วันพฤหัสบดีที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2551

เกร็ดนอกพงศาวดาร "การ์ตูนต้องห้าม" ชุดแรกและชุดเดียว วาดสมัยพระจอมเกล้าฯ รัชกาลที่ ๔



ราชสำนักสยามเป็นที่รู้จักกันว่าคือ "เมืองต้องห้าม" ในสายตาของชาวต่างประเทศ เช่นเดียวกับเมืองต้องห้ามในราชสำนักแมนจู และราชสำนักโมกุล ซึ่งต่างก็ตัดขาดออกจากสังคมเมืองและโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง ที่เรียกต้องห้ามเพราะมีกฎมณเฑียรบาลอันเคร่งครัดรัดกุมบังคับใช้อยู่ เพื่อความมั่นคงปลอดภัยของพระบรมวงศานุวงศ์และเพื่อพิทักษ์รักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่คนธรรมดามิอาจล่วงละเมิดได้แม้เพียงการเมียงมองด้วยสายตา ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในราชสำนักในอดีตกาล จึงเป็นของต้องห้ามที่คนภายนอกไม่มีโอกาสล่วงรู้ เช่นภาพความเป็นไปต่างๆ ซึ่งจะถูกเปิดเผยในเรื่องนี้

ผู้เขียนไม่ได้ตั้งใจจะค้นลึกลงไปถึงความเร้นลับเหล่านั้น แต่ในขณะที่ค้นคว้าสอบสวนเหตุการณ์สำคัญตอนหนึ่งในพงศาวดารรัชกาลที่ ๔ อยู่นั้น พบว่าช่วงปลายรัชสมัยประมาณปี พ.ศ. ๒๔๐๙ (ค.ศ. ๑๘๖๖) ขณะที่ทุกสิ่งทุกอย่างดูราบรื่นเรียบร้อยดีอยู่แล้ว เกิดมีความระหองระแหงบางอย่าง เป็นเรื่องอื้อฉาวทางการทูตระหว่างองค์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับทูตฝรั่งเศสคนหนึ่ง ชื่อ "โอบาเรต์" (Aubaret) ผู้วางอำนาจบาตรใหญ่เกินตำแหน่งหน้าที่ ประพฤติตนเป็นอันธพาลหันมาใช้อำนาจในทางมิชอบ จนเกิดความขุ่นข้องมัวหมองพระราชหฤทัย เป็นเหตุให้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระพิโรธ ไม่ทรงอนุญาตให้เข้าเฝ้าอีกต่อไป

ความเฉาโฉดของโอบาเรต์ไม่เพียงแต่สร้างความเข้าใจผิดทางพระราชไมตรี ที่ทรงมีอยู่กับพระจักรพรรดินโปเลียนที่ ๓ เท่านั้น ทูตฝรั่งพิเรนคนนี้ยังบังอาจยับยั้งหน่วงเหนี่ยว "เครื่องมงคลราชบรรณาการ" อันมีความหมายยิ่งจากราชสำนักฟองเตนโบล คือ "พระแสงดาบนโปเลียน" ที่พระจักรพรรดิพระราชทานเข้ามาถวายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือข่มขู่ต่อรองข้อเรียกร้องทางการเมืองที่โอบาเรต์ดำเนินอยู่ในขณะนั้น ทำให้เกิดความชะงักงันทางการทูตกับทางการฝรั่งเศสนับจากนั้น

แต่ก็มีเหตุบังเอิญอีกเช่นกันที่ในระหว่างนั้นมีเจ้าชายชาวฝรั่งเศส ๓ พระองค์ ที่เป็นนักผจญภัยขนานแท้ เดินทางท่องเที่ยวรอบโลกอยู่ และกำลังผ่านเข้ามาเยือนกรุงสยาม พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ทรงเห็นเป็นโอกาสเหมาะที่จะเปิดเผยเรื่องฉ้อฉลในพฤติกรรมของทูตฝรั่งเศส จึงมีพระบรมราชานุญาตเป็นกรณีพิเศษ ให้เจ้าชายผู้สูงศักดิ์เหล่านั้น ซึ่งประกอบด้วยดุ๊กแห่งอลองซอง (le duc d" Alencon) เจ้าชายเดอ กองเด (le prince de Conde) และดุ๊กแห่งปองติแอฟรึ (le duc de Penthievre) พร้อมด้วยเคานต์โบวัวร์ (le comte de Beauvoir) พระสหาย โดยการนำของคุณพ่อโลนาร์ดี (Pere Lonardi) บาทหลวงชาวฝรั่งเศสผู้ที่ทรงคุ้นเคยและโปรดปรานมาก่อน เป็นผู้นำเข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิด(๑)

ความประจวบเหมาะนี้จะอำนวยให้คนแปลกหน้ากลุ่มนี้ได้เข้าไปเยี่ยมเมืองต้องห้ามโดยไม่คาดฝัน!

โอกาสพิเศษนี้เกิดขึ้นถึง ๒ ครั้ง ระหว่างการพำนักอยู่ในกรุงเทพมหานครนาน ๙ วัน ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๙ มกราคม พ.ศ. ๒๔๐๙

การเข้าเฝ้าพระเจ้ากรุงสยามของชาวยุโรปชุดนี้ ได้รับการเปิดเผยโดยเคานต์โบวัวร์ นักท่องเที่ยวธรรมดาๆ ผู้ไม่เคยคาดหวังโอกาสนั้นมาก่อน เขาเพียงแต่ตั้งใจไว้แต่ต้นว่าจะจดบันทึกช่วยจำสิ่งต่างๆ ที่จะได้พบเห็นไว้เรียบเรียงให้บิดามารดาทางบ้านได้อ่านเท่านั้น(๑) เหตุผลทั้งหมดจึงเป็นพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ เพื่อทรงวิสาสะคุ้นเคยกับเชื้อพระวงศ์จากฝรั่งเศสในโอกาสที่หาได้ยาก จึงโปรดให้มีขึ้นในที่รโหฐานจริงๆ พระบุคลิกลักษณะและพระราชอัธยาศัยที่แท้จริง ตลอดจนเหตุการณ์บ้านเมืองที่ดำเนินอยู่ จึงถูกนำออกมาจากเมืองต้องห้าม ปรากฏในรูปร้อยแก้วที่ให้รายละเอียดและภาพสเก๊ตช์อย่างรวดเร็ว ที่ถูกวาดเก็บไว้ได้ทันท่วงทีในทัศนะของชาวต่างประเทศ ล้วนเป็นข้อมูลทางประวัติศาสตร์นอกพงศาวดารที่แปลกที่สุดชุดหนึ่งในรัชกาลนี้ที่เคยพบมา

เพียง ๑๒ เดือนก่อนการมาถึงของคณะเจ้าชายฝรั่งเศส พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือกษัตริย์องค์ที่ ๒ เสด็จสวรรคต คณะชาวฝรั่งเศสได้รับเชิญให้เข้าไปถวายบังคมพระบรมศพ ซึ่งประดิษฐานอยู่ในพระที่นั่งอิศราวินิจฉัยในพระบวรราชวัง เคานต์โบวัวร์ได้ถ่ายทอดภาพจำลองของพระบรมศพที่บรรจุอยู่ในพระบรมโกศ ในมุมมองที่ชาวตะวันตกนึกไม่ถึงมาก่อน คำบอกเล่าทั้งหมดจึงเป็นสีสันของเมืองไทยที่ผู้บันทึกพบเห็น ชีวิตฝ่ายในของราชสำนักที่ผู้คนอยากรู้อยากเห็นอยู่ตลอดเวลา

สิ่งที่ติดออกมาด้วยคือพระราชปฏิพัทธ์และพระราชนิยมในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และที่เป็นข่าวใหญ่อยู่ในเวลานั้น คือประเด็นที่เกี่ยวกับนโยบายขยายอาณานิคมของฝรั่งเศส และพฤติกรรมฉาวที่ทูตฝรั่งเศสผู้โอหังแสดงอยู่

เรื่องมีอยู่ว่าในเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๔๐๖ เขมรตกเป็นรัฐในอารักขาของฝรั่งเศส ด้วยสนธิสัญญาที่พระนโรดมลงพระนาม ณ เมืองอุดงมีชัย แต่ด้วยความอาลัยหวงแหนในพระราชอาณาเขตเก่าแก่นี้ รัฐบาลไทยได้ทำ "สัญญาลับ" ขึ้นฉบับหนึ่งกับเขมรในเดือนธันวาคมศกนั้น(๒) เพื่อยืนยันรับรองว่าเขมรยังเป็นประเทศราชของไทยอยู่ และเพื่อเป็นการผูกมัดเขมรไว้กับไทยตลอดไป

สัญญาลับฉบับดังกล่าวก่อให้เกิด "สงครามเย็น" ระหว่างไทยกับฝรั่งเศส

โอบาเรต์ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นกงสุลฝรั่งเศสคนใหม่ ใช้ความพยายามที่จะทำให้สัญญาลับระหว่างเขมรกับไทย "เป็นโมฆะ" และบีบบังคับให้ไทยรับรองว่าจะสละสิทธิ์เหนือเขมรตลอดไป ฝ่ายไทยปฏิเสธโดยสิ้นเชิง โอบาเรต์เริ่มใช้เล่ห์เพทุบายอาศัยการนำเรือรบติดอาวุธที่ทันสมัยที่สุด ชื่อเรือปืน "มิตราย" เข้ามาในลำแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อข่มขู่รัฐบาลไทยให้ปฏิบัติตามโดยปราศจากข้อแม้ใดๆ

ในที่สุดก็ทำได้สำเร็จ ฝ่ายไทยยอมจำนนโดยดุษฎีในเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๔๐๘ นับเป็นการใช้กำลังทหารต่างชาติเป็นครั้งแรกกลางเมืองบางกอก ตั้งแต่กรุงรัตนโกสินทร์ตั้งมา

ความเป็นปฏิปักษ์อย่างพร้อมเพรียงกันต่อฝรั่งเศส ซึ่งมีโอบาเรต์เป็นตัวแทนจึงระเบิดขึ้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ แม้ว่าปกติจะเข้าเฝ้าได้ง่ายมาก และคุ้นเคยกับโอบาเรต์เป็นพิเศษอยู่แล้ว กลับให้การต้อนรับเขาอย่างเย็นชาและชิงชัง เพื่อเป็นการตอบโต้

โอบาเรต์จึงแสดงปฏิกิริยาหน่วงเหนี่ยวไม่ยอมมอบ "ของขวัญ" (เป็นพระแสงดาบ ๒ เล่ม ซึ่งมีความหมายอย่างยิ่ง เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของผู้นำโลกที่สนับสนุนให้เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ขึ้นสืบทอดราชบัลลังก์ในสมัยต่อมา-ผู้เขียน) ของจักรพรรดินโปเลียนที่ ๓ ซึ่งมีมาทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

เมื่อการเจรจากับตัวแทนฝรั่งเศสดูไม่เป็นผลอีกต่อไป ในที่สุดจึงมีพระบรมราชโองการในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้จัดส่งคณะทูตพิเศษไปเจรจาความถึงในกรุงปารีส เพื่อทูลเสนอต่อพระจักรพรรดิโดยตรง เรื่องการปักปันเขตแดนเขมร และเพื่อประณามความประพฤติของโอบาเรต์

ราชทูตไทยชุดนี้นำโดยพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) บุตรชายคนโตของเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ และทูตอื่นๆ อีก ๓ ท่าน ส่วนล่ามภาษาฝรั่งเศสคือบาทหลวงโลนาร์ดีคนเดิม จะสังเกตได้ว่าคุณพ่อโลนาร์ดีเป็นสาธุคุณชาวฝรั่งเศสที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ไว้วางพระราชหฤทัยที่สุดในขณะนั้น คณะทูตชุดนี้จึงเป็นชุดที่ ๒ ที่ได้ไปถึงฝรั่งเศสในรัชกาลที่ ๔ ซึ่งมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าคณะราชทูตชุดแรกในปี พ.ศ. ๒๔๐๔ แต่กลับมีการกล่าวถึงน้อยมาก แม้ในหน้าประวัติศาสตร์ไทยก็ตาม(๓)

ต่อไปนี้เป็นรายละเอียดในที่เกิดเหตุบางตอนของเคานต์โบวัวร์ ที่ผู้เขียนสามารถเรียบเรียงและจับภาพไว้ได้จาก "ต้นฉบับ" จริง...


"๑๓ มกราคม ๑๘๖๖...

เวลาที่รอคอยก็มาถึง พวกเราถูกนำมาหน้าพระที่นั่ง ทำให้สามารถมองเห็นคิงมงกุฎเสด็จผ่านเจ้าหญิงและเจ้าชายน้อยๆ หลายองค์ พวกเขารีบหมอบลงทันที และไม่กล้าแม้แต่จะสบตาผู้ซึ่งเป็นที่รักของพวกเขา พระโอรสธิดาจำนวนกว่า ๑๐ องค์ช่างน่ารักน่าเอ็นดู พวกเขามีเศียรที่โกนจนเตียนโดยรอบ เหลือพระเกศาไว้เป็นจุกตรงกลางโดยล้อมด้วยพวงมาลัยสีขาว ปักติดไว้ด้วยหมุดทองคำที่หัวเป็นพลอยเม็ดใหญ่ พวกเขาปล่อยท่อนบนลำตัวไว้เปลือยเปล่า แต่คล้องพระศอไว้ด้วยสายสร้อยขนาดใหญ่หลายเส้น ประดับอยู่ด้วยเพชรนิลจินดาหลายขนาด สวมผ้าผืนใหญ่ที่ขมวดไว้เบื้องหลัง และมีกำไลขนาดใหญ่ประดับเพชรพลอยสวมอยู่ที่ข้อเท้าทั้งสอง แต่ละองค์มีนางกำนัลประจำตัว

เบื้องหลังเป็นแถวนางกำนัลในของกษัตริย์ นางสนมจำนวนหลายสิบคนถือหีบหมากประดับเพชร บ้างประคองหีบบุหรี่ บ้างถือพระแสงประจำพระองค์ บ้างก็ถือถาดและกระโถนทองคำ เดินนวยนาดออกมาเป็นขบวน พวกนางส่งยิ้มอันสง่างามมายังพวกเรา ช่างไม่มีความสมดุลกันเลยระหว่างกษัตริย์ผู้ชราภาพ ที่ห้อมล้อมอยู่ด้วยนางสนมรุ่นสาวหลายสิบคน กษัตริย์ทรงเป็นศูนย์กลางในที่ชุมนุมนั้น ทรงสวมพระมหามงกุฎเป็นรูปพีระมิดทองคำ สวมฉลองพระองค์เสื้อคลุมยาวที่ประดับตกแต่งไปด้วยเพชรนิลจินดานับร้อยเม็ด ทรงพระชนมายุประมาณ ๖๓ พรรษา มีสภาพเหมือนคนเมื่อยล้าจากการทำงานหนักมาหลายสิบปี

สามารถตรัสภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว แต่ก็มีคำภาษาละตินและคำไทยปนออกมาตลอดเวลา การสนทนาของเราก็เริ่มต้นขึ้น ทรงกล่าวถึงพระราชกรณียกิจของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ แห่งฝรั่งเศส และความสัมพันธ์กับกรุงสยามมาแต่โบราณกาล แล้วทรงหันพระพักตร์ไปคายหมากจากพระโอษฐ์ ๒-๓ ครั้งทุกๆ ๑ นาที ทรงเปลี่ยนเป็นหมากคำใหม่จากกล่องทองคำฝังเพชรที่วางอยู่ใกล้ๆ

ท้องพระโรงกลางเป็นตึกแบบตะวันตก แต่มีเครื่องตกแต่งแบบตะวันออกปนอยู่มาก นอกจากนั้นเห็นได้ว่ามีของบรรณาการจากกษัตริย์ในยุโรปวางอยู่ทั่วไปหมด ของบางอย่างที่พวกเรามองข้ามไปในยุโรปกลับมีความหมายที่นี่ พระราชดำรัสดูเคร่งขรึมเป็นพิธีรีตอง แต่ก็ทรงพระสรวลอยู่ตลอดเวลา เรามองเห็นขวดน้ำอัดลม ขวดน้ำหอมโอ เดอ โคโลญจ์ และถ้วยกาแฟชุด อยู่ในตู้ต่างๆ ทำให้มองดูคล้ายบ้านผู้ดีอังกฤษกลายๆ ได้ยินมาว่ามักจะมีพ่อค้าหัวใสจากยุโรปนำของมาเสนอขายพระองค์อยู่เสมอ บ้างก็โฆษณาว่าของแบบนั้นแบบนี้ใช้ในราชสำนักยุโรป

ก่อนได้เวลาถวายบังคมลา กษัตริย์หันไปตรัส ๒-๓ คำกับนางกำนัลที่นั่งเหนียมอายอยู่ใกล้ๆ พวกเธอหันไปหยิบขวดเหล้าซึ่งวางอยู่ในตู้ ภายใต้ภาพวาดขนาดใหญ่ฝีมือเจโรม จิตรกรผู้โด่งดังของพวกเรา (คือภาพวาดทูตไทยถวายสาส์น ที่พระราชวังฟองเตนโบล-ผู้เขียน)

หนึ่งในดรุณีแรกรุ่นที่งดงามที่สุดรินน้ำจัณฑ์ตามกระแสรับสั่ง ในขณะที่กษัตริย์ต้องการให้พวกเราชนแก้วด้วย หลังจากนั้นมีพระราชดำรัสให้นางกำนัลนำบัตรพระนามาภิไธยมาแจกให้พวกเราคนละใบ ทรงให้ความเป็นกันเองกับพวกเรามาก เราถวายบังคมลา ก็ยังทรงพระกรุณาตรัสสั่งให้ขุนนางในที่นั่นพาพวกเราไปชมในเมือง

วันรุ่งขึ้นคณะของเราและข้าพเจ้าได้ไปเยี่ยมคารวะที่สถานกงสุลฝรั่งเศสประจำกรุงสยาม ได้พบปะกับเมอสิเออโอบาเรต์ และกัปตันเรือผู้ต้อนรับเราอย่างอบอุ่น ก่อนที่เราจะถามท่านกงสุลถึงข่าววิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ ที่ได้ยินมา ท่านกลับเป็นฝ่ายเริ่มในทันที และขอความเห็นใจในเรื่องดังกล่าว ท่านเล่าว่าคิงมงกุฎทรงรู้เห็นเป็นใจกับพระเจ้านโรดมทำสัญญาลับขึ้นมาฉบับหนึ่ง เพื่อยกเลิกสัญญาที่ถูกกฎหมายของฝ่ายฝรั่งเศส โดยสัญญาลับนี้เพิ่งมาถึงบางกอกอย่างมิดชิด มีสายของฝรั่งเศสแจ้งว่าทั้งหมดนี้เป็นความจริง แม้แต่กงสุลอังกฤษเองก็ให้ท้ายสยามในทำนองแบบมีพิรุธ เพื่อยับยั้งการเป็นผู้นำของฝรั่งเศสในภูมิภาคนี้

ท่านกงสุลบอกพวกเราว่าเขมรต้องอยู่ในอาณัติของฝรั่งเศส มิฉะนั้นเขาคงต้องถูกปลดออกไป ในที่สุดอินโดจีนก็คือเค้กก้อนโตที่ฝรั่งเศสและอังกฤษไม่มีวันพบได้อีกในยุโรป พวกเรายังไม่ลืมส่วนที่เสียไปในแอฟริกาและดินแดนอาหรับ แต่ก็ยังโชคดีที่มียูนนานและเมืองจีนเหลืออยู่ ข้าพเจ้าคิดว่าถ้าจำเป็นต้องอยู่ในภูมิภาคนี้ต่อไปก็อาจจะต้องเคารพกติกาที่ทำไว้กับสยามอย่างจริงใจ และเราควรจะประนีประนอมคู่แข่งของเรา (อังกฤษ) ให้มีความจริงใจเช่นกัน

กงสุลของเราได้ "ตัดสินใจ" เองด้วยเหตุผลส่วนตัว ที่จะไม่ทูลเกล้าฯ ถวายพระแสงดาบของจักรพรรดินโปเลียนที่ ๓ แด่คิงมงกุฎ โดยบอกว่าท่านจะทูลเกล้าฯ ถวายสิ่งของทั้งหมดนี้ก็ต่อเมื่อเรื่องเมืองเขมรได้รับการจัดแจงให้เป็นที่เรียบร้อยเสียก่อน

ในคืนนั้นเองพวกเราได้ยินมาว่าคิงมงกุฎมีพระราชวินิจฉัยให้ส่งราชทูตไปกรุงปารีส เพื่อเจรจาเรื่องดินแดนในฝันที่ทุกคนต้องการกันนักหนา

บ่ายวันหนึ่งขุนนางได้นำพวกเราไปชมละครกลางแจ้ง (เข้าใจว่าเป็นเรื่องรามเกียรติ์-ผู้เขียน) นักแสดงโดยมากแต่งตัวคล้ายคนในวังนั่นเอง เห็นมีตัวละครที่เล่นเป็นกษัตริย์รวมอยู่ด้วย การแสดงโอเปร่าของชาวสยามนี้ช่างเหมือนชีวิตในวังจริงๆ

วันหนึ่งเราได้ยินมาว่าเวลานี้เป็นช่วงที่คิงมงกุฎทรงวิตกกังวลที่สุด ทรงอยู่ในระหว่างการร่างพระราชสาส์นสำคัญที่จะพระราชทานไปกับราชทูตสำหรับถวายพระจักรพรรดิของเราในปารีส ทรงนัดประชุมขุนนางชั้นผู้ใหญ่หลายคืน แต่พอถึงตอนเช้าก็ทรงฉีกพระราชสาส์นนั้นทิ้งเสีย เพราะยังไม่เป็นที่ถูกพระทัย แล้วก็ทรงเริ่มเขียนใหม่อีกในวันรุ่งขึ้น ใครจะคิดว่าเป็นเวลาเจ็ดวันเจ็ดคืนที่ทุกคนต้องทนทุกข์ทรมาน เพื่อพระราชสาส์นเพียงฉบับเดียวเท่านั้น ที่ทุกฝ่ายเฝ้ารอคอยจนกว่าจะสำเร็จ

พวกเราเชื่อว่าฝรั่งเศสได้ค้นพบขุมทรัพย์ถูกที่แล้ว ในส่วนตัวข้าพเจ้าคิดว่าศักดิ์ศรีในชัยชนะของเราคือผลกำไรจากการค้าขายในดินแดนที่อุดมสมบูรณ์นี้ ประชาชนที่นี่เทิดทูนบูชากษัตริย์มากเกินไปจนไม่มีทางที่พวกเขาจะทรยศพระองค์ได้ แต่หากว่ามีหนทางยึดครองดินแดนที่ขึ้นอยู่กับสยามเพื่อผลประโยชน์อื่นๆ ก็อาจจะเป็นสิ่งที่น่าทำที่สุด

บาทหลวงโลนาร์ดีเป็นบุคคลที่ทำให้ชาวสยามรู้จักการถ่ายรูป แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด เพราะท่านยังเป็นผู้นำไฟฟ้าไปสู่ราชสำนัก พรุ่งนี้แล้วที่เราจะออกเดินทางกลับไปสิงคโปร์โดยเรือชื่อเจ้าพระยา เมื่อกษัตริย์ทรงทราบว่าเราจะไปเข้าจริง ก็มีพระราชดำริให้นำคณะเจ้าชายทั้ง ๓ เข้าเฝ้าเพื่ออำลา


๑๗ มกราคม ๑๘๖๖...

พวกเราถูกนำไปสู่ท้องพระโรงใหญ่ในพระที่นั่งชื่อ "อนันตสมาคม" ขุนนางกระซิบบอกเราว่า การที่คิงมงกุฎทรงเชิญมาในวันนี้เป็นกรณีพิเศษที่ไม่มีใครมีวาสนาบ่อยนัก บัดนี้ทรงมีความคุ้นเคยกับพวกเรามากขึ้น ตรัสว่า "ฉันพอใจพวกเธอมาก จะให้รูปไว้เป็นที่ระลึก" เรามารู้ตอนหลังว่าทรงส่งพระรูปไปให้พระประมุของค์สำคัญๆ ในต่างประเทศเท่านั้น การพระราชทานพระรูปของพระองค์ให้พวกเราจึงเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างสูงที่สุด ทรงนำคณะเราเข้าไปในห้องๆ หนึ่งทางด้านหลัง อันเป็นจุดเริ่มต้นของ "ราชสำนักฝ่ายใน" ของพระบรมมหาราชวังที่แท้จริง พระโอรสธิดาและเจ้านายฝ่ายในเป็นจำนวนมากอยู่ในที่นั้น ทุกพระองค์มีความตื่นเต้นตกใจที่เห็นคนแปลกหน้าอย่างเราโผล่เข้ามา กลุ่มผู้หญิงราว ๒๐ คนขวัญหายในการมาเยือนอย่างกะทันหันของเรา ทั้งหมดทิ้งตัวลงหมอบกระแตอยู่กับพื้น ข้าพเจ้าคาดคะเนดูว่ามีจำนวนไม่ต่ำกว่า ๑๖๐ คน เป็นผู้หญิงทั้งสิ้น พวกที่หมอบไม่ทันก็หนีไปหลบอยู่หลังบันได และมีอีกหลายสิบคนวิ่งขึ้นบันไดไปเหมือนผึ้งแตกรัง สักพักหนึ่งก็โผล่แต่นัยน์ตาแหวกม่านออกมาจ้องดูเราเหมือนดวงตากวางป่าในยามวิกาล กล่าวได้ว่าคณะของเราและพวกผู้หญิงมีความตกใจพอๆ กัน

มีอยู่นางเดียวที่ไม่หนีไปไหน เธอเป็นหญิงวัยกลางคนท่าทางสง่างาม ตกแต่งเรือนร่างด้วยเพชรพลอยงามระยิบ กษัตริย์เดินตรงไปยังกลุ่มเจ้าจอมรุ่นใหญ่ แล้วจูงมือเจ้าจอมคนหนึ่งออกมายืนเคียงข้างพระองค์ จากนั้นจึงอนุญาตให้พวกเราสัมผัสมือ (เช็กแฮนด์) กับนางด้วย พวกเราทำตามเพื่อแสดงความเคารพในคำสั่ง ทรงปรบมือให้ทุกคนหลบเข้าไปข้างในทันที ตรัสว่า "เจ้าจอมมารดาผู้นี้ให้ลูกแก่ฉัน ๓ คน และนางเป็นภรรยาที่ดีคนหนึ่ง" พอตรัสเสร็จก็ปลีกพระองค์ไปจูงมืออีกคนออกมาให้พวกเรารู้จัก ตรัสอีกว่า "เจ้าจอมมารดาคนนี้ให้ลูกฉันถึง ๑๐ คน เธอเป็นคนที่ดีที่สุด" ขณะที่มีพระราชดำรัสในเรื่องอื่นๆ กับพวกเรา เจ้านายฝ่ายใน พระโอรสธิดา และนางกำนัลเป็นจำนวนมากก็ทยอยออกมาห้อมล้อมพระองค์ ดูคล้ายกับเทพธิดาที่ห้อมล้อมเทพเจ้าอยู่ในสรวงสวรรค์

ข้าพเจ้าจำได้ว่าพวกเราคำนับทุกคนในที่นั้น และตั้งใจกับตัวเองว่าทันทีที่มีโอกาสจะจดบันทึกประสบการณ์อันน่าตื่นเต้นทั้งหมดไว้บนแผ่นกระดาษ เพื่อมิให้ตกหล่นหลงลืมไป สำหรับข้าพเจ้าแล้วรู้สึกว่าราชสำนักสยามที่ได้เห็นเป็นเมืองที่ไม่ได้อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง มันช่างเหมือนดินแดนในเทพนิยาย ที่ชาวยุโรปเราอ่านกันในหนังสือนิทานอาหรับราตรีมากกว่า


๒๐ มกราคม ๑๘๖๖...

คณะของเราพร้อมกันบนเรือเมล์เจ้าพระยา เพื่อเดินทางสู่สิงคโปร์ บนเรือวันนี้เราถูกแนะนำให้รู้จักคณะราชทูตสยามที่กำลังจะอาศัยเรือลำเดียวกัน เพื่อเดินทางไปต่อเรือเมล์ที่ท่าเมืองสิงคโปร์สำหรับการเดินทางสู่ประเทศฝรั่งเศส ไม่น่าเชื่อว่าราชทูตท่านนี้กำลังจะนำพระราชสาส์นสำคัญที่สุดของคิงมงกุฎ และคำประณามกงสุลฝรั่งเศสที่เราเพิ่งอำลา ไปสู่พระจักรพรรดิของเราในเวลาไม่ช้านี้ ก่อนที่เรือจะยกสมอออกจากท่า ได้มีเรือบดหลายลำนำหมู่ภรรยาทั้งหลายของท่านราชทูตสยาม คะเนว่าจำนวนประมาณ ๓๐-๓๕ คนขึ้นมาล่ำลาท่านอย่างอาลัยอาวรณ์ เป็นภาพสุดท้ายที่ทำให้เราตื้นตันมากกับเมืองที่เรากำลังจะจากไปนี้"


เมษายน ค.ศ. ๑๘๖๖ (พ.ศ. ๒๔๐๙) คณะราชทูตไทยเดินทางถึงกรุงปารีส พระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ได้เข้าเฝ้าพระจักรพรรดินโปเลียนที่ ๓ ในทันที เพื่อถวายฎีกา พร้อมกับกราบบังคมทูลเรื่องราวอันยืดยาวในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คำร้องขอทำให้พระจักรพรรดิได้ทรงสดับด้วยพระองค์เองถึงสถานการณ์ และความไม่พอใจของไทยในเรื่องสนธิสัญญาฝรั่งเศส-เขมร ค.ศ. ๑๘๖๓ (พ.ศ. ๒๔๐๖)

อีก ๓ เดือนต่อมานายโอบาเรต์ทูตฝรั่งเศสก็ถูกปลดออกจากตำแหน่ง และเดินทางกลับกรุงปารีส ต่อมาได้กลายเป็นคนวิกลจริต เป็นที่รังเกียจของสังคมในปั้นปลายชีวิต

อีก ๖ เดือนต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็เสด็จสวรรคต ภาพลักษณ์ของเมืองไทยและเหตุการณ์ร่วมสมัยในครั้งนั้นถูกตีพิมพ์เผยแพร่ทันเวลา ในปีที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ สิ้นพระชนม์นั่นเอง

บันทึกการเดินทางของเคานต์โบวัวร์ได้รับการยกย่องโดยนักโบราณคดียุโรป ว่าเป็นแหล่งข้อมูล "แบบไม่เป็นทางการ" ที่น่าเชื่อถือที่สุดชิ้นหนึ่งจากยุคนั้นตราบจนทุกวันนี้



หนังสืออ้างอิง

(๑) le Comte de Beauvoir. Voyage Autour du Monde (เรื่องสยาม หน้า ๔๕๙-๕๓๖). Paris, 1868

(๒) ศ.ดร.เพ็ญศรี ดุ๊ก. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับฝรั่งเศสในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙. ราชบัณฑิตยสถาน, ๒๕๓๙

(๓) ศ.ดร.เพ็ญศรี ดุ๊ก. การต่างประเทศกับเอกราชและอธิปไตยของไทย. ราชบัณฑิตยสถาน, ๒๕๔๒


ไกรฤกษ์ นานา

นิตยาสารศิลปวัฒนธรรม
วันที่ 01 มกราคม พุทธศักราช 2547


ที่มา : ศิลปวัฒนธรรม : บทความ

หมายเหตุ
การเน้นข้อความทำโดยผู้จัดเก็บบทความ เพื่อให้ง่ายต่อการศึกษาเพิ่มเติม ผู้อ่านสามารถดูบทความเดิมได้จาก ลิงค์ที่มาของบทความตามที่ได้อ้างอิง

ไม่มีความคิดเห็น: