วันนี้ระหว่างขับรถกลับบ้าน ผมนั่งนึกไปว่า ในที่สุด ทักษิณก็สามารถ "กลับมา" ได้อย่างจำกัดมากๆเพียงปีเดียว ไม่ครบปีนักด้วยซ้ำ คือนับจากเลือกตั้ง 23 ธันวา (ตั้งรัฐบาลจริงช่วงปีใหม่)
ผมนึกไปถึงว่า ช่วงปีที่แล้ว หลังจากความล้มเหลวในการบริหารงานของ รัฐบาลสุรยุทธ และหลังจากชัยชนะในการเลือกตั้ง (และการได้เสียงมากในการลงมติ รธน.) มีบางคนรู้สึกว่า "คมช. แพ้แล้ว" หรือ "รัฐประหาร 19 กันยา แพ้ / ล้มเหลว"
ตอนนั้น ผมได้เขียนกระทู้เสนอว่า
ขึ้นอยู่กับว่า วัดกันตรงไหน ทีว่า "แพ้" หรือ "ชนะ"
ถ้านับว่า รัฐประหาร 19 กันยา ได้ล้มรัฐบาลเลือกตั้งที่ได้รับเสียงสนับสนุนจากทั่วประเทศอย่างมหาศาล (แม้จะถึงช่วง รปห. เสียงสนับสนุนนี้ ก็ยังมากอยู่ในระดับทั่วประเทศอย่างปฏิเสธไม่ได้) ล้มรัฐธรรมนูญ ยุบพรรคการเมืองที่ได้รับเสียงสนับสนุนมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ และแบน นักการเมืองสำคัญๆของพรรคนี้ 5 ปี ทั้งยัง ในที่สุด สร้างรัฐธรรมนูญ ที่วางโครงสร้าง ที่เป็นหลักประกันว่า อำนาจที่มาจากการเลือกตั้ง จะไม่ใช่อำนาจที่เข้มแข็งอีก และอำนาจของตุลาการ วุฒิสมาชิกแต่งตั้ง ที่อยู่เหนือการควบคุมของประชาชน จะมีบทบาทสำคัญต่อไป
อันที่จริง แม้แต่เรื่อง งบประมาณทหาร, การที่อำนาจในการแต่งตั้งโยกย้ายทหารหลุดจากมือรัฐบาลเลือกตั้ง การที่รัฐบาลต้องยอมอ่อนข้อกับทหาร แม้จะเลือกตั้งมา - นึกถึงสมัคร ต้องเอาอนุพงษ์ไปไหนมาไหนด้วยในเดือนแรกๆ เพื่อป้องกันการยึดอำนาจ และต้องปล่อยให้อนุพงษ์จัดการโยกย้ายตำแหน่งอย่างเสรี
ถ้ามองในแง่นี้ รัฐประหาร 19 กันยา และ คมช.
ก็ได้รับชัยชนะอย่างใหญ่หลวง อย่างไม่ต้องสงสัย
ในแง่นี้ การที่นักวิชาการอย่างเกษียร ยังคงพูดถึงการ "ไม่เอาทั้ง 2 ขั้ว" ราวกับว่า ทั้ง "2 ขั้ว" อยู่ในฐานะ และดุลย์กำลังที่ใกล้เคียงกันนั้น จึงนับเป็นการมองที่ "หลี่ตาข้างหนึง" โดยแท้ (เกษียรใช้คำว่า "หลับตาข้างหนึ่ง" มาวิพากษ์คนที่ไม่เห็นด้วยกับท่าทีของเขา ผมเลียนแบบ และ return the compliment!)
1 ปีที่ผ่านมา ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า ผลสะเทือนของชัยชนะของพวกรัฐประหารมีมากกว่าที่คิดกันเมื่อปีที่แล้ว
อีกอย่างที่ผมนึกย้อนไปในปีที่ผ่านมา คือ ตลอด 1 ปีนี้ กล่าวได้ว่า รัฐบาล แทบไม่ได้ทำอะไรเลย เพราะต้องเป็นฝ่ายรับมือกับการรุกอย่างหนักของ "พลังเทวดาอุปถัมภ์" และที่สำคัญคือ เรื่องใหญ่ๆ ที่ฝ่าย "พลังเทวดาอุปถัมภ์" เป็นฝ่ายรุก 2 เรื่อง ล้วนเป็นเรืองเกี่ยวพันหรืออิงกับประเด็นสถาบันกษัตริย์ โดยตรงโดยอ้อม คือ กรณีจักรภพ และ กรณีเขาพระวิหาร
ทั้ง 2 กรณีนี้ ได้ทำให้กำลังรัฐบาลอ่อนลงไปอีกมาก เพราะผลจากรัฐประหารเช่นกัน ทำให้ คนที่ขึ้นเป็นรัฐบาลจากการเลือกตั้ง 23 ธันวา เป็นนักการเมือง "ระดับมือรอง" ลงมา (หรือที่สมัครใช้คำว่า "ขี้เหล่หน่อย") ทั้งกรณีจักรภพ และ เขาพระวิหาร ได้ทำให้นักการเมืองทีค่อนข้างมีความสามารถหรือมีศักยภาพมากที่สุด 2 คน ต้องหลุดจากตำแหน่งไปอีก
และในที่สุด ผมนึกถึง ช่วงกลางปี ที่บรรดานักวิชาการทั้งหลาย ที่สำคัญ รวมถึงพวก ที่อ้างว่า "เป็นกลาง" หรือ "ไม่เอาทั้งสองขั้ว" ทั้งหลาย เช่น สมชาย อรรถจักร ประภาส นฤมล ฯลฯ ฯลฯ ออกมาโวยวาย เรื่อง "เราต้องหาทางออกจากการเมือง 2 ขั้ว" เมื่อรัฐบาลเสนอแก้รัฐธรรมนุญ ก็พวกนี้ แหละ ที่ออกมาประสานเสียงกับ "พลังเทวดาอุปถัมภ์" ทำนองว่า "ไม่เห็นด้วยที่จะเป็นการช่วยพวกตัวเองให้พ้นผิด เป็นการเห็นแก่ตัว ต้องพยายามให้ภาคประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วม"
และก็เช่นเดียวกับเหตุการณ์ก่อนรัฐประหาร สิ่งที่นักวิชาการที่ "เป็นกลาง" ที่อ้างเรื่อง "ก้าวให้พ้นการเมือง 2 ขั้ว" ทั้งหลาย สามาารถ contribute ได้จริงๆ คือ ทำให้ขั้วรัฐบาลอ่อนแอลงไปอีก และช่วยให้ "พลังเทวดาอุปถัมภ์" เข้มแข้งขึ้นอีก (เช่นเดียวกับที่เกิดขึนในปี 49)
และ ในด้านกลับกัน ในที่สุด เมื่อพวก "พลังเทวดาอุปถัมภ์" deliver the final blow ในรูปแบบของการ "ยุบพรรค" ทีเดียว 3 พรรค ปิดสนามบิน ทำให้ประเทศเป็นอัมมะพาต และ ใช้การแบล็กเมล์ ให้เกิดการรัฐประหารแอบแฝง ในรูปของ "ความถูกต้องทางกฎหมาย" ("legality") ดังที่ได้เห็นกันในวันนี้
นักวิชาการที่อ้างเรื่อง "ก้าวพ้นการเมือง 2 ขั้ว" ทำอะไร? หรือ ทำอะไรได้บ้าง? คำตอบคือ เปล่าเลย
สรุปคือ เช่นเดียวกับปี 49 นักวิชาการเหล่านี้ ให้การช่วยเหลือกับ "พลังเทวดาอุปถัมภ์" โดย "ไม่ตั้งใจ" หรือถ้าพูดให้ถูกต้องยิ่งขึ้นคือ โดยที่ควรจะรู้ แต่แกล้งหลอกตัวเองว่า "ไม่ได้ทำ" "ความจริง คัดค้านทั้งสองฝ่าย" นั่นเอง
(ขออธิบายเพิ่มเติมหัวข้อเล็กน้อยว่า แน่นอนว่า ประชาธิปัตย์เอง ความจริง มีฐานอยู่ทีการเลือกตั้ง แต่ใน 3 ปีนี้ พรรคนี้ ในทางเป็นจริง ทำตัวเป็น "โฆษก" หรือกระบอกเสียง ให้กับ "พลังเทวดาอุปถัมภ์" ล้วนๆ ในทุกๆเรื่อง การขึ้นสู่อำนาจครั้งนี้ ก็อาศัยการแบล็กเมล์ของ "พลังเทวดาอุปถัมภ์" ช่วยเป็นหลัก .. ลักษณะที่เหมือน paradox นี้ จะนำมาสู่อะไร เมื่อพรรคนี้ ได้ขึ้นเป็นรัฐบาล? ผมยังไม่มีไอเดีย ต้องขอเวลาคิดนานกว่านี้)
สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล
ที่มา : บอร์ด"ฟ้าเดียวกัน" : ในที่สุด อำนาจฝ่ายเลือกตั้ง ก็กลับมาได้อย่างจำกัด ได้ปีเดียว (ไม่ครบปีนักด้วยซ้ำ)
วันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2551
ในที่สุด อำนาจฝ่ายเลือกตั้ง ก็กลับมาได้อย่างจำกัด ได้ปีเดียว (ไม่ครบปีนักด้วยซ้ำ)
ผู้จัดเก็บบทความ เจ้าน้อย ณ สยาม ที่ 5:47 ก่อนเที่ยง
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น