วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2550

ประวัติเอกสาร " ความจริงย่อมลอยขึ้นเหนือน้ำ เหนือฟ้าเสมอ "


ผมขอเล่าในฐานะที่เป็นนักประวัติศาสตร์ (อันนี้เพื่อความปลอดภัยไว้ก่อน) ที่ต้องตามข่าวคราวเรื่องพวกนี้ก็แล้วกัน

เอกสารที่ว่า ซึ่งผมไม่มีและไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง (อันนี้เรื่องจริงครับ ไม่ใช่เขียนเพื่อความปลดดภัย) เรียกกันว่า "สมุดปกเหลือง" เพราะหุ้มด้วยปกสีเหลือง มีการทำออกเผยแพร่ในช่วง "200 ปี กรุงเทพ" คือ ปี 2525 (ขนาดคล้ายๆป้อกเก็ตบุค แต่ไม่หนามาก) เป็นการเผยแพร่แบบ "ใต้ดิน"

ที่ "ฮือฮา" กว่า "วรรณกรรม" ประเภทเดียวกันที่เคยเผยแพร่มาก่อน คือ การที่มีการทำให้มีลักษณะ "งานวิชาการ" คือมีอ้างอิง มีเชิงอรรถ อะไรทำนองนี้ และเขียนด้วย "ลีลา" เชิงวิชาการ ("วรรณกรรม" ประเภทนี้ มีทำกันบ้างในวงการใต้ดินสมัยก่อน อันที่จริง - อันนี้ผมยังไม่มีเวลาขยายความ - เมื่อผมอ่าน KNS ผมเห็นว่า ด้านที่สำคัญบางด้าน (ไม่ทั้งหมด) เป็นการ "สืบทอดจารีต" "วรรณกรรม" ประเภทที่ว่านี้อยู่เหมือนกัน พวกที่เกี่ยวกับ gossips ทั้งหลายน่ะ)

ว่ากันว่า ทาง "ราชการ" ตกใจ และ โกรธมาก กับเอกสารชิ้นนี้ ถึงขนาดมีการส่ง จนท.ไปตรวจสอบที่ หอจดหมายแห่งชาติ ว่าในช่วงเวลานั้น มีใครบ้างมาค้นเอกสารที่มีการอ้างอิงใน "ปกเหลือง" ที่ว่า เพื่อจับให้ได้ว่า ใครคือคนทำ และ ถึงขนาดว่า มีข่าวลือว่า นักวิชาการชื่อดังมาก 2 คน (ที่ผมได้ยินนะ ไม่รู้มีมากกว่านี้ไหมที่ถูกข่าวลือ) ถูกต้องสงสัยว่าเป็นคนเขียน (นักวิชาการ 2 คนดังกล่าว ตอนนี้ก็ยังดังมากครับ .. ไม่ใช่รุ่นผมนะครับ รุ่นผมยังเป็นเด็กกระจอก ไม่ใช่นักวิชาการ)

สุดท้าย ตำรวจได้เข้าจับกุมและมีการดำเนินคดีกับอดีตแอ๊กติวิสต์ 2-3 คน ในข้อหาทำหนังสือเล่มนี้ พวกเขาถูกติดคุก คนละ 7-8 ปี (ผมจำไม่ได้ว่าสุดท้ายติดกี่คน มีคนหนึ่งติดแน่ๆ คนอื่นๆไม่แน่ใจ) แต่ปล่อยออกมาก่อน หลังจากประมาณ 4 ปี หรือยังไงนี่แหละ

สรุปว่า เรื่องนี้ ซีเรียสครับ หรือใคร อย่าทำเป็นเล่นๆไป

พูดถึงการไปเช็คที่ หจช. ผมไม่แน่ใจเคยเล่าเรื่องนี้หรือยัง มีอยู่วันหนึ่ง ผมอยู่เย็นหน่อย คือหลังจากปิดแล้ว พอจะกลับผมก็ทักทายกับเจ้าหน้าที่ที่เฝ้าโต๊ะหน้า (ที่เราต้องไปเซ็นชื่อก่อนใช้น่ะครับ) ผมเห็นเขา กำลังอ่านรายชื่อคนที่เข้าใช้ในวันนั้น ดูเหมือนทำท่าจะคัดลอกออกมา ผมก็ถามเขาแบบยิ้มๆ ว่า เอ๊ะ นึกว่า รายชื่อพวกนี้ เซ็นเสร็จก็แล้วไป ไม่มีอะไรสำคัญ เขาบอกว่า ไม่นะ ทุกวันต้องส่งรายชื่อนี้ขึ้นไปตามลำดับให้เจ้านายนะ เพื่อส่งต่อให้รัฐบาล (ดูเหมือนเขาจะใช้คำทำนองนี้นะ "รัฐบาล" หรือ "กระทรวง" หรืออะไรสักอย่างีน่แหละที่มันใหญ่กว่าหน่วยงาน หจช.เอง)

เฮ้อ พูดเรื่องพวกนี้แล้ว นอกจากชวนให้ "เสียว" อย่างยิ่งแล้ว ยังชวนให้ "หด(หู่)" อย่างยิ่งด้วย

สมศักดิ์


หมายเหตุ
จากข้อเขียนข้างต้นผมได้ตัดทอนบางส่วนมาจาก กระทู้ ประวัติเอกสาร "รักษ์ธรรม รักไทย" 11 มี.ค. 2525 ในบอรด์ฟ้าเดียวกัน ( เก่า ) ของคุณ saraburian ผู้ตั้งคำถาม ส่วนด้านล่างเปนความในใจของผู้เขียน เอกสารชิ้นนี้ ที่ได้กลายเปนเอกสารต้องห้ามมาเปนเวลา 25 ปี

( กรุณาอ่านเพื่อการศึกษาเท่านั้น !
เพื่อการศึกษาเท่านั้น !!! ขอแจ้งอีกครั้ง )


ความในใจของผู้เขียน

“ความจริง ย่อมลอยขึ้น เหนือน้ำ เหนือฟ้าเสมอ”

ผู้เขียนขอเรียนชี้แจงไว้เป็นปฐม ณ ที่นี้ว่า จุดเริ่มต้นของการเขียน หาได้มีเจตนาที่จะลบหลู่พระบรมเดชานุภาพขององค์พระมหากษัตริย์ราชวงศ์จักรีแต่อย่างใดไม่ หากแต่อยู่บนพื้นฐานความต้องการเปิดเผยข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ที่ผู้เขียนได้ศึกษาค้นคว้าด้วยความสำนึกที่รุ่มร้อน และตระหนักต่อหน้าที่ของนักประวัติศาสตร์ที่เคารพความจริงคนหนึ่ง และด้วยเหตุผลที่ว่า “ข้อเท็จจริง” เป็นสัจธรรมที่มีความเที่ยงตรง มันจึงได้ปรากฏคุณค่าและพระเกียรติอย่างตรงไปตรงมาและแจ่มชัดในตัวมันเอง ดังนั้นความกระทบกระเทือนอันใดที่มี จึงหาใช่เจตนาในข้อเขียนของข้าพเจ้าแต่อย่างใดไม่ แต่เป็นเพราะข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์นั้นเอง

ข้อเท็จจริงเหล่านี้เป็นแสงสว่างอันมีคุณค่าและดูเหมือนจะมีคุณค่ายิ่งโดยเฉพาะในยุค ๒๐๐ ปีแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ที่ผู้คนส่วนหนึ่งพยายามจะเชิดชูพระเกียรติกษัตริย์ไทยให้สูงส่งเกินจริง ราวกับหวั่นเกรงว่า ข้อเท็จจริงอันเลวร้ายของราชวงศ์จักรีที่ปกปิดกันมาช้านานจะรั่วหลุดไปถึงสายตาปวงชน อันจะนำไปสู่ความเสื่อมศรัทธาครั้งใหญ่และจะยังความวิบัติแก่ราชวงศ์จักรี โดยที่แม้แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆก็ไม่อาจคุ้มครองได้

ท่านผู้อ่านที่เคารพ ประวัติศาสตร์ไทยที่เราท่านเล่าเรียนกันมา มิได้สะท้อนความเป็นจริงแห่งการดำรงชีพของคนไทยและความเป็นจริงของเหตุการณ์ในแผ่นดินอย่างตรงไปตรงมา เนื้อหาส่วนใหญ่กลับเป็นเรื่องบิดเบือนและปิดหูปิดตาไม่ให้ผู้คนรู้ความจริง ประวัติศาสตร์ไทยกลายเป็นตำนานของการสืบสันตติวงศ์ เป็นการยกย่องกษัตริย์ให้ผิดมนุษย์ธรรมดา ทำให้ผู้คนหลงเชื่อว่า กษัตริย์คือเทพเจ้าอยู่เหนือคำตำหนิใดๆของมนุษย์ เมื่อกล่าวถึงกษัตริย์จะมีแต่ส่วนดีงามและการยกย่องสรรเสริญเท่านั้น

ผู้เขียนมีความเห็นอย่างบริสุทธิ์ใจว่า กิจวัตรของกษัตริย์และราชนิกุลทั้งหลายก็เฉกเช่นคนสามัญ ที่ประกอบคละกันไปด้วยส่วนที่ดีงามควรแก่การสรรเสริญ กับส่วนที่เลวร้ายควรแก่การตำหนิวิจารณ์ ฉะนั้นการที่มีแต่สรรเสริญถ่ายเดียวและห้ามเอ่ยถึงส่วนที่เสียแม้แต่น้อยเพื่อการปรับปรุงสร้างสรรค์จึงเป็นหนทางแห่งการเสื่อมถอยมากกว่าเป็นเรื่องดี โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่การศึกษา ความรับรู้ของมนุษย์ได้ก้าวไปไกลมาก อีกทั้งสังคมก็มีสิทธิเสรีภาพ ข้อยึดปฏิบัติเกี่ยวกับกษัตริย์จึงเป็นเรื่องล้าหลังอย่างยิ่ง เพราะการศึกษาค้นคว้า ทำให้เราทราบข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ว่าใครถูกผิด ใครดีชั่ว อีกประการหนึ่งปุถุชนวิสัยมีความอยากรู้อยากเห็น ยิ่งบิดเบือนมากเสียงซุบซิบก็จะหนาหูขึ้น ดังเช่นในยุคปัจจุบันที่ผู้คนวงการต่างๆนำเรื่องในราชสำนักมาเล่าลือจนกลายเป็นเรื่องตลกหลังอาหารอย่างกว้างขวาง การโป้ปดมดเท็จหลอกลวงผู้คนเพื่อหวังกดหัวประชาชนให้รับใช้พวกตนอย่างงมงายด้วยความสัตย์ซื่อมานับร้อยๆปีนั้น มาบัดนี้จะเป็นหน้าที่ของประวัติศาสตร์ที่จะได้เปิดให้เห็นโฉมหน้าอันแท้จริงของเจ้าศักดินาไทย โดยเฉพาะกษัตริย์ราชวงศ์จักรีให้ประจักษ์ชัดต่อประชาชนไทย

ณ ที่นี้ ผู้เขียนใคร่ขอขอบคุณนักคิดนักเขียน นักโบราณคดีและนักประวัติศาสตร์ทั้งคนไทยและคนต่างชาติที่กล้าหาญและซื่อสัตย์ต่อข้อเท็จจริง พวกเขาได้เขียนบันทึกและเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของประวัติศาสตร์ออกมา จนผู้เขียนสามารถนำมาเรียบเรียงเป็นหนังสือเล่มนี้ ผู้เขียนมีความเชื่ออย่างเต็มเปี่ยมว่า “ความเป็นจริง ย่อมลอยขึ้น เหนือน้ำ เหนือฟ้าเสมอ”


ด้วยความเคารพ
รักษ์ธรรม รักษ์ไทย
๑๑ มี.ค. ๒๕๒๕


ปล. The royal family

ไม่มีความคิดเห็น: