วันเสาร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

Propaganda : การโฆษณาชวนเชื่อ


ช่วงนี้ผมได้เสพข้อมูลจากหลายแหล่งข้อมูล เกี่ยวกับเหตุการณ์ และสถานที่ต่าง ๆ ทั่วโลก ที่มีความเกี่ยวข้องกับ Propaganda ก็เลยต้องเขียนถึงเสียหน่อย

จากการเปิดพจนานุกรม อังกฤษ-ไทย เยอรมัน-ไทย ไม่กี่เล่มที่มีในบ้าน พจนานุกรมเหล่านั้นต่างให้ความหมายของคำว่า Propaganda เหมือนกันคือ การโฆษณาชวนเชื่อ แต่ผมรู้สึกว่าคำว่า "โฆษณาชวนเชื่อ" ไม่ตรงกับคำว่า "Propaganda" เท่าไรนัก เพราะผลกระทบของการโฆษณาชวนเชื่อดูจะอ่อนโยนเกินไป เมื่อเปรียบเทียบกับผลกระทบของ Propaganda การใช้คำทับศัพท์ภาษาอังกฤษ จึงน่าจะให้ความหมายที่สื่อได้ชัดเจนกว่า

ตามความหมายใน Wikipedia ภาษาเยอรมัน (พอดีไม่เก่งภาษาอังกฤษ และไม่มีคำว่า Propaganda ใน Wikipedia ภาษาไทย) ได้ให้ความหมายของคำว่า Propaganda ไว้ว่า


" ความพยายามอย่างเป็นระบบ ในการปลูกฝังแง่มุมความคิดเห็น, เบี่ยงเบนกระบวนการรับรู้ และควบคุมพฤติกรรม เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายมีปฏิกริยาตอบสนอง ตามที่ตนเองกำหนด "


สำหรับโลกเสรีนิยมประชาธิปไตย และสังคมอุดมคติ Propaganda เป็นภัยที่น่ากลัวอย่างหนึ่ง เพราะเป็นกระบวนการที่นำเสนอข้อมูลด้านเดียว และสามารถปลุกกระแสทำให้คนส่วนใหญ่ในสังคม หรือในประเทศ ตกเป็นเครื่องมือของผู้มีอำนาจได้ ตัวอย่างอภิมหา Propaganda ที่ถูกจาลึกไว้ในประวิติศาสตร์โลก ได้แก่ ...

Propaganda ของพรรค Nationalsocialist (Nazi) แห่งเยอรมัน ในช่วงก่อน และระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง กระบวนการ Propaganda ของ Nazi ได้เริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 1927 ด้วยหนังสือเรื่อง Mein Kampf (แปลแบบตรงตัวคือ My Fight) ของผู้นำเผด็จการ Adolf Hitler จากนั้นก็ตามมาด้วยการครอบงำสื่อประเภทต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น หนังสือ หนังสือพิมพ์ ใบปลิว ป้ายโฆษณา วิทยุ โทรทัศน์

เป้าหมาย Propaganda ของพรรค Nazi คือ การเผยแพร่ (ยัดเยียด) แนวความคิดชนชาติบริสุทธิ์แบบเหยียดชนชาติ โดยเชื่อว่าชนชาติเยอรมันเป็นชนชาติที่ยิ่งใหญ่เหนือชนชาติอื่น นำไปสู่การทำสงครามเพื่อยึดครองประเทศต่าง ๆ ตามแนวคิดชนชาติบริสุทธิ์ และการจะทำสงครามให้มีชัยชนะได้นั้น ชายเยอรมันต้องมีความกล้าหาญ มีจิตวิญญาณการต่อสู้ ผู้ที่ไม่ได้เป็นทหารต้องมีความเสียสละ จงรักภักดี ที่สำคัญที่สุด ชนชาติเยอรมันจะสามารถบรรลุเป้าหมายทุกอย่างได้ หากเชื่อผู้นำอย่าง Adolf Hitler

Propaganda ของพรรค Nazi มาถึงจุดสูงสุดในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งสอง โดยรัฐบาลเผด็จการพรรค Nazi ได้สถาปนากระทรวง Propaganda ขึ้นมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ เจ้ากระทรวงในช่วงนั้นคือ Joseph Goebbels ซึ่งเป็นบุคคลที่มีความสำคัญต่อรัฐบาล Nazi มาก เป็นรองก็เพียงแต่ Hitler เท่านั้น

ความสำเร็จของ Propaganda พรรค Nazi ทำให้คนเยอรมันในสมัยนั้นเป็นชนชาติที่น่ากลัว และน่าขยะแขยง เพราะในจิตใจมีแต่ความเกลียดชังและการทำลายล้าง เนื่องจากคนเยอรมันในสมัยนั้นมีมุมมองทางความคิดเพียงด้านเดียว นั่นคือด้านที่ถูกชักนำโดยพรรค Nazi ความเกลียดชังดังกล่าวได้ทำลายล้างชีวิตผู้คนในประเทศต่าง ๆ ในทวีปยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งชีวิตชาวยิว


จึงไม่น่าแปลกใจนัก ที่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง Propaganda จะกลายเป็นพฤติกรรมอันน่ารังเกียจสำหรับคนยุโรป และในหลาย ๆ ประเทศ Propaganda ก็กลายเป็นพฤติกรรมต้องห้ามในทางกฏหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเยอรมัน Propaganda ทุกประเภทได้ถูกห้ามอย่างเด็ดขาด แม้แต่การเผยแพร่ศาสนา ก็ห้ามเผยแพร่ในลักษณะงมงาย เพราะถือเป็น Propaganda ประเภทหนึ่ง


หลังสงครามโลกครั้งที่สอง Propaganda ได้ขยายรากฐานของตนเองไปสู่ประเทศคอมมิวนิสต์ และประเทศที่มีผู้นำเผด็จการอื่น ๆ ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ Propaganda ของสหภาพโซเวียต และรัฐบาลคอมมิวนิสต์จีน ที่นำโดย เหมา เจ๋อ ตุง โดยลักษณะ Propaganda ของรัฐบาล และ/หรือ ผู้นำประเทศต่าง ๆ เหล่านี้จะไม่ต่างจากของพรรค Nazi มากนัก นั่นคือการครอบงำสื่อ การนำเสนอข้อมูลเพียงด้านเดียว เพื่อให้ประชาชนศรัทธา และเชื่อในแนวคิดของรัฐบาลหรือผู้นำ โดยขาดเหตุผลในการไตร่ตรองใด ๆ

ผลกระทบของ Propaganda ที่ชัดเจนที่สุดคือ ทำให้สังคมขาดความหลากหลายทางความคิด เพราะความคิดของคนในสังคมถูกชี้นำ (และหากจำเป็นก็ต้องบังคับ) ไปทางเดียวกันทั้งหมด สังคมที่ขาดความหลากหลายทางความคิด ก็ไม่ต่างจากขาดความหลากหลายทางพันธุกรรม ที่เมื่อถึงจุดจุดหนึ่งพัฒนาการทางความคิดก็จะหยุดอยู่กับที่ และนำไปสู่ภาวะการทำลายตัวเองในที่สุด แม้ว่าสาเหตุหลักของการล่มสลายของสหภาพโซเวียต คือการแยกตัวของประเทศต่าง ๆ ออกจากสหภาพ แต่สาเหตุหลักอีกประการที่เราไม่ควรมองข้ามคือ ความอ่อนแอของโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมของสหภาพโซเวียตเอง ที่มีความเชื่อมโยงกับ Propaganda ของพรรคคอมมิวนิสต์ที่มีมายาวนานกว่าครึ่งศตวรรษ

เหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ใน Rwanda ในปี 1994 ที่มีผู้ถูกกระทำคือชาว Tutsi และมีผู้กระทำเป็นชาว Hutu ทำให้ชาว Tutsi เสียชีวิตไปเกือบหนึ่งล้านคน ! ก็มีความเกี่ยวข้องกับ Propaganda โดยตรง ความขัดแย้งระหว่างสองชนเผ่าเกิดขึ้นมายาวนาน และได้เดินทางมาถึงจุดแตกหัก เมื่อเครื่องบินของประธานธิบดีของ Rwanda ซึ่งเป็นชนเผ่า Hutu ถูกลอบยิง เป็นผลทำให้เครื่องบินตก และประธานาธิบดีเสียชีวิตในที่สุด Propaganda ของนักการเมือง Hutu บางกลุ่มก็เริ่มขึ้น โดยการพูดชักจูงทางวิทยุ ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการวางแผนของชนเผ่า Tutsi และชนเผ่า Tutsi วางแผนจะฆ่าชนเผ่า Hutu ทั้งหมด การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ Tutsi ซึ่งเปรียบดังแมลงสาบ จึงเป็นความชอบธรรมอย่างหนึ่ง

แม้แต่ในยุคที่ผู้คนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้ง่ายอย่างปัจจุบัน กระบวนการ Propaganda ก็ยังคงไม่หมดไปจากสังคม และการเมืองโลก อภิมหา Propaganda ระดับโลกที่ยังคงมีให้เราเห็นได้แก่ การสร้างภาพความชอบธรรมของกองทัพสหรัฐ ในการบุกยึดประเทศในแถบตะวันออกกลาง และการโฆษณาชวนเชื่อของพรรคคอมมิวนิสต์จีน

ในช่วงสงครามเวียดนาม ความมั่นคงของรัฐบาลสหรัฐ ฯ ต้องสั่นครอน เมื่อสื่ออเมริกานำเสนอความไร้เหตุผล และความโหดร้ายของสงคราม เป็นผลทำให้หนุ่มสาวจำนวนมากออกมาต่อต้านสงคราม จนกลายเป็นยุคฮิปปี้ในที่สุด รัฐบาลสหรัฐ ฯ เล็งเห็นศักยภาพของสื่อ จึงปรับเปลี่ยนยุทธวิธีการนำเสนอข่าวของสื่อ ภาพข่าวและเนื้อข่าวของสื่ออเมริกาหลังสงครามเวียดนาม ล้วนแต่ต้องผ่านกระบวนการกลั่นกรอง จากรัฐบาลและกองทัพอเมริกาทั้งสิ้น การชักจูงสื่อมาเป็นพวกเดียวกับกองทัพ เป็นยุทธวิธีใหม่ที่ถูกนำมาใช้

แม้ว่าด้านหนึ่งรัฐบาลอเมริกาจะอ้างว่า สหรัฐ ฯ เป็นประเทศเสรีนิยม ที่ทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็นของตัวเองได้ แม้แต่การแสดงความคิดเห็นการเหยียดสีผิว หรือการแสดงความคิดเห็นในเชิงก้าวร้าวและรุนแรง ก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ และกฏหมายอเมริกา แต่อีกด้านหนึ่ง สื่อกลับกลายเป็นเครื่องมือของรัฐ การนำเสนอข่าวและความคิดเห็นแบบตรงไปตรงมาของสื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหัวข้อข่าวที่เกี่ยวกับสงคราม กลับเป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้

ภาพและเนื้อข่าวที่ชาวอเมริกาได้รับเกี่ยวกับสงครามในอิรัก และอัฟกานิสถาน มักจะถูกนำเสนอพร้อม ๆ กับภาพเหตุการณ์ 9/11 อย่างมีนัยะ การสร้างความชอบธรรมให้กับกองทัพ และรัฐบาลอเมริกาในการทำสงครามกับประเทศอิสลามผ่านสื่อ กลายเป็นเรื่องปกติ โดยอ้างความสัมพันธ์ของประเทศเหล่านั้น กับผู้ก่อการร้าย ซึ่งจนถึงทุกวันนี้ยังไม่มีใครสามารถพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้ นักข่าวที่เข้าไปทำข่าวในพื้นที่สงคราม ต้องเข้าไปกินอยู่หลับนอนกับเหล่าทหารอเมริกาในค่ายกลางสมรภูมิ จนทำให้รู้สึกเป็นพวกเดียวกับเหล่าทหารอเมริกาในที่สุด การนำเสนอความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทางการทหาร พร้อมกับบทวิจารณ์เชิงปลุกใจ เพื่อให้คนรู้สึกภูมิใจในความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่กองทัพมี โดยละเลยที่จะกล่าวถึงประสิทธิิภาพในการทำลายชีวิตมนุษย์นับพันนับหมื่น สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็น Propaganda ที่ถูกนำมาใช้ผ่านสื่อสมัยใหม่ทั้งสิ้น ความน่ากลัวของมันคือความแยบคาย ที่คนรับสื่อต้องกับดักโดยไม่รู้ตัว

แม้ว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนสมัยใหม่ จะไม่มีร่องรอยความเป็นคอมมิวนิสต์ให้เราเห็น จะเหลือก็เพียงแต่รัฐบาลเผด็จการทุนนิยม แม้กระนั้นก็ตาม Propaganda ก็ยังถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือ ไม่ต่างจากเมื่อครึ่งศตวรรษก่อนเท่าใดนัก รัฐบาลจีนพยายามสร้างค่าทุนนิยม ชาตินิยม พรรคนิยม ให้กับคนจีนด้วยวิธีการต่าง ๆ มากมาย การทัวร์ดูบ้านคนรวย ดูชีวิตความเป็นอยู่ของคนรวย ได้ถูกจัดขึ้นตามเมืองใหญ่ ๆ หลายเมือง ในระหว่างการเยี่ยมชม ทุกคนจะได้รับข้อมูลชุดเดียวว่า ทุกคนสามารถมีบ้านหลังใหญ่ และมีเงินทองมากมายได้ หากขยันทำงาน และทำตามนโยบายพรรคคอมมิวนิสต์ นอกจากนี้สื่อต่าง ๆ ล้วนถูกควบคุมโดยรัฐบาล มีการเซนเซอร์ และ manipulate การนำเสนอข่าวอย่างเป็นล่ำเป็นสัน คำถามก็คือ การเซนเซอร์แบบเปิดเผยในจีน กับการทำแบบอีแอบในอเมริกา อย่างไหนจะน่ากลัวกว่ากัน

ผลผลิต Propaganda รัฐบาลจีน คือประชากรชาวจีนยุคใหม่ ที่มีความเป็นทุนนิยมแบบสุดโต่ง คุณธรรม จริยธรรม สิทธิมนุษยชน และการรักษาสิ่งแวดล้อม ถูกปล่อยปละละเลย ไม่ได้รับการพูดถึงจากรัฐบาลจีน ความเปลี่ยนแปลงของคนจีน ทำให้รุ่นน้องนักเรียนไทยคนหนึ่ง ซึ่งมีเชื้อสายจีน พูดกับผมว่า "คนจีนที่ผมรู้จักทุกวันนี้ ไม่ใช่คนจีนที่ผมรู้จักที่เมืองไทย" เรื่องนี้เป็นข้อพิสูจน์ที่ว่า Propaganda เป็นเครื่องมือที่สามารถเปลี่ยนค่านิยม วัฒนธรรม และความเชื่อ ของคนทั้งประเทศได้เลยทีดียว


ลักษณะของ Propaganda ที่ผมเขียนถึง ล้วนมีลักษณะร่วมกันคือ การชักนำทางความคิด ด้วยการนำเสนอข้อมูลเพียงด้านเดียว คิดร้ายต่อผู้ที่เห็นต่าง ไม่นิยมการใช้ปัญญาและการตั้งคำถาม และโดยมากสังคมที่ตกเป็นเหยื่อของ Propaganda มักมีจุดจบที่ไม่ดีนัก เพราะขาดความหลากหลายทางความคิด ซึ่งจะนำไปสู่ความเขลา ท้ายที่สุดสังคมนั้น ๆ ก็จะแพ้ภัยตัวเอง สิ่งเดียวที่ช่วยสังคมปลดแอกออกจาก Propaganda คือการติดอาวุธทางความคิด รู้จักตั้งคำถาม และยอมรับความแตกต่าง ดังนั้น ผู้นำที่มี Propaganda เป็นเครื่องมือ มักกล่าวหาผู้ที่ตั้งคำถาม ว่าเป็น
"ศัตรูของชาติ" เสมอ


การหาลักษณะร่วมของ Propaganda พอที่จะทำให้เรารู้ว่า จริง ๆ แล้วสังคมไทยไม่ได้เป็นสังคมปลอด Propaganda ตรงกันข้าม เราถูกครอบงำทางความคิดด้วย Propaganda มากว่าห้าสิบปี โดยที่เราจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม เราถูกปลูกฝังแนวคิดชาตินิยม สถาบันนิยม ตั้งแต่สมัยจอมพล ป. พิบูลย์สงคราม โดยที่คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้ความหมายที่แท้จริงของคำว่าชาติ และคุณประโยชน์ของสถาบันต่าง ๆ การตั้งคำถามต่อสิ่งเหล่านี้ คือการไม่รักชาติ และเป็นโทษร้ายแรง (ทั้งที่ยังไม่รู้อยู่ดี ว่าชาติคืออะไร)

เมื่อมาถึงสมัยจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ กระแส Propaganda ถูกโหมกระพือให้แรงขึ้น เพื่อใช้เป็นกระแสสร้างความชอบธรรม ในการยึดอำนาจของ จอมพล สฤษดิ์ เอง แม้ว่าทั้ง จอมพล ป. และจอมพล สฤษดิ์ ไม่ได้อยู่ในอำนาจมานานมากแล้วก็ตาม แต่ดูเหมือนว่า Propaganda ของเผด็จการทั้งสองจะยังไม่หมดไปจากประเทศไทย มีแต่จะหยั่งรากฝังลึกลงไปในสังคมไทยมากขึ้นทุกขณะ

ผมเคยตั้งคำถามว่า เหตุใด Propaganda ยังคงมีอยู่ในสังคมไทย ทั้งที่มีปัญญาชนไทยมากมาย ที่เข้าใจและรู้เท่าทัน Propaganda อีกทั้งเราอยู่ในยุคข้อมูลข่าวสาร ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ เพียงเท่านี้ Propaganda น่าจะหมด หรือถูกลดบทบาทลงได้แล้ว ผมหาคำตอบให้กับการคงอยู่ของ Propaganda ในสังคมไทยได้สามข้อคือ


1. รัฐบาลทุกยุคยังคงใช้ Propaganda เป็นเครื่องมือในการเข้าถึงอำนาจของตัวเองต่อไป

2. ความสำเร็จของ Propaganda ทำให้คนไทยมองเนื้อหาใน Propaganda เป็นศีลธรรมทางสังคมอย่างหนึ่ง
(เช่นการเชิดชูสถาบันชาติ เป็นศีลธรรมอย่างหนึ่งที่พึงปฏิบัติ)

3. การโยงเนื้อหาของ Propaganda เข้ากับความเชื่อทางศาสนา การกระทำอันผิดต่อเนื้อหาของ Propaganda ถือเป็นบาปอย่างหนึง เช่น การไม่รักชาติจะทำให้คนตกนรก


จนถึงตอนนี้ผมยังไม่สามารถจินตนาการได้ว่า Propaganda จะหมดไปจากสังคมไทยได้อย่างไร เพราะมันแทรกอยู่ในทุกส่วนของสังคมจริง ๆ ในแบบเรียน ในโทรทัศน์ กลางถนน ในเสื้อยืด ในเสียงเพลง ในโรงหนัง โดยเฉพาะในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา กระแส Propaganda ในสังคมไทยเชี่ยวกราดจนน่ากลัว ความแนบเนียนในการชี้นำทางความคิดค่อย ๆ ลดลง หลัง ๆ นิยมทำแบบยัดเยียดและโจ่งครึ้ม อาจเป็นเพราะมีการแย่งชิงอำนาจทางการเมืองกันมากขึ้นก็เป็นได้

สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกว่า กระแส Propaganda ทำให้สังคมไทยมาถึงจุดวิกฤติคือ กรณีของโชติศักดิ์ไม่ยืนตรงขณะเพลงสรรเสริญพระบารมีถูกเปิดในโรงหนัง โดยส่วนตัว ผมมองว่ากรณีนี้เป็นสิทธิในการแสดงความคิดเห็นของคนคนหนึ่ง ซึ่งหากพูดกันตามตรงแล้ว ไม่ทำให้ผู้ใดเดือดร้อน การไม่ยืนตรงของคนคนหนึ่ง ไม่ทำให้สถาบันใด ๆ เสื่อม ไม่ทำให้สังคมวุ่นวาย ไม่ทำให้ประเทศล่มจม หากมองในมุมมองของผู้เคารพสถาบัน ผมก็ยังไม่สามารถโยงการกระทำดังกล่าว ไปสู่การหมิ่นพระบรมเดชานุภาพได้

แต่คำถามก็คือ เหตุใดคนบางคนหรือคนบางกลุ่ม จึงพยายามชี้ชวนให้คนในสังคมเชื่อเหลือเกินว่า เรื่องเพียงเท่านี้ อาจยังผลให้เราสิ้นชาติ ! การกระทำของกลุ่มที่ผมขอเรียกว่า ผู้คลั่งสถาบัน กลับน่ากลัวกว่าการกระทำของโชติศักดิ์เสียอีก เพราะไม่สามารถยอมรับความคิดเห็นที่ต่างได้ นิยมการใช้ความรุนแรง หลาย ๆ ความคิดเห็นส่อไปในลักษณะ ความคิดเห็นที่ยืนอยู่บนพื้นฐานความเชื่อ โดยปราศจากการใช้เหตุผล สุดท้ายแล้ว ความคิดเช่นนี้แล ที่นำไปสู่ความแตกแยก และความวุ่นวายในสังคม หลายคนเปรียบเปรยความคิดเห็นของคนเหล่านี้ว่า เป็นความเห็นที่มาจากยุคล่าแม่มด


และนี่มันคือ การ Propaganda, ผลของการ Propaganda

หรือว่า มันคือ ทั้งสองอย่าง ?


หากกลับไปอ่านสองย่อหน้าที่ผมเขียนถึงกรณีโชติศักดิ์ จะเห็นได้ว่า ผมไม่ได้เขียนถึงตัวสถาบันแม้แต่น้อย เพราะแกนหลักของเหตุการณ์ไม่ได้ข้องเกี่ยวกับสถาบัน แต่เป็นเรื่องของการใช้สถาบันเป็นข้ออ้างในการทำ Propaganda ของคนหลายกลุ่ม เพื่อดึงกระแสมวลชลมาเป็นพวกตน โดยทุกกลุ่มพยายามอ้างว่า ตนเองเทิดทูนสถาบันมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ แต่ในความเป็นจริงแล้ว การพูดถึง และดึงสถาบันลงมาโยงกับเหตุการณ์ขี้หมูราขี้หมาแห้งเสียอีก ที่เป็นการลดเกียรติของสถาบัน เป็นการดึงสถาบันให้มาอยู่ในระดับเดียวกับพวกตน

สุดท้ายจะเห็นได้ว่า Propaganda ไม่ว่าจะมาในรูปแบบใด ล้วนแต่มีผลร้ายต่อสังคมทั้งสิ้น การเปิดใจให้กว้าง และรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น คือภูมิคุ้มกันที่จะลดดีกรีความร้ายแรงเหล่านั้นลงมาได้


bow der kleine

ที่มา : BioLawCom.De (แตกต่าง หลากหลาย บนสายใยเดียวกัน) : Propaganda


หมายเหตุ
การเน้นข้อความโดยส่วนมากทำตามความเห็นของผู้จัดเก็บบทความ

ไม่มีความคิดเห็น: