วันเสาร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2550

ความเรียงของนักศึกษาเวียดนาม (เอกภาษาไทย)


บทความนี้ ผมได้มาจากเพื่อนผมอีกทีหนึ่ง เพื่อนคนนี้เคยไปทำงานอาสาสมัครสอนหนังสือที่เวียดนาม (โฮจิมินห์) และได้กลับมาเมืองไทยแล้ว ...งานที่ทำ คือ การสอนภาษาไทยให้กับนักศึกษาในมหาวิทยาลัย ซึ่งเรียนเอกภาษาไทย บทความนี้จึงเป็นส่วนหนึ่งของงานที่ให้นักศึกษาเขียนถึงประวัติศาสตร์การเมืองของเวียดนาม (นักศึกษาของเขาเขียนเป็นภาษาไทย) บทความที่นำมาให้อ่านน่าสนใจทีเดียวครับ เพื่อลองมองดูความคิดของเด็กเวียดนาม ที่เกิดในประเทศที่พื้นฐานสังคมแตกต่างไปจากไทย โดยเฉพาะพวกเขาเรียนปรัชญามาร์กซิสต์เป็นวิชาพื้นฐาน และเป็นสังคมที่แบ่งช่วงชั้นทางสังคมน้อยกว่าไทย

ด้านล่างนี้ตัวหนังสือสีน้ำเงิน เป็นของเพื่อนผมเอง ที่เขียนแนะนำบทความนักศึกษาอีกทีหนึ่ง ผมก็อปมาให้อ่าน ส่วนด้านล่างเป็นของนักศึกษาเวียดนาม ซึ่งตอนท้ายนักศึกษาได้กล่าวถึงประเทศไทยเชิงเปรียบเทียบน่าสนใจมาก ผมจะขอทำตัวแดงเอาไว้ ทั้งนี้นำมาให้อ่านเพื่อหวังว่าจะได้แลกเปลี่ยนข้ามวัฒนธรรม หาได้ต้องการให้เกิดอคติเชิงแบ่งแยกเขา/เรา ดี/เลวกว่ากันแต่อย่างใด


(จากตรงนี้ เป็นข้อความของเพื่อนผมครับ)

นักศึกษาเวียดนามทุกคนต้องเรียนประวัติศาสตร์ของชาติอย่างเข้มงวด พร้อมไปกับการเรียนวิชาปรัชญา ซึ่งมักเรียกกันว่า วิชา "มาร์กซ์ เลนิน และลุงโห่ (ลุงโฮ)" หรือบางคนก็เรียกว่า "วิชาคอมมิวนิสต์" เวียดนามมีประวัติศาสตร์ที่เจ็บปวด ขณะเดียวกันก็เป็นประวัติศาสตร์ที่สง่างามและน่าภาคภูมิใจ เมื่อพวกเขาสู้อย่างหัวชนฝา เอาเลือดเนื้อและชีิวิตเข้าแลกกับอิสรภาพบนผืนแผ่นดินของตน ในวันนี้คนเวียดนามจึงเป็นพวกชาตินิยมเต็มขั้น พวกเขาจดจารจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ บอกเล่าให้ลูกหลานฟังสืบต่อกันไปว่า บรรพบุรุษของพวกเขานั้นกล้าหาญและมีศักดิ์ศรีเพียงใด โดยเฉพาะวีรบุรุษที่ชื่อ "โฮจิมินห์"

บันทึกหน้าหนึ่งของพวกเขานั้น หลีกไม่พ้นที่จะกล่าวอ้างถึงชาติไทยของเรา ไทยเป็นชาติเดียวในอุษาคเนย์ที่รอดพ้นจากการตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก จึงมีโอกาสพัฒนาประเทศในขณะที่ชาติเพื่อนบ้านอื่นๆ ยังต้องต่อสู้เพื่ออิสรภาพ และหลังจากได้มาซึ่งอิสรภาพ ก็ยังต้องใช้เวลาเยียวยาความเจ็บปวดที่ชาติเจ้าอาณานิึคมทิ้งไว้ให้

ความจริงที่น่าสะเทือนใจอีกบทหนึ่งเกี่ยวกับชนชาติไทยที่พวกเขาถ่ายทอดให้ฟัง คือ ไทยเคยเป็นฐานทัพของอเมริกา และส่งทหารมาช่วยอเมริกาฆ่าคนเวียดนามอย่างเลือดเย็น

เมื่อพูดถึงประวัติศาสตร์ หนุ่มสาวเวียดนามที่นุ่งยีนเอวต่ำ สวมเสื้อผ้าทันสมัย ต่างพร้อมหลั่งน้ำตาซาบซึ้งสะเทือนใจให้กับอดีตอันเจ็บปวดของชาติและชะตากรรมของบรรพบุรุษ ในขณะที่หนุ่มสาวไทยเรียนประวัติศาสตร์อย่างไร้จุดหมายปลายทางและไร้ซึ่งอารมณ์ซาบซึ้งสะเทือนใจใดๆ ประวัติศาสตร์ไทยเอ่ยอ้างถึงวีรบุรุษที่แตะต้องไม่ได้ ในขณะที่ประธานโฮจิมินห์แห่งชาติเวียดนาม เป็นวีรบุรุษที่เปี่ยมไปด้วยเลือดเนื้อและชีวิต ประวัิติศาสตร์ของวีรบุรุษแห่งเวียดนามคืออัติชีวประวัติของสามัญชนที่ผงาดขึ้นมายิ่งใหญ่ด้วยค่าของสิ่งที่ตนทำ

โดยไม่ต้องเอ่ยอ้างถึงเลือดสีน้ำเงินใดๆ

ซินจ่าวเวียดนามคราวนี้ขอเสนองานเขียนของนักศึกษาสาวชาวเวียดนาม ชั้นปีที่สาม คณะตะวันออกศึกษา วิชาเอกภาษาไทย วิชาโทภาษาอังกฤษ ยกมาแบบไม่ได้แต่งเติมหรือแก้ไข ภาษาไทยอาจผิดเพี้ยนไปบ้าง แต่ก็พออ่านได้ใจความ


(จากตรงนี้ ของนักศึกษาเวียดนามครับ)



ประวัติศาสตร์เวียดนามเป็นประวัติศาสตร์ที่สดใสแวววาวด้วยชื่อและอยุ (หมายความว่าวีรบุรุษ) ระหว่างนั้นลุงโห่ ประธานโห่จิมินห์ยิ่งใหญ่ของเราได้กลายเป็นปรากฏการณ์ที่น่าภูมิใจของชาติ จะบอกอย่างนี้ก็ไม่เกินความจริงเลย

ลุงโห่ได้รับรองเป็นวีรบุรุษ การปลดปล่อยประเทศชาติและชื่อเสียงทางวัฒนธรรมของโลก นอกจากนั้นลุงโห่ก็เป็นคนของสมัย

ในเวลาที่ลุงโห่กำลังทำงานในโลกที่ 3 และกลับมาเวียดนามเพื่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ของชาติ ลุงโห่ไม่ให้ชื่อมันว่า พรรคคอมมิวนิสต์อินโดจีน เพราะอินโดจีนเป็นสามประเทศที่มีสภาพเดียวกัน แต่ตั้งชื่อว่าพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม ตอนนั้นมีหลายคนในกรรมการโลกวิจารณ์ว่าลุงโห่มีความคิดแบบชาตินิยมแน่นแคบ และอยากทำให้โลกที่ 3 แตกแยกกัน ทีหลังหลายคนนี้ โดยเฉพาะผู้หญิงฝรั่งเศสหรือรัสเซียหนึ่งคน (ดิฉันจำไม่ได้) ที่เป็นคนเคยวิจารณ์ลุงโห่อย่างหนักหนามากที่สุด ต้องพูดใหม่ว่า ลุงโห่เป็นคนของสมัย เพราะทุกชาติมีชะตากรรมของตนเอง และเพียงแต่ชาตินี้จะสามารถแก้ปัญหาของตนได้

แล้วทำไมกรรมการโลกประเมินว่าลุงโห่เป็นผู้ปกครองของทุกสมัย และเป็นสมบัติล้ำค่าของโลก ลุงโห่นั่นเองเป็นคนไปก่อนสมัย (เข้าใจว่า น่าจะหมายถึง ล้ำสมัย) และมีสายตาการมองเห็นไกลมาก ตั้งแต่ปี 1945 ที่เป็นเวลาเวียดนามมีความเดือดร้อนทุกข์ยากหลายประการ แต่ลุงได้กระตุ้นการรณรงค์ให้สามัญชนประชาชนทุกคนเรียน และทำให้คุกกลายเป็นโรงเรียน โดยเฉพาะลุงยืนยันว่า ศัตรูของความโง่ เป็นศัตรูอันตรายมากที่สุด แต่ถึงปี 1968 unesco เริ่มวางแผนจะลบออกความไม่สามารถเขียนและอ่านหนังสือ และเริ่มปฏิบัติตามแผนนี้

โดยไม่เด็ดขาด ลุงมีความสามารถนึกถึงเหตุการณ์ในอนาคต โดยปัญญาและสมองตรรกวิทยาของตนเอง เวลาที่ลุงโห่กลับมาจากเมืองจีนในปี 1944 จังหวัด Cao-Bac-Lang 3 จังหวัดกำลังจะปฏิบัติการสู้รบแบบกองโจรทั่วประเทศ แต่ลุงให้หยุดทันที เพราะลุงได้คำนวณถึงโอกาสดีในปีหน้าเมื่อทหารเผด็จการญี่ปุ่นจำนนพันธมิตร ถ้าทำการสู้รบในปี 1944 เวียดนามจะเสียหายมากๆ เพราะเราจะต้องต่อต้านศัตรูที่หลากหลาย ที่มีอาวุธทันสมัยมากกว่าเรา

หลังจากชัยชนะในปี 1945 นั้น พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามได้รับความเชื่อไว้วางใจของประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะใน 1 อาทิตย์เท่านั้น พรรคได้รับความสนับสนุนจากพลเมืองถึง 370 กิโลทอง เพื่อสร้างรัฐและพรรคให้เป็นสมบูรณ์ขึ้น แต่ลุงประกาศจะละลายพรรคอย่างเป็นทางการ แม้ว่าลุงรู้สึกเจ็บใจมาก ลุงทำอะไรก็มีสาเหตุ (หมายถึงเหตุผล) เพราะว่ารัฐเตื๋องของจีนกลับมาเพื่อทำความเดือดร้อนให้เวียดนาม เมื่อเวียดนามประกาศสิทธิความเป็นเจ้าของประเทศตนเองแล้ว มันก็บังคับและขอข้อมูลหลายอย่าง ระหว่างนั้นมันอยากให้รัฐเวียดนามกันออกไปผู้คอมมิวนิสต์ทั้งหมด แต่ลุงโห่ได้มันเชื่อใจ เพราะลุงโห่ได้ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้ว ตอนนี้เราเข้าใจ ทำไมลุงละลายพรรค แล้วไง

แม้ว่าลุงเป็นผู้ยิ่งใหญ่ แต่ลุงอยู่แบบเรียบๆ ง่ายๆ เมื่อเป็นประธานของชาติแล้ว ลุงยังไม่อยากสร้างบ้านเรือนใหม่ และใหญ่ให้ตัวเอง แต่ขออยู่ที่บ้านแบบเสาค้ำเล็กๆ เท่านั้น โดยเฉพาะลุงอาศัยอยู่ในครัว และเก็บห้องเดียวของบ้านเพื่อความต้อนรับแขก และเครื่องใช้ของลุงทุกสิ่งเรียบๆ ง่ายๆ เท่านั้น

ปกติลุงก็ไม่ใช่สุดของรัฐ แต่แต่งตัวง่ายๆ เหมือนผู้ใหญ่อื่นๆ แล้วเดินทางไปเยี่ยมประชาชนไม่อยากใช้รถยนต์ หรือทำให้มันเป็นส่งเสียงดังและสำคัญมากเกินไป

ลุงก็ทำนากับชาวไร่ชาวนา ตอนเที่ยงมีข้าราชการหลายคนเอารถมารับลุงไปกินอาหารเที่ยง แต่ลุงไม่ยอมไป เพราะลุงได้ทำข้าวห่อเพื่อจะกินกับชาวนาแล้ว

ถ้าเขียนเกี่ยวกับลุงโห่ก็ไม่มีกระดาษและปากกาใดจะแสดงได้หมด แล้วถ้าเปรียบเทียบกับประเทศอื่นในเอเชียอาคเนย์จะเห็นว่า ทั้งประเทศต้องเอาหมดแรงเพื่อความเป็นเจ้าของประเทศตนเอง เพียงแต่ไทยเท่านั้นที่เป็นชาติเดียวรอดพ้นจากสงครามได้ เพราะคนไทยก็เป็นคนนุ่มนวล และนโยบายการทูตแบบมีปัญญาและความยืดหยุ่น โดยวิธีใช้มหาอำนาจนี้ควบคุมมหาอำนาจอื่นๆ แล้วก็เขายอมเซ็นสนธิสัญญาหลายอย่างกับมหาอำนาจหลายประเทศ แต่ในฝ่าย (น่าจะเป็น “ในทาง) ตรงกันข้าม เขาต้องขึ้นอยู่กับมหาอำนาจอื่นๆ ผลตามมาก็คือ ไทยกลายเป็นสนามหลังของสหรัฐอเมริกา

สำหรับฉัน คนไทยมีสิทธิจะภูมิใจในตัวเอง เพราะความสำเร็จทางการทูตในสมัยสงครามล้วนแต่ปัจจุบันนี้เขาได้หลีกเลี่ยงสงครามนองเลือดและไม่ยุติธรรมเพื่อมีโอกาสพัฒนาประเทศ ตามที่นักเศรษฐศาสตร์คำนวณว่า เขาได้ก้าวหน้า 15 ครั้ง กว่าเวียดนาม แต่ไทยก็มีอิทธิพลมาจากระบบนายทุนต่างประเทศมากมาย ทำให้สภาพการเมืองในประเทศไทยไม่สงบ และมีปัญหาสังคมที่สับสนมากมาย ประเทศมีการปฏิวัติหลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่ได้รับความมั่นคงทางการเมือง การปกครองเลย มันมีความหมายว่า คนไทยได้ทำร้ายคนไทยด้วยกันนั่นเอง และคนที่ได้รับความเดือดร้อนมากที่สุดก็คือสามัญชนและประชาชนคนไทย ยกตัวอย่างเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลา 2519

แม้แต่ในปัจจุบันนี้ไทยก็ไม่ได้รับการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิงเลย และคนไทยไม่ได้รับประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์ เพราะสังคมไทยมีความแยกแยะแตกต่างระหว่างชนชั้นหนักมาก และผู้นำหน้าหรือผู้ที่มีอำนาจสูงสุดของชาติ อันที่จริงก็คือ กษัตริย์ นั่นคือพระมหากษัตริย์ได้ความเคารพมากเกินไป ใครๆ ก็มีสิทธิเสมอภาคเท่าเทียมกัน แต่ทำไมประชาชนไทยต้องกราบและคุกเข่าเมื่อสัมผัสต่อหน้าเขา

เรามีความนับถือเคารพต่อกษัตริย์ หรือผู้ที่มีเกียรติและผู้ที่อุทิศให้ชาติ สังคม แต่เราไม่ควรปฏิบัติเหมือนเรามีคุณค่าต่ำมากเช่นนี้ แล้วก็เราเป็นคนเหมือนกัน ไม่ใช่ทาสของใครใช่ไหม

ในประเทศเวียดนามไม่มีใครบังคับว่าเราต้องคุกเข่าเมื่อสัมผัสกับลุงโห่ หรือ (เมื่อไป) เยี่ยมสุสานของลุงโห่เลย ของเราเรียบง่ายถ่อมตัวจริงจัง


“หอสูงที่ 10 สวยมากที่สุด คือ ดอกบัว
เวียดนามสวยมากที่สุดเมื่อมีชื่อลุงโห่”


ประวัติศาสตร์เป็นเส้นที่ไม่มีรูปและศักดิ์สิทธิ์ เชื่อมอดีตกับปัจจุบัน และอนาคต แล้วก็เป็นความจริงแล้ว และเป็นความจริงนั้นจะกลายเป็นบทเรียนชีวิตให้ลูกหลานอย่างเราๆ นั่นคือสาเหตุอันหนึ่งในมหาสมุทร สาเหตุที่จะตอบคำถามว่า ทำไมสมัยหลังๆ ต้องเรียนประวัติศาสตร์


โดย. Homo erectus

ที่มา : เว็บบอร์ดฟ้าเดียวกัน : ความเรียงของนักศึกษาเวียดนาม (เอกภาษาไทย)

หมายเหตุ
พอผมอ่านความเรียงของเด็กคนนี้จบแล้ว มันให้รู้สึกว่ามีอะไรมากดอัดทับอยู่ในใจ ทั้งในเรื่องของความคิดเห็นของเด็กคนหนึ่งที่เสนอมุมมองและความเห็นมายังประเทศของเรา คงไม่มีอะไรที่จะโต้แย้งเขา เพราะมันได้แต่จุกอยู่ในอก พร้อมทั้งเศร้าอยู่ในใจว่า แล้วเด็กๆของเรามัวแต่คิดและทำอะไรกันอยู่...

ไม่มีความคิดเห็น: