วันอาทิตย์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2551

“อย่าดึงฟ้าต่ำ อย่าทำหินแตก อย่าแยกแผ่นดิน” ความคิดและความรู้สึกของข้าพเจ้า


สัญลักษณ์-ตัวแทนกับของจริง

“อย่าดึงฟ้าต่ำ อย่าทำหินแตก อย่าแยกแผ่นดิน”
(จากหน้าปก นสพ.โลกวันนี้ 27ก.ค.-2ส.ค.50)


ขอหยิบยกประโยคข้างต้นมาสะท้อนความคิดและความรู้สึกของข้าพเจ้าขณะนี้ ข้าพเจ้าเป็นเพียงมนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่ง ที่ไม่ขอใช้คำว่า “ประชาชน” เพราะในความหมายของข้าพเจ้า “ประชาชน” คือผู้มีสิทธิอยู่ในอำนาจอธิปไตย ที่อยู่ภายใต้กรอบของประชาธิปไตยอีกที ฟังดูเข้าใจยากหากแต่จะแปลตรงๆ ข้าพเจ้าอยากบอกว่าคำว่า “ประชาชน” ของข้าพเจ้าคือใครสักคนที่ต้องอยู่ในสังกัดหนึ่งในสังคมหนึ่ง ที่มีอำนาจที่จะทำอะไรก็ได้แต่ต้องอยู่ในขอบเขต มีสิทธิที่จะชี้หน้าด่าหรือโดนชี้หน้าด่า มีสิทธิรักหรือชอบหรือเกลียดใครก็ได้ มีสิทธิยกมือไหว้หรือไม่ไหว้ใครก็ได้ มีสิทธิที่จะทำทุกอย่าง และที่สำคัญมีสิทธิที่จะเลือกข้างอยู่กับสิ่งที่อาจจะถูกหรือผิด เพราะนั้นถือเป็นความคิดส่วนตัวอันพึงมีและไม่ถูกครอบงำจากอำนาจอะไรทั้งสิ้น

แต่เหนืออื่นใดข้าพเจ้ารู้สึกและระลึกเสมอว่าข้าพเจ้าไม่เหมาะที่จะถูกเรียกว่าประชาชน เพราะข้าพเจ้ารู้สึกว่า “ประชาชน” ที่เป็นอยู่นี้เป็นอะไรที่ต้องถูกยัดเยียดให้เกลียดหรือชอบ ให้เคารพหรือศรัทธาอะไรที่สังคมนั้นๆนับถือแม้ว่ามันขัดกับความรู้สึกส่วนตัว และบางครั้งขัดต่อความชอบธรรม ที่คนกลุ่มใหญ่ที่มีอำนาจในสังคมครอบงำ ข้าพเจ้าเลยอยากบอกว่า ข้าพเจ้าไม่ใช่ “ประชาชน” ข้าพเจ้าเป็นมนุษย์เป็นปุถุชนเป็นคนธรรมดาที่เกิดมาจากท้องแม่ และเกิดจากความรักของพ่อและแม่ มีครอบครัวเป็นน้ำล่อเลี้ยงกำลังใจจนถึงทุกวันนี้

ข้าพเจ้าจึงขอแสดงความเห็นในฐานะคนๆหนึ่งที่เกิดมาบนโลกใบนี้ แต่ไม่ขอเจาะจงว่าเป็นคนของสังคมนี้บ้านเมืองนี้ จากเหตุการณ์บ้านเมืองทุกวันนี้ที่ดูจะไม่มีวันสิ้นสุดโดยเฉพาะในเรื่องของความแตกแยก ความอยุติธรรม “อย่าดึงฟ้าต่ำ อย่าทำหินแตก อย่าแยกแผ่นดิน” ประโยคที่ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกว่าข้าพเจ้ากำลังอยู่ในกรอบ กำลังอยู่ในขอบเขตของใครบางคนซึ่งทำกำลังจะทำให้ข้าพเจ้าหมดความชอบธรรมทางความคิด และถูกชี้นำให้เดินไปตามที่ใครคนหนึ่งกำลังชี้นิ้ว

ในสังคมนี้สิ่งที่เป็นที่เคารพ ที่ข้าพเจ้าไม่เคยคิดว่าจะมีเหตุผลอะไรที่จะไม่เคารพ และเต็มใจยกมือกราบไหว้มีอยู่ไม่กี่อย่าง ซึ่งขอบอกตรงๆว่าไม่ใช่สิ่งที่เป็นตัวแทนหรือเป็นสัญลักษณ์อะไรของใคร แต่เป็นตัวตนจริงๆของคนๆนั้นแม้ร่างจะม้วยมรณาไปชื่อยังคงอยู่ให้ข้าพเจ้าก้มลงกราบแทบเท้าได้อย่างไม่มีข้อสงสัยกังขา

แต่ในสังคมนี้มันแตกต่างกันออกไป สัญลักษณ์หรือตัวแทนกลับถูกหยิบยกขึ้นมาแทนความเป็นจริงที่มีอยู่ โดยที่สังคมไม่อาจจะรู้ความจริงเลยว่าสัญลักษณ์หรือตัวแทนเหล่าได้ถ่ายทอดความรู้สึกจริงๆจากสิ่งที่เราเคารพยกไหว้อยู่หรือเปล่า หรือเป็นเพียงการสนองตัณหาส่วนตัวที่ยังอยู่บนความรัก-โลภ-โกรธ-หลง มันคงเป็นเพียงความน่าสมเพท และนับเป็นความโง่เขลาของประชาชนในสังคมที่ไม่ลืมหูลืมตา หรือไม่คิดเปิดสมองแม้แต่จะคิดถึงเหตุผลเพียงเพราะ สัญลักษณ์หรือตัวแทนนั้นๆเป็นสิ่งที่ถูกยกขึ้นให้เทียบเท่าสิ่งอันเป็นที่เคารพจริงๆในสังคม พูดให้ง่ายๆนั้นคือความแตกต่างที่ในสัญลักษณ์หรือตัวแทนไม่เคยมีเมื่อเปรียบเทียบกับของจริงๆ

ความแตกต่างที่ว่าที่เห็นได้เด่นชัดคงหนีไม่พ้นที่จริต หรือความรู้สึกนึกคิดหรือตามประสาชาวบ้านเรียกว่าสันดาน ซึ่งของจริงนั้นไม่อาจพูดถึงหรือมีข้อสงสัยเลยว่าเป็นความบริสุทธิ์ใจหรือไม่เพราะของจริงความบริสุทธิ์มีอยู่ในตัวไม่มีข้อสงสัยหรือกังขาอะไรทั้งนั้น ผิดกับสัญลักษณ์หรือตัวแทน ที่ถึงแม้จะเป็นของเทียบเคียงแต่ในความรู้สึก-ความคิด-สันดาน ไม่มีวันเหมือนกันแน่นอน และข้าพเจ้าก็จะขอย้ำอีกครั้งว่าข้าพเจ้าไม่เคยคิดยึดสัญลักษณ์หรือตัวแทนมากไปกว่าของจริง พูดง่ายๆอีกว่าข้าพเจ้าไม่นิยม “ของปลอม”

บนความแตกแยกทางความคิดที่ดูเป็นความสวยงามบนเส้นทาง “ประชาธิปไตย” ข้าพเจ้าคิดว่าไม่มีอะไรจะสามารถหยุดยั้งได้ แต่ในสังคมนี้วินาทีนี้กำลังถูกยับยั้งหยุดยั้งไม่ให้มี แม้จะกล่าวอ้างว่าเป็นความต้องการของคนทั้งประเทศ แต่ระหว่าง “ความคิดที่แตกแยกบนเส้นทางประชาธิปไตย” กับ ”ความคิดที่แตกแยกบนเส้นทางเผด็จการ” หลายคนจะรู้สึกหรือไม่แต่ข้าพเจ้ารู้สึกอยู่เสมอว่าไม่สามารถทำอะไรได้อย่างที่เคย ข้าพเจ้าถึงย้ำอยู่เสมอว่าตอนนี้ข้าพเจ้าไม่ขอเป็นประชาชนของสังคมนี้ ข้าพเจ้าขอเป็นเพียงคนๆหนึ่งบนพื้นโลกนี้เท่านั้น

ขอยกคำว่าจริตและความนึกคิดและสันดานของแต่ละคน โดยเฉพาะสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์และตัวแทนกับของจริง จริตและความคิดและสันดานที่ได้ถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดนั้นแตกต่างกันด้วยความบริสุทธิ์ ที่ข้าพเจ้าคิดว่าไม่ได้เกิดขึ้นเพียงแค่การได้ยินหรือได้ฟัง แต่มันรับรู้ได้ด้วยจิตสำนึกและสัญชาตญาณว่าสิ่งไหนบริสุทธิ์สิ่งไหนไม่บริสุทธิ์หรือจอมปลอม ข้าพเจ้าของแสดงความเห็นส่วนตัวว่าขณะนี้ตอนนี้มันเป็นความจอมปลอม ที่มีแต่ความอาฆาตแค้น แก้แค้นแผ่กระจายไปทั่ว ประชาชนในสังคมนี้คงไม่สามารถรับรู้ได้โดยเฉพาะกับพวกที่ยังคงยกมือกราบไหว้หรือหลงงมงายกับสัญลักษณ์และตัวแทนนั้นๆ แต่ข้าพเจ้ารับรู้ได้(ส่วนตัว)และไม่อยากคิดต่อไปว่าความรุนแรงที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้มันจะเป็นความรุนแรงทางความคิด ที่ประชาชนในสังคมนี้กำลังถูกยัดเยียดครอบงำ(มานาน)ให้มุ่งทำลายถึงการล้างชาติตระกูล

อยากจะขอย้ำระหว่างคำว่ารัก-ศรัทธากับคำว่าลุมหลง-งมงาย มันคงไม่แตกต่างกันหากมันไม่ได้เกิดขึ้นจากความคิดหรือสมอง เรียกว่าเชื่อโดยขาดสามัญสำนึกเคารพเพียงเพราะเชื่อต่อๆกันมา และนี่เองที่ข้าพเจ้าอยากบอกว่ามันเป็นเวรเป็นกรรมของสังคมนี้ที่มันไม่เคยจะได้เดินไปข้างหน้า มันมีแต่จะถอยหลัง และย้ำอยู่กับที่ เพียงเพราะความคิดและจริตโดยสันดานของสัญลักษณ์หรือตัวแทนที่ว่านี้ ที่ดูเหมือนจะยิ่งใหญ่เทียบเท่าหรือดีไม่ดีกำลังพยายามที่จะมีอำนาจให้มากกว่า ประชาชนในสังคมพึงต้องจับตาให้ดี ข้าพเจ้าหวังเพียงว่าจะเปิดหูเปิดตากันให้มากกว่านี้ และข้าพเจ้าขอย้ำอีกสักครั้งเหนืออื่นใดในใต้หล้าเหนือฟ้าเหนือแผ่นดินของปลอมไม่อาจทดแทนของจริง และเวรกรรมมันจริงและคงตามทันไม่กับคุณก็กับคนรอบข้าง และกรรมมันไม่เคยเลือกว่าคุณจะอยู่ข้างไหน แต่มันจะตามติดไปเท่าที่คุณสร้างมันขึ้นมา


blcivic.

ที่มา : sanook.com : การเมือง : นายกระดาษ

ไม่มีความคิดเห็น: