สองพี่น้องตระกูลพึ่งบุญ สืบเชื้อสายมาจาก พระองค์เจ้าไกรสอน พระโอรสองค์ที่33 ของ ร.1กับเจ้าจอมมารดาน้อยแก้ว ครั้งสุดท้ายทรงกรมเป็นกรมหลวงรักษ์รณเรศ ถึงรัชกาลที่3 ถูกสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ ด้วยข้อหา
1. รับสินบนในการตัดสินคดีความ รีดไถเงิน และยักยอกทรัพย์หลวง
2. มีความประพฤติผิดเพศ กับผู้ชายในวงละคร
3. ซ่องสุมกำลังเตรียมก่อการกบฏ
๑. เจ้าพระยารามราฆพ (ม.ล.เฟื้อ พึ่งบุญ ณ อยุธยา) ผู้สำเร็จราชการกรมมหาดเล็ก และสมุหราชองครักษ์
๒. พระยาอนิรุธเทวา (ม.ล.ฟื้น พึ่งบุญ ณ อยุธยา) อธิบดีกรมมหาดเล็ก
เป็นบุตรพระนมทัด ซึ่งเป็นพระนมของ ร.6 มีบุตรสาวอีกคน ชื่อ เชื้อ ภายหลังได้เป็น คุณท้าวอินทรสุริยา เป็นนางพนักงานพระภูษากับคุมห้องเครื่องต้น ทรงโปรดปรานให้ใกล้ชิดพระองค์ โดยเฉพาะเจ้าคุณรามฯ ถึงทรงเรียกว่าลูก และโปรดให้ร่วมโต๊ะเสวยทั้งกลางวันและกลางคืน ตลอดรัชกาล งานในหน้าที่เจ้าคุณรามฯคือ ปกครองข้าราชบริพารมหาดเล็กที่รับใช้ใกล้ชิดพระองค์ ซึ่งเป็นผู้ชายทั้งหมด อำนวยความสะดวกแก่พระองค์ทุกสิ่งทุกอย่าง ฝึกฝนโขนละครและการแสดงต่างๆที่ทรงโปรดและคอยอารักขา ส่วนหน้าที่ของเจ้าคุณอนิรุธฯคือราชการกรมมหาดเล็กและ”ต้องทำหน้าที่เป็นบาทบริจาริกาไปนอนออยู่ชิดห้องพระบรรทมเพื่อถวายอารักขาบุคคลทั้งสองเป็นผู้ใกล้ชิดพระองค์มากที่สุดและตลอดเวลา
แทบทุกพระฉายาลักษณ์ที่ไม่เป็นทางการและไม่ใช่พระรูปเดี่ยว จะมีเจ้าคุณรามฯปรากฏในรูปร่วมด้วยเสมอ ไม่ว่าจะเสด็จไปที่ใด รู้พระทัยและจัดการให้ได้ตามพระราชประสงค์โดยที่ไม่ต้องรอให้มีพระบรมราชโองการ มีส่วนร่วมในทุกกิจกรรมที่เป็นพระราชดำริ พระองค์จึงรักใคร่มากมายมหาศาลเป็นพิเศษกว่าผู้ใดในแผ่นดินก็ว่าได้ อวยยศอวยตำแหน่งให้จนถึงขนาด พระราชทานทรัพย์สมบัติที่ดินบ้านช่องให้จนเกินหน้าเกินตาเจ้านายเจ้าคุณทั้งสองเป็นผู้ที่มีอิทธิพลและความสำคัญในการพิจารณาอนุญาตให้หรือไม่ให้ผู้ใดได้เข้าเฝ้า ผู้ที่ต้องการเข้าเฝ้าฯอย่างใกล้ชิด หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากบุคคลทั้งสองแล้ว ยากที่มีโอกาส
เรื่องราวอะไรที่ใครอยากให้สำเร็จ ถ้าได้ผ่านทางท่านเจ้าคุณแล้วเป็นอันแน่ใจได้ว่าจะสำเร็จตามความต้องการ เช่น ครั้งหนึ่ง มจ.ชัชวลิต เกษมสันต์ คนใกล้ชิดของเจ้าคุณรามฯ จะสมรสแต่ยังไม่มีวังเป็นส่วนตัว ไม่มีเงินปลูกใหม่ ไม่มีเงินซื้อเครื่องตกแต่งวัง เจ้าคุณรามฯนำเรื่องขึ้นกราบบังคมทูลของพระราชทานเงินสองหมื่นบาท(สมัยนั้น) มีบาทบริจาฯคนหนึ่งคัดค้าน แต่เจ้าคุณรามฯ”กราบบังคมทูลปัดเป่าอุปสรรคนั้นให้พ้นไปจนได้รับพระราชทานตามประสงค์”
ขุนนาง เจ้านาย ข้าราชการคนใด แม้ขยัดขันแข็ง ฉลาดเฉลียว ถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากบรรดามหาดเล็กแล้ว ก็ยากที่จะเจริญก้าวหน้าได้ ข้างบนทั้งหมดผมไม่ได้เป็นคนพูด คนพูดคือ จมื่นอมรดรุณารักษ์ (แจ่ม สุนทรเวช) พอจะสิ้นรัชกาลก็ยังทรงห่วงมหาดเล็กของพระองค์ โดยเฉพาะเจ้าคุณทั้งสอง ทรงอุตส่าห์ดำรัสให้มอบเงินเบี้ยเลี้ยงบำนาญเท่านั้นเท่านี้ แม้หลังสวรรคตแล้ว พอถึงยุคเศรษฐกิจอับจนสมัยร.7 พระองค์ทรงเพิกเฉยกับเงินก้อนนี้ เพราะประเทศต้องประหยัดสุดชีวิต เจ้าคุณรามฯก็เลยเก็บความรู้สึกไว้จนกระทั่งเปลี่ยนแปลงการปกครอง ท่านเจ้าคุณกับพวกเป็นโจทย์ยื่นฟ้องร้องต่อศาล ให้ร.7ชดใช้ด้วยเรื่องอันนี้ แต่ศาลท่านคงเห็นว่าเรื่องที่เกิดครั้งสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ถือการตัดสินใจของพระมหากษัตริย์เป็นเด็ดขาด ในเมื่อตอนที่ร.6ออกกฎนี้มาด้วยฐานะกษัตริย์ ร.7ท่านก็เลิกกฎนี้ด้วยฐานะกษัตริย์เหมือนกัน ก็เลยยกฟ้องหลังจากนั้นเป็นไงต่อ ผมก็ไม่ค่อยรู้แล้ว ตอนตายก็ตายในเมืองไทยนี่แหละ ตอนแก่ยังเห็นไปถือหุ้นแบงค์กรุงเทพของเจ้าสัวชินอยู่นี่
เจ้าพระยารามราฆพ(ม.ล. เฟื้อ พึ่งบุญ) เป็นบุตรพระยาประสิทธิ์ศุภการ(ม.ร.ว.ละม้าย พึ่งบุญ) กับพระนมทัด สำเร็จการศึกษาชั้นต้น ที่ร.ร.บพิตรพิมุข และถวายตัวเป็นมหาดเล็กในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร เมื่ออายุ 13ปีเศษ สมเด็จพระบรมฯได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯส่งไปศึกษาที่ร.ร.มหาดเล็กหลวง จนกระทั่งพ.ศ.2451จึงได้เข้ารับราชการในพระองค์ ตำแหน่งสำรองข้าราชการนายเวรขวา ทำหน้าที่ดูแลเครื่องเสวยและปฏิบัติราชกิจทั่วไป ต่อมาได้เลื่อนตำแห่งเป็นสมุหราชองครักษ์ เจ้าหน้าที่ตามเสด็จทุกแห่ง เรียกได้ว่าปฏิบัติหน้าที่ใกล้เชิดพระองค์มากกว่าผู้อื่น ไม่ว่าพระเจ้าอยู่หัวจะทรงกีฬา ทรงละคร หรือกิจกรรม อื่นใด ท่านจะเข้าร่วมด้วยทุกคราวไป
ในชีวิตการรับราชการของเจ้าพระยารามราฆพดูจะรุ่งโรจน์เกินกว่าผู้อื่นใดในสมัยเดียวกัน ตำแหน่งที่ท่านผู้นี้ได้รับเมื่อรัชกาลที่หกขึ้นครองราชย์ คือ จางวางห้องที่พระบรรทม อธิบดีกรมมหาดเล็ก และผู้สำเร็จราชการมหาดเล็กในที่สุด งานในหน้าที่ท่านอาจสรุปได้ดังนี้
1 ปกครองข้าราชบริพารทั้งหมดที่ล้วนเป็นกรมขนาดใหญ่
2. อำนวยความสะดวกสบายทุกอย่างทำนองทนายหน้าหอ
3. ฝึกฝนเอาใจใส่วิชานาฏศิลป์ตามพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร่วมแสดงโขน ละคร
4. ถวายอารักขาความปลอดภัยในฐานะสมุหราชองครักษ์
นอกจากราชการโดยตรงในกรมมหาดเล็กแล้ว เจ้าคุณรามฯยังได้รับตำแหน่งอื่นอีก ได้แก่ ผู้บัญชาการกรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ ผู้บัญชาการกรมมหรสพ ผู้บัญชาการโรงเรียนข้าราชการพลเรือน เป็นต้น นับว่าเป็นผู้ทีได้รับพระมหากรุณาธิคุณทั้งทางด้านการงานและเรื่องส่วนตัว ด้านการงาน นอกจากจะได้รับการเลื่อนยศ ตำแหน่ง ตลอดจนบรรดาศักดิ์เร็วกว่าคนหนุ่มที่รับราชการรุ่นเดียวกัน ยังเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยให้ดูแลราชการต่างๆที่เนื่องด้วยราชการในพระองค์ อิทธิพลของเจ้าคุณรามฯเป็นที่ทราบกันที่ของหมู่ข้าราชการทั่วไป โดยตำแหน่งหน้าที่และความใกล้ชิด
ท่านผู้นี้มีสิทธิที่จะอนุญาตให้หรือไม่ให้ผู้ใดเข้าเฝ้าฯ ผู้ที่ต้องการเข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิด ถ้าไม้ได้รับความช่วยเหลือกจากเจ้าคุณทั้งสองแล้วก็ยากที่จะมีโอกาส ทั้งนี้เนื่องจากบุคคลทั้งสองจะทำหน้าที่กรองเรื่องราวต่างๆก่อนนำขึ้นกราบบังคมทูล เรื่องใดที่ผ่านบุคคลทั้งสองแล้วย่อมแน่ใจได้ว่าจะสำเร็จตามความประสงค์ ความเป็น”คนโปรด”ของพระเจ้าแผ่นดิน มิได้ทำให้เจ้าคุณรามฯเป็นที่ยำเกรงเฉพาะข้าราชการภายนอกเท่านั้น แม้แต่ข้าราชการกระทรวงวังที่มีอาวุโสมากกว่าก็ยังต้องเกรงใจ
ดังจะเห็นได้จากการใช้คำนำในการร่างหนังสือราชการ ซึ่งโดยปกติถ้ามียศสูงกว่าและตำแหน่งสูงกว่า ให้ใช้คำว่า”เรียนท่าน” แต่ถ้ามียศและตำแหน่งเท่ากันให้ใช้คำว่า”เรียน”เฉย ไม่ต้องมีคำว่าท่าน ระเบียบนี้ยกเว้นเฉพาะพระยาประสิทธิ์ศุภการ(ซึ่งต่อมาคือเจ้าพระยารามราฆพ)คนเดียวเป็นพิเศษ ให้ใช้คำว่า เรียนท่านพระยาประสิทธิ์ศุภการ(อันนี้ปรากฏในหนังสือคำสั่งกรมราชเลขาธิการไม่ปรากฏวันที่) ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าพระยามหิธร ราชเลขาธิการเอง ยังต้องขอคำปรึกษาเรื่อเกี่ยวกับหนังสือราชการต่างๆที่จะทูลเกล้าฯถวายเพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กล่าวได้ว่าอิทธิพลของเจ้าพระยารามฯนั้นครอบคลุมไปทั่วราชการแผ่นดิน
นอกจากจะได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยในด้านการงานแล้ว
รัชกาลที่หกยังโปรดเจ้าคุณรามฯเป็นการส่วนพระองค์อีกด้วย ทรงถือว่าเป็น”ศุภมิตร” และพระราชทานความเมตตาประดุจบิดาที่มีต่อบุตร ทรงเรียกว่า”ลูก”และโปรดให้ร่วมโต๊ะเสวยทั้งมื้อกลางวันและกลางคืนตลอดรัชกาล พระมหากรุณาธิคุณต่อเจ้าคุณฯนั้น นอกจากจะพระราชทานยศศักดิ์ให้สูงเกินกว่ามหาดเล็กคนอื่นๆ ยังพระราชทานความสนิทสนมเป็นส่วนพระองค์ เช่น พระราชทานพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ไว้เป็นที่ระลึกมากมาย แต่ละภาพจะมีลายพระราชหัตถ์แสดงพระมหากรุณาธิคุณเป็นที่ยิ่ง เช่น “ให้ไว้แก่เฟื้อผู้รับใช้ใกล้ตัว เป็นอุปถากมาหลายปีและมิได้กระทำให้เป็นที่ขุ่นเคืองขัดใจเลยแม้แต่น้อย” หรือในพระบรมฉายาลักษณ์ที่ทรงฉายคู่กับเจ้าพระยารามราฆพมีลายพระหัตถ์กำกับไว้ว่า”ให้พระยาประสิทธิ์ศุภการ เป็นพยานแห่งความเสน่หา” นอกจากนี้ยังทรงมีพระราชหัตถเลขาพระราชทานพระบรมราโชวาทอยู่เนืองๆ พระราชหัตถเลขาฉบับที่เป็นหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์ คือ ฉบับที่ทรงอวยพรวันเกิดของเจ้าคุณรามฯเมื่ออายุครบ 21 ปี
พระราชหัตถเลขาฉบับนี้มีถึงเจ้าคุณรามฯ เมื่อก่อนเกิดกบฏร.ศ.130 ประมาณ4เดือนเศษ ทรงเขียนที่พิษณุโลกเมื่อวันที่ 16ตุลาคม ร.ศ.130 ใจความในพระราชหัตถเลขาเป็นการยกย่องชมเชยเจ้าพระยารามราฆพ ในฐานะที่เป็นผู้มีความซื่อสัตย์จงรักภักดี ประพฤติตนเหมาะสมแก่กาลเทศะ สมควรที่พระเจ้าแผ่นดินจะทรงชุบเลี้ยง ทรงถือว่าเจ้าพระยารามฯ”เป็นอุปถากอันถูกใจหาผู้ใดเสมอเหมือนได้ยาก...เป็นคนหนุ่มที่อัศจรรย์ไม่เหมือนคนหนุ่มทั้งหลาย” เป็นผู้ที่ตั้งมั่นอยู่ในโอวาทของพระองค์เปรียบประดุจบุตรเชื่อฟังและรักใคร่บิดา ตอนท้ายเป็นการพระราชทานพรวันเกิด พร้อมทั้งเงินทำขวัญ 100ชั่ง พระราชหัตถเลขาฉบับนี้เป็นที่สนใจของบรรดาทหาร ถึงขนาดคัดลอกสำเนาแจกจ่ายกัน
เนื้อหาของพระราชหัตถเลขาฉบับนี้ทำให้กลุ่มนายทหารร.ศ.130ได้แสดงความกังขาในความเป็น“คนดี” “คนโปรด”ของเจ้าคุณรามฯ ดังที่ร.ท.จรูญ ณ บางช้าง ได้เขียนข้อความในเชิงประชดประชันไว้ที่ส่วนบนของสำเนาพระราชหัตถเลขา ซึ่งเขาได้เก็บไว้ว่า “อ่านแล้วคิดให้ตลอดแล้วประพฤติตามดีไหม?” เรื่องของเจ้าคุณฯที่ได้รับพระราชทานเงิน100ชั่ง นับเป็นหัวข้อในการสนทนาระหว่างกลุ่มทหาร พระราชปฏิบัติของรัชกาลที่หก ในครั้งนี้ได้ก่อให้เกิดความรู้สึกสะเทือนใจแก่ทหารส่วนใหญ่ ต่างเห็นกันว่าพระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณแต่กับมหาดเล็กซึ่งป็นเพียงคนรับใช้ใกล้ชิด ร่วมเล่นโขนละครเท่านี้ ในขณะที่ทหารซึ่งทำหน้าที่ เพื่อประเทศชาติกลับมิได้รับการเหลียวแลแต่ประการใด ดังที่ ร.ต.เจือได้กล่าวกับเพื่อนสมาชิกคนหนึ่งว่า “พวกเราทำการเหนื่อยแทบตายไม่เห็นได้อะไร อ้ายมันเต้นๆรำๆเท่านั้น ได้ตั้งร้อยชั่งพันชั่ง” สำหรับร.ต.เจือ ดูจะเป็นผู้ที่แสดงออกถึงความไม่พอใจต่อพระราชจริยาวัตรต่างๆมากเกินกว่าผู้ใด ในสมุดบันทึกส่วนตัวของนายทหารผู้นี้มีโน้ตคำถามที่เกี่ยวกับพระราชจริยาวัตรหลายเรื่อง เช่น
...พระเจ้าแผ่นดินรักคนใช้มากดีไหม...ให้เงินทีตั้ง100ชั่ง หมายความว่ากระไร พระเจ้าแผ่นดินเอาแต่เล่นโขน เอาเงินสร้างบ้านซื้อรถให้มหาดเล็กดีไหม...ทำไมพระราชาพระองค์นี้จึงโปรดมหาดเล็ก แต่ผู้หญิงไม่ชอบเลย...
หลักฐานฐานต่างๆดังกล่าวมานี้นับเป็นการแสดงถึงความรู้สึกเคลือบแคลงในความสัมพันธ์ระหว่างรัชกาลที่หกกับเจ้าพระยารามราฆพ หากแต่งสิ่งเหล่านี้ก็มิได้มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงพระราชจริยาวัตรแต่ประการใด เจ้าพระยารามราฆพยังคงได้รับความไว้วางพระทัย และมีอิทธิพลมากยิ่งขึ้นหลังเหตุการณ์ร.ศ.130 สองพี่น้องแห่งตระกูลพึ่งบุญ ณ อยุธยา ได้กว่าขึ้นสู่ความร่ำรวยอย่างรวดเร็ว ทั้งที่ได้รับพระราชทานจากรัชกาลที่หก และผลประโยชน์ที่ได้รับจากการเป็นผู้กว้างขาวและมีอิทธิพลในราชสำนัก อิทธิพลของเจ้าพระยารามราฆพนั้นมีมาก จนไม่มีใครกล้าวิพากษ์วิจารณ์ แม้แต่หนังสือพิมพ์ในสมัยรัชกาลที่หก ซึ่งได้ชื่อว่ามีเสรีภาพมากก็ยังไม่กล้าลงเรื่องราวของท่านผู้นี้ จวบจนกระทั่งสิ้นรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงมีการเขียนบทความโจมตีเจ้าพระยารามราฆพอย่างเปิดเผย ยุคแห่งความรุ่งโรจน์ของท่านผู้นี้ได้สิ้นสุดลงพร้อมกับการสวรรคตของรัชกาลที่หก
บทความที่ลงโจมตีเจ้าพระยารามราฆพอย่างรุนแรงที่สุด คือ บทความเรื่อง“ผู้มีบุญ”และ“จดหมายจากเรา”โดยผู้ใช้นามปากกาว่า“แว่นตาหินสิเมนต์” ได้กล่าวถึงความมั่งคั่งของเจ้าพระยารามราฆพว่าไม่มีผู้ใดเทียบ ทั้งยังมีอิทธิพลมาก แต่เมื่อกาลเวลาได้ล่วงเลยไป ความสามารถของเจ้าพระยารามราฆพดูจะไม่มีคุณค่า ยศและตำแหน่งต่างๆ จึงควรจะเรียกคืนได้ บทความเกี่ยวกับเจ้าพระยารามราฆพปรากฏมากในหนังสือพิมพ์บางกอกการเมือง(ธันวาคม2468)
เรื่องความไม่พอใจของพระบรมวงศานุวงศ์ คงเห็นได้จากความขัดแย้งของรัชกาลที่หกกับเจ้านายระดับสูงหลายๆเรื่อง เช่น เรื่องระเบียบการพระศพพระราชวงศ์
แต่นี้ต่อไปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะไม่ทรงรับเป็นพระธุระในการรักษาพระศพเจ้านายองค์ใดๆนอกจาที่เปนพระญาติสนิทโดยตรง เช่น สมเด็จพระอนุชาร่วมพระราชชนนี และพระราชโอรสธิดาในพระองค์เปนต้นไป ฉนั้นต่อไปเมื่อมีการสิ้นพระชนม์ลง กระทรวงวังฯจะมีน่าที่จัดแต่พระโกษฐ์ ชั้นรอง ฉัตร และภูษาโยงไปตั้งและแต่งตามประเพณีที่วัง จัดผ้าไตร และผ้าขาวสำหรับถวายทรงทอดสดัปกรณ์ในวันต้นวันเดียว และนิมนต์พระสำหรับสดัปกรณ์จำเพาะในวันต้นวันเดียวเท่านั้น ส่วนพระพิธีธรรมก็ดี กลองชนะ จ่าปี่ จ่ากลอง และแตรสังข์ก็ดี ถ้าเจ้าภาพปรารถนาให้มีก็ต้องเรียกเอาเงินค่าจ้างคนนั้นล่วงหน้า หาไม่อย่าจัดให้เลย เพราะพระจ้าอยู่หัว ไม่ยอมออกพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์อีกต่อไปแล้ว
ด้วยทรงเห็นว่า
...หากข้าพเจ้าต้องสละเงินส่วนตัวสำหรับบำรุงรักษาพระเกียรติยศแห่งเจ้านายทั้งรัชกาลที่๔และที่๕ ซึ่งยังมีจำนวนเหลืออยู่อีกเปนหลายพระองค์ทั้งต้องอุปถัมภ์บำรุงพระโอรสธิดาของเจ้านายนั้นที่มีองค์ละมากๆฉนั้นแล้ว บุตรภรรยาข้าพเจ้าเองจะมีอะไรกินเข้าไป...
เมื่อพิจารณาเหตุผลของเพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว ก็น่าเห็นในพระองค์เป็นอย่างยิ่ง เพราะการจัดงานศพแต่ละครั้งในสมัยโบราณสิ้นเปลืองเงินทองเป็นจำนวนมาก ยิ่งพระศพหรือศพเจ้านายข้าราชการชั้นสูงยิ่งสิ้นเปลืองทรัพย์สินมากยิ่งขึ้นเพื่อรักษาพระเกียรติยศ โดยเฉพาะงานพระบรมศพจนชาวต่างประเทศออกปากว่า “ทำการพระบรมศพใหญ่เช่นนี้ ไม่มีประเทศใดๆที่จะได้ทำการเหมือนประเทศสยามนี้ไม่มีเลย” ทำให้พระมหากษัตริย์องค์ใหม่ ต้องเป็นหนี้ ซึ่งพรองค์ก็ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ คือทรงมีหนี้สินเป็นจำนวนไม่น้อยจากการจัดงานพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯและพระพันปีหลวง
แต่เมื่อพิจารณากลับถึงความรู้สึกของเจ้านายในพระราชวงศ์ ประกาศกระแสพระบรมราชโองการฉบับนี้ คงกระทบกระเทือนความรู้สึกของพระบรมวงศานุวงศ์บ้าง เนื่องจาก“การพระศพแต่ไรๆมาก็เคยเปนน่าที่จองพระจ้าแผ่นดิน” ในฐานะทรงเป็นกุลเชษฐ์ คือประมุขของพระราชวงศ์ และการที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานพระราชทรัพย์แก่ข้าราชบริพารใกล้ชิดที่กราบบังคมทูลขอพระองค์อย่างไม่มีขอบเขต จึงอาจทำให้พระบรมวงศานุวงศ์ทรงหมางพระทัยในพระองค์ที่เห็นข้าราชบริพารดีกว่าพระญาติพระวงศ์
ไม่เพียงแต่เจ้าคุณรามฯเท่านั้นที่เป็นที่ชิงชังของบุคคลภายนอกราชสำนักซึ่งรวมทั้งประชาชน ข้าราชการ หรือพระราชวงศ์เอง แต่รวมไปถึงบรรดามหาดเล็กทั้งหมดของพระองค์ด้วย มหาดเล็กของรัชกาลที่หก รับใช้ใกล้ชิดมากกว่ามหาดเล็กของรัชกาลที่ห้า สมัยรัชกาลที่ห้า จะทรงใช้มหาดเล็กแต่การฝ่ายหน้าเท่านั้น เมื่อเป็นการฝ่ายในจะทรงใช้ข้าราชบริพารผู้หญิง ดังปรากฏในพระราชหัตถเลขาถึงเจ้าพระยายมราช(ปั้น สุขุม)
...มหาดเล็กทูลกระหม่อมท่านทรงใช้อย่างข้าราชการนอกๆ เพราะฉะนั้นใครมาเป็นเจ้าแผ่นดินก็พอจะใช้ต่อไปได้ โดยให้ทำหน้าที่อย่างที่เคยมา แต่มหาดเล็กฉันไม่เป็นเช่นนั้น มหาดเล็กฉันเหมือนทนายขุนนางมากกว่า เพราะฉันไม่ได้ใช้ผู้หญิงอย่างทูลกระหม่อม มหาดเล็กฉันจึงมีอยู่บางคน ซึ่งมีน่าที่รับใช้อย่างสนิทสนาม และเป็นของฉันแท้ๆ เหลือที่จะหวังได้ว่าจะนิยมบุคคลผู้อื่นยิ่งกว่าฉัน เหลือที่จะวังได้ว่าจะยอมปฏิบัติคนอื่นอย่างที่เขาปฏิบัติฉัน...
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อไม่ทรงเข้ากับพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ที่ทรงคุมราชการแผ่นดินได้ จึงย่อมจะหันไปหาขุนนางข้าราชการสามัญชนแทน อาศัยน้ำพระทัยที่กว้างขวางโปรดการพระราชทานตามคำกราบบังคมทูลขอเช่น พระเวชสันดร พระองค์ประสบความสำเร็จในการสร้างความนิยมในพระองค์ให้มีในหมู่ข้าราชบริพารใกล้ชิด ข้าราชบริพารสามัญชนของพระองค์มีจำนวนมากมาย แต่ละคนได้รับพระราชทานยศบรรดาศักดิ์ และทรัพย์สินจนมั่งคั่งร่ำรวยอย่างเห็นได้ชัด การพระราชทานอย่างไม่มีขอบเขตแก่ข้าราชสำนักของพระองค์มีอยู่ตลอดรัชสมัย จนเจ้านายเชื้อพระวงศ์เองต่างก็รู้สึก เช่น พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ทรงกล่าวถึงหนี้สินของเพระองค์ที่ทรงกู้จากพระคลังข้างที่เพื่อนำไปใช้ลงทุนประกอบธุรกิจการค้าว่า
...จริงอยู่ เมื่อทรงพระกรุณาชุบเลี้ยงวงศ์วรวรรณมีบุญขึ้นพักหนึ่งกว่าปี ถ้าฉันจะกระตือรือร้นกราบบังคมทูลพระกรุณาขอหายกันหรือแย้มพรายแก่ผู้สนับสนุนซึ่งประจบประแจงอยู่รอบข้าง อนันตโดยกุศลโลบาย หรือแม้แต่กระซิบบอกลูกก็คงล้างลุล่วงไปหมดแล้ว ฉันไม่อยากขอเหมือนเขาคุยขอกันรอบด้าน ให้เปนเยี่ยงไม่งาม มิใช่จะไม่อยากได้ แต่ลอายใจ...ทั้งส่วนตัวลูกๆก็ถูกฉันกำชับห้ามมิให้ขออไรเลย จนพากันบ่นในบัดนี้ว่า ถ้ารู้มิจัดฉลองคุณพ่อเสียเรียบร้อยหมดแล้วหรือ...
ทรงแต่งตั้งข้าราชบริพารใกล้ชิดของพระองค์ให้ดำรงตำแหน่งต่างๆทางการเมืองแทนทีละเล็กละน้อยจนในตอนกลางและตอนปลายรัชกาล คณะเสนาบดีตลอดจนตำแหน่งสำคัญอื่นๆส่วนใหญ่ประกอบด้วยข้าราชบริพารสามัญชนที่ใกล้ชิดของพระองค์ ในขณะที่พระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ที่มีบทบาทและความชำนาญในงานราชการมาแต่ครั้งพระพุทธเจ้าหลวงเช่น สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ มิได้ทรงมีบทบาทร่วมด้วย ข้าราชสำนักที่ทรงโปรดปรานใกล้ชิด เช่น เจ้าพระยารามราฆพถูกเพ่งเล็งด้วยความไม่พอใจจากประชาชนทั่วไป และจากพระบรมวงศานุวงศ์ พระองค์มักจะทรงเพิกเฉยไม่นำพาและไม่ทรงเห็นด้วยกับคำกราบบังคมทูลทักท้วง หรือเสนอแนะใดๆที่มาจากพระบรมวงศานุวงศ์ ทั้งในด้านการคลังของประเทศ และในด้านการเมือง เช่น สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงพิษณุโลกฯ เสนาธิการทหารทรงกราบบังคมทูลเตือนว่าภาพพจน์ของพระเจ้าแผ่นดินในสายตาประชาชนกำลังเปลี่ยนไปจากเดิม ประชาชนเริ่มมีทัศนะใหม่ และเริ่มวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงไม่เห็นด้วยกับพระบรมราโชบายหลายประการ
เวอร์จิเนีย ทอมป์สัน ได้แสดงความเห็นไว้ในหนังสือ Thailand the New Siam ว่า ความใกล้ชิดและพระเมตตากรุณาที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีต่อข้าราชบริพารของพระองค์กลายเป็นเครื่องมือในการแวงหาผลประโยชน์ให้แก่ตนเองและพวกพ้องของข้าราชบริพารและยังความเสียหายให้แก่ประเทศทางด้านเศรษฐกิจและการเมืองอย่างกว้างขวาง สร้างความไม่พอใจในหมู่ข้าราชการอื่นๆที่ได้รับการปฏิบัติอย่างเลวจากข้าราชบริพารที่เพิ่งได้มีใหม่ๆเหล่านี้ ให้แพร่หลาย ราชสำนักของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นที่เกลียดชังอย่างรุนแรง ทั้งอย่างเปิดเผยและซ่อนเร้น และถูกล้อเลียนเยาะเย้ยตำหนิติเตียนทั่วไปในขณะนั้น ในด้านความหรูหรา ฟุ่มเฟือย และมีแต่ข้าราชบริพารที่ประจบสอพลอ ข้าราชสำนักที่ถูกเพ่งเล็งมากที่สุดคือ กลุ่มมหาดเล็ก
ดังนั้น เมื่อพระองค์ทรงแต่งตั้งมหาดเล็กใกล้ชิดพระองค์ให้ไปรับราชการแผ่นดิน บางครั้งจึงมีปัญหาเนื่องจากไม่รู้งานในความรับผิดชอบเพียงพอ ทำให้ไม่สามารถแก้ไขอุปสรรค และวางนโยบายที่ดีได้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทราบดีว่าข้าราชบริพารของพระองค์“ถูกด่าถูกว่าอยู่ทุกวัน”เป็นที่เกลียดชังของประชาชน ทรงแน่พระทัยว่าหากสิ้นพระองค์แล้ว ข้าราชบริพารของพระองค์ต้องตกอยู่ในภาวะลำบาก แม้แต่พระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่เองก็คงไม่อยากจะเลี้ยงไว้ พระองค์จึงทรงฝากฝังข้าราชบริพารของพระองค์ไว้แก่เจ้าพระยายมราช(ปั้น สุขม) ว่า
...ฉันขอให้เจ้าพระยายมราชช่วยอนุเคราะห์บ้างตามที่ควรจะกระทำได้ ไม่ใช่จะขอให้ช่วยเหลือในทางทุนทรัพย์ เพราะในส่วนทุนทรัพย์ ฉันจะได้คิดเตรียมไว้เผื่อมาทั้งหลายแล้ว ขอแต่ว่าให้ได้รับความอุดหนุนเพียงให้ได้มีอำนาจอันชอบธรรมเสมอพลเมืองไทยทั้งหลายเท่านั้น ขออย่าให้เขาต้องได้รับความลำบาก ฤาความข่มเหงเพราะเขาทั้งหลายมีความจงรักภักดีต่อฉันผู้เป็นเจ้านาย และเป็นมิตรของเขานั้นเลย ฉันรู้สึกว่าเจ้าพระยายมราชเป็นมิตรของฉันผู้๑ ซึ่งกล้าขอมาเช่นนี้ หวังใจว่าคอพอรับรองได้ เพื่อให้ฉันมีความเบาใจป้างเล็กน้อย...
ลางสังหรณ์ของพระองค์ ปรากฏเป็นความจริงทันทีภายหลังพระองค์เสด็จสววรคต คือ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯให้ข้าราชบริพารที่เป็นคนโปรดปรานของสมเด็จพระเชษฐาธิราช ออกจากราชการเป็นสิ่งแรก
โดย. สุริยวรมัน
หมายเหตุ
๑. (เอกสารที่คุณสุริยวรมันมีนี่หายากมากนะครับ ขนาดบันทึกส่วนพระองค์เล่มที่ สนพ มติชนเอามาพิมพ์นี่อ่านแล้วยังอึ้ง ผมว่าเล่มสองหาไม่เจอแน่ เพราะคงถูกเก็บ หลายๆ เรื่องนี่ส่วนพระองค์มากๆ คิดว่าเล่มหลังอาจมีเรื่องพระวรกัญญา และเรื่องข้างในฝ่ายหญิงของท่านด้วยรัชกาลที่ 6 ท่านรักเจ้าคุณรามมาก เห็นได่ชัดจากคำพูดที่ท่านกล่าวถึงเจ้าคุณรามในบันทึกส่วนพระองค์ท่านแต่ท้ายที่สุดเจ้าคุณท่านก็ไม่เหลืออะไร )
๒. จากหนังสือประวัติต้นรัชกาลที่ 6 ไม่ทรงโปรดฝ่ายในเอามากๆ โดยเฉพาะในวันที่พระพุทธเจ้าหลวงทรงสวรรคต ขอขอบคุณคุณสุริยวรมันที่เอื้อเฟื้อให้ได้อ่าน เหมือนอย่างเช่นที่คุณนิรนามกล่าวไว้เป็นเอกสารที่หาอ่านยาก ขนาดในหนังสือสิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็นของ ม.จ.พูนพิศมัย อ่านแล้วยังต้องให้สงสัยต่อว่าเป็นใคร ทำอะไร เพราะเจอแต่จุดไข่ปลา อยากทราบว่าในหนังสือสิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็น ฯ มีการกล่าวถึงท่านหนึ่งที่หวังจะเป็นสมเด็จเจ้าพระยา และเรื่องที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวให้พวกที่ได้รับมรดกช่วยการลดค่าใช้จ่ายที่หลวงจะต้องเป็นผู้ออกให้แต่ก็มีคำตอบจากเจ้าคุณยมราชว่าไม่สามารถลดได้ และได้มีการลดทอนเรื่องมรดกโดยที่รัชกาลที่ 7 ทรงตรัสว่ารัชกาลที่ 6 เป็นหนี้เยอะก็ต้องช่วยกันใช้ซึ่งนำมาสู่การฟ้องร้องหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากที่คุณกริชกล่าวว่าหนังสือประวัติต้นฯ มี 6 เล่ม นอกจากเล่มแรกแล้วไม่ทราบว่าเคยมีการพิมพ์ออกมาบ้างหรือเปล่า
๓. ที่มาของข้อเขียนข้างต้น เปนเมล์ที่ส่งมาจากเพื่อนผู้ไม่ได้พบกันมานานแสนนาน.. ( เจ้าน้อย ณ สยาม )
วันพฤหัสบดีที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2550
เจ้าพระยารามราฆพ และ เจ้าพระยาอนิรุทธเทวา
ผู้จัดเก็บบทความ เจ้าน้อย ณ สยาม ที่ 3:39 ก่อนเที่ยง
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น