วันเสาร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2551

จาก "จ่าฝูง" จนถึง "หน้าที่อันพึงกระทำ"


"คุณจงรักภักดีและเคารพในสถาบันกษัตริย์ขนาดไหน ?"

อ๊ะๆๆๆๆๆเดี๋ยว.......เดี๋ยว....ใจเย็นๆ...อดทนไว้.....อ่านบทความข้างล่างนี้ก่อน แล้วค่อยตอบว่า คุณรักและเคารพแค่ไหน

กษัตริย์ พระเจ้าแผ่นดิน เหนือหัว ล้นเกล้า ราชา สารพัดคำจะสรรหามาเรียกเพื่อแสดงถึงความเคารพศิโรราบ ยกย่องเทิดทูน แต่ทุกคำนั้นหากแปลความหมายตรงๆเป็น ธรรมชาติ มากที่สุดคือ "จ่าฝูง" ของสัตว์ที่ขนานนามตนเองว่า "มนุษย์" ฝูงหนึ่ง เท่านั้น

จ่าฝูง หรือ กษัตริย์ เป็นได้อย่างไร เป็นได้หลากหลายวิธีครับ แต่ส่วนมากมาจากการใช้พละกำลังเข่นฆ่าสัตว์ตัวอื่นเพื่อความเป็นใหญ่แห่งตนทั้งนั้น ไปค้นดูได้เลยครับไม่มีราชวงค์ไหนหรอกที่ไม่เอาเลือดของผู้อื่นทาแผ่นดินเพื่อความเป็นใหญ่ของมันน่ะ ก็เพราะเรื่องจริงคือเอาเลือดมันเอง มันก็ไม่ได้นังเป็นใหญ่สิครับ...ฮี่โธ่

ครับเมื่อเป็นใหญ่ได้แล้วทำอย่างไรจะยิ่งใหญ่สมบูรณ์ได้ นี่สิครับเรื่องแปลก สัตว์ที่ขนานนามตนเองว่ามนุษย์นั้น มีสติปัญญามีการวิวัฒนาการระบบทางความคิดความเชื่อเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว เรื่องจริงแท้ที่สุดคือ จ่าฝูงหรือกษัตริย์นั่น ก็แค่ มนุษย์หรือสัตว์ตนหนึ่งเช่นกัน ความเป็นจริงอีกเรื่องคือมนุษย์มีอำนาจอยู่ในตัวตนเองเหมือนกันหมดทั้งนั้น ดังนั้นผู้ทีจะมาเป็นจ่าฝูงหรือกษัตริย์จำจะต้องทำความน่าเชื่อถือให้แก่มนุษย์ในสังคมของตนให้ยินดียกอำนาจปกครองให้แก่ตนให้ได้ ในสมัยก่อนก็ใช้การแสดงถึงพละกำลังมาเป็นอำนาจ เลยเป็นหลักการตายตัวต่อมาว่าเป็นกษัตริย์ต้องมีพลังให้ได้เพื่อการใช้การเข้มแข็งกดขี่ผู้ทีอ่อนแอกว่าให้ได้

อำนาจของกษัตริย์มาจากไหน อำนาจของกษัตริย์มาจากความเชื่อถือของเหล่าคนรอบข้างตัวกษัตริย์เองว่าคนๆนี้จะนำพาความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ตัวเขาได้ เพราะข้อเท็จจริงที่สุดคือ มนุษย์มองที่ตนเองก่อนที่จะเห็นผู้อื่นทั้งนั้น เป็นความตอแหลโดยธรรมชาติครับที่มนุษย์มักจะอ้างว่าเพื่อส่วนรวมมากกว่าเพื่อตนเองน่ะ ดังนั้นอำนาจของกษัตริย์จึงมีอยู่ได้โดยการมี ผลประโยชน์ตอบแทนแก่คนที่เขาเชื่อถือเท่านั้น ยามใดที่กษัตริย์หรือจ่าฝูงตนนั้นไม่สามารถเอื้อประโยชน์แก่ผู้อื่นได้ต่อไป อำนาจของกษัตริย์ผู้นั้นก็ลดลงไปเช่นกัน ดังนั้นเราจึงมักเห็นการแย่งชิงอำนาจเพื่อเป็นใหญ่วนเวียนอยู่แต่ในกลุ่มของกษัตริย์และคนข้างเคียงตัวกษัตริย์ทั้งสิ้น

ดังนั้นอำนาจที่แท้จริงในตัวของกษัตริย์จึงไม่ได้อยู่ที่ตัวกษัตริย์สักเท่าใด แต่ไปอยู่ที่กลุ่มผู้ยกย่องเทิดทูนกษัตริย์เพื่อผลประโยชน์แห่งตนทั้งสิ้น ดังนั้นกษัตริย์ที่ดีจึงมักสอนหรือแสดงการปกครองที่ดีแก่บุคคลรอบข้างตัวเสมอในการปกครองเป็นลำดับลงไป เราจะเห็นได้ว่าการแบ่งปันผลประโยชน์ที่ดีนั้นมักสร้างความยิ่งใหญ่ให้แก่ กษัตริย์ อย่างมากมายเช่น เจงกิสข่าน อเล็กซานเดอร์ และตัวอย่างที่ชัดเจนในการเสื่อมของอำนาจทีดีที่สุดคือ นโปเลียนแห่งฝรั่งเศส และซีซาร์แห่งโรม

เมื่อกษัตริย์ได้อำนาจในการปกครองกลุ่มชนในสังคมของตน กษัตริย์เองก็มีหน้าที่พึงปฏิบัติต่อชนในสังคมนั้นๆด้วยเช่นกันคือ มีหน้าที่ทำให้ชนในสังคมของตนนั้นอยู่ดีกินดีมีสุขให้ได้ในหลักสูตรที่ว่า ตัวใหญ่กินคำใหญ่ตัวเล็กกินคำเล็ก แต่ทุกคนต้องอิ่มพอดีกันให้หมด ดังนั้นหน้าที่การไปบำบัดทุกข์บำรุงสุขของประชาราษฎร์จึงเป็นกิจอันพึงกระทำของกษัตริย์ ไม่ใช่พระมหากรุณาธิคุณห่าเหวอะไรนั่นหรอก....หายโง่กันซะทีเถอะเรื่องนี้น่ะ

ดังนั้นหากเราแยกแยะหน้าที่กันกระจ่างว่าใครมีหน้าที่เยี่ยงไรในสังคมนั้นๆ สังคมก็เกิดความสุขเกิดความสงบขึ้นเอง ไม่ได้เกิดมาจากพระบารมีห่าเหวอะไรอีกด้วย แต่ด้วยการปกครองที่ดีต่างหาก และเรื่องจริงที่สุดคือเมื่อมนุษย์ในสังคมนั้นอิ่มแล้วพอกับความต้องการแล้วมนุษย์ก็จะไม่ดิ้นรนกันอีกต่อไปน่ะแหละ การปกครองก็จะง่ายขึ้น เราจะเห็นได้ว่าการเสื่อมสิ้นของกลุ่มราชวงค์มักเกิดจากความไม่พอเพียงของ ตัวกษัตริย์เองและคนรอบข้างตัวกษัตริย์น่ะแหละ การจะกล่าวคำว่าพอเพียงจึงไม่ใช่เป็นการสอนให้ประชาชนในสังคมที่ตนปกครองพอเพียง แต่ควรเป็นการสอนตนเองของกษัตริย์และคนรอบข้างตัวกษัตริย์ต่างหากให้รู้จักการพอเพียง.......นี่พอจะหายโง่กันเรื่องพอเพียงยังเนี่ย

ความจงรักภักดีต่อกษัตริย์คืออะไร ตอบได้ง่ายที่สุดไงครับคือการไม่แย่งชิงอำนาจปกครองมาจากกษัตริย์ไงล่ะ ความจงรักภักดีไม่ใช่การยกย่องเทิดทูนกษัตริย์เป็นเทพผู้ทรงฤทธิ์ ไม่ใช่การยกยอปอปั้นกษัตริย์ว่าแม่งเก่งไปหมดทุกอย่าง แต่ความจงรักภักดีคือการช่วยเหลือแบ่งเบาภาระหน้าที่ของกษัตริย์ที่มีต่อประชาชนในสังคมที่กษัตริย์ปกครองอยู่ ด้วยการรู้จักเฉลี่ยการกินการอยู่แบบที่กล่าวมาข้างต้นนั่นแหละ คือตัวใหญ่ก็กินคำใหญ่ ตัวเล็กก็กินคำเล็ก ดังนั้นความจงรักภักดีที่สุดต่อกษัตริย์คือ ตัวกษัตริย์เองและผู้ใกล้ชิดต้องจงรักภักดีต่อตนเองด้วยเมื่อมีความพอเพียงในตนเองและรู้จักหยิบยื่นให้แก่คนรอบข้างตน มันก็เกิดความจงรักภักดีที่แท้จริงเกิดขึ้นในสังคมนั้นๆเองอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ต้องมานั่งเลียไข่เลียแข้งกันให้ลำบากลิ้น

มนุษย์ไม่ว่าจะอย่างไรก็จำเป็นต้องอยู่ร่วมกันเป็นสังคม และเมื่อเป็นสังคมนั้นก็จำเป็นจะต้องมี "จ่าฝูง" เพื่อนำสังคมนั้นให้ขับเคลื่อนไปและวิวัฒนาการขึ้นไปเป็นลำดับ เพราะเรื่องจริงคือว่าหากสังคมใดไม่ยอมวิวัฒนาการสังคมนั้นก็จะเรื่มเสื่อมสลายไปเช่นกัน การวิวัฒนาการนั้นเปลี่ยนไปได้หลากหลายรูปแบบ ซึ่งเหล่านั้นเป็นไปตามความคิดของมนุษย์ในสังคมนั้นๆเอง สังคมใดจะขนานนาม "จ่าฝูง" ของตนว่าอย่างไร ไม่ว่า กษัตริย์ พระราชา ประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี หรือเทพส้นตีนอะไรก็แล้วแต่ ข้อเท็จจริงที่สุดคือ จ่าฝูงตัวนั้นมันก็แค่ "มนุษย์ธรรมดา" คนหนึ่งน่ะแหละ มีดีมีชั่วมั่วปะปนกันไป ชนในสังคมนั้นๆยอมรับกันได้แค่ไหนต่างหาก ยังยอมรับกันได้ก็ยังได้อำนาจปกครองกันไป ยอมไม่ได้ก็เปลี่ยนแปลงกันไป เพราะอำนาจที่แท้จริงนั้นมันอยู่ที่ตัวตนของมนุษย์โดยเท่าเทียมกันทั้งสิ้น

ความจงรักภักดี ความเคารพต่อ "จ่าฝูง" หรือผู้นำของสังคมชนเผ่าตนจะมีได้ก็เมื่อชนในเผ่าอยู่ดีมีสุข ไม่เดือดร้อนอดอยากแร้นแค้นแต่ ผู้นำหรือจ่าฝูงกินอยู่อย่างสุขสบาย ซึ่วิกฤติการณ์นี้เกิดขึ้นในสังคมใดก็ยากที่ จ่าฝูงหรือผู้นำสังคมชนเผ่านั้นจะได้รับความเคารพและจงรักภักดีได้ ความจงรักภักดีจึงไม่ใช่สิ่งที่สามารถจะกำหนดกฎเกณฑ์เจาะจงไปได้ว่าให้กระทำ แต่มันเกิดขึ้นมาเองจาก มโนความคิดของแต่ละคนเท่านั้น

ตอนนี้แหละครับที่คงจะพอตอบได้ว่า คุณ จงรักภักดี ขนาดไหน


กษัตริย์หรือเจ้า เขาก็แค่มนุษย์ธรรมดาสามัญ มีดีมีชั่วในตัว ไม่ได้เป็นเทพยดาฟ้าดินมาจากไหน หน้าที่ที่พึงกระทำต่อประชาชนเขาก็มี แต่เรื่องของเรื่อง ไอ้พวกที่แอบแฝงกษัตริย์หากินนี่ละมากกว่าที่เอากษัตริย์ไปกลายเป็นเทพ และคอยแต่จะเป่าหูยุยงให้หลงทางหลงผิดไป คิดว่าตนเองเป็นเทพเป็นอัจฉริยะผู้ประเสริฐเลอเลิศกันไปโน่น

และเมื่อใดที่เกิดปรากฎการณ์เช่นนั้น มันก็ย่อมจะเกิดความวิบัติฉิบหายแก่สังคมที่กษัตริย์นั้งครอบครองอยู่เช่นกัน เพราะย่อมจะเกิดคนที่มองเห็นความจริงข้อเท็จจริงเขาออกมาท้วงติงสะกิดเอาเช่นนี้แหละ กลุ่มผู้คลั่งเจ้าก็จะดาหน้าเข้าใส่ และเกิดกลุ่มแอนต้เจ้าสวนหมัดกลับเช่นกัน เหมือนเช่นทุกวันนี้ ที่สังคมนี้เคยชินกับการชเลียร์ยกยอปอปั้นกษัตริย์จนเกินเหตุ สร้างภาพให้ดูว่ากษัตริย์นั้นปานประหนึ่งเทพเทวดารู้ไปหมดทุกสิ่ง แต่ความเป็นจริงคือ ประชาชนของกษัตริย์กำลังลำบากยากแค้นในการดำรงชีพ


มีคนพูดว่า...

"คนกับสัตว์ย่อมแตกต่าง ทฤษฎีจ่าฝูงจึงไม่เกี่ยวข้อง การที่ปทท.มีระบอบการปกครองแบบปชต.อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข คือระบบที่เป็นที่ยอมรับในสังคมโลก สถาบันเองจะอยู่ได้ก็ต้องด้วยความที่ปชช.ต้องการ ไม่ใช่ เหมือนสัตว์ป่าทั่วไป ที่ตัวไหนเก่งก็เป็นผู้นำ ไม่เหมือนกัน ระบอบฯ นี้มีลักษณะเหมือนน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า"


นั่นเป็นการ "ยกหางตนเอง" ในความคิดผม คนกับสัตว์ล้วนมีวิถีดำเนินชีวิตไม่ได้แตกต่างกันไป คนมองไปแล้วจะชั่วกว่าด้วยซ้ำเพราะก้าวข้ามชั้นไปจากสัตว์นักล่าไปเป็น สัตว์ผู้ทำลายล้างแล้ว

หากมองอย่างใช้ความเป็นธรรมจริงในมโนสำนึก ก็จะเห็นความเหมือน มนุษย์เป็นสัตว์ในประเภท ปัจเจก ไม่ได้เป็น สัตว์สังคม แต่มนุษย์จำเป็นต้องรวมกลุ่มกันเป็นสังคมก็เพื่อเพื่อหลีกหนีจากความกลัว เมื่อยามใดมนุษย์ไม่รู้สึกกลัว มนุษย์ก็จะปลีกตัวออกไปอยู่ลำพังเสมอ ผมเคยถามนักวิชาการมาหลายท่านแล้วว่าคิดอย่างไรถึงนำเสนอไปว่ามนุษย์เป็น สัตว์สังคม เพราะในความเป็นจริงสัตว์สังคมจะแบ่งแยกประเภทหน้าที่ของกลุ่มของตนเองอย่างชัดเจนที่สุดเช่น ปลวก ผึ้ง มด หรือตัวต่อ

คุณกล่าวถึงระบอบประชาธิปไตยอันมีองค์พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ว่าเป็นที่ยอมรับไปทั่วโลกน่ะใช่ครับ แต่เขามีพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญนะครับ ไม่ใช่อยู่นอกเหนือรัฐธรรมนูญ อย่างในบ้านเรา มหาอำนาจอย่างอังกฤษ หรือ ญี่ปุ่น นี่กษัตริย์เขาคือสัญญลักษณ์ของประเทศ เขาไม่ข้องเกี่ยวกับการบริหารบ้านเมืองแบบเด็ดขาดเลยนะครับ ไม่ได้ทำลักหลั่นอย่างในบ้านเรา ประเภทเขียนรัฐธรรมนูญแบบโง่ๆว่า

"อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทาง รัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ฯลฯ"

นี่เขาเรียกว่ามันเขียนแบบเด็กอมมือ สมองหมาปัญญาควาย ทั้งนั้น ที่มาอวดอ้างว่าประเทศนี้ปกครองในระบอบประชาธิปไตย แค่บทบัญญัติรัฐธรรมนูญ บทนี้บทเดียวก็ชี้ให้เห็นแล้วว่าประเทศนี้ปกครองโดยระบบกษัตริย์ โดยใช้ สภาขุนนางเป็นสื่อกลางในการปกครอง เท่านี้ยังไม่สะใจยังโง่ซ้ำซากด้วยการร่างบทบัญญัติซ้ำในมาตราที่8 และ 10 ในหมวดที่ 2 เข้าไปอีกเป็นการตอกย้ำความโง่ ความเป็นไพร่ทาสที่ปล่อยไม่ไปของเหล่าศักดินาขุนนางที่หวังครอบครองแผ่นดินอย่างชัดเจน

ประเทศนี้เลยมีการปกครองแบบประหลาดที่สุดคือมีนายกรัฐมนตรีมาจากการแต่งตั้งของกษัตริย์ แต่ถ้านายกรัฐมนตรีทำงานผิดพลาด กษัตริย์ผู้แต่งตั้งไม่ต้องรับผิดชอบใดๆทั้งสิ้น แม้บางคราวการคัดเลือกตัวนายกรัฐมนตรีนั้นมาจากการคัดสรรจากตัวแทนของประชาชนที่ประชาชนใช้อำนาจที่ตนมีเลือกเข้าไปแล้วนั้น นายกรัฐมนตรีก็ยังต้องมานั่งรอการโปรดเกล้าแต่งตั้งซ้ำซากกันอีก เลยเกิดมีการพลิกโผกัน ตกลงไว้กะคนหนึ่งแต่แล้วเปลี่ยนไปเป็นอีกคนได้ยังกะเด็กเล่นขายของ

และในสมัยที่เกิดการไม่พอใจการปกครองของกลุ่มการเมืองโดยกลุ่มทหารอันถือเป็น ขุนนางใกล้ชิด ทหารทำการปฏิวัติขึ้น กษัตริย์ก็ยังคงโปรดเกล้าแต่งตั้ง นายกรัฐมนตรีที่มาจากการปฎิวัตินั้นอีก เลยไม่รู้ว่าตกลง "จุดยืน" ของกษัตริย์อยู่ในทิศทางใดแน่ ยิ่งการรัฐประหารยึดอำนาจปกครองครั้งที่ผ่านมานั้น กลุ่มทหารประกาศอย่างชัดเจนออกไปทั่วโลกเลยว่า มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขการรัฐประหารนี้ สุดยอดครับแล้วคุณยังมีหน้ามาบอกว่า ประเทศนี้ปกครองในระบอบประชาธิปไตยอีกหรือครับ เพราะกษัตริย์ของคุณรับรองนายกรัฐมนตรีได้ทุกรูปแบบนี่น่ะหรือครับ....หายโง่สักทีเถอะครับ เขาเอากษัตริย์ที่คุณเคารพรักไป "ปู้ยี่ปู้ยำ" เล่นจนเละคุณก็ยังปลื้มใจอีกหรือ นี่แสดงว่าคุณเองก็ไม่ได้มีความ "จงรักภักดีและเคารพ" ต่อกษัตริย์เลยสักนิด


มีคนถามว่า..

"คำว่า คิง ใครเป็นคนแปลเป็นภาษาไทย สมมุติเทพ หมายถึงเทพองค์ใด ระหว่าง พระอินทร์ พระวิษณุ พระพรหม พระอิศวร พระนารายณ์ โอรส สวรรค์ หมายถึงสวรรค์ชั้นใด"


ภาษาไทยนั้นเอาต้นแบบมาจากขอมที่ยึดเอาสันสกฤตเป็นแม่แบบ ตามความเชื่อทางศาสนาพราหมณ์ ดังนั้นการเรียกกษัตริย์ของไทยจึงมักเติมคำว่า "มหา" อันหมายความถึง "ยิ่งใหญ่" ลงไปด้วย บ้านเราเรียก พระมหากษัตริย์ อังกฤษเขาเรียก King อันหมายถึงพระราชา มันก็เลยมีความหมายตรงตัวกัน ยังดีที่ประเทศไทยเราไม่เอาวัฒนธรรมของพราหมณ์มาทั้งหมดล่ะครับไม่งั้นคงต้องเรียกว่า มหาราชกันทุกพระองค์ไปเลย

สมมุติเทพ ตามพราหมณ์หมายถึง พระอิศวรครับ เพราะเป็นเทพที่เป็นราชาของเทพทั้งหมด เรื่องนี้ก็แปลกใจในความโง่ของมนุษย์เช่นกัน เขาอุตส่าห์ตั้งซะชัดเจนว่า "สมมุติเทพ" น่าจะแสดงว่านั่นคือเรื่องสมมุติ ไม่ได้มีจริง แต่ก็ยังหลงเชื่อกราบไหว้กันตูดกระดก ยิ่งคนไทยหลายต่อหลายคนปากบอกว่านับถือพุทธแต่ดันไปกราบไหว่บูชา พระอิศวร พระพรหม พระนารายณ์ พระอินทร์ รวมไปทั้งเทพส้นตีนสันมือทั้งหลายมั่วไปหมด นี่ก็คือความสับสนของคนไทยอีกเช่นกันที่ไม่ได้รู้จักพระพุทธศาสนา แต่เสือกสะเออะอยากเป็นผู้นำของศาสนาพุทธในโลกนี้...ถุย

โอรสสวรรค์ เป็นการเปรียบเทียบกษัตริย์ให้ไปเป็นตัวแทนแห่งเทพของกลุ่มศาสนาผู้หวังเอา "กษัตริย์" เป็นที่ทำมาหาแดกครับ ดังนั้นจึงพยายามเยินยอกษัตริย์ว่าเป็นดั่งตัวแทนแห่งเทพบนสวรรค์จุติลงมาเกิดในโลกมนุษย์ ในยุคสมัยโบราณจะเชื่อกันได้เชื่อกันดี เพราะประชาชนยังไม่มีความรู้ครับ ย่อมโดนกลุ่มศาสนามอมเมาเอาได้ง่ายๆ


สิ่งหนึ่งที่จะทำให้ประชาชนในสังคมหมดความข้องใจในการเป็น "ผู้นำ" คือต้อง "โปร่งใส" ตรวจสอบได้ใช่ไหม แล้วคำว่า ประมุข กับผู้นำ มีความหมายเดียวกันหรือไม่

จุดประสงค์ของคณะกบฎโง่เง่าเมื่อคราวปี 2475 ไม่ได้ต้องการล้มล้างบัลลังค์ ล้มล้างราชวงค์ แต่เขาต้องการเพียงให้ประเทศปกครองภายใต้ระบอบประชาธิปไตย โดยคืนอำนาจการบริหารบ้านเมืองมาสู่มือของประชาชน สถาบันกษัตริย์ก็ยังดำรงอยู่แต่ภายใต้รัฐธรรมนูญปกครองประเทศ สิ่งที่กลุ่มคณะกบฎผู้โง่เขลาต้องการคืออำนาจการบริหารบ้านเมือง แต่ผลของการกระทำที่ออกมาคือ "เตะหมูเข้าปากหมา" แย่งอำนาจมาจากคนหนึ่งแต่ดันไปยื่นใส่มือคนอีกกลุ่มหนึ่ง จากภาพที่ทุกคนเคยมองเห็นกันได้อย่างชัดเจนสบายตา ก็ไปกั้นม่านบังเอาไว้ ให้เกิดการ "ชักใยหลังม่าน" กันต่อมา ดังนั้นเราจึงเห็นความขัดแย้งกันเองในตัวบทรัฐธรรมนูญ ขัดแย้งกันในระบอบการปกครอง แต่แทนที่จะหาทางทำให้มันถูกต้อง แม่งเสือกเล่น "กำปั้นทุบดิน" ว่า นี่แหละการปกครองประชาธิปไตยแบบไทยๆ....ถุย

ระบอบประชาธิปไตย เป็นระบอบการปกครองที่ต่างชาติเขาคิดค้นกันขึ้นมาก็เพื่อการอยู่ร่วมกันในสังคมโดยเท่าเทียมกันและเสมอภาคในการออกความเห็นในการปกครองสังคมเท่าเทียมกัน คำว่าเท่าเทียมกันก็ดันไปแปลความหมายกันถึงชนชั้นฐานะ นี่ก็โง่ฉิบหายอีกเช่นกัน นิ้วมือแม่งเองยังยาวไม่เท่ากันเลย เสือกมาคิดได้ว่าคนต้องเท่ากัน สิ่งที่เขาคิดว่าให้เท่าเทียมกันคือการแสดงออกทางการบริหารปกครองสังคมที่ตนอาศับอยู่ ทุกคนในสังคมนั้นเท่าเทียมกันหมดคือมี หนึ่งเสียงเท่ากัน ไม่มีใครมีอำนาจเหนือใคร ผู้ที่จะมาบริหารสังคมนั้นๆจะมาจากการเลือกสรรของประชาชนในสังคมนั้นเอง และถือว่าเป็นผู้รับใช้ประชาชน มีกำหนดเวลาการบริหาร มีการประเมินผลงานต่างๆที่ทำ อำนาจที่ได้รับนั้นไม่ได้อยู่ถาวรเพราะเจ้าของที่แท้จริงคือประชาชนในสังคมจะทวงคืนเมื่อใดก็ย่อมได้

เมื่อมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย สถาบันกษัตริย์จะถูกล้มล้างไหม....ไม่เลยประชาชนคนไทยเคยชินกับกษัตริย์มานานนม เขาจะไปล้มล้างทำไม เพราะในจิตใต้สำนึกจริงๆของประชาชน กษัตริย์และครอบครัว ก็คือ "ครอบครัวๆหนึ่ง" เท่านั้น อาจจะมีความร่ำรวยบ้างนั่นก็เพราะเขามีสมบัติเดิม ใครเสือกไปล้มล้างก็โดนประชาชนรุมด่าเอาซะเท่านั้น

สิ่งที่ทุกคนควรสำนึกได้และหายโง่กันเสียทีคือ 76 ปีที่ผ่านมานั้นประเทศไทยยับเยินไปแค่ไหนกันบ้าง อำนาจอันแท้จริงที่ประชาชนทุกคนมีโดยเท่าเทียมกันนั้น มันได้เคยใช้กันออกมาบ้างหรือเปล่า อำนาจแท้จริงที่ประชาชนเคยมอบให้กษัตริย์หายไป แต่แทนที่จะกลับมาอยู่ในมือประชาชน กลับไปตกอยู่กับกลุ่มขุนนางอำมาตย์ชนชั้นปกครอง ที่ย้อนถอยหลังไปดันเชิดชูกษัตริย์ให้กลับขึ้นมาใหม่ แต่ภายใต้อำนาจของพวกมันหรือเปล่า 76 ปีที่ผ่านมาไม่เอียนกันบ้างหรือไงว่า "ทำเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์" แต่เรื่องจริงคือชนชั้นปกครอง กลุ่มขุนนานางเก่า ทหาร พ่อค้าวานิชผู้ใกล้ชิดราชวงค์ ร่ำรวยขึ้นไปแบบสุดๆ ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศยากจนลงมาอย่างรวดเร็ว สิ่งที่ได้เป็นรางวัลปลอบใจคือ เป็นคนดีนะทำเพื่อชาติบ้านเมือง ถามจริงๆเถอะไอ้คนที่มันคุยว่า "ทำดีเพื่อพ่อหลวง" น่ะ พ่อมันเองมันเคยทำความดีให้ไหม

ตื่นกันมาจากความงมงาย ไอ้พวกที่รักเทิดทูนกษัตริย์ก็ควรจะแหกตาดูด้วยว่า มันเกิดอะไรขึ้น ส่วนที่จงเกลียดจงชังเสียเหลือเกินนั้น ก็น่าจะยอมรับควมเป็นจริงที่ว่า คนเพียงคนเดียวมันไม่อาจสร้างอะไรขึ้นมาได้ขนาดนั้นหรอก มองไปให้ชัดว่า ใครล่ะที่สร้างขึ้นมา เริ่มแต่เดี๋ยวนี้วิเคราะห์กันให้ชัดเจน

ลุกขึ้นมาพร้อมๆกันแสดงจุดยืนออกไปกันเลยครับด้วยอำนาจที่ตนมี หากว่าเสียงส่วนใหญ่มีความต้องการให้ "กษัตริย์" กลับมาปกครองประเทศเหมือนเดิม ก็ทำกันไปประกาศไปให้ชาวโลกเขารู้กันชัดๆเถิดครับว่าประเทศนี้ปกครองโดยระบบกษัตริย์ ไม่มีประเทศไหนมันมาเสือกกะประเทศเราหรอกว่า เราจะปกครองอย่างไร เขาดูที่ทีท่าว่าเราจะเป็นมิตรกับเขาได้หรือไม่ต่างหาก

แต่หากเสียงส่วนใหญ่ของประเทศต้องการให้ประเทศปกครองในระบอบประชาธิปไตย ก็ต้องเอารูปแบบประชาธิปไตยมาปกครองกันจริงๆ ไม่ใช่ทำกันแบบ "ชักใย" กันอยู่ข้างหลังเช่นที่ผ่านมา สถาบันมันไม่หายไปไหนได้หรอกครับ มันอยู่กะประเทศนี้มานานแล้ว มันก็จะยังอยู่ต่อไปอีกน่ะแหละ ไม่ว่าประชาชนจะเลือกแบบไหน เพราะโดยความเป็นจริงแล้วเขาไม่เคยได้คิดจะล้มล้างสถาบันกษัตริย์ซะเมื่อไหร่

หากทำได้อย่างที่ผมบอกมานี่ รับรองว่า สถาบันกษัตริย์ก็จะเคลียร์ขึ้นสดใสขึ้นมีภาพลักษณ์ที่ดีต่อชาวโลกและในทุกสังคม ทางสบายๆให้เดินสองทางมีครับ ไม่เดินกัน แต่กลับไปเดินในที่มืดๆลับๆ นั่นเป็นเพราะอะไรล่ะ

สำหรับกลุ่มชนชั้นปกครอง เลิกคิดเสียทีเถอะว่าจะมาเป็น "นาย" ประชาชนเพราะเรื่องจริงมันมีอยู่ว่า "ผู้นำ" ที่ดีนั้นต้องเป็น "ผู้รับใช้" ประชาชนเท่านั้นเมื่อเป็นผู้รับใช้ที่ดี "อำนาจ" ในการปกครองก็จะมาสู่ตัวพวกท่านเอง ไม่ต้องไปลงทุนออกทีวีโฆษณาโปรประกานดาว่าตนได้ทำนั่นทำนี่มากมายอะไรนั่นหรอก กรรมอันแปลว่าการกระทำมันส่อเจตนาเองครับ


เราจะเห็นได้ว่าปัจจุบันนี้ เกิดความคลางแคลงใจกันขึ้นมากมายในหมู่ประชาชนเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ นั่นแหละครับคือสิ่งที่ผมสื่อออกมาว่า

การทำโปรประกันดาโฆษณาชวนเชื่อมากเท่าใดก็ยิ่งจะ
เผยพิรุธมากเท่านั้น

สิ่งหนึ่งซึ่งสถาบันกษัตริย์จะสามารถลบความคลางแคลงใจนี้ได้คือการออกมาแถลงใน "จุดยืน" ของตนให้ชัดเจน แล้วประชาชนในสังคมประเทศนี้เองครับจะตัดสินใจเองว่า เห็นด้วย หรือ ไม่เห็นด้วย กับจุดยืนอันนั้น และหากสถาบันกษัตริย์ออกมาแสดงความโปร่งใสชัดเจนในจุดยืนของตนแล้ว เรื่องทั้งหมดจะง่ายขึ้นตรงที่
"ไม่มีใครสามารถนำเอาไปแอบอ้างได้อีกต่อไป"

การปกครองมนุษย์ในทุกชนเผ่า "อำนาจ" ในการปกครองนั้นไม่ได้อยู่กับใครคนหนึ่งคนใด หรือกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดโดยตลอดหรอกครับ เพราะอำนาจอันแท้จริงนั้นอยู่ในตัวตนของมนุษย์ทุกคน ความรักเคารพและศรัทธาเชื่อมั่น ทำให้มนุษย์ยินยอมมอบอำนาจนั้นให้แก่ บุคคลหนึ่งบุคคลใด หรือคนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด ทำการบริหารปกครองพวกเขา

แต่การให้นั้นไม่ได้มอบให้ไปอย่างถาวรนะครับ เป็นเพียงผลประโยชน์ต่างตอบแทนกันและกัน ท่านเอาอำนาจไป แต่ท่านต้องมารับใช้ดูแลเราให้อยู่ดีกินดีมีความสุข เป็นสิ่งแลกเปลี่ยน หากวันใดท่านนำเอาอำนาจที่เราให้ไปนั้น ไปสร้างความอยู่ดีกินดีแก่ท่านเอง แต่พวกเราอดอยากแร้นแค้น พวกเราก็จะทวงเอาอำนาจนั้นคืนกลับมาเพื่อมอบให้แก่ "ผู้อื่น" ที่ดีกว่าเช่นกัน นี่คือ "อำนาจปกครอง" ที่แท้จริงครับ

ความจริงผมพากเพียรอยู่หลายปีในการชี้ความจริงให้เห็น เพื่อไม่ให้ประชาชนหลงงมงายกับภาพพจน์ต่างๆ ที่แข่งกัน โปรประกันดาตนเองในกลุ่มชนชั้นปกครอง ด้วยการพยายามพากเพียรบอกให้เรียนรู้ในคำที่ว่า


"หน้าที่อันพึงกระทำ"


ทำไมหรือครับ ก็เพราะดังที่ผมบอกเอาไว้แล้วว่า มนุษย์นั้นจำใจต้องเป็น "สัตว์สังคม" ด้วยความหวาดกลัว เพื่อปกป้องตนเองจากภัยอันตรายต่างๆ มนุษย์ไม่ใช่สัตว์สังคมโดนตรงดังนั้นมนุษย์จึงจำต้องเรียนรู้และแบ่งแยกหน้าที่อันพึงกระทำของตนเองต่อสังคมให้ชัดแจ้ง และนอกจากจะเรียนรู้ของตนเองแล้วเรายังต้องเรียนรู้หน้าที่อื่นๆของบุคคลอื่นในสังคมด้วย ยิ่งมนุษย์ในชนชั้นปกครองเราจำเป็นต้องแยกแยะให้กระจ่าง

ความคิดของคนไทยส่วนใหญ่ยังคิดไปว่า ชนชั้นปกครองนั้นคือ "นายเหนือหัว" ผู้ทรงอำนาจมีสิทธิ์ที่จะ "สั่ง" ให้เราไปทำอะไรได้แบบซ้ายหันขวาหันได้เลย นี่แหละครับคือความโง่ที่ไม่รู้ว่า "หน้าที่" คืออะไร

หน้าที่ของ "ชนชั้นปกครอง" ที่มีต่อสังคมที่ตนปกครองคือ "การรับใช้ประชาชนในสังคมนั้น" ชนชั้นปกครองที่ได้อำนาจไปนั้น ไม่ได้มีอำนาจที่จะมาสั่งนะครับ แต่ต้องใช้อำนาจนั้น "ชี้ทาง" ให้แก่ประชาชนในสังคมต่างหาก เราจะเห็นได้ว่าในบรรดาสังคมที่ประชากรในสังคมเข้าใจบทบาทหน้าที่ของชนชั้นปกครองดีแล้วนั้น เขาจะมองการออกไปช่วยเหลือประชากรในสังคมว่านั่นคือ "หน้าที่อันพึงกระทำ" ของประมุขหรือผู้ปกครองสังคมนั้น ไม่ใช่ความมีเมตตากรุณาหรือความดีของชนชั้นปกครอง

หากเราเรียนรู้และเข้าใจในหน้าที่อันพึงกระทำนั้นแล้ว เราก็จะสามารถพิจารณา และใช้เหตุผลในการวิเคราะห์ คัดสรร "ตัวแทน" ผู้ที่เราจะมอบอำนาจเอาไปให้เป็น ประมุข หรือผู้นำ ของสังคมเราได้ โดยที่ผู้นำนั้นไม่จำเป็นต้องมา "โฆษณา" การกระทำของตนกันทุกเช้าเย็นหรือวันละสามเวลาหลังอาหารหรอกครับ

สิ่งหนึ่งที่อยากย้ำเตือนให้ทุกคนรู้คือ กลับไปศึกษา "หน้าที่อันพึงกระทำ" ของกษัตริย์อันพึงมีแก่บ้านเมืองกันก่อนให้เข้าใจ เมื่อเข้าใจแล้วก็จะรับรู้และมีมุมมองในสถาบันกษัตริย์ได้อย่างกระจ่างมากขึ้น ไม่อินไปกับละครน้ำเน่าในเวลาสองทุ่มทุกๆวันที่ตะบี้ตะบันสร้างไม่ยอมจบสักทีน่ะแหละ


โดย : sabor



หมายเหตุ
จากข้อเขียนข้างต้นของคุณ Sabor นี้ จริงๆแล้วเป็นการพูดคุยถามและตอบ กันบนกระทู้หนึ่งในบอร์ดประชาไท ซึ่งผมได้นำมา เรียบเรียง กับ ตัดทอน บางส่วนออกและได้นำมาต่อกันให้อยู่ในรูปของข้อเขียนขนาดยาวข้างต้นนี้ โดยที่ยังไม่ได้แจ้งให้ผู้เขียนทราบ หากเกิดการผิดพลาด หรือผิดเพี้ยน ไปจากความประสงค์ของผู้เขียน ในด้านการสื่อถึงผู้อ่านจากข้อเขียนข้างต้นนี้ ผมผู้เรียบเรียง..ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย


ที่มา : บอร์ดประชาไท : กระทู้ สถาบันกษัตริย์

ไม่มีความคิดเห็น: