วันอังคารที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2550

สังคมศักดินา ?


สังคมศักดินา ก็เช่นเดียวกันกับสังคมทาสในส่วนที่ยังคงเป็นสังคมแห่งชนชั้น ดังนั้นจึงหลีกเลี่ยงจากการต่อสู้ทางชนชั้นไปไม่พ้น และนั่นคือ เป็นการต่อสู้ระหว่างชนชั้นศักดินากับพวกเลก (Serfs) ชนชั้นที่กล่าวถึงนี้ หมายถึงกลุ่มชนผู้ได้มาซึ่งเครื่องยังชีพ โดยวิถีทางอย่างเดียวกัน

ในสังคมศักดินา กษัตริย์และเจ้าขุนมูลนายศักดินา (Feudal lord) ได้มาซึ่งเครื่องยังชีพในรูปของบรรณาการ ซึ่งพวกทาสที่ดินหรือพวกเลก เป็นผู้ออกแรงจัดหามาเส้นสังเวย พวกเลกเหล่านั้นในส่วนใหญ่ จัดหาเครื่องสังเวยมามอบให้เจ้าขุนมูลนายโดยการทำงานในที่ดินที่เจ้าขุนมูลนายมอบหมาย พวกเจ้าขุนมูลนายได้ประกอบขึ้นเป็นชนชั้นหนึ่ง และในกลุ่มนั้นทั้งหมดย่อมถือผลประโยชน์ของชนชั้นของเขาเป็นสำคัญและร่วมกัน เจ้าขุนมูลนายทุกคนต้องการที่จะรีดเอามาซึ่งผลประโยชน์ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้จากพวกเลกของพวกเขา

เจ้าขุนมูลนายทุกคนต้องการที่จะแผ่ขยายการครอบครองที่ดินออกไป และต้องการได้พวกเลกมาทำงานรับใช้เขาให้มากยิ่งขึ้น และนี่แหละที่ทำให้เจ้าขุนมูลนายทำกคนที่อยู่ในชนชั้นนั้นมีผลประโยชน์ชนชั้นร่วมกัน ส่วนพวกเลกก็รวมกันเข้าเป็นชนชั้นอีกชนชั้นหนึ่ง ซึ่งมีผลประโยชน์ของชนชั้นร่วมกัน พวกเลกทั้งหลายต้องการที่จะยึดถือสิ่งที่พวกเขาผลิตขึ้นไว้ใช้สำหรับตัวเขาและครอบครัวของเขาให้มากขึ้น แทนที่จะส่งมอบให้แก่เจ้าขุนมูลนายตามความพอใจของพวกนั้น

พวกเขาต้องการได้อิสรภาพที่จะทำงาน เพื่อได้โภคผลทั้งหมดไว้เป็นของเขาเอง โดยไม่ต้องนำผลจากแรงงานของเขาไปเส้นสังเวยผู้ใด พวกเขาต้องการได้รับการปลดเปลื้องจากการปฏิบัติอันเกรี้ยวกราดปราศจากความปราณีที่เขาได้รับจากเจ้าขุนมูลนายของเขา ผู้ซึ่งยังได้ตั้งตนเป็นผู้ออกกฎหมายปกครองพวกเขา และยังเป็นผู้พิพากษาพวกเขาอีกด้วย นักเขียนเชื้อชาติแองโกลแซกซอนได้พรรณนาถึงความรู้สึกของเลกคนหนึ่ง ซึ่งต้องรับใช้ไถนาให้แก่เจ้าขุนมูลนายของเขา และได้รำพันไว้ว่า

“โอ ท่านขอรับ กระผมต้องทำงานหนักเหลือเกิน กระผมต้องออกไปทำงานตั้งแต่เช้าตรู่ต้อนวัวไปยังทุ่งนา และนำนำมันเทียบเข้ากับคันไถ ถึงแม้ว่าอากาศจะหนาวเย็นปิ่มว่าร่างกายจะแข็งจนกระดิกไม่ได้ก็ดี กระผมก็ไม่กล้าที่จะหลบความหนาวอยู่กับบ้าน ด้วยความกลัวภัยในพระเดชแห่งมูลนายของกระผม กระผมต้องกระเสือกกระสนออกไปที่ท้องนาทุกวัน และจะต้องไถให้ได้วันละหนึ่งเอเคอร์เป็นอย่างน้อย”

ท่านเมธีทางวิทยาศาสตร์สังคมท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่า

“ระบบศักดินาเป็นระบบกดขี่ขูดรีดที่ทารุณเหี้ยมโหดระบบหนึ่งที่มนุษย์ได้พบมา” ในระบบทาส ถึงแม้ว่าพวกทาสจะไม่มีสิทธิ์เสรีภาพแต่ประการใด ทั้งในทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และร่างกาย ถึงแม้ว่าพวกทาสจะถูกถือว่าเป็นเพียงเครื่องมือที่พูดได้ และเป็นสมบัติของนายทาสเช่นเดียวกับเครื่องมือใบ้ (ธนู ขวานหิน ฯลฯ)และเครื่องมือกึ่งใบ้ (ปศุสัตว์) ซึ่งนายทาสมีอำนาจที่จะเฆี่ยนตีหรือเข่นฆ่าเสียเมื่อใดก็ได้ในเมื่อไม่พอใจ แต่หากพวกทาสได้รับการประกันจากนายทาสอย่างหนึ่ง คือไม่ให้อดตาย ถึงหากว่าการประกันดังกล่าวนี้ เพื่อผลประโยชน์ของนายทาสในอันที่จะพิทักษ์แรงงานของพวกทาสไว้ใช้ก็ตาม

ส่วนในระบบศักดินานั้นพวกเลกจำนวนมหึมา ซึ่งแปรเปลี่ยนสภาพมาจากพวกทาส หาได้รับการประกันในเรื่องอดตายแต่ประการใดไม่ พวกเลกเหล่านี้ทำไร่ไถนาในที่ดินอันกว้างใหญ่ไพศาลของเจ้าที่ดินหรือเจ้าศักดินา แต่หากผลิตผลที่เกิดจากแรงงานของพวกเขาเหล่านั้นส่วนใหญ่จะถูกเจ้าที่ดินแบ่งปันเอาไป เหลือไว้แก่พวกเขาแต่ส่วน้อย และส่วนที่เหลือไว้นี้ จะพอกินหรือไม่พอกิน เจ้าศักดินาไม่รับรู้ด้วย เพราะฉะนี้ จึงกล่าวได้ว่า พวกเลกในระบบศักดินานั้นมีหวังที่จะอดตายมากกว่าพวกทาสในยุคทาส

นอกเหนือไปจากพันธะที่พวกเลกจะต้องทำงานในที่ดินของเจ้าขุนมูลนายแล้ว พวกเลกยังมีพันธะที่จะต้องส่งบรรณาการให้มูลนายในรูปต่างๆ อีก กล่าวคือ ไม่แต่พวกเลกจะต้องแบ่งส่วนที่เขาผลิตได้ให้แก่มูลนายของเขาเท่านั้น หากยังจะต้องนำผลิตผลจากงานฝีมือของเขาและของสมาชิกในครัวเรือนมอบให้แก่มูลนายของเขาอีกด้วย

ด้วยประการดั่งนั้น ในทุกประเทศที่ระบบศักดินาดำรงอยู่ จึงได้มีการขัดแข็งต่อสู้กันระหว่างพวกเจ้าขุนมูลนายและพวกเลกสืบมาไม่ขาด บางคราวก็เป็นเรื่องระหว่างบุคคลต่อบุคคล หรือระหว่างพวกเลกกลุ่มหนึ่งขัดแข็งต่อสู้มูลนายของเขา บางคราวการขัดแข็งต่อสู้ได้กลายเป็นใหญ่โตทีเดียว คือเป็นการขัดแข็งต่อสู้ของพวกเลกที่ได้รวบรวมกันเข้าเป็นหมู่ใหญ่ เพื่อที่จะเรียกร้องต่อสู้ให้กับชีวิตของเขาทั้งหลายให้ได้รับการปรับปรุงดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ตัวอย่างการขัดแข็งต่อสู้ของพวกเลกครั้งใหญ่ๆ นั้น ได้แก่การขัดแข็งต่อสู้ที่เกิดขึ้นในอังกฤษในปี ค.ศ.๑๓๘๑ ภายใต้การนำของจอห์นบอลล์และวัตไทเลอ การดิ้นรนต่อสู้พวกชาคเกอรี่ ในฝรั่งเศสเมื่อปี ค.ศ.๑๓๖๘ การดิ้นรนต่อสู้ขัดแข็งของพวกเลกต่อพวกศักดินาอย่างขนานใหญ่ในทำนองเดียวกันนี้ ได้อุบัติขึ้นในประเทศอื่นๆอีกหลายประเทศ เช่นในรัสเซีย ในฮอลแลนด์ และในขณะเดียวกันนั้น การต่อสู้ขนาดย่อมๆ ก็ได้ดำเนินอยู่ในที่ต่างๆ ไม่ขาดสาย.

ท่านบัณฑิตทางวิทยาศาสตร์สังคมอีกท่านหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า ในยุคศักดินา พวกทาสซึ่งได้กลายเป็นพวกเลก และได้เป็นแรงงานสำคัญในการประกอบกิจการกสิกรรมนั้น ได้ถูกพวกเจ้าผู้ครองนครและเจ้าศักดินากดขี่ขูดรีดอย่างแสนสาหัส ที่ดินเกษตรทั้งหมดตกอยู่ภายใต้อำนาจของเจ้าที่ดินและใช้อิทธิพลทางเศรษฐกิจเกณฑ์เอาพวกเลกมาทำงานให้แก่ตน เพื่อแลกเปลี่ยนกับสิทธิ์ของพวกเลกในอันที่จะได้ที่ดินทำกิน และผลิตผลที่เกิดขึ้นในที่ดินที่พวกเลกได้รับแบ่งให้ประกอบการเกษตรนั้น จะต้องแบ่งให้เจ้าศักดินาไม่ต่ำกว่า ๗๐-๘๐ เปอร์เซ็นต์ ผลิตผลส่วนมากที่เจ้าศักดินาได้รับนี้นอกจากจะใช้เลี้ยงครอบครัวตัวเองอย่างฟุ่มเฟือยแล้ว ยังได้เอาไปใช้เลี้ยงดูบริวารและกองทัพอีกด้วย

ทั้งนี้ เพราะเจ้าศักดินาผู้ยิ่งใหญ่ จะมีกองทหารเป็นของตัวเอง เมื่อเกิดศึกสงคราม เจ้าผู้ครองนคร หรือพระราชาธิบดี ก็ได้พึ่งพาอาศัยทหารของเจ้าศักดินาเหล่านั้น ส่วนผลิตผลที่เหลือกินเหลือใช้ ก็จะนำไปแลกเปลี่ยนซื้อขายกับอาวุธยุทธภัณฑ์หรือสินค้าโพ้นทะเลที่ตนพอใจ การซื้อขายแลกเปลี่ยนได้ค่อยเจริญขึ้นเป็นลำดับ และยิ่งการค้ายิ่งเจริญเท่าใด พวกเลกก็ยิ่งถูกกดขี่ขูดรีดหนักมือขึ้นเท่านั้น ทั้งนี้เพราะไม่เพียงเพื่อได้ผลิตผลต่างๆ มาเพื่อบริโภคและเลี้ยงดูบริวารเท่านั้น หากยังเพื่อที่จะเอาผลิตผลส่วนเกินนำไปแลกเปลี่ยนกับสินค้าโพ้นทะเลที่ตนต้องการอีกด้วย

รัฐบาล ซึ่งในยุคทาสเคยทำหน้าที่ปกครองดูแลพวกทาสนั้น ครั้นมาถึงยุคศักดินา ภาระหน้าที่ของรัฐบาลได้เปลี่ยนไปเป็นดูแลปกครองพวกเลก หรือทาสกสิกร เพื่อให้ทำงานให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ของพวกศักดินา และยิ่งกว่านั้น พวกศักดินาโดยอาศัยระบบขูดรีดและอำนาจของรัฐบาล กดขี่กสิกรอิสระลงเป็นทาสกสิกรหรือพวกเลก และตกมาถึงตอนนี้ พวกเลกหรือทาสกสิกรก็มีฐานะเป็นแต่เพียงส่วนประกอบของที่ดินเท่านั้น

ตามประวัติศาสตร์กล่าวว่า เหตุผลอีกประการหนึ่งที่ทำให้มีชนชั้นพวกเลกขึ้นมาอย่างมากมาย คือความระส่ำระสายของสังคมอันเนื่องมาจากชนชั้นปกครอง ไม่สามารถจะให้ความยุติธรรมแก่ผู้ถูกปกครองได้โดยทั่วถึง หรือเพราะว่าพระเดชของกษัตริย์ไม่ “แผ่ทั่วภูวดล” ดังกาลก่อนเสียแล้ว ดังนั้น จึงทำให้ชาวนาอิสระต้องแสวงหาที่พึ่ง เพราะขืนอยู่โดดเดี่ยวเป็นไพร่ไม่มีเจ้าหรือเป็นบ่าวไม่มีนาย ก็จะต้องถูกเบียดเบียนและรังแกจากชนชั้นปกครอง หรือเจ้าศักดินาที่มีอิทธิพล เช่นเดียวกันกับหมาไมมีปลอกคือจะต้องถูกรังแกจากเทศบาล

เหตุฉะนี้ พวกชาวนาอิสระจึงจำต้องกระเสือกกระสนนานายไว้คุ้มหัว แต่ในการแสวงหาโพธิสมภารใหม่นี้ พวกชาวนาก็จะต้องชำระค่าพึ่งโพธิสมภารด้วยราคาอันแพง กล่าวคือ พวกชาวนาจะต้องโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินของเขาไปยังผู้อุปถัมภ์ของเขา แล้วองค์อุปภัมภ์ของเขาก็จะจัดการให้พวกเขาได้ทำไร่ไถนาบนที่ดินแห่งนั้นในฐานะผู้เช่า และการปฏิบัติต่อชาวนาเจ้าที่ดินเดิม ซึ่งได้เปลี่ยนฐานะมาเป็นผู้เช่าแล้วนั้น ก็มีวิธีแตกต่างกันไปหลายรูปแบบ แต่ทุกรูปแบบก็ตกอยู่ในเงื่อนไขที่ว่า พวกชาวนาเหล่านั้นจะต้องทำงานฉลองพระเดชพระคุณพวกเจ้านายของเขาข้อหนึ่ง และจะต้องชำระค่าเช่าที่ดินให้แก่เจ้านายอีกข้อหนึ่ง เมื่อใดที่พวกชาวนาได้นำตัวเข้าไปอาศัยอยู่ภายใต้ใบบุญของท่านเหล่านี้ เมื่อนั้นอิสระภาพส่วนตัวของเขาก็ค่อยๆ ถูกเชือดเฉือนไป และเมื่อกาลเวลาล่วงไปสักสองสามชั่วอายุคน ฐานะของพวกเขาส่วนมากก็จะแปรเปลี่ยนไปเป็นพวกเลกหรือพวกทาสที่ดิน

จากพฤติกรรมดังกล่าวมานี้แต่ต้น ก็พอจะสรุปได้ว่า สังคมศักดินา คือ สังคมที่ใช้วิธีการกดขี่บังคับประชาราษฎร ด้วยวิธีการขูดรีดทางเศรษฐกิจและบีบคั้นโดยอาศัยอำนาจบาทใหญ่ของเจ้าขุนมูลนายอันเป็นชนชั้นปกครอง พวกศักดินาจะดูถูกเหยียดหยามสามัญชนคนธรรมดาที่เลี้ยงชีพด้วยการออกแรงทำงานว่าเป็นพวกไพร่สารเลว (ทั้งๆที่พวกไพร่สารเลวนี่แหละที่เป็นผู้ผลิตพืชพันธุ์ธัญญาหารเลี้ยงสังคม) และยกตัวเองว่าเป็นพวกผู้ดีมีสกุล มีการแบ่งชั้นวรรณะ ส่วนอำนาจต่างๆ ในทางสาธารณะ เช่น อำนาจในทางการเมือง การเศรษฐกิจ และสังคม ล้วนแต่ตกอยู่ในกำมือของพวกศักดินาทั้งสิ้น

จากการที่พวกศักดินากุมอำนาจในทางเศรษฐกิจและการเมือง พวกเหล่านี้จึงมีการกินอยู่อย่างฟุ่มเฟือย และจากการที่พวกศักดินายกตัวเองว่าเป็นผู้ดีมีสกุลคนละวรรณะกับพวกสามัญชน พวกเหล่านี้จึงมีพิธีรีตองผิดแผกแตกต่างไปจากสามัญชนคนธรรมดา และพวกนี้มีศรัทธาและหลงงมงายในประเพณีอันหาคุณค่าแก่สังคมมิได้

ชีวิตประจำวันของพวกศักดินาเหล่านี้ นอกจากงานกดขี่ขูดรีด นอกจากความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมในเกียรติยศเกียรติศักดิ์ ซึ่งสร้างมาด้วยหยาดเหงื่อและน้ำตาของพวกเลก นอกจากพิธีรีตองและการหลงงมงายในประเพณีอันไร้สาระแล้ว ก็คือ “ค่ำเช้าเฝ้าสีซอเข้าแต่หอล่อกามา” หรือดั่งที่ท่านนักวิทยาศาสตร์สังคมได้กล่าวไว้ว่า พฤติกรรมของพวกศักดินาที่นับว่าเป็นภัยอย่างร้ายแรงแก่สังคม ก็คือ “ทำนาบนหลังผู้ชาย-หาความสบายบนอกผู้หญิง”

กระจกเงาอย่างดีที่ฉายให้เราเห็นถึงสภาพความเป็นอยู่ของพวกศักดินาก็คือจำพวกหนังสือต่างๆ ที่พวกชนชั้นปกครองและบริวาร ยกย่องขึ้นเป็นหนังสือ “วรรณคดี” ซึ่งบังคับให้เด็กนักเรียนเรียนอยู่ในปัจจุบันนี้.


จากหนังสือ ปทานานุกรม ฉบับ ชาวบ้าน
ของ สุพจน์ ด่านตระกูล

ไม่มีความคิดเห็น: