก่นายถวัติ ฤทธิเดช กับพวก และได้ทรงรับการขมาแล้ว คณะรัฐบาลจะจัดการให้มีพระราชหัตถเลขาพระราชทานอภัยโทษโดยทันทีเมื่อศาลวินิจฉัยความเรื่องนี้แล้ว หรือจะจัดการโดยวิธีใดก็แล้วแต่จะเห็นสมควร วิธีที่จะจัดการอย่างใดนั้น ขอให้อยู่ในความรับผิดชอบของรัฐบาลโดยแน่ชัด และอย่าอ้างว่า โปรดเกล้าฯ ให้จัดดังนั้น และถ้าให้หนังสือพิมพ์ลงข้อความให้ถูกต้องชัดเจนด้วยจะเป็นการดีมาก

พระพิจิตรราชสาส์น[?]
ลงนามแทน ราชเลขานุการในพระองค์

ผมไม่แน่ใจว่าควรอธิบายจังหวะก้าวนี้ของถวัติอย่างไร เพราะไม่มีหลักฐานนอกจากนี้เหลืออยู่ (กรณี ต. บุญเทียม ผมไม่มีข้อมูลว่าได้ไปทำอะไรไว้ ทำให้ต้องมาขออภัยโทษด้วย) เป็นไปได้ที่จะเดาว่า นี่เป็นส่วนหนึ่งของความพยายาม "สมานสามัคคีปรองดอง" กับพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ของรัฐบาล เช่นเดียวกับการเสนอตีความมาตรา ๓ ในช่วงนั้น คือเป็นไปได้ที่จะเดาว่า ถวัติถูกขอหรือแนะนำจากรัฐบาลเองให้ทำเช่นนี้ (และการพูดแบบปริศนาของพระยาพหลฯ หมายถึงเรื่องนี้?) กระทั่งการไปเข้าเฝ้าก็อาจจะไปพร้อมๆ กับตัวแทนรัฐบาล "OSK ท่านวรรณ" และพระยานิติศาสตร์ไพศาล (เพราะดูจากเวลาแล้ว ถ้าไม่ได้ไปด้วยกัน ก็ต้องใกล้กันมาก เกือบแน่นอนว่าต้องมีช่วงอยู่ที่นั่นพร้อมๆ กัน) อย่างไรก็ตามหลักฐานเรื่องนี้ที่จะนำเสนอต่อไป ซึ่งแสดงให้เห็นว่า หลังถวัติไปเข้าเฝ้าขอพระราชทานอภัยโทษและได้รับแล้ว เขาก็ยังถูกรัฐบาลดำเนินการฟ้องต่อไป จนต้องกลับมาพึ่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ให้ช่วยกระตุ้นทางรัฐบาลถอนฟ้อง ชวนให้คิดว่า การเข้าเฝ้าขอพระราชทานอภัยโทษน่าจะไม่ใช่คำแนะนำของรัฐบาล แต่เป็นการกระทำของถวัติเอง


ถวัติทำฎีกา ขอพระราชทานอภัยโทษ และรัฐบาลถอนฟ้อง มกราคม ๒๔๗๖

หลักฐานดังกล่าวคือจดหมายจากกระทรวงวังถึงเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ลงวันที่ ๒ มกราคม ๒๔๗๖ ซึ่งแสดงว่า กว่า ๑ เดือนหลังจากราชเลขานุการในพระองค์แจ้งต่อรัฐบาลว่าถวัติเข้าเฝ้าขอพระราชทานอภัยโทษและพระราชทานให้แล้ว ทางรัฐบาลเองไม่ได้จัดการอย่างไรลงไป ถวัติจึงทำหนังสือกราบบังคมทูล ทำให้กระทรวงวังต้องถามรัฐบาลแทนถวัติ

ที่ ๘๗/๑๗๙๒
วันที่ ๒ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๗๖
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัง เรียน เลขาธิการคณะรัฐมนตรี

ด้วยนายถวัติ ฤทธิเดช ทูลเกล้าฯ ถวายหนังสือว่า เรื่องหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและกบฏตามที่ขอพระราชทานอภัยโทษแล้ว ส่วนคดีจะยังมีพระราชประสงค์ให้ศาลดำเนินการต่อไปหรือจะพระราชทานอภัยโทษ มีความพิศดารดังสำเนาที่ส่งมาด้วยแล้ว โปรดเกล้าฯ ให้ข้าพเจ้านำขึ้นปรึกษาคณะรัฐมนตรีว่า จะควรตอบอย่างไร และมีพระราชกระแสว่า ความจริง การที่ถอนฟ้องคดีหรือดำเนินการไปอย่างไรนั้น เป็นหน้าที่ของรัฐบาลจะจัดการ ไม่ใช่พระราชธุระ ฉะนั้นจึ่งเรียนมา เพื่อนำเข้าปรึกษาในการประชุมคณะรัฐมนตรีต่อไป

ขอแสดงความนับถือ
เจ้าพระยาวรพงศ์๑๗

ปรากฏว่าครั้งนี้ได้ผล เรื่องถูกนำเข้าพิจารณาในการประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ ๙ มกราคม ๒๔๗๖ ดังรายงานการประชุมต่อไปนี้ (ขอให้สังเกตว่า การนำเสนอเรื่องนี้ตอนต้นคือการสรุปจดหมายราชเลขานุการในพระองค์ฉบับวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๔๗๖ นั่นเอง แสดงว่าจดหมายดังกล่าวถูก "ดอง" อยู่นานถึงเดือนกว่า ไม่แน่ใจว่าด้วยสาเหตุอะไร)


๑๐. เรื่อง การอภัยโทษนายถวัติ ฤทธิเดช

ปรึกษาเรื่องราชเลขานุการในพระองค์ เชิญพระราชกระแสมาว่า นายถวัติ ฤทธิเดช กับ นาย ต. บุญเทียม ได้ไปเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทขอพระราชทานอภัยโทษในการที่ได้หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ทรงพระราชดำริว่า นายถวัติ ฤทธิเดช เข้าใจผิดในเรื่องรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นของใหม่ และนาย ต. บุญเทียม มิได้มีเจตนาร้าย จึ่งไม่มีพระราชประสงค์ที่จะเอาโทษแก่นายถวัติ ฤทธิเดช กับพวก และได้ทรงรับการขมาแล้ว คณะรัฐบาลจะจัดการต่อไปอย่างไรก็แล้วแต่จะเห็นสมควร แต่ต้องเป็นไปในความรับผิดชอบของรัฐบาลโดยแน่ชัด

ที่ประชุมตกลงว่า คดีที่นายถวัติ ฤทธิเดช กับพวกเป็นจำเลย ต้องหาว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนี้ เป็นคดีความผิดสภาพมหาชน ซึ่งกรมอัยยการเป็นโจทก์ มิได้เกี่ยวด้วยเอกชนใดๆ เลย จึ่งเป็นคดีซึ่งถ้าจะเทียบกับกฎหมายอังกฤษแล้วก็อยู่ในเกณฑ์ที่จะพระราชทานอภัยโทษได้ และการพระราชทานอภัยโทษนั้น ถ้าเทียบกับกฎหมายอังกฤษแล้ว จะพระราชทานก่อนศาลพิพากษาลงโทษก็ได้

เมื่อความปรากฏว่าไม่มีพระราชประสงค์ที่จะเอาโทษแก่นายถวัติ ฤทธิเดช กับพวก และได้ทรงรับการขมาแล้ว ประการหนึ่ง และบัดนี้นายถวัติ ฤทธิเดช กับพวก ก็ได้ทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษตามทางการแล้วอีกประการหนึ่ง จึ่งเห็นด้วยว่าสมควรจะได้รับพระราชทานอภัยโทษได้ ให้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาเพื่อทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทต่อไป๑๘

เฉพาะประเด็นที่รายงานการประชุมกล่าวว่า ถวัติ "ได้ทูลเกล้าฯ ถวายฎีกา...ตามทางการแล้ว" นั้น ผมเชื่อว่าเป็นการเขียนแบบล่วงหน้า (ตัวรายงานการประชุมทำขึ้นจริงหลังวันประชุม) เพราะผมพบหลักฐานการทำฎีกาดังกล่าวหลังวันประชุมนี้ คือในวันต่อมา (๑๐ มกราคม) ดูเหมือนว่า หลังประชุมคณะรัฐมนตรีเรื่องนี้แล้ว เลขาธิการ ครม. ได้จัดการนัดแนะให้ถวัติไปพบ ม.จ.วรรณไวทยากร เพื่อให้ทรงช่วยทำฎีกาอย่างเป็นทางการ (การเข้าเฝ้าขอและรับพระราชทานอภัยโทษที่สงขลาของถวัติไม่เป็นทางการ) ดังที่ "OSK ท่านวรรณ" ทรงเล่า :

ด่วน กระทรวงการต่างประเทศ
วังสราญรมย์, กรุงเทพฯ
วันที่ ๑๐ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๗๖
เรียน เลขาธิการคณะรัฐมนตรี

หนังสือที่ น.๗๔๘๕/๒๔๗๖ ลงวันที่ ๙ เดือนนี้ ว่าได้นัดให้นายถวัติ ฤทธิเดช กับนายร้อยตำรวจตรี วาศ สุนทรจามร ไปพบกับข้าพเจ้าในวันที่ ๑๑ เดือนนี้นั้น ได้รับทราบแล้ว

เรื่องนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่า ถ้าจัดการให้เสร็จได้ก่อนเสด็จไปในวันที่ ๑๒ จะเปนการสดวก เพราะว่าถ้าจะตกไปอยู่ในพระวินิจฉัยของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แล้ว อาจจะเนิ่นช้าไปได้ ข้าพเจ้าจึงได้เชิญนายถวัติ ฤทธิเดช กับนายร้อยตำรวจตรี วาศ สุนทรจามร มาพบข้าพเจ้าในวันนี้ และได้ทำความตกลงกันแล้ว คือให้นายถวัติ ฤทธิเดช ทำฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ ซึ่งนายถวัติได้ทำขึ้น และข้าพเจ้าตรวจดู เห็นว่าเป็นอันใช้ได้แล้ว จึงได้ส่งมาในที่นี้พร้อมกับร่างหนังสือเจ้าคุณนายก เพื่อกราบบังคมทูลในเรื่องนี้ด้วย ขอคุณหลวงได้เตรียมพระราชหัตถเลขาพระกรุณา จะได้ทรงมีเวลาพระราชทานพระราชวินิจฉัยก่อนวันที่ ๑๒

ขอแสดงความนับถืออย่างสูง
วรรณไวทยากร วรวรรณ

วันต่อมา พระยาพหลฯ ได้มีหนังสือถึงพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ (คงจะเป็น "ร่างหนังสือเจ้าคุณนายก" ที่ "ท่านวรรณ" กล่าวถึงในจดหมายข้างต้น) ทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาของถวัติ พร้อมร่างพระราชหัตถเลขาพระราชทานอภัยโทษที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีเตรียมไว้ หลังจากได้รับ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงลงพระปรมาภิไธยในร่างนั้น แล้วส่งกลับมาให้รัฐบาล พร้อมข้อเสนอใหม่บางอย่าง :

ที่ ๖๔๐/๒๔๕๔ กรมราชเลขานุการในพระองค์
วันที่ ๑๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๗๖
เรียน พระยาพหลพลพยุหเสนา นายกรัฐมนตรี

ตามหนังสือที่ ก.๗๖๐๕/๒๔๗๖ ลงวันที่ ๑๑ เดือนนี้ว่า คดีนายถวัติ ฤทธิเดช กับพวก หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งไม่มีพระราชประสงค์จะเอาโทษ ได้ทรงรับการขมาแล้ว บัดนี้นายถวัติ ฤทธิเดช กับพวกได้ทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษตามทางการด้วยแล้ว คณะรัฐมนตรีเห็นควรพระราชทานอภัยโทษ แม้ศาลยังมิได้พิพากษาก็ดี ท่านจะเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ดังในร่างพระราชหัตถเลขาอภัยโทษนั้น ความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว

โปรดเกล้าฯ ว่า ในเรื่องนี้ ได้พระราชทานพระราชกระแสแล้วว่า ไม่มีพระราชประสงค์จะเอาโทษ ฉะนั้น จะจัดการอย่างไร ก็สุดแล้วแต่รัฐบาลจะเห็นควร ไม่ทรงขัดข้อง และได้ทรงลงพระปรมาภิไธยในพระราชหัตถเลขาพระราชทานอภัยโทษในวันนี้ด้วยแล้ว ดังเชิญมาพร้อมหนังสือนี้

อนึ่งมีพระราชกระแสว่า ทรงพระราชดำริเห็นควรเสนอต่อรัฐบาลด้วยว่า คดี ม.ร.ว.อักษรศิลป์ สิงหรา ออกจะคล้ายกันกับเรื่องนี้ ม.ร.ว.อักษรศิลป์ สิงหรา ได้ขอพระราชทานอภัยโทษแล้ว แต่ได้โปรดเกล้าฯ ให้ตอบว่า คดียังอยู่ในศาลจึงให้รอไว้ก่อน ทรงเห็นว่า ม.ร.ว.อักษรศิลป์ สิงหรา ควรได้รับพระราชทานอภัยโทษด้วย มิฉะนั้น คณะรัฐบาลจะถูกติเตียนว่าเลือกที่รักมักที่ชังและขาดความยุตติธรรม ไม่มีพระราชประสงค์จะเอาโทษแก่ ม.ร.ว.อักษรศิลป์ สิงหรา แต่ก็ต้องถูกลงโทษจำคุกมานานพอใช้แล้ว ทรงเห็นเป็นการสมควรอย่างยิ่ง ที่จะให้ได้รับพระราชทานอภัยโทษเสียด้วย พร้อมกับนายถวัติ ฤทธิเดช กับพวกนี้

อาทิตย์
ลงนามแทน ราชเลขานุการในพระองค์

เมื่อรับจดหมายนี้ เจ้าหน้าที่กรมเลขาธิการ ครม. ได้บันทึกความเห็นว่า "มีพระราชกระแสเรื่อง ม.ร.ว.อักษรศิลป์ด้วย เสนอนายกรัฐมนตรี [ลงชื่อ] ชำนาญอักษร ๑๒/๑๐/๗๖" ซึ่งเมื่อพระยาพหลฯ ได้รับ ก็มีคำสั่งว่า "ให้ทำขึ้นเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อน จึงจะลงนามสนองพระบรมราชโองการ [ลงชื่อ] พระยาพหลฯ ๑๒ ม.ค. ๗๖" อย่างไรก็ตามผมไม่พบว่ามีการนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีแต่อย่างใด (รายงานการประชุม ครม. ช่วงนี้ยังมีอยู่ครบ) ยิ่งกว่านั้น ผมไม่พบว่าได้มีการประกาศพระบรมราชโองการให้อภัยโทษแก่ถวัติซึ่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงลงพระปรมาภิไธยแล้วนั้นในราชกิจจานุเบกษาด้วย ผมอยากจะเดาว่า ประเด็นเรื่องอภัยโทษ ม.ร.ว.อักษรศิลป์ ที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงเสนอขึ้นใหม่ อาจทำให้พระยาพหลฯ หรือผู้นำรัฐบาลบางคน (ไม่ใช่ ครม. เพราะไม่มีการนำเสนอ) เปลี่ยนใจเรื่องประกาศเป็นพระบรมราชโองการให้อภัยโทษถวัติ แล้วหันมาใช้วิธีสั่งให้อัยการถอนฟ้องแทน พวกเขาอาจจะถือได้ว่า พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ เองมีพระราชกระแสว่า "จะจัดการอย่างไร ก็สุดแล้วแต่รัฐบาลจะเห็นควร ไม่ทรงขัดข้อง" (หรือมิเช่นนั้น พวกเขาก็อาจจะมีความเห็นภายหลังว่า การอภัยโทษขณะคดีไม่สิ้นสุดไม่ควรทำหรือทำไม่ได้) ดังจดหมายต่อไปนี้ จากเลขาธิการ ครม. ถึงรัฐมนตรีมหาดไทย

ที่ ข.๘๐๘๔/๒๔๗๖
กรมเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
วันที่ ๒๒ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๗๖
เลขาธิการคณะรัฐมนตรี เรียน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

ด้วยนายถวัติ ฤทธิเดช กับพวก ได้ทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ ในคดีที่อัยยการเป็นโจทก์ ฟ้องหาว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อัยยการจัดการระงับคดีเรื่องนี้แล้ว ดั่งพระราชหัตถเลขาสั่งท้ายฎีกา ซึ่งได้เชิญมาพร้อมกับหนังสือนี้ เพื่อท่านจักได้ดำเนินการต่อไป

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด
หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์
เลขาธิการคณะรัฐมนตรี

ความจริงที่หลวงธำรงฯ เขียนว่า "โปรดเกล้าฯ ให้อัยยการจัดการระงับคดีเรื่องนี้แล้ว" นั้นไม่ตรงนัก ดังที่เห็นแล้ว ทรงลงพระปรมาภิไธยให้อภัยโทษต่างหาก เนื่องจากเราไม่มีฎีกาที่ถวัติทำถวาย (โดยความช่วยเหลือของ "ท่านวรรณ") เราจึงไม่ทราบว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงพระอักษรท้ายฎีกานั้นว่าอย่างไร แต่เดาจากจดหมายราชเลขานุการในพระองค์ วันที่ ๑๑ มกราคม น่าจะเพียงทรงพระอักษรทำนองว่า "ไม่มีพระราชประสงค์จะเอาโทษ" เท่านั้น ไม่ถึงกับเจาะจงว่าให้อัยยการถอนฟ้อง (เพราะทรงเห็นว่า "จะจัดการอย่างไร ก็สุดแล้วแต่รัฐบาล" มากกว่า)

ผมไม่มีหลักฐานเกี่ยวกับกรณีนี้อีก แต่เข้าใจว่า อัยการก็คงถอนฟ้องไปในปลายเดือนมกราคม ๒๔๗๖ และเรื่องคงยุติเช่นนั้น


ข้อสังเกตบางประการ จากกรณีถวัติ ฤทธิเดช ฟ้องพระปกเกล้าฯ

โดยส่วนตัว ผมไม่มีคำอธิบายกรณีถวัติ ฤทธิเดช ฟ้องพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ นี้ ผมรู้สึกว่าหลักฐานที่มีอยู่ไม่เพียงพอจะบอกได้ว่า ถวัติทำเพราะอะไร? (ไม่ใช่ฟ้องศาลอย่างที่เป็นตำนาน เพียงพยายามยื่นฟ้องต่อสภา แต่ยื่นไม่สำเร็จ ในที่สุดเรื่องนี้เป็นเพียงข่าวจะยื่นฟ้องต่อสภาเท่านั้น) แล้วทำไมเขาจึงไปขอพระราชทานอภัยโทษ? ความสนใจของผมอยู่ที่ปัญหาเชิงกฎหมายและเชิงหลักการเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่า "ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่พระมหากษัตริย์เป็นประมุข" ซึ่งกรณีนี้เสนอขึ้นมามากกว่า แต่ดังที่เห็นแล้วว่า แม้ในขณะที่เกิดเหตุการณ์ ปัญหานี้ไม่ได้รับความสนใจหรือถกเถียงกันจริงจังเท่าใดนัก ภายหลังต่อมา เมื่อนักวิชาการเขียนเรื่องนี้หรือเขียนเกี่ยวกับถวัติ ก็สนใจที่จะนำเสนอในเชิงตำนานผู้กล้า (heroic tale) มากกว่า ต่อไปนี้ผมจะขออภิปรายเพื่อแสดงให้เห็นประเด็นทางกฎหมายและทางหลักการที่ผมสนใจอย่างสั้นๆ

ผมคิดว่า รัฐบาลในขณะนั้นพูดถูกว่า โดยหลักการ รัฐที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และทำในนามพระมหากษัตริย์ ("รัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว", "ศาลของ...") พระมหากษัตริย์ถูกฟ้องไม่ได้ แต่หลักการนี้วางอยู่บน (หรือต้องถูกกำกับโดย) หลักการอีกข้อหนึ่งคือ พระมหากษัตริย์ไม่สามารถทำอะไรได้เอง คือทำอะไรโดยไม่มี "ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ" ไม่ได้ ผมคิดว่า คำอธิบายเรื่องนี้ของรัฐบาลได้บดบังประเด็นสำคัญนี้ไป เพราะไปเน้นเรื่อง "รัฐบาล-ศาลของพระเจ้าอยู่หัว" และเรื่องความแตกต่างระหว่างคดีแพ่งกับคดีอาญา ความจริงทั้งคดีแพ่งและอาญา ฟ้องกษัตริย์ไม่ได้ทั้งคู่ ประเด็นไม่เกี่ยวกับว่าเป็นแพ่งหรืออาญา ที่ฟ้องไม่ได้เพราะ "พระมหากษัตริย์ไม่สามารถทำผิดได้" เนื่องจากไม่สามารถทำอะไรได้เองหรือตามอำเภอใจตัวเอง และดังนั้นก็ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบหรือถูกฟ้องได้ (แม้แต่เรื่องการพูดต่อสาธารณะ พระราชดำรัสต่างๆ ต้องผ่านการเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี นี่คือสิ่งที่ปฏิบัติจริงในสมัยนั้น) คือจะทำอะไรต้องมีผู้รับสนอง และผู้รับสนองนี้ แท้จริงคือผู้อนุญาตให้ทำ ดังนั้นถ้าการกระทำนั้นผิด ผู้นั้นจึงควรเป็นผู้ถูกฟ้อง แม้จะทำในนามพระมหากษัตริย์ก็ตาม

แต่ถ้าในกรณีที่พระมหากษัตริย์ทำอะไรเอง โดยไม่มีผู้รับสนองหรือผู้อนุญาต แล้วการกระทำนั้นผิด ไม่ว่าจะอาญาหรือแพ่งก็ตาม ก็ต้องถือว่าพระมหากษัตริย์ทำผิดตั้งแต่ต้น ในแง่ทำอะไรเอง (ล้ำเกินขอบเขตที่จะทำได้ในฐานะพระมหากษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ) อาญาหรือแพ่งไม่มีความสำคัญต่อเรื่องนี้ คือ ถ้าการกระทำนั้นมีผลกระทบในทางอาญา แต่ถ้ามีผู้รับสนอง การฟ้อง ความจริงก็ไม่จำเป็นต้องฟ้องสภา ฟ้องศาลอาญาก็ได้ แต่ฟ้องผู้รับสนอง ไม่ใช่ฟ้องพระมหากษัตริย์ ในทางกลับกัน ถึงเป็นความผิดทางแพ่ง ถ้าไม่มีผู้รับสนอง ก็ไม่ใช่ต้องฟ้องกระทรวงวัง เพราะความผิดเป็นเรื่องอื่นตั้งแต่ต้น (คือการไม่มีผู้รับสนอง) จะฟ้องกระทรวงวังก็ไม่สามารถทำได้ ผมพูดเช่นนี้ ไม่ใช่พูดลอยๆ แต่มีกรณีที่เกิดขึ้นจริง คือในปี ๒๔๘๒ รัฐบาลมาค้นพบย้อนหลังว่า ในช่วงปี ๒๔๗๕-๒๔๗๗ ที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ยังเป็นกษัตริย์นั้น ทรงแอบโยกย้ายทรัพย์สินในกรมพระคลังข้างที่จำนวนหนึ่งไปไว้ในบัญชีธนาคารส่วนพระองค์ในต่างประเทศ โดยไม่มีผู้รับสนอง (คือทรงทำเอง ไม่มีใครอนุญาต) รัฐบาลจึงได้ดำเนินการฟ้องร้องทางศาลแพ่ง (ฟ้องในฐานะเป็นเอกชน เพราะสละราชย์แล้ว) แต่สมมุติว่า การค้นพบนี้เกิดขึ้นในระหว่างที่ยังทรงเป็นพระมหากษัตริย์ล่ะ? ความผิดในลักษณะแพ่งของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ที่เป็นพระมหากษัตริย์นี้ จะให้ฟ้องพระคลังข้างที่หรือกระทรวงวังหรือ? ฟ้องพระคลังข้างที่ว่าพระมหากษัตริย์ยักยอกเงินพระคลังข้างที่โดยพระคลังข้างที่ไม่รู้? จะเห็นว่า ถึงเป็นความผิดทางแพ่ง ถ้าความผิดนั้น เกิดขึ้นโดยไม่มีผู้รับสนอง คือเกิดขึ้นเพราะพระมหากษัตริย์ทำอะไรไปเอง เรื่องก็ไม่เกี่ยวกับว่าต้องฟ้องพระคลังข้างที่หรือกระทรวงวังต่อศาลแพ่ง แต่จะต้องพิจารณาก่อนว่า ควรจะปฏิบัติอย่างไรกับการที่พระมหากษัตริย์ทำผิดด้วยการทำอะไรไปเองเช่นนี้ ใครจะพิจารณา? ผมคิดว่า ในกรณีเช่นนี้ (ซึ่งแม้จะมีต้นตอมาจากคดีลักษณะแพ่ง) คงต้องให้สภาพิจารณา

สรุปแล้ว ในความเห็นของผม ถ้ามีผู้รับสนอง ไม่ว่าจะแพ่งหรืออาญาก็ฟ้องไม่ได้ และไม่จำเป็นที่จะต้องแยกระหว่างฟ้องศาลในคดีแพ่งกับฟ้องสภาในคดีอาญา (แบบที่รัฐบาลสมัยนั้นอธิบาย) ฟ้องศาลได้ทั้งคู่ แต่ฟ้องผู้รับสนองไม่ใช่พระมหากษัตริย์ ในทางกลับกัน ถ้าไม่มีผู้รับสนอง ก็ควรให้ฟ้องสภา ไม่ว่าคดีนั้นเป็นลักษณะใด เพราะต้องให้วินิจฉัยว่า พระมหากษัตริย์ทำผิดหรือไม่ ที่ละเมิดขอบข่ายอำนาจของตนในฐานะพระมหากษัตริย์ใต้กฎหมาย เมื่อมองเช่นนี้ จะเห็นว่าสิ่งที่เป็นจุดเริ่มต้นของกรณีถวัติฟ้องพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ คือ "พระบรมราชวินิจฉัยเค้าโครงการเศรษฐกิจ" นั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทำไปโดยไม่ได้ผ่านการเห็นชอบจากใคร ไม่มีใครลงนามรับสนองพระบรมราชโองการในเอกสารนั้น (ถ้ามีผู้ลงนามรับสนอง ถวัติก็ไม่มีสิทธิ์ฟ้องพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ แต่ต้องฟ้องพระยามโนฯ หรือใครก็ตามที่ลงนามรับสนองนั้นแทน) ในแง่นี้ ทรงทำผิดหรือทำเกินขอบเขตอำนาจในฐานะพระมหากษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ (ต้องไม่ลืมว่า เรากำลังพูดถึงเอกสารที่โฆษณาเผยแพร่สู่สาธารณะในนามพระมหากษัตริย์ ไม่ใช่การแลกเปลี่ยนความเห็นกันภายใน ระหว่างพระมหากษัตริย์กับรัฐบาล ถ้าเป็นเพียงการแลกเปลี่ยนความเห็นภายใน คือพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงเขียนวิจารณ์ปรีดี แล้วอภิปรายกันภายใน ก็ย่อมทรงทำได้ ไม่เกินขอบเขต)

มองในแง่นี้ ต้องกล่าวว่าเป็นความ irony ที่ว่า ความผิดฐาน "หมิ่นประมาท" ซึ่งถวัติคิดจะฟ้องพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ต่อสภานั้น แท้จริงเป็นความผิดที่เล็กกว่าความผิดจริงๆ ที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงทำ (คือทำอะไรด้วยพระองค์เอง) ความผิดหลังนี้ เป็นความผิดในเชิงหลักการใหญ่ของระบอบการปกครองหลังการปฏิวัติ ๒๔๗๕๑๙


โดย : สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล
ภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ที่มา : http://www.osknetwork.com/modules.php?name=News&file=print&sid=804

ไม่มีความคิดเห็น: