วันจันทร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2551

บทความ "เปิดแนวรบใหม่ นอกพื้นที่อำนาจของศัตรู ?? " และ แถลงการณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ขอลี้ภัยการเมืองด้วยเหตุผล"ไม่เห็นด้วยกับกระบวนการยุติธรรม"


เมื่อเย็นวันอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ มีข่าวแวบขึ้นมาว่า อดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัว ได้ยกเลิกตั๋วเครื่องบินที่จะเดินทางกลับประเทศไทยแล้ว สื่อทั้งหลายก็ตรวจสอบข่าวสารกันจ้าละหวั่นว่า เรื่องนี้มีความจริงเพียงใด และถ้าจริง จะมีความหมายอย่างไรต่อการเมืองไทย

ขบวนการต่อต้านทั้งหลาย ก็เงี่ยหูฟังสัญญาณอย่างสนใจ เพราะต้องช่วงชิงโอกาสทำคะแนนกับผู้สั่งการ ด้วยการทิ่มแทงคุณทักษิณให้ลึกลงไปอีก

ประชาชนผู้สนับสนุนคุณทักษิณก็ไม่สบายใจ เพราะมุ่งมั่นมาแล้วว่า ฝ่ายประชาธิปไตยต้องลุกขึ้นสู้อย่างเต็มกำลัง ฝ่ายอำมาตย์เขาส่งสัญญาณมาแล้วว่า เที่ยวนี้เอาตาย แล้วจะปล่อยให้เขาสมใจหรือ

ในประเด็นว่า คุณทักษิณจะกลับหรือไม่ หรือเมื่อไหร่ แนวความคิดแต่ละฝ่ายออกจะชัดเจนอยู่แล้ว เกือบจะเป็นบทละครที่เขียนไว้ล่วงหน้าได้เลย

ฝ่ายอำมาตย์จะคิดว่า ตนเองประสบความสำเร็จด้วยการไล่ทักษิณให้พ้นจากพื้นที่อำนาจของตนได้สำเร็จ ก็จะติดตามสถานการณ์ไประยะหนึ่ง หากไม่กลับมาจริง ก็จะใช้ประสบการณ์ที่เคยใช้มากับท่านปรีดี พนมยงค์ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ศรีบูรพา ฯลฯ นั่นคือ ป้ายสีในประเทศให้กลายเป็นของเหม็นเน่า จนเข้าขั้นของต้องห้าม เพื่อมิให้ใครบังอาจเอ่ยถึงอีก

การทำให้ลืมไปเฉยๆ เป็นวิธีการอย่างหนึ่งที่เคยใช้ได้ผลมาแล้ว เพราะเสมือนลบออกไปเสียจากประวัติศาสตร์ ทั้งที่ยังมีตัวเป็นๆ อยู่ ท่านปรีดีนั้นหายไปตั้งแต่เกิดรัฐประหาร พ.ศ.๒๔๙๐ แล้วกลับมา “เกิดใหม่” นั่นคือ มีผู้ที่กล้าเอ่ยถึง พูดถึงอีกครั้ง ก็เมื่อหลังเหตุการณ์วันประชาปีติ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๖ ห่างกันถึง ๒๖ ปีเต็ม

คราวนี้ก็จะงัดมาใช้อีกครั้งกับทักษิณ -หากไม่กลับมาจริง ฝ่ายที่สอง คือลูกน้องของอำมาตย์ ที่เขย่าบ้านเมืองอยู่ตามถนนหนทาง และตามสื่อกระแสหลักทั้งหลาย โดยเฉพาะกลุ่มพันธมิตรฯและ ASTV กลุ่มนี้จะรีบออกมาทวงว่า คุณทักษิณตัดสินใจไม่กลับ เป็นเพราะตนโดยตรง ตนเองได้โยนระเบิดลูกแล้วลูกเล่าเข้าใส่ จนเกิดผล ก็สมควรที่ตนจะได้รางวัลจากฝ่ายอำมาตย์ ที่มาใช้งานพวกตนอย่างสมราคา ตามข่าวแจ้งว่า ราคาที่ว่านั้น คือการสนับสนุนให้ตั้งพรรคการเมืองที่มีชื่อว่า “เทียนแห่งธรรม” ขึ้นมา เพื่อสืบทอดอำนาจที่กำลังจะหมดลง

แต่ผมเชื่อว่า อำมาตย์เขาฉลาดกว่านั้น เขาคงรู้ว่า การใช้งูพิษไปขบกัดศัตรูนั้นทำได้ แต่จะให้กอดงูพิษนั้นแนบอกไว้อย่างรู้บุญคุณ จนวันหนึ่งงูพิษแว้งกัดตน ก็คงจะเขลาเกินการณ์ ดังนั้น จะทำเหมือนสถานเสาวภา จับงูมารีดพิษออกเสียใหม่หมด เพื่อเอาพิษนั้น มาทำเซรุ่มแก้พิษงูตัวอื่นๆ ต่อไปอีก เพราะเปรียบไปแล้ว กลุ่มพันธมิตรฯและ ASTV เป็นเพียงงูพิษตัวหนึ่ง ในบ่อสีขาวขนาดใหญ่ของสถานเสาวภา ซึ่งเป็นหน่วยงานในความดูแลของสภากาชาดไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ เท่านั้นเอง ไม่ใช่พญานาคราชแต่อย่างใด

ส่วนฝ่ายผู้สนับสนุนคุณทักษิณที่มีอยู่มากนั้น จะรู้สึกถึงเรื่องนี้ออกเป็น ๒ ทาง

ผู้คนที่รู้เรื่องลึกซึ้งจะอนุโมทนา ด้วยรู้ว่า เป็นยุทธวิธีอย่างหนึ่งในสนามรบ และไม่ใช่การยอมแพ้

ผู้คนที่รู้ไม่ลึกเท่าหรือไม่รู้อะไรนัก จะเกิดความตระหนก แม่ทัพหลบออกนอกสนามรบ ไพร่พลจะสู้กันต่อไปได้หรือ

แต่ทั้งสองกลุ่มนี้ คงจะเย็นลงทันทีที่เกิดการสื่อสารจากคุณทักษิณโดยตรง โดยเฉพาะเมื่อยืนยันว่า การถอยนั้นไม่มี จะยืนยันจากที่ไหนก็ไม่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นความคิดเห็นของฝ่ายไหนก็ตาม

ถ้าหากเรื่องนี้เกิดเป็นความจริงขึ้นมา การตัดสินใจครั้งนี้ จะส่งผลสะเทือนเลื่อนลั่นต่อราชอาณาจักรไทยทั้งหมด เพราะเท่ากับคุณทักษิณ กำลังเปิดแนวรบใหม่นอกพื้นที่อำนาจของศัตรูโดยตรง

เผด็จศึกง่ายกว่ากันเยอะ.


กาหลิบ

11 สิงหาคม 2551
นสพ.โลกวันนี้


**********

สำเนาแถลงการณ์ที่เขียนด้วยลายมือ








แถลงการณ์เรื่อง


การไม่ไปรายงานตัวต่อศาลฎีกา
แผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง



ก่อนอื่นกระผมต้องกราบขออภัยต่อคณะผู้พิพากษาคดีที่ดินรัชดาและพี่น้องประชาชนผู้สนับสนุนผมทุกท่าน ที่ผลและภรรยาได้เดินทางมาพำนักที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นประเทศที่ยึดหลักการประชาธิปไตยเหนือสิ่งอื่นใดและไม่ได้ไปรายงานตัวต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง

สิ่งที่เกิดขึ้นกับผมและครอบครัว พร้อมกับบุคคลผู้ใกล้ชิดเป็นผลพ่วงต่อเนื่องมาจากความต้องการขจัดผมออกจากการเมือง ด้วยการพยายามลอบสังหาร ตามมาด้วยการปฏิวัติรัฐประหาร แต่งตั้งคณะบุคคลที่เป็นปฏิปักษ์มาสอบสวนดำเนินคดีเฉพาะตัวผมและครอบครัวร่างรัฐธรรมนูญที่สืบทอดอำนาจเผด็จการ แต่งตั้งบุคคลที่สนับสนุนการปฏิวัติรัฐประหารทั้งทางตรงและทางอ้อมเข่าไปเป็นกรรมการในองค์กรต่าง ๆ เพื่อดำเนินการกับผม เมื่อมีการเลือกตั้งในวันที่ 23 ธันวาคม 2550ประชาชนส่วนใหญ่ก็ยังคงเลือกพรรคพลังประชาชน ที่ผู้สมัครส่วนใหญ่มาจากพรรคไทยรักไทยเดิมให้กลับคืนมาทำหน้าที่ตัวแทนของพวกเขา

ผมคิดว่าเหตุการณ์คงจะดีขึ้น ผมคงมีโอกาสได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์และได้ความเป็นธรรมจึงเดินทางกลับประเทศไทย เมื่อวันที่ 28 ก.พ.51แต่เหตุการณ์กลับยิ่งเลวร้ายเพราะสิ่งเกิดขึ้นกับตัวผมและครอบครัวเป็นเสมือนผลที่เกิดจากต้นไม้ที่เป็นพิษ ผลของมันก็ย่อมเป็นพิษตามไปด้วย นั้นก็คือ ยังคงมีการสืบทอดระบอบเผด็จการในการจัดการ การเมืองไทยในระบอบประชาธิปไตย ตามด้วยการแทรกแซงกระบวนยุติธรรม โดยเอาผลลัพธ์ที่อยากจะได้เป็นตัวตั้ง เพื่อจัดการกับผมและครอบครัว ซึ่งบุคคลกลุ่มนี้ถือว่าผมเป็นศัตรูทางการเมือง โดยไม่คำนึงถึงระบบกฎหมาย ระบบข้อเท็จจริง

และการสอบสวนดำเนินคดีตามหลักนิติธรรมสากล ไม่ว่าจะเป็นกฏหมายว่าด้วยพยานหลักฐาน การบังคับใช้กฏหมายที่มีผลเป็นโทษย้อนหลัง ไม่ยอมใช้หลักฐานหลักนิติธรรมและหลักนิติรัฐ ผมและครอบครัวได้ถูกดำเนินการอย่างไม่เป็นธรรมเช่นนี้มาอย่างต่อเนื่อง

การแทรกแซงกระบวนยุติธรรมและการใช้ระบบ 2.มาตราฐานที่เห็นได้อย่างชัดเจน ทำให้ผมและครอบครัว พร้อมด้วยผู้ที่เกี่ยวข้อง ไม่ได้รับความเป็นธรรม ก็นับว่าหนักหนาแล้ว แต่ยังเทียบไม่ได้กับการที่ระบบกระบวนการยุติธรรมของประเทศ และองค์กรที่เกี่ยวข้องที่มีเกียรติมีความน่าเชื่อถือสั่งสมมาเป็นเวลายาวนานต้องเสื่อมลง เพราะถูดนำมาใช้ทางการเมืองจนขาดความเป็นกลางซึ่งเป็นผลเสียต่อประเทศอย่างใหญ่หลวง

นอกจากนี้ ผมได้รับข่าวสารตลอดเวลาว่า ชีวิตของผมไม่ปลอดภัยเดินทางไปไหนมาไหน จึงต้องใช้รถกันกระสุน นี่คือ ผลที่ได้รับจากการที่ผมอาสาเข้ามาทำงานรับใช้ประเทศชาติ ราชบัลลังก์ และประชาชน ด้วยความทุ่มเททำงานอย่างหนัก มาตลอดระยะเวลาเกือบ 6 ปี ที่ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี

ผมจึงขอกราบขออภัยอีกครั้งหนึ่งที่ต้องตัดสินใจ มาอยู่ที่ประเทศอังกฤษ และขอยืนยันว่า


1. ผมและครอบครัวมีความจงรักภักดีต่อ สถาบันพระมหากษัตริย์และพระราชวงค์ทุกพระองค์อย่างหาที่สุดมิได้ แม้ว่ามีผู้จงใจใส่ร้ายมาโดยตลอด

2. ถึงแม้ผมไม่ใช่คนดีสมบูรณ์แบบ แต่ผมขอยืนยันว่าผมไม่ได้เลวอย่างที่ถูกกล่าวหา เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมผมจะแถลงความจริงให้ทุกท่านทราบ วันนี้ยังไม่ใช่วันของผม ขอให้ผู้สนับสนุนผมอดทนอีกนิดนึงครับ

3. หากผมยังมีวาสนา ผมจะขอกลับมาตายบนผืนแผ่นดินไทย เฉกเช่นคนไทยทุกคนครับ


ด้วยความเคารพรัก

พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร


*********

หมายเหตุ
การเน้นข้อความทำโดยความเห็นของผู้จัดเก็บบทความ

ไม่มีความคิดเห็น: