วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

ว่าด้วยปรากฏการณ์ "บริจาคเงินโดยเสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัย"


หมายเหตุ
ข้อเขียนนี้เปนกระทู้ที่สืบเนื่องมาจาก
กระทู้ : มาดูนศ.นิติ มธ.ตั้งกระทู้ไล่เบี้ยคุณศรัทธา.. (เจ้าน้อย..)




สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล

ผมขอพูดถึงประเด็นที่เกี่ยวพันกับเรื่อง"ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์"ประเด็นหนึ่ง ซึ่งมีฐานะและความสำคัญในชีวิตประจำวันของสังคมไทยนั่นคือ ปรากฏการณ์ที่เราเห็นมีการ "บริจาคเงินโดยเสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัย"

ผมจะละประเด็นเรื่อง accountability (ซึ่งไม่มีเหมือนกัน) เพราะในกรณีนี้ (ดังจะเสนอข้างล่าง) เป็นประเด็นตั้งแต่ว่า ปรากฏการณ์เช่นนี้ถูกต้องหรือไม่?

ในฐานะนักกฎหมายในอนาคต ผมขอเรียกร้องให้คุณ guaycheng ลองขบคิดและหาทางตอบประเด็นนี้นี้ดู นั่นคือ ผมขอเสนอว่า


ถ้าใช้บรรทัดฐานทางปรัชญาและทางกฎหมายของระบอบประชาธิปไตยแล้ว ปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "บริจาคเงินโดยเสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัย" ต้องถือว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ถูกต้องตามหลักประชาธิปไตย


พูดแบบภาษาฝรั่งคือ อย่างน้อยๆเรียกว่าเป็น contradiction in terms คือ ไปกันไม่ได้เลยระหว่างการพูดว่า "บริจาคเงินโดยเสด็จ..ตามพระราชอัธยาศัย" กับคำว่า "ประชาธิปไตย"

เพราะอะไร?

ผมขอถามคุณ guaycheng และใครๆว่า ที่ชาวบ้าน นักธุรกิจ บริษัท รัฐวิสากิจ ฯลฯ "บริจาคเงินโดยเสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัย" นั้น


พวกเขากำลังบริจาคให้"ใคร"?


ครับ พวกเขากำลังบริจาคให้ ในหลวง, พระราชินี, พระบรมฯสยามมงกุฏราชกุมาาร, พระธิดา, พระราชนัดดา ฯลฯ แต่ขอถามว่า ถ้าหากสมมุติว่า ในหลวง, พระราชินี ฯลฯ เป็นเพียงสามัญชน ถ้าสมมุติว่าทรงเป็นเพียง Mr.ก, Mrs.ข, Ms ค ฯลฯ ฯลฯ จะมีการ "บริจาค" เช่นนี้ ต่อ "สามัญชน" ท่านเหล่านี้หรือ?


พูดง่ายๆคือ พวกเขากำลังบริจาคให้ King, Queen, Crown Prince, etc
ไม่ใช่ให้ ใครที่เป็นสามัญชนธรรมดา ก, ข, ค ฯลฯ

(ในการดีเบตกฎหมายทรัพย์สินฯปี 2491 ในสภา มีคนยกตัวอย่างทำนองว่า ถ้ามีชาวบ้านบริจาคผ้าขาวม้าผืนหนึ่งให้พระเจ้าอยู่หัว จะถือว่า ผ้าข้าวม้านั้น เป็น ทรัพย์สินส่วนพระองค์ได้หรือไม่ ในเมื่อ ที่ชาวบ้านบริจาคนั้น กำลังบริจาคให้ในฐานะทรงเป็นพระเจ้าอยู่หัว คือไม่ใช่กำลังบริจาคให้บุคคลสามัญ)


ทีนี้ ฐานะ King, Queen, Crown Prince , etc. เหล่านี้ เป็น "ฐานะในองค์กรรัฐ" พูดง่ายๆคือ เป็นฐานะที่เกิดขึ้นจากการจัดระเบียบรัฐ(โดยรัฐธรรมนูญ) และที่สำคัญเป็นฐานะที่ดำรงอยู่ได้ ด้วยการสนับสนุน รวมถึงด้านการเงิน อันมหาศาลจากรัฐ

(พูดด้วยภาษาที่ง่ายขึ้นไปอีก คือ
ก.ถ้าไม่ได้เงินของรัฐจำนวนมหาศาลสนับสนุนในแต่ละปี จะมีสถานะสถาบันกษัตริย์ดำรงอยู่ได้อย่างไร?
ข.ถ้าไม่ได้มีการโฆษณาประชาสัมพันธ์โดยใช้งบประมาณของรัฐอันมหาศาล ในแต่ละปี (ที่เรียกว่า งานโฆษณาด้าน "เฉลิมพระเกียรติ" ต่างๆ) จะทำให้คนทั่วไปรู้สึกอยากบริจาคได้อย่างไร?)


ในทางกฎหมาย ตำแหน่ง King, Queen, Crown Prince จึงไม่ใช่ "ตำแหน่งส่วนพระองค์" แต่เป็น "ตำแหน่งบุคคลากรของรัฐ" (เหมือนตำแหน่งนายกรัฐมนตรี, ประธานสภา, หรือกระทั่ง อาจารย์มหาลัยเหมือนกัน)


ทีนี้ ผมขอถามคุณ guaycheng ว่า

ในเมื่อรัฐนี้เป็นรัฐประชาธิปไตย ไม่ใช่รัฐสมบูรณาญาสิทธิราช คือไม่ใช่รัฐของกษัตริย์อีกต่อไป

เหตุใด เงินที่มอบให้ "บุคคลากรของรัฐ" และให้ในฐานะที่เป็น King, Queen, Crown Prince etc ไม่ใช่ในฐานะ เป็น "บุคคลธรรมดา" ก ข ค ฯลฯ


จึงไม่ใช่เงินของรัฐไปได้?


ทำไมจึงเกิดปรากฏการณ์ที่ สถาบันกษัตริย์ ซึ่งเป็นสถาบันหนึ่งของรัฐ (สนับสนุนด้วยเงินมหาศาลของรัฐ) จึงสามารถ manage เงินจำนวนนี้ "ตามพระราชอัธยาศัย" ได้?



ไอเดียเรื่องบริจาคเงิน ให้ตำแหน่งบุคคลากรของรัฐ และให้ถือเงินนั้นเป็นเงินในลักษณะ"ส่วนตัว"ของบุคคลากรของรัฐนั้นเอง ให้สิทธิกับบุคคลากรของรัฐนั้น "จัดการกับเงินนั้นตามใจชอบ" .... ผมถามว่า ไอเดียแบบนี้ ชวนให้นึกถึงอะไร?

ไอเดียแบบนี้ขัดแย้ง contradiction in terms กับ ประชาธิปไตยหรือไม่?


ถ้าเกิดปรากฏการณ์แบบนี้ กับ "บุคคลากรของรัฐ" อื่นๆ คุณ guaycheng จะยอมรับหรือ?



ที่มา : ฟ้าเดียวกัน : ว่าด้วยปรากฏการณ์ "บริจาคเงินโดยเสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัย", (ถามคุณ guaycheng สืบเนื่องจากกระทู้ นศ.นิติ มธ."ไล่เบี้ย"



เพิ่มเติม

คำตอบของ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล
ในกระทู้ มาดูนศ.นิติ มธ.ตั้งกระทู้ไล่เบี้ยคุณศรัทธา..



ผมตามไปอ่านแล้ว ไม่รู้สึกเลยแม้แต่น้อยว่า "ศรัทธา" กำลังถูก
"ไล่เบี้่ย" ทีน่าแปลกใจคือ เหตุใดคุณ guaychen จึงรู้สึกเช่นนั้นได้?


หลักการพื้นฐานที่สุดของอำนาจสาธารณะในระบอบประชาธิปไตยคือ


มีอำนาจ ต้องมี accountability

ไม่มี (ไม่ยอมให้มี) accountability ก้อต้องไม่มีอำนาจ


(ทั้งนี้รวมถึงอำนาจที่จะทำอะไรที่เรียกกันว่า "การช่วยเหลือ" ด้วย
ทำไม โปรดอ่านต่อ)


สิ่งที่คุณ guaycheng และผู้นิยมเจ้าทั้งมวลต้องตอบ
(แต่ไม่เคยตอบได้) คือ


สถาบันกษัตริย์อาศัยหลักการอะไรจากไหนไม่ทราบ
ที่มีอำนาจโดยไม่มี accountability??

(และพวกคุณอาศัยอะไรจากไหนไม่ทราบ ที่สนับสนุนลักษณะเช่นนี้?)


ในสังคมสมัยใหม่ ในระบอบประชาธิปไตย

แม้แต่ข้ออ้างทีว่า / การกระทำที่ดูเหมือนเป็นการ "ทำดี"
("ช่วยเหลือราษฎรอย่างมากมาย สร้าง รร. โครงการสารพัด ฯลฯ)


ก็ไม่สามารถเชื่อได้ ถ้าไม่ยอมรับให้มี accountability


ในสังคมสมัยใหม่ ต่อให้มีการ "ช่วย" จริง แต่หากการ "ช่วย" นั้น นำมาซึ่งความหายนะทางธรรมชาติ (รู้จักกรณี "ปากพนัง" หรือไม่?)หรือ เป็นการ"ช่วย" ที่ต้องทุ่มเทมหาศาลอย่างไม่คุ้ม ทำให้ไม่แฟร์กับทีอื่นๆ งานอื่นๆที่ไม่ได้รับการช่วย ("ฝน"?) ก็เป็นการ "ช่วย" ที่ไม่ถูกต้อง

แต่คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าการ "ช่วย" ทีว่า มีลักษณะอย่างไร
ถ้าไม่มี accountability?

อันที่จริง ถามอย่างถึงที่สุด ที่คุณ guaycheng
และผู้นิยมเจ้าทั้งหลายเชื่อว่า

"ในหลวงทรงทำดี" นั้น


ผมถามจริงๆว่า "รู้ได้อย่างไร?"


คุณตอบไม่ได้หรอกครับ นอกจากเอา "ข้อมูล" จากการ "ประชาสัมพันธ์" ของราชสำนักเองมาพูดซ้ำ

คุณเชื่อการประชาสัมพันธ์เหล่านั้นได้อย่างไร ในเมื่อไม่มี accountability เลย?


.....................


ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ตามกฎหมาย 2491 (คือในปัจจุบัน) ได้กลายเป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์ในทางเป็นจริงเพราะอำนาจในการควบคุมใช้จ่ายทั้งหมดอยู่ในสถาบันกษัตริย์โดยสิ้นเชิง(นี่คือจุดมุ่งหมายของ พรบ.2491)

แต่ขณะเดียวกัน สถาบันกษํตริย์อยู่ได้ด้วยทรัพย์สินมหาศาล ของรัฐ (ในรูปงบประมาณต่างๆ และรูปอื่นๆ) คือของสังคม ประชาชนทั่วไปนั่นเอง(พูดแบบง่ายๆคือ ประชาชน สังคม รัฐ ให้การสนับสนุน ทำให้ดำรงอยู่ได้ ซึ่งสถาบันกษัตริย์ แต่"ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์" กลับกลายเป็นทรัพย์สินในลักษณะ"ส่วนพระองค์"ของกษัตริย์)

มี "สังคมประชาธิปไตย" ที่ไหนที่ยอมให้มีสภาพเช่นนี้?


ลักษณะที่ "มีอำนาจ" (มหาศาล) แต่ไม่ต้องมี accountability เลย
(รวมทั้ง accountability ในด้านทรัพย์สิน ต่างๆ)

เป็นสิ่งที่คุณ guaycheng และผู้นิยมเจ้าต่างๆต่างหาก ที่ต้อง"ตอบ"
(และไม่เคยตอบได้)


(กรณีตั้งสฤษดิ์ สนับสนุนสฤษดิ์, กรณี 6 ตุลา ... ถ้าเป็นคนอื่น, ที่อื่น จะยังสามารถอยู่ในสถานะเช่นนี้หรือ?คุณ guaycheng ลองศึกษาประวัติศาสตร์ประเทศไทยเองให้มาก ไม่ใช่ประวัติศาสตร์โฆษณาชวนเชื่อตามทีวี วิทยุ นสพ.เท่านั้นและศึกษา ระบอบกฎหมาย การปกครอง ของประเทศที่เป็นประชาธิปไตยแล้วประเทศอื่นให้มาก แล้วลองคิดดู)


สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล




6 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ใช้สมองส่วนไหนคิด
ใช่คนไทยป่าว
ถ้าลำบากมากกับการอยู่เมืองไทย ก็น่าจะไปเป็นประชาชนคนประเทศอื่น อย่าทนอยู่เมืองไทยเลย
คนเก่งอย่างคุณไปอยู่ที่ไหนก็มีคนรับ
อย่าพยายามเปลี่ยนความคิด ขนบธรรมเนียม จารีตประเพณีเลยครับ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ไปลงนรกเถอะมึง ไอ้คนเปิด blog นี้ พ่อแม่มึงคง ทิ้งมึงมาแต่เด็กมึงจึงไม่รู้ว่าประเทศไทย เทอดทูนกษัตริย์ ผู้ทรงเหน็ดเหนื่อยเพื่อประชาชนทั้งประเทศ ถ้ารัชกาลที่ 5 ไม่ปลดปล่อยพวกทาส อย่างมึง หรือไอ้จักรภพ เพ็ญแข มึงคงไม่มีวันได้ลืมตา อ้าปากสกปรก ของมึงตอนนี้หรอก ข้าว่าพ่อแม่ โคตรมึงคงเป็นไอ้เปรตจังไร

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

เป็นคนไทยที่อยากแสดงความคิดเห็นต่างๆกัน โดนไม่ขัดมิตรภาพและสัญญาประชาคมที่ประชาชนพึงมีต่อกัน
แสดงความคิดเห็นต่างกัน ไม่ได้เลยเหรอครับ
คนชอบเจ้าใช้วาจาอย่างท่านเสมอ สังเกตมานานแล้ว ตกลงยังไงดีครับ คุณสนับสนุนใครกันแน่ เจ้าหรือไพร่
ว่าจาแยกกันไม่ออกเลยนะครับ
งง

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ทำไมพวกคลั่งเจ้า ชอบใช้ภาษาหยาบคายแบบนี้ตลอดเลยนะ เห็นมาหลายที่แล้ว

ไม่เคยใช้ตรรกกะเลย

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

เราเป็นคนไทยนะครับ เราจึงไม่ควรนำเบื้องสูงมาวิจารณ์กัน มันไม่ใช่เรื่องเรือง เกิดมาต้องทดแทนคุณแผ่นดิน

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

เราเป็นคนไทยก็จริง..แต่เราก็เป็นประชาธิปไตย การเป็นประชาธิปไตยนั้นสามารถใช้สิทธิ ออกเสียงได้ วิจารณ์ได้ ไปนึกไปคิดกันเอาเองว่า "วิจารณ์ไม่ได้นะ" ขอโทษเถอะ คุณค่าความเป็นมนุษย์ไม่ว่าชนชั้นไหนย่อมมีสิทธิเท่าเทียมกัน มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย เหมือนกัน ไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย "รึคุณๆทั้งหลายว่ามี" ผมขอร้องละการแสดงความคิดเห็นอะไร อย่าเขียนอะไรที่มันน่าขัน ความคิดความอ่านอย่าโบราณ โลกมันไปถึงไหนแล้ว คุณๆทั้งหลายลองศึกษาประวัติศาสตร์ไทยในอดีตดูให้ละเอียด และใช้สมองที่พ่อแม่ท่านให้มาแต่กำเนิด ลองคิดวิเคราะห์ คิดสังเคราะห์ หรือใช้รูปแบบการคิดเป็นก็ได้ ดูก่อนแล้วค่อยมาต่อกระทู้ด่าใครๆ

จาก นายไท เลือดไท