ดูภายนอก สำหรับนักท่องเที่ยวกว่าสองแสนคนที่ต้องไปค้างในโรงแรมและห้องโถงผู้โดยสารขาออกเมื่อสัปดาห์ก่อน มันดูเหมือนเป็นวิธีแก้ปัญหาไร้สาระด้วยความเมตตาปรานี เมื่อคืนนี้ หลังจากที่นายกรัฐมนตรีไทยถูกตัดสินให้พ้นจากตำแหน่ง พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็ประกาศว่าพวกเขาจะเลิกการชุมนุม
พวกเสื้อเหลืองจะออกจากสนามบินสุวรรณภูมิ การยึดทำเนียบรัฐบาลในใจกลางกรุงเทพฯกว่า 3 เดือนจะยุติลง
อย่างไรก็ตาม การคิดว่าประเทศไทยกลับเข้าสู่ความสงบแล้วนั้นเป็นการคิดผิด
ปรากฏการณ์เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา – ที่นักท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมการส่งออกของทั้งประเทศถูกจับเป็นตัวประกันโดยคนชั้นกลางบ้าคลั่งหลายพันคน – แสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงอันน่าสะพรึงกลัวที่เข้ามาสู่ประเทศไทยตลอดสามปีที่ผ่านมา
จากที่เคยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีเสถียรภาพมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตอนนี้มันกลายเป็นสถานที่ประชาธิปไตยแทบจะหยุดทำงาน
คำถามหลักคือ ม็อบที่อย่างมากก็มีเพียงอาวุธเบา สามารถยึดสถานที่ที่สำคัญเชิงยุทธศาสตร์ เช่น สนามบิน ได้อย่างง่ายดายและยาวนานมากได้อย่างไร
ถ้าทหารต่างชาติหรือผู้ก่อการร้าย เช่น พวกที่โจมตีมุมไบเมื่อสัปดาห์ก่อน บุกสนามบินสุวรรณภูมิแล้วล่ะก็ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าตำรวจและทหารไทยจะต่อสู้กับพวกนั้นไปแล้ว มันไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่สามารถเอาพันธมิตรฯออกมาได้ พวกเขาเลือกที่จะไม่ทำ
และนี่ก่อให้เกิดคำถามสำคัญ – ใครเป็นคนบริหารประเทศไทยกันแน่?
ทั้งๆที่มีชื่อว่าเพื่อประชาธิปไตย พันธมิตรฯกลับสนับสนุนให้รัฐธรรมนูญลดขอบเขตประชาธิปไตยเพื่อลดอิทธิพลของผู้ลงคะแนนเสียงในชนบท ผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงข้างมากอาจปฏิเสธการเมืองของพันธมิตรฯ แต่จากความไม่สะทกสะท้านของพันธมิตรเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้แสดงให้เห็นว่ามันมีผู้อยู่เบื้องหลังจากสถาบันที่มีอำนาจมากพอที่ทำให้ตำรวจและทหารต้องหวั่นกลัว
พวกเขาเป็นใคร? คำตอบที่ได้รับ แม้ว่าจะมาจากคนไทยที่รู้ข้อมูลมากที่สุด ก็ยังคลุมเครือและยากจะพิสูจน์ ไม่ต้องสงสัยว่าผู้สนับสนุนพันธมิตรฯหลายคนเพียงแค่เกลียดทักษิณ ชินวัตร และเกลียดการที่เขาเอาใจคนยากจนตามชนบท แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้อธิบายว่าทำไมพวกเขาถึงสามารถละเมิดกฎหมายอย่างโจ่งแจ้งได้ถึงเพียงนี้
สนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำม็อบ เป็นเจ้าพ่อสื่อผู้มั่งคั่ง แต่ลำพังตัวเขาเองไม่สามารถทำให้พันธมิตรฯชุมนุมยืดเยื้อขนาดนี้ได้
ข่าวลือลึกลับ – และมากกว่านั้นนิดหน่อย – กล่าวว่าพวกเขาได้รับการสนับสนุนจากสถาบันกษัตริย์ไทยที่ทรงอำนาจ บางทีอาจมาจากพระราชินีสิริกิติ์ผู้แสดงความเห็นใจอย่างชัดแจ้งต่อพันธมิตรฯที่บาดเจ็บจากการปะทะกับตำรวจ คาดเดากันว่าพระองค์สนับสนุนพันธมิตรฯเพื่อต่อต้านอิทธิพลของทักษิณที่ว่ากันว่ามีเหนือพระโอรสของพระองค์ เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณผู้ไม่เป็นที่นิยม
เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องยากแม้แต่จะพูดถึงในประเทศไทย ที่ซึ่งผู้หมิ่นพระบรมเดชานุภาพหรือทำให้กษัตริย์เสื่อมเสียชื่อเสียง จะต้องรับโทษถึงขั้นจำคุก ไม่ว่าอะไรคือความจริงที่อยู่เบื้องหลังม็อบพันธมิตรฯที่ชั่วร้าย มันจะยังคงส่งอิทธิพลต่อไปยาวนานหลังจากที่นักท่องเที่ยวที่โศกเศร้ากลับบ้านไปแล้ว
Richard Lloyd Parry
แปลโดย : invisible hands
TIMES ONLINE
From The Times
December 3, 2008
Analysis: dark rumours around Thai monarchy and PAD victory
Richard Lloyd Parry
On the face of it – and certainly to the quarter of a million tourists stranded for the past week in hotels and departure lounges – it seems a merciful resolution to an absurd situation. Last night, after the Thai Prime Minister was forced from power, the People’s Alliance for Democracy (PAD) announced that it was calling off its action.
The yellow-shirted activists will retreat from the halls of Suvarnabhumi airport, and the three-month occupation of Government House in central Bangkok by the PAD will also come to an end.
To assume that Thailand is now at peace would be a mistake, however.
The spectacle of the past week – in which the tourism and export industries of an entire country have been held to ransom by a few thousand middle-class zealots – demonstrates the alarming transformation that has come over Thailand in the past three years.
From one of the most stable nations in SouthEast Asia, it has become a place where effective democratic politics has almost ceased to function.
The key question is how such a mob, with a few light arms at best, was able to occupy a key strategic installation such as an airport so easily and for so long.
If foreign soldiers or terrorists, such as the ones who attacked Mumbai last week, had stormed Suvarnabhumi airport, there is little doubt that the Thai police and Army would have fought against them. It was not that they could not keep out the PAD, but that they chose not to.
And this raises the crucial question – who is really running Thailand?
Despite its name, the PAD favours a constitutional restriction of democracy to reduce the influence of rural voters. The majority of voters may reject the politics of the PAD, but its apparent immunity in the past week shows that it has backing from institutions powerful enough to intimidate the police and the Army.
Who might they be? The answers one hears, even from the best-informed Thais, are vague and hard to prove. No doubt many of the PAD supporters are genuine in their disgust at the now-exiled Thaksin Shinawatra and the adulation that he won among the rural poor – but this does not explain how they were able so blatantly to flout the law.
Sondhi Limthongkul, the chief leader of the movement, is a wealthy media mogul, but he alone could not have sustained the PAD for so long.
Darker rumours – and they are little more than that – infer support within the powerful Thai monarchy, perhaps from Queen Sirikit, who has been notable for expressing sympathy for PAD members injured in clashes with the police. Her support for the movement, the speculation goes, is intended to counteract the influence that Mr Thaksin was said to have had over her son, the unpopular Crown Prince Maha Vajiralongkorn.
All of this is difficult even to talk about in Thailand, where the crime of lèse-majesté – defaming the monarchy – is punishable with prison sentences. Whatever the truth behind the sinister PAD, it will continue to exert its influence long after the unhappy tourists have gone home.
สำเนาโดย : สมเสร็จเปรม
ที่มา : บอร์ด"ฟ้าเดียวกัน" : The Times: ข่าวลือรอบๆสถาบันกษัตริย์ไทยและชัยชนะของพันธมิตรฯ, เมื่อ นสพ.อังกฤษเริ่มตั้งคำถามว่า"ใคร"อยู่เบื้องหลังพันธมิตร
วันพุธที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2551
บทวิเคราะห์: ข่าวลือรอบๆสถาบันกษัตริย์ไทยและชัยชนะของพันธมิตรฯ
ผู้จัดเก็บบทความ เจ้าน้อย ณ สยาม ที่ 7:53 หลังเที่ยง
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
7 ความคิดเห็น:
...ความสามัคคีนี้เป็นคุณธรรมสำคัญประการหนึ่ง ซึ่งหมู่ชนผู้อยู่ร่วมกันจำเป็นต้องมีต้องถนอมรักษา และต้องนำมาใช้อยู่สม่ำเสมอ เนื่องด้วยสรรพกิจการงานที่เป็นส่วนรวมทุกด้าน
ทุกระดับ ต้องอาศัยบุคคลหลายฝ่ายร่วมกันคิดร่วมกันทำ..."
พระราชดำรัสของพระบาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
"...ถ้าประเทศทั้งปวงจะยกย่องนับถือกันโดยบริสุทธิ์ใจ และช่วยกันเกื้อกูลกันและกันโดยพร้อมพรักแล้ว ก็เชื่อได้ว่าจะเกิด ความเข้าใจในกันและกันอย่างแท้จริง พร้อมทั้งความร่วมมือกันฉันมิตรอย่างแน่นแฟ้นขึ้นได้ แล้วความสงบสุข อิสรภาพ เสถียรภาพอันเสมอหน้าและถาว
ก็จะเกิดมีขึ้นทุกแห่งหนในโลก ดังที่ทุกคนปรารภปรารถนา..."
พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
" . . . ประวัติศาสตร์ได้แสดงให้ปรากฏตลอดมาว่า ชาติใดเสื่อมสูญย่อยยับอับปางไป ก็เพราะประชาชาติขาดสามัคคีธรรม แตกแยกเป็นหมู่คณะ เป็นพรรคเป็นพวก คอยเอารัดเอาเปรียบ ประหัสประหารซึ่งกันและกัน บางพรรคบางพวก ถึงกับเป็นไส้ศึกให้ศัตรูมาจู่โจมทำลายชาติของตนดังนี้ ข้าพเจ้าจึงขอชักชวนพี่น้องชาวไทยทั้งหลาย ให้ระลึกถึงพระคุณของบรรพบุรุษ ซึ่งได้กอบกู้รักษาบ้านเกิดเมืองนอนของเรามานั้นให้จงหนัก แล้วถือเอาความสามัคคี ความยินยอมเสียสละส่วนตัวเพื่อประโยชน์ยิ่งใหญ่ของประเทศชาติ เป็นคุณธรรมประจำใจอยู่เนืองนิจ จึงขอให้พี่น้องชาวไทยทั้งหลาย จงบำเพ็ญกรณีกิจของตนแต่ละคน ด้วยซื่อสัตย์สุจริต ขยันหมั่นเพียร อดทนและกล้าหาญ แล้วอุทิศความเสียสละส่วนตัว ความเหน็ดเหนื่อยลำบากยากแค้น เป็นพลีบูชาบรรพบุรุษ ผู้ซึ่งได้ก่อสร้างชาติเป็นมรดกตกทอดมาถึงพวกเราชาวไทยจนบัดนี้"
กระแสพระราชดำรัส ที่พระราชทานแก่ประชาชนชาวไทย ในโอกาสขึ้นปีใหม่ 2494
ในหลวงทรงเหน็ดเหนื่อยในการพัฒนาประเทศชาติขึ้นมาจนปัจจุบัน ขอพระองค์ทรงพระเจริญ
ในหลวงพระองค์ทรงมีพระราชดำรัสให้คนในชาติมีความรักใคร่กลมเกลียวสมัครสมานสามัคคี มีความ เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน อันจะนำพาประเทศชาติไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองคงความเป็นชาติไทยไว้ได้
พระองค์ทรงเหน็จเหนื่อจ ทำไม่มีคนกล่าวแบบนี้อีก
เรารักพระเจ้าอยู่หัว (LONG LIVE THE KING)
ในหลวงพระองค์ทรงมีพระราชดำรัสให้คนในชาติมีความรักใคร่กลมเกลียวสมัครสมานสามัคคี มีความ เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน อันจะนำพาประเทศชาติไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองคงความเป็นชาติไทยไว้ได้
แสดงความคิดเห็น