วันศุกร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2552

กษัตริย์



ระเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย สิ่งที่ขาดไม่ได้อย่างเด็ดขาดนั่นก็คือประชาชนต้องมีสิทธิและเสรีภาพ ถ้าหากประเทศใดก็ตามสิทธิและเสรีภาพของประชาชนถูกจำกัด หรือได้รับการปฏิบัติจากผู้มีอำนาจโดยขาดความเสมอภาคและไม่เป็นธรรมประเทศนั้นๆก็อย่าได้หวังว่าจะมีความสงบสุข ปัญหาความไม่สงบสุขที่เกิดขึ้นในประ เทศไทย ก็มีสาเหตุมาจากสังคมไทยเราในเวลานี้ ปราศจากความเสมอภาคและความเป็นธรรม นั่นก็เป็นเพราะว่าอำนาจตุลาการในบ้านเราได้ถูกอิทธิพลของกลุ่มคนที่เรียกว่า "ชนชั้นสูง" ยึดครองจนไม่อาจที่จะขับเคลื่อนตามหลักนิติธรรมได้ หากแต่ต้องปฏิบัติหน้าที่สนองความต้องการผู้นำชนชั้นสูงที่เป็นเจ้าของอำนาจแท้จริงของประเทศนั่นก็คือ "สถาบันพระมหากษัตริย์"

สถาบันกษัตริย์ ยังใช้กองทัพเป็นเครื่องมือในการโค่นล้มรัฐบาลด้วยการทำรัฐประหาร แล้วรุกคืบใช้องค์กรอำนาจตุลาการร่วมมือกับกองทัพแต่งตั้งคณะบุคคลขึ้นมาเขียนกฏหมายเพื่อเอื้อประโยชน์ให้คนของตนเข้าไปยึดครองอำนาจนิติบัญญัติด้วยการดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาโดยไม่ต้องผ่านการเลือกตั้ง (ที่เรียกว่าสว.ลากตั้ง) นอกจากนี้แล้ว ยังได้ร่วมกันแต่งตั้งพวกพ้องตนเองเข้าไปดำรงตำแหน่งในองค์อิสระต่างๆทำหน้าที่ทำลายพรรคการเมืองและนักการเมืองที่มีคุณภาพ ทั้งนี้เพื่อให้พรรคการเมืองอ่อนแอ เป้าหมายก็คือไม่ต้องการให้พรรคการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่งชนะการเลือกตั้งครองเสียงข้างมากจนสามารถจัดตั้งรัฐบาลโดยลำพังเพียงพรรคเดียวอย่างเช่นพรรคไทยรักไทยในอดีต สรุปรวมความเวลานี้อำนาจสำคัญทั้งสามองค์กรคือบริหาร,นิติบัญญัติและตุลาการตกอยู่ในกำมือของกษัตริย์แต่เพียงผู้เดียว

ดังนั้นการที่พี่น้องประชาชนคนไทยออกมาเรียกร้องให้ประเทศไทยมีการปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยจึงยังห่างไกลจากความเป็นจริงชนิดสุดเอื้อม เพราะตราบเท่าที่เรายังยินยอมให้กษัตริย์เป็นประมุข อย่าว่าแต่ประชาธิปไตยเลยครับ สิทธิและเสรีภาพยังยากที่จะเกิดขึ้นได้ในสังคมไทย เพราะเพียงแค่กฏหมายหมิ่นฯเพียงฉบับเดียวก็สามารถสกดให้คนไทยทั้งประเทศหกสิบกว่าล้านคนกลายเป็นใบ้พร้อมๆกันได้ แล้วอะไรละครับคือสิทธิและเสรีภาพสำหรับพี่น้องคนไทย ส่วนความเสมอภาคนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยครับ เอาเพียงแค่สลัดให้หลุดพ้นจาก "ความเป็นไพร่ความเป็นข้า" ก็ยากที่จะเป็นไปได้แล้วครับ เพราะพวกเราถูกสอนแกมบังคับให้ยอมรับว่าทุกคนเกิดมาต้องเป็น "ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินทุกคน"

ประเทศไทยเรานับเป็นประเทศเดียวในโลกที่ปกครองโดยพระเจ้า และก็ไม่ใช่พระเจ้าธรรมดานะครับ หากแต่เป็นพระเจ้าอยู่หัวเลยทีเดียว แล้วก็สืบทอดความเป็นพระเจ้าชนิดผูกขาดมากว่าสองร้อยปีแล้ว เริ่มตั้งแต่พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯโน่นเลย (ใหญ่ไม่ใหญ่ดูเอาเองแล้วกัน) แล้วก็ไล่ดะมา พระพุทธเลิศหล้านภาลัย ฯ(ใหญ่คับฟ้าอีกเช่นกัน) ตาม ลำดับมาจน พระพุทธเจ้าหลวง ทุกคนที่กล่าวมาจะดูยิ่งใหญ่อลังการกว่าพระพุทธเจ้าของชาวโลกเสียอีก แล้วก็เพราะยิ่งใหญ่ขนาดที่ว่านี้นี่แหละไอ้พวกขุนนางขี้ประจบทั้งหลายก็เลยคิดค้นวิธีการประจบจนแม้ภาษาพูดก็ยังต้องแตกต่างไปจากคนทั่วไป จนเป็นเรื่องที่ยากต่อการเรียนรู้และเข้าใจ อย่างเช่น "ข้าใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท" ที่ได้ยินกันอยู่บ่อยๆ ผมไม่รู้จริงๆนะครับมันแปลว่าอะไร แต่ถ้าจะให้เดาด้วยสติปัญญาระดับนักธรรมตรีอย่างผม อาจเข้าใจได้ว่า "ขี้ข้าอย่างผมเปรียบเสมือนเพียงแค่ขี้ฝุ่นใต้อุ้งตีนกษัตริย์" อย่างงั้นเลยหรือ ผมคงไม่เอาด้วยแน่ เพราะลำพังการเป็นไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินอย่างเช่นทุกวันนี้มันก็มากเกินกว่าที่จะรับได้แล้วครับ

อุปสรรค์ของการปกครองภายใต้ระบอบประชาธิปไตยก็คือ สังคมขาดความเสมอภาคและเสรีภาพ เสรีภาพจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องมีความเสมอภาคโดยไม่มีชนชั้นมาเป็นเส้นแบ่ง และศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์จะมีได้ ก็ต่อเมื่อ ประเทศนั้นๆมีการปกครองด้วยระ บอบประชา ธิปไตยโดยสมบูรณ์เท่านั้น และถ้าหากว่าประเทศใดก็ตาม ที่มีการปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย แล้วยังปล่อยให้ใครบางคน "ทรงเป็นประมุข" มีอำนาจเหนือรัฐบาลด้วยความยินยอมพร้อมใจ นั่นก็หมายความว่าประชาชนคนส่วนใหญ่ของประ เทศนั้น ปราศจากแล้วซึ่งศักดิ์ศรี และยินดีที่จะดำรงสถานะของความเป็นคนได้แค่ "ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน" ตามพวกที่เรียกตัวเองว่า "เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน" หยิบยื่นให้

สังคมของประเทศใดก็ตามหากยังมีการแบ่งแยกชนชั้นเกิดขึ้น ก็อย่าได้หวังเลยว่าความเป็นธรรมจะเกิดขึ้นได้กับสังคมนั้น เพราะความแตกต่างกันระหว่างชนชั้นนั้นมันเป็นที่มาแห่งการเอารัดเอาเปรียบ ชนชั้นนี่แหละที่ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำจนขาดความเสมอภาคทางสังคม เพื่อให้เกิดความเข้าใจและเห็นเป็นภาพชัดเจน ต้องมองชนชั้นผ่านคำว่าฐานันดร ฐานันดรตามความหมายของพจนานุกรม แปลว่า ลำดับในการกำหนดชั้นของบุคคล ดังเช่นยศ บรรดาศักดิ์ (กลับไปอ่านบทความเรื่องพระมหาอุปราชเปรม) การจัดอันดับฐานันดรนั้น กษัตริย์และราชวงค์คือฐานันดรที่ ๑ กลุ่มอำมาตย์และพวกใกล้ชิดกษัตริย์ จัดเป็นฐานันดรที่ ๒ และฐานันดรที่๓ ซึ่งเป็นอันดับท้ายสุดก็คือพวก "ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน" อันหมายถึงประชาชนอย่างพวกเรา

ประเทศไทยขณะนี้ปกครองด้วย "ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข" ระบอบนี้ได้ถูกกลุ่มขุนนางขี้ประจบสถาปนาขึ้นมาเพื่อสมประโยชน์กันระ หว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับพวกมันเอง โดยมีพัฒนาการผ่านช่องทางของกฏหมาย (กลับไปอ่านบทความเรื่อง "หุ่นกระบอกการเมือง ตอนที่ ๒) และโฆษณาชวนเชื่อมาอย่างยาวนานโดยที่ไม่มีใครกล้าต่อต้านและคัดค้านหรือแม้กระทั่งวิจารณ์ เพราะเป็นเรื่องต้องห้ามที่ผิดกฏหมาย สถาบันพระมหากษัตริย์ก็เลยได้ใจ ทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เปิดโอกาสให้กลุ่มอำมาตย์พัฒนาระบอบกษัตริย์ขึ้นมาจนกลายเป็นยอดมนุษย์หรืออภิสิทธิ์ชนอย่างที่เห็นและเป็นอยู่ในเวลานี้

การโฆษณาชวนเชื่ออย่างมีประสิทธิภาพ นั่นก็คือการโฆษณาที่ไม่ต้องมีค่าใช้จ่าย อันสืบเนื่องจากความเป็นอภิสิทธิ์ชนไม่ว่าจะเป็นสถานีโทรทัศน์, วิทยุ, หนังสือพิมพ์และหน่วย งานแห่งรัฐ ตลอดจนองค์กรเอกชน บริษัทห้างร้านต้องมีถาพในหลวง-ราชินี ติดหลาทั่วประเทศจนกลายเป็นกระแสนิยมของสังคม การถ่ายทอดข่าวสำนักราชวังทั้งเช้า สาย บ่าย เย็นและกลางคืน หนังสือพิมพ์ทุกฉบับ หน้าข่าวสังคมจะขาดไม่ได้อย่างเด็ดขาด และถ้าหากท่านผู้อ่านจะสังเกตสักนิด ก็จะพบว่าราชวงค์ทุกพระองค์เมื่ออยู่ในวัยเรียนจะผูกขาดกับคำว่า "เกียรตินิยม" ทุกพระองค์ให้พระสหายร่วมชั้นได้แอบนินทากันมาโดยตลอด หรือแม้แต่การออกไปกินอาหารนอกวังสักมื้อก็จะต้องเป็นภาระของตำรวจในหลายท้องที่ทำหน้าที่อำนวยความสดวกตลอดเส้นทาง ส่งผลให้การจารจรมีอันต้องติดขัดจนเป็นอัมพาต ภาพต่างๆเหล่านี้ฉายให้เห็นชัดถึงความเป็นอภิสิทธ์ชน ที่ผูกขาดตั้งแต่เรื่องเล็กน้อยไปจนถึงผลประโยชน์ระดับชาติ

การโหมโฆษณาดังกล่าวข้างต้นยังไม่รวมถึงงานมโหรสพและโรงภาพยนต์จะต้องมีเพลงสรรเสริญพระบารมี ให้ต้องลุกขึ้นทำความเคารพจะด้วยความเต็มใจหรือไม่ก็ตาม หรือแม้แต่งานเลี้ยงสมรสบางแห่งที่เจ้าภาพเรียนเชิญผู้ที่ตัวเองให้ความนับถือขึ้นกล่าวคำอวยพรให้คู่บ่าวสาว ไอ้บุคคลผู้น่านับถือแทนที่จะกล่าวให้โอวาทหรือคำอวยพรแก่คู่บ่าวสาว กลับชวนแขกผู้มีเกียรติ์ลุกขึ้นแล้วกล่าว ให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาท ทรงพระเจริญไชโย...ไชโย...
ด้วยวิธีการเช่นนี้อย่าว่าแต่คนเลยครับต่อให้เป็นเสาไฟฟ้าถ้าได้รับการโฆษณาอย่างบ้าระห่ำอย่างที่เห็นและเป็นอยู่นี้ ผมเชื่อเหลือเกินว่ามันก็คงต้องศักดิ์สิทธิ์ไปด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย

ความศักดิ์สิทธิ์นี้บันดาลให้เกิดเป็นอำนาจอันยิ่งใหญ่ ส่งผลให้มีอิทธิพลแผ่ไพศาล ไม่เพียงแต่จะขยายปกคลุมไปถึงลูกหลานและกลุ่มบุคคลรับใช้ใกล้ชิดเท่านั้น หากแต่พวกที่กระทำผิดกฎหมายร้ายแรงก็ได้รับอานิสงส์ให้มีการยกเว้นโดยไม่ต้องถูกดำเนินการตามกฏหมาย หรือแม้แต่หมาข้างถนนอย่างไอ้ทองแดงที่ถูกกษัตริย์นำมาชุบเลี้ยง ก็ได้รับการเลื่อนชั้นให้มีสถานะเหนือมนุษย์ ซึ่งกลุ่มคนขี้ประจบและสื่อมวลชนก็ยอมรับและเรียกมันว่า "คุณทองแดง" ด้วยความยินดี การให้ความสำคัญกับหมาอันเป็นสัตว์เดียรัจฉานให้อยู่เหนือประชาชน เพียงแต่หมาป่วยกษัตริย์ต้องถึงกับลงทุนเสด็จไปนอนเฝ้าไข้หมาที่มหาวิทยาลัยเกษตร แต่การเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯด้วยปลุกระดมและบุกยึดสถานที่ต่างๆ มีการทำร้ายท้าทายยั่วยุเพื่อให้เกิดการนองเลือด ไม่เคยอยู่ในกระแสพระราชดำรัสในวาระใดที่จะปรามหรือให้สติเพื่อความสงบสุข ในทางตรงข้ามกลับให้สนับสนุนอย่างเปิดเผยโดยไม่สนใจกับความตายที่จะเกิดขึ้นกับคนในชาติ

ประวัติศาสตร์การปฏิวัติฝรั่งเศสที่เกิดขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1789 ก็มีสาเหตุมาจากเรื่องของชนชั้นและความไม่เป็นธรรม เฉกเช่นเดียวกันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยของเราเวลานี้ ประเทศฝรั่งเศสได้มีการรวมตัวกันชุมนุมและประกาศสิทธิแห่งมนุษย์ชนและพลเมือง ซึ่งประกอบด้วยหลักการสำคัญ 3 ข้อที่เป็นอุดมการณ์ของการปฏิวัติฝรั่งเศส คือ เสรีภาพ (liberty) เสมอภาค (equality) และภราดรภาพ (fraternity) ประกาศดังกล่าวย้ำข้อเรียกร้องฐานันดรที่ 3 (ฐานันดรที่ ๓ คือประชาชน) เช่น มนุษย์เกิดมาเป็นอิสระ และมีสิทธิเท่าเทียมกัน การจับกุมกล่าวหาและหน่วงเหนียวบุคคลใดๆจะกระทำได้เฉพาะตามที่กฎหมายกำหนด และทุกคนต้องเสียภาษีตามสัดส่วนของรายได้ที่ได้รับ คำประกาศทำให้กลุ่มฐานันดรที่ ๑ (ฐานันดรที่ ๑ คือกษัตริย์และราชวงค์) เกิดความไม่พอใจและมีข่าวว่า กษัตริย์จะใช้กำลังทหารเข้าสลายกลุ่มผู้ชุมนุม

ในวันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ. 1789 กลุ่มผู้ชุมนุมจึงยกขบวนประมาณ 800 คนไปที่คุกบาสตีย์ (Bastille) ซึ่งใช้เป็นที่ขังนักโทษการเมือง เหตุการณ์การทลายคุกบาสตีย์ (Fall of the Bastille) นี้ซึ่งต่อมาถือเป็นวันเริ่มต้นเหตุการณ์ปฏิวัติฝรั่งเศสและเป็นวันชาติฝรั่งเศสในปัจจุบัน เหตุการณ์ครั้งนั้นมีการต่อสู้จนผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก และมีการพิจารณาไต่สวนความผิดของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ในเวลาต่อมา โดยพวกซองกูลอตถือว่าพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ต้องรับผิดชอบต่อการเสียชีวิตจำนวนมากของชาวฝรั่งเศสที่พระราชวังตุยเลอรี พระเจ้าหลุยส์สที่ 16 และพระนางแมรี อังตวนเนตจึงถูกประหารด้วยกิโยตีนเมื่อวันที่ 21 ม.ค. 1793 (การปฏิวัติฝรั่งเศส เป็นการปฏิวัติที่โค่นล้มสถาบันกษัตริย์ฝรั่ง เศส และสถาปนาสาธารณรัฐขึ้น การปฏิวัตินี้มีความสำคัญเพราะเป็นจุดหักเหในประวัติศาสตร์การปกครองของยุโรป)

การยกกษัตริย์ขึ้นสูงเหนือพระเจ้าของกลุ่มคนขี้ประจบนั้น เป็นการแสดงถึงความไม่เข้าใจชนิดโง่เขลาเบาปัญญาของทั้งพวกขี้ประจบและผู้ที่เป็นกษัตริย์ เพราะกษัตริย์เป็น ตำแหน่งที่สูงสุดในระดับประเทศเท่านั้น แต่พระเจ้าเป็นตำแหน่งสูงสุดในระดับสากลที่ไร้ขอบเขตจำกัด (กลับไปอ่านบทความเรื่องหุ่นกระบอกการเมือง ตอนที่ ๒) ความยิ่ง ใหญ่จึงห่างไกลกันอย่างชนิดเทียบกันไม่ได้เลย ที่บุคคลใดก็ตามอย่าได้ "สะเออะ" เรียกตัวเองว่าเป็นพระเจ้าเป็นอันขาด (สะเออะตามความหมายของพจนานุกรมแปลว่า เสนอหน้าเข้าไปโดยที่เขาไม่ต้องการ) ไม่มีประเทศไหนในโลกสถาปนากษัตริย์ขึ้นเป็นพระเจ้า อินเดียเรียกกษัตริย์ว่าราชา จีนเรียกว่าหวังตี้ (ฮ่องเต้) ส่วนฝรั่งเรียกว่าคิง นอกจากนี้แล้วตำแหน่งกษัตริย์และพระเจ้าก็มีที่มาที่ แตกต่างกันราวฟ้ากับดินเลยอีกต่างหาก

การที่จะเป็นพระเจ้าได้นั้นต้องผ่านการบำเพ็ญภาวนา สร้างคุณงามความดีปราศจากความมัวหมองทั้งปวงจนเป็นผู้บริสุทธิ์ และได้รับการเคารพนับถือ ยกย่องให้เป็นผู้ที่อยู่เหนือมนุษย์ทั้งปวงด้วยความศรัทธาอย่างพร้อมอกพร้อมใจโดยปราศจากข้อโต้แย้ง ซึ่งห่างไกลเกินกว่าใครก็ตามที่บังอาจอ้างตัวเองว่าเป็นพระเจ้า หรือแอบอ้างว่าตัวเองบรรลุโสดาบันเป็นพระอริยบุคคลไปแล้วอย่างเช่น นายรัก รักพงษ์ เป็นต้น ดังนั้นขอให้ท่านผู้อ่านจำไว้เลยนะครับว่า ผู้ใดก็ตามที่เอาพระเจ้ามาอ้างหรือแอบอ้างเพื่อการข่มขู่ให้ดูน่ากลัวหรือเพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือและศรัทธาโดยมีผลประโยชน์หรือเป้าหมายอื่นใดแอบแฝงก็ตาม คนพวกนี้เป็นได้แค่
"ไอ้จอมลวงโลก" เท่านั้น

ตำแหน่งกษัตริย์ ถ้าหากท่านผู้อ่านได้ศึกษาและค้นคว้าประวัติศาสตร์ดูก็จะพบความจริงอย่างหนึ่งว่า ตำแหน่งกษัตริย์นั้น จากอดีตถึงปัจจุบันล้วนมีที่มาจากความรุนแรงทั้งสิ้น การแก่งแย่งช่วงชิงมีมาโดยตลอด มีการเสียเลือดเสียเนื้อ มากบ้างน้อยบ้างเพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่งกษัตริย์ โดยมีบัลลังก์และความตายเป็นเดิมพัน และเมื่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดชนะได้ตำแหน่งกษัตริย์มาครอบครองสมใจ ก็ยังจะต้องผองถ่ายอำนาจและกำลังพลเพื่อความปลอดภัยและมั่นคงให้กับตัวเอง ช่วงเปลี่ยนอำนาจนี้ก็ยังจะต้องมีความสูญ เสียชีวิตของผู้คนในบางครั้ง เนื่องจากความไม่ไว้วางใจ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้ที่ขึ้นมาดำรงตำแหน่งกษัตริย์และพลพรรคที่มีหน้าที่ด้านความมั่นคง จะมีหลักในการพิจารณาอย่างไร และก็ขึ้นอยู่กับความโชคร้ายของแต่ละคนที่เคยทำงานรับใช้ใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจในช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่างกษัตริย์คนก่อนและคนใหม่มีความใกล้ชิดสนิทสนมระดับไหน โทษจึงมีตั้งแต่ถูกกำจัดในทางลับ,ประหารชีวิตและจองจำ หรือโทษสถานเบาก็คือชีวิตราช การจะไม่ได้รับความก้าวหน้าอีกต่อไป

ถ้าหากเราจะศึกษาพัฒนาการของคำว่ากษัตริย์โดยมองให้ไกลออกไปถึงยุคก่อนประวัติศาสตร์ เราก็จะพบความจริงอย่างหนึ่งว่า ธรรมชาติของมนุษย์นั้นไม่ใช่สัตว์ชนิดมีเขี้ยวเล็บเป็นอาวุธจึงไม่มีสิ่งป้องกันตนเอง การดำรงชีพจึงจำเป็นต้องเกาะกุมกันเป็นกลุ่มก้อนเพื่อให้รอดพ้นจากการถูกไล่ล่าของสัตว์อื่นหรือชนต่างเผ่าพันธ์ที่แข็งแรงกว่า การใช้ชีวิตร่วมกันเป็นจำนวนมาก ก็ย่อมต้องมีผู้ที่แข็งแรงและผู้ที่อ่อนแอรวมอยู่ด้วยกัน และก็เป็นธรรมดาอันเป็นสัจจธรรมที่ว่าผู้ที่แข็งแรงย่อมต้องเอารัดเอาเปรียบและรังแกผู้ที่อ่อนด้อยกว่า แต่การดำเนินชีวิตก็ยังคงต้องอยู่อาศัยร่วมกันโดยไม่อาจจะแยกจากกันได้ด้วยเหตุผลในเรื่องความปลอดภัย ลักษณะการอยู่ร่วมกันของมนุษย์และยิน ยอมให้เอารัดเอาเปรียบจากผู้ที่แข็งแรงกว่านี้ ยังคงความเป็นเอกลักษณ์แห่งความเป็นมนุษย์ให้เราได้เห็นแม้จนกระทั่งทุกวันนี้

ชีวิตมนุษย์มีพัฒนาการตามกาลเวลาจากการอยู่ร่วมกันตามธรรมชาติดังกล่าวข้างต้น ก็มีการขยับขยายมาเป็นหมู่เหล่าที่ต่างเผ่าพันธ์ มนุษย์ก็เหมือนสัตว์ทั่วๆไปจะต่างกันก็ตรงที่มนุษย์มีความคิดและความจำ ในขณะที่สัตว์อื่นๆมีแต่ความจำเพียงอย่างเดียว ดังนั้นมนุษย์จึงมีพัฒนาการที่รวดเร็วจนสัตว์อื่นๆตามไม่ทัน และเอกลักษณ์ของมนุษย์ที่ว่ายินยอมให้ผู้ที่แข็งแรงกว่าเอารัดเอาเปรียบในยุคสมัยหนึ่ง ก็ค่อยๆมีการเปลี่ยนแปลงมาเป็นปรนนิบัติเอาใจผู้ที่แข็งแรงกว่า ในขณะเดียวกันผู้ที่แข็งแรงก็ทำหน้าที่ปกป้องคุ้ม ครองและพาสมัครพรรคพวกออกหาอาหารมาเลี้ยงดู แล้วพัฒนายกระดับขึ้นเป็นชนเผ่าที่มีภาษาเป็นของตัวเองที่แตกต่างไปจากมนุษย์เผ่าอื่น และมีผู้นำ(ที่พัฒนากลายมาเป็นชนชั้นปกครอง) ที่เรียกว่าหัวหน้าเผ่า

มนุษย์ชนเผ่าต่างๆมีการเคลื่อนย้ายถิ่นหากินไปตามสถาพแวดล้อมหรือถูกรุกรานโดยชนเผ่าอื่นที่เข้มแข็งกว่า การโยกย้ายจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งจึงเป็นเรื่องปรกติของยุคสมัยนั้น เพราะไม่มีการยึดครองพื้นที่เป็นการถาวรและก็ยังไม่มีการแบ่งเขตแดนชัดเจนอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เรียกว่าที่ไหนอุดมสมบูรณ์ก็ปักหลักอาศัยกันอยู่ตรงนั้นเลยตราบเท่าที่ไม่ถูกรุกราน จนกระทั่งการเติบโตของชนเผ่ายากต่อการโยกย้าย การตั้งถิ่นฐานอยู่อาศัยถาวรจึงเกิดขึ้น แล้วค่อยๆพัฒนามาเป็นเมืองโดยมีเจ้าเมืองเป็นผู้ปกครอง(เจ้าแปลว่าผู้เป็นใหญ่หรือผู้เป็นหัวหน้า)

การที่จะยกระดับขึ้นเป็นเมืองนี่ต้องประกอบด้วยคนเป็นจำนวนมากนะครับ และการที่ผู้คนมารวมตัวกันอยู่เป็นจำนวนมากก็ต้องมีกฏระเบียบในการปกครอง นี่ก็เป็นอีกหนึ่งพัฒนาการของมนุษย์ แต่ปัญหาการปกครองที่แก้ยากที่สุดก็ยังเป็นเรื่องของปากท้อง ดังนั้นจึงยังคงเป็นหน้าที่โดยตรงของผู้เป็นใหญ่เพราะแข็งแรงกว่าเพื่อนนั่นก็คือเจ้าเมือง ยุคสมัยนั้นยังไม่มีครับเรื่องการค้าการขาย ดังนั้นการดำรงชีพจึงเป็นไปในลักษณะช่วย กันทำแบ่งกันกิน และต้องพึ่งฟ้าดินเป็นหลักสิ่งที่กลัวที่สุดก็คือความแห้งแล้ง เพราะเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความอุดมสมบูรณ์ ในขณะที่เจ้าเมืองก็ต้องมีบทบาทสำคัญในด้านความมั่นคงที่นอกจากไม่ให้ใครมารุกรานแล้ว ยังต้องดูแลผู้ใต้การปกครองต้องมีเครื่องอาศัยยังชีพ(ปัจจัย)เพียงพอต่อการบริโภค นั่นก็คือการแผ่ขยายอิทธิพลไปยังเมืองที่เล็กและอ่อนแอกว่า (วิธีการก็คือแย่งชิงหรือปล้นสะดมนั่นแหละ)

การแผ่อิทธิพลของเจ้าเมือง ทำให้เมืองเล็กเมืองน้อยที่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลต้องจัดส่งเครื่องบรรณาการ (ส่วย) ไปให้ ตรงนี้ก็เป็นอีกพัฒนาการหนึ่งที่เจ้าเมืองใหญ่สถาปนาตัวเองขึ้นเป็นกษัตริย์ โดยมีเมืองเล็กเมืองน้อยอยู่ภายใต้การปกครองจนกลายเป็นประ เทศ แล้วก็ไม่มีวันสิ้นสุดละครับท่านผู้อ่าน ประเทศที่ใหญ่กว่าแข็งแรงกว่าก็ไล่ล่าเอาประเทศที่เล็กกว่าเป็นเมืองขึ้น จนกระทั่งหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ นี่แหละครับจึงมีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนั่นก็คือ การแบ่งฝ่ายของประเทศมหาอำนาจเป็น ๒ ลัทธิคือ โลกเสรีและคอมมิวนิส แต่มีสามขั้วอำนาจด้วยกันคือประเทศอเมริกา,จีนและรัสเซีย นับได้ว่าเป็นการสิ้นสุดยุคล่าอาณานิคม แล้วเข้าสู่ยุคหาพวกที่ประเทศเล็กต้องเลือกคบหากับประเทศมหาอำนาจไว้เป็นเกาะป้องกันในการถูกรุกราน หรือที่เรียกว่าพันธมิตร ประเทศไทยเป็นพันธมิตรถาวรกับประเทศอเมริกา

ผมพาท่านผู้อ่านมาถึงตรงนี้คงไม่ต้องยาวไปถึงยุคโลกาภิวัฒน์อย่างเช่นเวลานี้ เพราะคิดว่าเพียงพอที่จะถามไอ้พวกขี้ประจบที่จงรักภักดีทั้งหลายว่าที่มาของกษัตริย์มีเส้นทางไหนบ้างครับที่เชื่อมโยงไปถึงพระเจ้า แล้วพอหมดยุคแผ่อิทธิพลจนแม้การล่าเมืองขึ้นมันก็หมดยุคไปแล้ว ดังนั้นบทบาทของเจ้าเมืองหรือกษัตริย์ที่จะยกทัพไปปล้นสะ ดมหรือตีเมืองขึ้นจึงไม่มี สถาบันกษัตริย์ในหลายประเทศเขาจึงได้ตระหนักในความจริงข้อนี้ กษัตริย์ของเขาจึงยินยอมถอยห่างเปิดโอกาสให้มีการเลือกคนที่มีความสามารถขึ้นมาจัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศแทน ที่เรียกว่าระบอบประชาธิปไตยอย่างเช่นประเทศอังกฤษและญี่ปุ่นเป็นต้น แล้วรัฐบาลก็จัดสรรงบประมาณเลี้ยงดูกษัตริย์และราชวงค์ให้อยู่ดีมีสุขเป็นการตอบแทน ความเป็นมาของกษัตริย์ก็มีเพียงเท่านี้เอง ไม่มีหรอกครับที่จะเป็นผู้วิเศษเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นที่สักการะบูชา มันตอเเหลทั้งเพ


ผมเขียนบทความชิ้นนี้ขึ้นมาด้วยความปรารถนาดี (ไม่ใช่จงรักภักดี) โดยไม่ได้มีเจตนาแม้กระทั่งมีความคิดที่จะล้มล้างสถาบันกษัตริย์ เพราะพ่อ-แม่,ปู่-ย่า,ตา-ยายกระทั่งตัวผมมีความผูกพันกับสถาบันกษัตริย์มาอย่างยาวนานจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ผมไม่อาจบอกได้ว่าจงรักภักดีดังเช่นพวกขุนนางขี้ประจบทั้งหลายที่เกาะติดสถาบันเพื่อหาผลประโยชน์ และเพราะความจงรักภักดีอันจอมปลอมนี่แหละ พวกมันถึงได้ใช้คำว่าความจงรักภักดีนี้ทำลายทุกคนที่มีความคิดต่าง ด้วยการยัดเยียดข้อกล่าวหาว่าไม่จงรักภักดี ควบคู่ไปกับข้อหาหมิ่นฯ ในเวลาเดียวกันก็ใช้คำคำเดียวกันนี้เอื้อประโยชน์ต่อพวกมันเอง จนความอยุติธรรมได้เกิดขึ้นไปทั่วผืนแผ่นดินไทยอย่างที่เห็น ส่งผลให้เกิดความมัวหมองจนทำให้สถาบันกษัตริย์มีอันต้องเสื่อมโทรมอย่างรวดเร็ว ทั้งหมดก็มีที่มาจากกลุ่มขุนนางขี้ประจบที่หวังโตทางลัดและ ต้องการอยู่บนอำนาจอย่างต่อเนื่องยาวนานนั่นเอง


สถาบันกษัตริย์อยู่คู่ประเทศไทยมายาวนานนับพันปี ผมเชื่อเหลือเกินครับว่าบุคคลที่ได้ชื่อว่าคนไทยทุกคนไม่มีใครต้องการโค่นล้มให้สิ้นไปจากแผ่นดินอย่างแน่นอน เพียงแต่ต้องหาจุดร่วมที่เหมาะสม และอย่าให้พวกมักง่ายอยากโตทางลัดนำไปใช้ประโยชน์ในการทำลายล้างคนดีคนเก่ง เพียงแค่ต้องการให้พ้นเส้นทางเพื่อพวกมันจะได้ไม่มีคู่แข่งทั้งหมดที่ผมเขียนมานี้เป็นอีกหนึ่งความคิดเห็นที่เสนอมายังพี่-น้องคนไทย ได้โปรดพิจารณาและช่วยกันต่อต้าน พวกอำมาตย์ที่เกาะบัลลังก์หากินมาอย่างยาวนานให้สิ้นไปจากแผ่นดินไทย

พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๔ ธันวาคม ๒๕๔๘..

"แต่ว่าความจริง ก็จะต้องวิจารณ์บ้างเหมือนกัน แล้วก็ไม่กลัวถ้าใครจะวิจารณ์ว่าทำไม่ดีตรงนั้น ๆ จะได้รู้ เพราะว่าถ้าบอกว่าพระเจ้าอยู่หัวไปวิจารณ์ท่านไม่ได้ ก็หมายความว่าพระเจ้าอยู่หัวไม่เป็นคน"

ไปเปิดอ่านได้ที่ ..พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๔ ธันวาคม ๒๕๔๘..

ก่อนจากกันวันนี้ผมขอถือโอกาสอวยพรปีใหม่ให้พี่น้องชาวไทยทุกคน (ยกเว้นเปรมและใครก็ตามที่เป็นพวกเดียวกับกลุ่มพันธมิตรฯ) จงมีแต่ความสุข,ความเจริญก้าวหน้า, สมหวังและพบเห็นแต่สิ่งอันพึงปรารถนาจงทุกประการ


อาคม ซิดนี่ย์

๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๑


arkomsydney@yahoo.com.au

Copyright : 169 : 2008 arkomsydney

อ่านแล้วกรุณาส่งต่อ

ติดตามบทความย้อนหลังได้ที่
บทความโดยอาคม ซิดนีย์


สำเนาโดย : คุณป้าปากเกร็ด

ที่มา : ประชาไทเวบบอร์ด : ฝากบทความของคุณอาคม ซิดนีย์ มาให้อ่านกันค่ะ

หมายเหตุ
การเน้นข้อความทำโดยความเห็นของผู้จัดเก็บบทความ

21 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ไม่มีหลักฐาน หามาให้ได้แล้วจะเชื่อ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

โอ้โห...
อ่านบทความคุณแล้ว น่าทึ่งมากค่ะ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนอย่างคุณอยู่ที่คิดแบบนี้ เขียนได้ดูฉลาด และดูเป็นตัวของตัวเองมาก แถมพยายามที่จะทำตัวเป็นกลางอย่างมากกกกก อีกด้วย เนื่อหาของบทความมีการอ้างอิงเอกสาร ประวิติศาสตร์ ที่คนส่วนมากไม่รู้อีกด้วย เท่สุดๆไปเลยค่ะ....ขอโทษเถอะค่ะ ที่มาจาบจ้วงพื้นที่ส่วนตัวของคุณ แต่ทีคุณยังจาบจ้วงหัวใจคนอื่นๆอีกหลายล้านคนได้ คงไม่ว่ากันหรอกนะคะ อยากรู้จิงๆ ตอนเด็กๆคุณเป็นเด้กประเภทโดนเพื่อนแกล้ง ล้อ ว่าเป็นไอ่โง่ ไอ่น่ารังเกียจ ไอ่ตัวถ่วง ไอ่ปัญญาอ่อน อะไรพวกนี้รึเปล่าคะ หรือว่าคุณมีอะไรผิดปรกติ โดนกระทำทำให้เกิดแผลฝังลึกในใจ หรือว่าคุณเป็นพวก องุ่นเปรี้ยว มะนาวหวาน สมัยเรียนอาจจะอยากเด่นอยากดัง แต่ทำไมไ่ด้อยากเป็นที่สนใจ อยากดูฉลาด แต่ไม่มีคนสนใจ ไม่ใช่อะไรหรอกค่ะ ตัวหนังสือของคุณมันบ่งบอกว่าคุณต้องมีปัญหาอะไรสักอย่างแน่ๆ อ้างประชาธิปไตย อ่้าวสิทธิ อ้างชาวโลกบ้าบอ ที่จริงมันแค่ฉากสนองตัณหา ความคิดที่ชดเชยปมด้อยต้อยต่ำของคุณรึเปล่าคะ ถ้าเป็นอย่างงั้น น่าสงสารคุณจังเลย ที่เกิดมาพูดภาษาไทย เขียนภาษาไทย พิมพ์ภาษาไทย แต่ไม่รู้จักสำนึกบุญคุณคนที่ทำให้มีแผ่นดินอยู่ ทำตัวฉลาด มันคงใช้ได้กับสาวๆโง่ๆไร้สมองบางคนกับพวกกลุ่มคนที่มีปมด้วยเหมือนคุณ แต่คนส่วนใหญ่ เค๊าจะมองคุณด้วยความสมเพช เห็นตัวหนังสือของคุณเป็นขยะ ฤทษฎีสุดเท่ของคุณ ที่คุณหาอ่านตามหนังสือเก่าๆเต่าล้านปี อาจจะจริง เหตุการณ์ต่างๆ อาจเกิดขึ้นจริง ทำให้คุณยิ่งดู ถูกต้อง มากกว่าเดิม ก็แล้วแต่เถอะค่ะ มันก็แค่ตัวหนังสือ แต่หลักการณ์ การใช้ชีวิตเป็นคน ไมไ่ด้แค่ทำตามตำรา แต่ต้องอยู่ด้วยคุณธรม ใช้ใจ ใช้ความรู้สึกนึกคิดของวามเป็นคน หมา มันยังรักเจ้าของโดยไม่ต้องไปหาอ่านหนังสือ หรือถามเพื่อนหมาด้วยกันว่า ทำไมกรูต้องรักด้วย ถ้าคุณไม่เข้าใจ คิดง่ายๆ ทำไมคุณถึงรักพ่อแม่ เพราะท่าให้ชีวิต ให้การศึกษาให้ข้าวให้น้ำ ให้เงินซื้อคอมพิวเตอร์ให้คุณมาเขียนบทความพวกนี้ไงคะ แล้วพ่อแม่เคยทำผิดมั้ย พ่อแม่เป้นเทวดารึเปล่า ถ่้าแม่ตบหน้าคุณเวลาคุณทำผิด เวลาแม่คุณทำผิด ก็ตบ ท่านด้วยสิคะ เท่าเทียมไง...
คนอย่างคุณต่อให้มีคนอื่นๆมาอ่านเจอบทความนี้แล้วต่อต้านคุณอีก ก็คงไม่เป็นผลอะไรกับคุณแม้กระทั่งความคิดเห็นของฉันคุณอาจไม่อ่านเลยก็ได้ เพราะคุณบอกตัวเองว่าไม่แคร์ หรือบางทีคำพูดต่อว่าของคนอื่นอาจไปสะกิดแผลปมด้วยของคุณอีก จนต้องร้องไห้โฮเป็นเด็กผู้หญิงรึเปล่า ก็ไม่รู้ เอาเป็นว่า แค่ผ่านมาแล้วอนรนทนไม่ได้น่ะค่ะ ยังไงก็ขอให้ใช้ชีวิตอยู่บนโลกแห่งความทุกทรมารภายในใจลึกๆของคุณเองใช้ชีวิตกับการพยายามถีบตัวเองให้ดูมีค่า มีสมอง มีแนวทาง ของตัวเอง อย่างสนุกสนานนะคะ..เหอๆ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ฉันรู้สึกไม่ชอบความคิดของคุณเลย ถามหน่อยคุณถูกสั่งสอนโดยคนไทยหรือป่าว มีสำนึกบ้างไหม

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ขอบคุณคับ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

คุณกล่าวว่าดูหมิ่นเกินไป
ไม่มีความจงรักนสถาบันเลย
หน้าจะไม่สมควรอยู่ในไทยแล้ว

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

การดูหมิ่นสถาบันเป็นการไม่สมควร
หยุดการกระทำแบบนี้ซะ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ดูหมิ่นสถาบันเป็นการดูถูกคนทั้งประเทศเลยนะ
หยุดทำแบบนี้เถิดหนา

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ที่กล่าวมานี้มีข้อมูลจริงหรือไม่
กล่าวเกินไปมาเลย
หยุดทำแบบนี้เถิด

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ท่านกล่าวมานี้ไม่ถูกต้องดูหมิ่นเหียดหยาบสถาบันเกินไปเป็นการไม่สมควรอย่ายิ่ง
กรุณายกเลิกการกระทำแบบนี้

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ไม่รักชาติ สถาบันแล้วหรือไร
ทำไม่มากระทำแบบนี้
หยุดซะไอ้......
จากคนรักชาติ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ในหลวงทรงงานเพื่อพัฒนาประเทศมากว่า 60 ปีอาจไม่ถูกใจคนทุกคนได้ แต่นีคือตัวอย่างการทำงานเพื่อประเทศชาติที่เราควรยึดเป็นแบบอย่าง ขอพระองค์ทรงพระเจริญ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ในหลวงทรงงานเพื่อพัฒนาประเทศมากว่า 60 ปีอาจไม่ถูกใจคนทุกคนได้ แต่นีคือตัวอย่างการทำงานเพื่อประเทศชาติที่เราควรยึดเป็นแบบอย่าง ขอพระองค์ทรงพระเจริญ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

เห็นด้วยอย่างยิ่งที่มีคนกล้าคิดกล้าทำ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุย์ย่อมเท่าเทียมกัน นี้คือหลักการพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ และประชาธิปไตย ทั่วโลก 205 ประเทศ มีเพียง 20 กว่าประเทศ ที่ยังปกครองโดยมีกษัตย์ รวมทั้งไทย
ปรัชญาในการปกครองมีเพียง 2 แบบเท่านั้น
1.ราชานิยม "ปกป้องกษัตย์ รักษาราชบัลลัง กษัตย์มีอำนาจสูงสุด กษัตย์เป็นสมมุติเทพ"
2.ประชานิยม "ประชาชนต้องเป็นใหญ่ในแผ่นดิน อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน"
-เสรีนิยม
-สังคมนิยม
ชาติในยุโรป ได้ต่อสู้กับแนวคิดนี้มานับพันปี แม้แต่ จีน ซี่งเป็นชนชาติที่ยิ่งใหญ่ ก็ต่อสู้มายาวนาน มีผู้กล้าล้มตายต้องแลกมาด้วยชีวิตมากมาย กว่าประชาชนจะได้เป็นเจ้าของอำนาจอย่างแท้จริง
วันนี้ประเทศไทยกำลังเริ่มต้นเท่านั้นเอง ชาวไทยยังต้งต่อสู้อีกยาวนาน อาจ 10 ปี 50ปี 100ปี 1000ปี อยูที่ความกล้าหาญของประชาชน หากทุกคนรักประชาธิปไตย ยิ่งชีพ สละได้แม้ชีวิต เพียง 1วัน 10วัน 100วัน ก็ทำได้

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ไอ้คนชาติหมา หน้าส้นตีนอย่างมึงนี่ ไม่น่าที่จะได้เกิดมาเลย ไอ้สัตว์ จบนักธรรมตรีเป็นของสูง มึงไม่น่าที่จะจบมาเลย มึงมันของต่ำสถุล ทราม พ่อแม่มึงก็เกิดมาเป็นคนไทยอยู่ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารมา มึงมันเนรคุณชาติ ไอ้คนอย่างมึงกูขอให้ไม่ตายดี ตายโหง วิบัติทั้งครอบครัว แม่งเลวจริงๆมึงนี่ ความคิดอัปรีย์แบบมีเสรีภาพ ไอ้ห้าหีแม่มึง แหม!ทำเป็นผู้กล้าคิด พลิกวิธี กล้าที่จะวิจารณ์สถาบันตรงๆ คงคิดว่าตัวเองสูงส่งเสียเต็มประดาสินะ มึงใช้สมองอันเก่งกล้าชาติหมาแบบมึงคิดสิว่า แผ่นดินไทยที่อยู่รอดมาแทบทุกวันนี้ก็เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์ มึงมันคนขี้อิจฉา เห็นแก่ตัว
กูขอให้ดวงวิญญาณของบูรพกษัตราธิราชเจ้า พระสยามเทวาธิราช พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สถิตอยู่ ณ ประเทศไทย จงดลบันดาลให้คนแบบพวกมึงจงมีอันเป็นไปไวๆ ไอ้คนชาติหมา หน้าหี แม่มึงเป็นกะหรี่มั้งถึงได้ออกลูกสมองจัญไรแบบมึงมา สมองสถุล คิดแต่เรื่องอัปรีย์ ถึงกูจะหยาบคายแต่กูก็ไม่เคยคิดเรื่องอัปรีย์แบบมึง มึงมันน่าสมเพชนะกูว่า คงจะมีปัญหาทางจิตสินะ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

หากไม่มีพระมหากษัตริย์ คงไม่มีสยามประเทศในวันนี้คนไทยทั้งประเทศต่างเชิดชู ปกป้อง สถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นที่รักและหวงแหน แต่คุณกลับต่อต้าน ดูหมิ่นเหยียดหยาม สงสัยจังถ้าคุณไม่ได้เกิดเป็นคนไทย แต่เกิดเป็นคนชาติอื่นที่ไม่มีแผ่นดินจะอยู่ คุณจะรักประเทศไทยหรือเปล่า

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

คนที่เกิดมาเป็นได้เพียง สุนัขรับใช้ ย่อมมองไม่เห็นสิทธิเสรีภาพที่แท้จริงว่ามันหน้าลุ่มหลง น่ารัก น่าเทอดทูล การมีสิทธิเสรีภาพทางกาย ทางใจ ทางความคิด นี่คือศักศรีแห่งความเป็นคน ไม่ใช่เป็นได้แต่เพียงสิ่งมีชีวิตที่ให้เขาเอาปลอกคอมาใส่ แล้วเดินตามก้น คอยหมอบกลาน เลียแข่งเลียขา เลียเท้า เพียงเพื่อให้ตนเองได้กินดีอยู่ดี ไปวันๆ โดยไม่รู้คุณค่าของชีวิต มันคงไม่ต่างอะไรกับคนไร้สมอง
วันนี้ ประชาชนไม่ได้ ขุดหอย ขุดปู กินเหมือนแต่ก่อน วันนี้โลกไร้พรมแดน โลกใบนี้ มีเหตุเกิดที่ไหน แล้วประชาชนไม่รุ้บ้าง ท่านทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร เวลาได ในประเทศไทย ทำไมคนไทยจะไม่รู้ ต่ให้ท่านนำเสนอข่าวสารในทางบวกทางเดียว วันละ 24 ชม. วันนี้ประชาชนก็ไม่เชื่อ ท่านคิดว่าประเทศนี้ แผ่นดินนี้ เป็นของท่านหรือ ท่านคิดผิด ท่านต้องไปศึกษาประวัติศาสตรื สังคมศาสตร์ ให้ดี มนุษย์เป็นสัตว์สังคมชั้นสูง ไม่ใช่สัตว์สังคมชั้นต่ำ ท่านต้องเข้าใจ
พระพุทธเจ้า สอนไว้ ทุกสิ่งไม่จีรังยั่งยืน อาณาจักรโรมัน จีน ที่ยิ่งใหญ่ ยังอยู่ได้ไม่ถึง 1000 ปี แล้ว อาณาจักรนี้ละ ท่านจะอยู่ถึง 1000 ปีหรือ สัจธรรมคือความจริง มีเกิด มีแก่ มีตาย ฉันใด ทุยุคทุกสมัยย่อมรุ่งเรื่องสูงสุดแล้วล่มสลาย เหลือไว้เพียงตำนาน แล้วท่านอยากให้ตำนานของท่านถูกเล่าขานในทางบวก หรือ ทางลบ ไปกับการเวลาที่ยาวนานนับ 1000 ปี 10000ปี ละ
วันนี้ประชาชนได้มองเห็นสัจธรรม ว่าทำอย่างไรถึงจะให้ชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขา ทัดเทียกับคนอื่นในสังคม ทุกคนไม่อยากเห้น พ่อ แม่ ลูก เมีย เป็นเหมือน คนฝรั่งเศส คนจีน ที่ชนชั้นสูงอยู่กินอย่างสำราญ แต่พวกเขา อดอยาก ไม่มีข้าวิน ไม่มีที่อยู่ ไม่มีศักดิ์ศรีความเป็นคน นี้คือสิ่งที่พวกเขาเรียกร้อง และต้องต่อสู้ให้ได้มาแม้แลกด้วยชีวิต
วันนี้ประชาชนรับรู้หลายสิ่งไม่แตกต่งไปจากพวกท่าน การบอกให้ประชาชนพอเพียง พวกท่าน กลับไปดูต้นตระกูล และ พวกพ้องบริวาลตนเองก่อนว่าพอเพียงหรือยัง วันนี้ ใน กทม 2 ใน 3 เป็นทรัพย์สินของ่ทาน แล้วธุรกิจทั่วประเทศ ละมากมายขนาดใหน และยังขยายตัวอย่างไม่หยุดยัง Prob ยังได้รายงานว่าประเทศนี้ มี กษัติย์ ที่รวยที่สุดในโลก หากเปรียบเทียบประเทศนี้กับนนาประเทศ แล้วประเทศนีเป็นประเทศเกษตรกรรม สินค้าเกษตรมีราคาถูกกว่าสินค้าอุตสาหกรรม หากเป็นประเทศแทบตะวันออกกลางรวยที่สุดในโลก คงไม่มีใครสงสัย เพราะเขาได้รับฉายาว่าเป็น เศรษฐีน้ำมัน นี้ประเทศไทย เป็นประเทศเกษตร ทำไมถึงได้รวยที่สุดในโลก หากพวกพ้องบริวาล มือไม่ถือคันไถ มือไม่จัยเตารีด ไม่เอารัดเอาเปรียบประชาชน หากส่งที่ท่านทำตรงกับความจริงที่ว่า ท่านอยู่ในศีล ในธรรม ไม่เบียดเบียนประชาชน แล้วทำไม ต้นตระกูลท่านและพวกพ้องบริวาล ถึงมีทรัพย์สินเงินทองมากมายมหาศาล แล้วทำไมประชนถึงยากจน อดหยาก ทำไม ลูกหลานถึงไม่ได้เรียนหนังสือ ไม่มีงานทำ
พอมีคนมาสร้างโอกาสให้ประชาชน คิดเป็นทำเป็น พวกท่านก็บอกว่า ไอ้นี่ไม่ดีต้องกำจัดมัน แล้วหลอกประชาชนให้อยู่อย่างพอเพียง ขอถามหน่อยว่าวันนี้ ต้นตระกูลและพวกพ้องบริวาล ท่านพอเพียงหรือยัง
วันนี้ประวัติศาสตรืพร้อมที่จะแตกหัก อาราจักรที่เคยมีพร้อมที่จะก่อตัวใหม่ การต่อสู้ทุกมุมในโลกใบนี้ไม่มีหยุดนิ่ง หากสังคมมนุษยืใด คนในสังคมไม่มีศักดิ์ศรีความเป้นคนอย่างเท่าเทียมกัน สังคมนั้นจะหาความสงบสุขย่อมไม่มี

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

มีการกล่าวถึงทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์และนำมาเป็นประเด็นสร้างความแตกแยกในหมู่คนไทย อันที่จริงแล้วไม่น่าแปลกที่พระมหากษัตริย์จะมีสมบัติมาก เพราะสมบัตินั้นเป็นของสืบทอด ประเทศไทยเดิมเป็นระบบศักดินาใครมีใครไม่มีวัดกันที่ผืนดินที่ครอบครอง พ่อแม่มีทรัพย์ มอบมรดกให้ลูกหลาน ลูกหลานไม่ดีก็ผลาญหมด ลูกหลานดีสมบัติก็งอกเงย สำคัญอยู่ที่ว่าทรัพย์สมบัติที่งอกเงยมานั้นได้มาโดยชอบหรือฉ้อฉลโกงกิน ทรัพย์สมบัติที่ได้มานั้นมาปรนเปรอความสุขตนเองถ่ายเดียวหรือสร้างประโยชน์กลับมาสู่ประชาชน พระเจ้าอยู่หัวทุกพระองค์ทรงมีพระอัจฉริยภาพทรงมองเห็นความเดือดร้อนของประชาชน และได้พระราชทานแนวทางการแก้ไข และความเปลี่ยนแปลงเพื่อช่วยเหลือพสกนิกรทุกด้านเพื่อให้ประเทศมีความก้าวหน้า มั่นคง ทรงเห็นศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ มิฉะนั้นเมืองไทยก็จะไม่มีการเลิกทาส ทรงเล็งเห็นความอยู่รอดของบ้านเมืองอยู่ที่การทำให้ประชาชนมีความอยู่รอด มีความอยู่ดีกินดี มีกินมีใช้แบบมีวิธีทำกินมีวิธีทำใช้ เป็นการให้เพื่อรู้จักทำกินทำใช้อย่างยั่งยืน ผู้ที่ทำตามพระองค์ก็อยู่อย่างมีความสุขเพราะสามารถเลี้ยงตนเลี้ยงครอบครัวได้ มีที่ทำกิน มีวิธีทำมาหาเลี้ยงชีพ ชาวนาสมัยใหม่มีรายได้ถึงปีละสามล้านบาทก็มี ผู้มีต้นทุนอยู่บ้างก็ต่อยอดได้ ผู้ไม่มีต้นทุนก็พระราชทานทุน ทุนที่พระราชทานให้แก่คนทุกระดับทุกวงการ ให้โดยมิได้มีเงื่อนไขว่าจะต้องชดเชยด้วยการรับใช้พระองค์แต่ขอให้ช่วยพัฒนาชาติบ้านเมือง ทุนหลายประเภทที่ได้มาจากการสนับสนุนของต่างประเทศ ถ้าไม่ได้ระดับประะมุขของประเทศเช่นพระองค์ท่าน หรือระดับพระบรมวงศานุวงศ์ไปเจรจาหาความร่วมมือ มีหรือธรรมดา ๆ อย่างเรา ๆ ท่าน ๆ จะไปเจรจาขอมาได้ คนเราจะช่วยคนอื่นได้ก็ต้องมีพร้อมก่อน ถ้าไม่มีจะช่วยผู้อื่นได้อย่างไร และความช่วยเหลือที่พระราชทานก็มิใช่แต่จะมีแก่คนไทยเท่านั้น จะเห็นว่ามีหลายครั้งหลายหนที่ได้พระราชทานความช่วยเหลือแผ่ไปถึงชาวต่างชาติที่ได้รับความเดือดร้อนด้วยวิบัติภัยต่าง ๆ หลายครั้งมีไปถึงก่อนหน่วยงาน หรือประเทศอื่น ๆ เสียอีก การพระราชทานก็ยังมีตามคำขอว่าไปแล้วก็มีตั้งแต่เกิดยันตายไม่ว่าจะเป็นขอพระราชทานชื่อ ขอพระราชทานบ้านที่อยู่อาศัย ขอพระราชการที่ทำกิน ขอพระราชทานการรักษาพยาบาล ขอพระราชทานทุนการศึกษา ขอพระราชทานปริญญา ขอพระราชทานน้ำสังข์ และยังขอพระราชทานอะไรอีกมากมายจนถึง
ขอพระราชทานเพลิงศพ เป็นสิ่งที่ท่านต้องใช้จ่ายทั้งสิ้น ทำไมในพระราชวังจึงมีโรงงาน มีผืนนา มีแปลงทดลอง แทนที่จะเป็นสวนสวยหรู และสิ่งปรนเปรอความสุขเฉกเช่นพระราชวังหรูหราอื่น ๆ หากแต่เป็นสถานที่ทรงงานเพื่อความอยู่ดีมีกินของราษฎร ความดี ความเมตตาบารมีของพระองค์ท่านนี่แหละทำให้ผู้คนเชิดชูยกย่องเรียกว่าเป็นพระเจ้าอยู่หัวด้วยเหตุที่เราได้พระบารมีคุ้มหัวพวกเราทั้งชาติอยู่นี่ไง การเรียกขานเป็นเรื่องวัฒนธรรมทางภาษาที่เป็นเอกลักษณ์ของไทยซึ่งมีที่มา ไม่ใช่เรื่องชนชั้นแต่ด้วยคนไทยมีการให้ความเคารพ มีความละเอียดในเรื่องความอาวุโสและการยกย่องให้เกียรติตามฐานะ ฐานะในที่นี้ไม่ใช่วัดด้วยเงินทอง แต่ฐานะเป็นความเหมาะสมที่ให้กันด้วยความเคารพ การมีความกตัญญู เราเข้าหาพระสงฆ์เราก็หมอบกราบอย่างหนึ่ง กราบพ่อแม่ก็อย่างหนึ่ง เราหมอบกราบพระมหากษัตริย์ก็มีแบบแผนอีกอย่างหนึ่ง การหมอบกราบก็เป็นไปด้วยใจที่อยากให้ความเคารพแก่ผู้ที่เรากราบ เป็นเรื่องของวัฒนธรรมที่ประเทศอื่นไม่มี เราหมอบกราบเทิดทูนพระมหากษัตริย์ก็ด้วยความดีและพระเมตตาที่พระองค์ท่านมีแก่เรามากมายอย่างหาที่สุดมิได้ แม้ว่าการปฏิบัติบางอย่างมีประกาศเลิกใช้ไปแล้วแต่ด้วยความเป็นไทยที่มีวัฒนธรรมและความคิดที่ละเอียดอ่อนผู้คนก็ยังประพฤติปฏิบัติต่อพระองค์ท่านด้วยความรักและเทิดทูน มิฉะนั้นระหว่างการเสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมพสกนิกรใกล้ไกล ชาวบ้านไม่ได้ใช้ราชาศัพท์กับพระองค์ก็คงติดคุกหัวโตกันหมดแล้ว

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

มาอาศัยแผ่นดินเกิดจริงๆ ถึงได้อยู่บนผืนดินไทยไม่ได้ นามสกุลออกดังไม่นึกถึงต้นตระกูลที่ทำความดีมา เลย

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ไม่ได้รู้จริงอย่าวิจารณ์ ประเทศไทยไม่ใช่ขี้ข้าฝรั่ง
อยากล้มระบบชนชั้น ช่วยหันกลับไปดูช่องว่างระหว่างท่านเศรษฐีทักษินและพรรคพวก (ระบบทุนนิยมที่ยกย่องกันนักหนา)กับคนจนในเมืองไทยเถอะ ช่วยถามทักษินหน่อยทำไมเลี่ยงภาษี หนีภาษี คอร์รัปชั่น อิงเผด็จการจนได้สัมปทานโทรศัพท์ นี่ไม่ใช่อภิสิทธิ์ชนเหรอ ในหลวงยังต้องเสียภาษี ทักษินเป็นใครไม่ทราบ
ไม่ได้อยู่เมืองไทย ไม่เข้าใจอะไร ขอร้องอย่าบ่อนทำลาย

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ดดนขนาดนี้แล้วคงจะรู้นะว่า คนไทยที่เป็นคนไทยทั้งตัวและหัวใจเขารู้สึกยังไงกับสถาบัน อย่ากลับมาเขียนอีกเลย ฝรั่งเศสนะมันก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตั้งสามรอบอยุ่เมืองนอกรึเปล่าเนี่ยอยู่ไปเรื่อยๆนะดีแล้วอย่ากลับมาแผ่นดินแม่เลยนะ ขอร้อง