The Real News Network
Paul Jay interview
แปลและเรียบเรียงโดย : chapter 11
ใจ อึ้งภากรณ์เป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ของคณะรัฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ใจยังเป็นสมาชิกของกลุ่มสังคมนิยมไทยเอียงซ้าย ใจขณะนี้ถูกกล่าวหาในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เนื่องมาจากหนังสือที่ขายเกลี้ยงของเขาชื่อ “รัฐประหารสำหรับคนรวย” ตีพิมพ์ในปี 2550 ใครที่ถูกตัดสินว่าผิดในคดีหมิ่นฯจะโดนโทษจำคุก 15 ปี ใจให้สัมภาษณ์จากกรุงเทพฯ
การเก็บกดทางการเมืองของประเทศไทย
ภาค 1
พอล เจ: ขอบคุณที่ให้เราสัมภาษณ์นะครับ
ใจ: ครับ
พอล เจ: คุณใจ เท่าที่ผมเข้าใจว่าคุณเพิ่งกลับจากอังกฤษ และเมื่อไปถึงไทยก็มีหมายเรียกตัวรอคุณอยู่แล้ว ผมเดาว่าคุณไปที่สถานีตำรวจและรับข้อกล่าวหาในคดีหมิ่นฯ คุณมีโอกาศที่จะต้องโทษจำคุกไหม ทำไมเขาถึงได้กล่าวหาคุณตั้งแต่แรก และโดยทั่วไปคุณเป็นห่วงในเรื่องการให้สัมภาษณ์ในครั้งนี้ไหม
ใจ: ผมไม่ห่วงเรื่องที่ผมจะพูดอะไรในการให้สัมภาษณ์ เพราะผมคิดว่าการจะต่อสู้กับข้อกล่าวหาหมิ่นฯนี้ จะต้องรณรงค์อย่างเปิดเผยต่อสายตาประชาชน ในขณะนี้รัฐบาลไทย รมว ยุติธรรมได้พยายามบอกสื่อโดยเฉพาะในประเทศไทยว่า ไม่ต้องเสนอข่าวหมิ่นฯ ในสถาณการณ์เช่นนี้ซึ่งมีคนหลายคนที่ต้องคดีดังกล่าวอยู่ มีหลายคนติดคุก ประมาณ 100 คนในคุก และคนเหล่านี้ได้ถูกพิจารณาคดีอย่างเป็นความลับ และเมื่อคนเหล่านี้ติดคุก ก็ลืมไปได้เลย
พอล เจ: สื่อไทยทำตามหรือ
ใจ: เป็นเรื่องที่น่าเสียใจว่าสื่อไทยทำตาม ใช่ สื่อที่กล้ารายงานก็มีแต่สื่อต่างประเทศ
พอล เจ: ผมเข้าใจว่ากองทัพไทยเป็นเจ้าของสถานีทีวีบางช่อง ไม่มีสถานีทีวีอิสระที่นั่นหรือ
ใจ: เป็นที่น่าเสียใจว่า สถานีทีวีอิสระได้หายไป สื่อเสรีได้หายไป เรามีแต่สื่ออิสระทางอินเตอร์เน็ต ซึ่งดำเนินงานจากพวกมือสมัครเล่น เป็นต้น สื่อไทยได้ทำการเซ็นเซ่อร์การเสนอข่าวของตัวเอง นี่ก็คือปัญหาใหญ่ เพราะจะไม่มีการรณรงค์ให้เรื่องคดีต่างๆโปร่งใส
พอล เจ: ช่วยอธิบายให้ชัดขี้นหน่อยครับ จากมุมมองข้างนอกแบบตะวันตกนี้ เราเห็นการประท้วงที่สนามบิน ดูเหมือนเป็นการประท้วงอย่างประชาธิปไตยต่อต้านรัฐบาล รัฐบาลเก่าไป รัฐบาลใหม่ขี้นมามีอำนาจ
ใจ: ในปี 2549 มีการประท้วงหลายครั้งกับรัฐบาลในขณะนั้่น ซึ่งเป็นรัฐบาลที่ได้รับคะแนนเสียงอย่างท่วมท้นจากคนจน เพราะนโยบายเพื่อคนจน เช่น สามสิบบาทรักษาทุกโรค เป็นต้น นี่ทำให้กองทัพทำการรัฐประหารในเดือนกันยายน 2549 กองทัพพยายามยกเลิกกฎต่างๆที่เกี่ยวกับประชาธิปไตย กองทัพฉีกรัฐธรรมนูญฉบับเก่าทิ้ง และร่างฉบับตัวเองขี้นมาใหม่ ซึ่งลดอำนาจความเป็นประชาธิปไตยลง ครึ่งหนึ่งของสมาชิกวุฒิสภามาจากการแต่งตั้ง และใช้ศาลซึ่งอยู่ฝ่ายเดียวกับกองทัพ และใช้อำนาจยุบรัฐบาลเก่า หนึ่งปีหลังจากการทำรัฐประหาร ได้มีการเลือกตั้งอีกครั้ง รัฐบาลเก่าก็ยังได้รับเสียงข้างมาก กลุ่มคนประท้วงที่เราเห็นยึดสนามบิน ปิดสนามบิน พยายามกระตุ้นให้เกิดวิกฤติ และพวกเขาก็ทำได้ เป็นการสร้างแรงกดดัน รวมถึงจากศาลที่สั่งยุบพรรคการเมืองนั้นอีกครั้งหนึ่ง และขณะนี้เรามีพรรคการเมืองซึ่งนักการเมืองของพรรคนี้ไม่เคยได้รับเสียงข้างมากสักครั้ง รัฐบาลนี้มีกองทัพ มีพันธมิตรที่ปิดสนามบินหนุนหลังอยู่ และก็มามีอำนาจในขณะนี้ด้วย พันธมิตรได้เรียกตัวเองว่าพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตยมีแนวคิดชาตินิยมขวาจัด (Fascism) ใส่เสื้อเหลือง พวกเขามีคำขวัญสำหรับฝ่ายขวาจัดว่า ให้รักชาติ ศาสนา และกษัตริย์
พอล เจ: เรากำลังมองว่าเป็นการต่อสู้ระหว่างศักดินาด้วยกันเอง หรือเป็นการต่อสู้ของศักดินาที่เอียงขวากับศักดินาที่เป็นกลาง หรือว่าเป็นการต่อสู้ของศักดินากับพรรคการเมืองที่เป็นที่นิยมของประชาชน
ใจ: เรากำลังมองว่าเป็นการต่อสู้ระหว่างศักดินาอนุรักษ์นิยม ซึ่งรวมถึงพันธมิตร กองทัพ พรรคประชาธิปัตย์ เป็นต้น กับพรรคการเมืองที่เป็นที่นิยม ซึ่งมีนักธุรกิจเป็นผู้บริหาร แต่ได้รับการสนุนสนุนจากคนจน เรื่องยุ่งยากขี้นก็มาจากความจริงในขณะนี้ที่ว่าคนจนได้รวมตัวกันโดยการใส่เสื้อแดง ซึ่งตรงข้ามกับพันธมิตรเสื้อเหลือง และพวกเขาต้องการจะมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกของเขา ไม่ใช่รัฐบาลที่มาจากกองทัพ
พอล เจ: ดังนั้นการประท้วงที่สนามบินจริงๆแล้วเป็นการเคลื่อนไหวของกลุ่มฝ่ายขวา
ใจ: แน่นอน ใช่ และพวกฝ่ายขวาเหล่านี้ได้ทำให้มีคดีหมิ่นฯมากขี้น
พอล เจ: กษัตริย์ได้แสดงให้เห็นชัดไหมว่าท่านได้อยู่ข้างเดียวกับรัฐบาลเสื้อเหลือง ขบวนการเสื้อเหลือง และกองทัพได้อยู่ข้างเดียวกันด้วยหรือไม่
ใจ: ไม่แน่ใจว่ากษัตริย์อยู่ฝ่ายไหน รัฐประหารในปี 2549 กองทัพอ้างว่ากษัตริย์ทรงมีความเห็นชอบ แต่กษัตริย์ไม่เคยแสดงออกมาและตรัสอย่างชัดแจ้ง ในความเห็นของผมนั้นจริงๆแล้วคนที่ใช้กฎหมายหมิ่นฯได้อ้างว่าทำเพื่อกษัตริย์ แต่แท้ที่จริงได้ใช้กฎหมายที่ล้าหลังเพื่อให้คนที่ไม่เห็นด้วยกับการทำรัฐประหารหรือคนที่ต้องการประชาธิปไตยได้เงียบเสียง ประเทศไทยมีประวัติยาวนานในเรื่องการใช้กฎหมายหมิ่นฯเพื่อกำจัดนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม
พอล เจ: กษัตริย์จะต้องอนุญาตในการตั้งข้อกล่าวหา หรือรัฐบาลฟ้องร้องได้เอง
ใจ: เป็นกฎหมายที่แย่มากในข้อที่ว่าคนทั่วไปจะฟ้องใครก็ได้ ไม่เคยมีการกล่าวหาออกมาจากในวัง และไม่ค่อยมีที่รัฐบาลจะฟ้องร้องเช่นกัน ดังนั้นพวกฝ่ายขวาสติไม่ดีก็สามารถตั้งข้อกล่าวหาใครก็ได้ และตำรวจก็จะต้องทำการสืบสวน ดูเหมือนในขณะนี้ ทหารซึ่งเหมือนจะเคียงข้างตำรวจในการรับข้อกล่าวหานั้นและสั่งฟ้องศาล
พอล เจ: ทำไมถึงได้ฟ้องคุณ
ใจ: หลังจากรัฐประหารไม่นาน ผมได้เขียนหนังสือชื่อว่า “รัฐประหารสำหรับคนรวย” ในหนังสือนี้ผมได้แย้งว่าการทำรัฐประหารเป็นความไม่ชอบธรรม และกองทัพบกได้ใช้อำนาจของกษัตริย์เพื่อให้การรัฐประหารเป็นการกระทำที่ถูกต้อง ผมแย้งว่าคนที่สนับสนุนการทำรัฐประหารนี้ไม่มีความเป็นประชาธิปไตยเอาเสียเลย และได้ขัดคำสั่งของศาล ถ้าคุณลองมองคนที่ให้การสนับสนุนการทำรัฐประหารซึ่งมีพวกพันธมิตร กองทัพบก และนักการเมืองพรรคประชาธิปัตย์ คนเหล่านี้ได้เชื่ออย่างจริงจังว่าคนส่วนใหญ่ของประเทศไทยไม่ดีพอที่จะลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ดังนั้นเป็นการที่เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องมีการโต้แย้งอย่างจริงจังถึงฐานะของสถาบันกษัตริย์ และผมได้ตั้งคำถามหลายคำถาม เช่น กษัตริย์ในระบบการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขควรปกป้องรัฐธรรมนูญและประชาธิปไตย และควรจะอยู่ตรงข้ามกับการทำรัฐประหาร ผมต้องการความโปร่งใส ดังนั้นเราจะได้เห็นกันชัดๆว่ากษัตริย์ได้อยู่เบื้องหลังการทำรัฐประหารหรือไม่ หรือแท้จริงแล้วกองทัพอ้างไปเอง ผมเชื่อว่ามันเหมือนการสร้างนิยายขี้นมาในประเทศไทยว่ากษัตริย์มีอำนาจใหญ่หลวงเพื่อจะได้ขู่คนที่ไม่เห็นด้วย
พอล เจ: แต่ที่แน่ว่ากษัตริย์ควรตรัสอะไรบ้างอย่าง ถ้าท่านมีพระประสงค์ อะไรที่คิดว่ากษัตริย์จะเป็นอิสระจากกองทัพ
ใจ: ผมเชื่อว่ากษัตริย์ทรงอ่อน ผมเชื่อว่ากษัตริย์ได้ครองราชย์มานานและค่อนข้างจะคุ้นเคยกับกองทัพแบบเผด็จการ มีการกล่าวว่ากษัตริย์ควรจะปรากฎพระองค์และตำหนิกองทัพ แต่กษัตริย์ไม่ทรงกระทำ ผมยังไม่เชื่อว่ากษัตริย์ได้วางแผนในการทำรัฐประหาร แต่คนไทยหลายๆคนเชื่ออย่างนั้น และนั่นทำให้มีแนวโน้มที่จะก่อให้ราชวงศ์เกิดวิกฤติเพราะคนหลายล้านคนไม่มีความสุขจากการทำรัฐประหาร และก็ยังรู้สึกเช่นนั้นจนถึงตอนนี้
พอล เจ: ในภาคสองของการสัมภาษณ์นี้ จะถกเถียงกันเกี่ยวกับเนื้อหาในอดีตว่าประเทศไทยเป็นประเทศแรกที่มีเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมใหม่กับไอเอ็มเอฟ และความสิ้นหวังระหว่างคนรวยและคนจนที่แตกต่างกันมากเหลือเกิน เรามาดูมุมมองกว้างๆของประเทศไทย มาพบกับการสัมภาษณ์กับ ใจ อี้งภากรณ์ในภาคต่อไป
ยินดีต้อนรับเข้าสู่การสนทนาภาคที่ 2
พอล เจ: คุณช่วยให้รายละเอียดของสงครามโลกครั้งที่ 2 และหลังจากสงครามเวียตนาม ที่ซึ่งทหารอเมริกันมีอิทธิพลมาก และอำนาจของกองทัพอเมริกา อำนาจเงิน และมีส่วนในการหล่อหลอมเศรษฐกิจไทยและการเมืองไทย ช่วยให้เบื้องหลังซึ่งทำให้คุณโดนกล่าวหา
ใจ: สำหรับประเทศไทย ชนชั้นปกครองของไทยจะเป็นมิตรกับรัฐบาลอเมริกาเสมอ โดยเฉพาะในระหว่างช่วงสงครามเย็น แต่ผมคิดว่า มันเริ่มมาตั้งแต่เมื่อครั้งวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 ก่อนหน้านั้นรัฐบาลไทยได้ใช้นโยบายเศรษฐกิจแนวอนุรักษ์นิยม เสรีนิยมใหม่ เป็นต้น วิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 มีผลมาจากนโยบายเสรีนิยมใหม่
พอล เจ: ช่วยให้คำอธิบายของคำว่านโยบายเสรีนิยมใหม่ในประเทศไทย
ใจ: ผมคิดว่า ประมาณปี 2523 มีการเปลี่ยนไปสู่อุตสาหกรรมการส่งออก มีความพยายามอย่างมากที่จะให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุน สิ่งที่ผลักดันให้ไปถึงขั้นเกิดวิกฤติก็คือการเปิดเศรษฐกิจไทยกับเงินร้อน ให้เงินไหลเข้าออกได้อย่างรวดเร็ว และเมื่อถึงปลายปี 2533 เศรษฐกิจไทยเริ่มมีปัญหา เงินบาทลอยตัว ดังนั้นในความเห็นของผม เศรษฐกิจในปี 2540 เป็นผลมาจากเสรีนิยมใหม่ ตลาดการค้าที่ล้มเหลว และเมื่อตอนนั้น คุณทักษิณและพรรคไทยรักไทยขี้นมา เพราะคุณทักษิณเป็นนักธุรกิจผู้มั่งคั่ง การจะให้ไทยออกจากวิกฤติเศรษฐกิจได้จะต้องใช้นโยบายเศรษฐกิจแบบผสมผสาน คุณทักษิณนิยมการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ การค้าเสรีในระดับโลก แต่ในประเทศไทย คุณทักษิณเชื่อว่าการแก้ไขเศรษฐกิจของไทยที่แท้จริงแล้วคือการเพิ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจกับคนจน ดังนั้นทักษิณจีงเสนอนโยบายต่างๆสำหรับคนจน ที่สำคัญมากคือ สามสิบบาทรักษาทุกโรค ทักษิณพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจระดับหมู่บ้านซึ่งทำให้เป็นที่นิยมของประชาชนอย่างมหาศาล ทำให้กองทัพ และนักการเมืองเสรีนิยมใหม่รุ่นเก่า(นักการเมืองรุ่นเก่า) และชนชั้นกลางเหล่านี้ ซึ่งเป็นตัวการทำให้เกิดการประท้วงและรัฐประหารในปี 2549
พอล เจ: เกิดอะไรขี้นต่อมา เศรษฐกิจโลกถดถอย ประเทศไทยคงได้รับผลกระทบอย่างหนักในเหตุการณ์ครั้งนี้ วิกฤติครั้งนี้มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างไร และจะเกิดอะไรขี้นหลังจากนี้ในมุมมองทางการเมือง
ใจ: คนจะตกงานมากขี้น โดยเฉพาะในบริษัทต่างชาติซึ่งต้องลดขนาดลง ทั้งบริษัทอเมริกาและญี่ปุ่น เป็นต้น ประเทศไทยจะไม่สามารถส่งออกไปยังประเทศที่เกิดวิกฤติ และนอกเหนือจากนั้นผลกระทบจากการปิดสนามบิน ทำให้นักท่องเที่ยวลดลง
พอล เจ: ผมทราบว่าการท่องเที่ยวเป็นการทำรายได้อันดับหนึ่งของประเทศไทย ยังเป็นแบบนี้หรือไม่
ใจ: การท่องเที่ยวก็สำคัญ แต่การส่งออกสำคัญกว่า เช่น สินค้าอีเลคโทรนิค สินค้าอาหาร และอื่นๆ รัฐบาลไทยที่มีกองทัพหนุนหลังในขณะนี้เป็นรัฐบาลที่มีประวัติในด้านการควบคุมการเงิน (monetarism) เสรีนิยมใหม่ (neo-liberalism) และนี่เป็นนโยบายที่ผิดในการจะกระตุ้นเศรษฐกิจ สิ่งที่เราต้องการคือให้รัฐบาลรักษางานและเพิ่มอำนาจการซื้อ แต่ผมไม่คิดว่ารัฐบาลนี้สนใจกับคนจนเพราะเมื่อนักการเมืองเหล่านี้เข้ามามีอำนาจ ก็จะมองข้ามคนจน
พอล เจ: ดังนั้นขณะนี้จีงมีการประท้วงต่อต้านรัฐบาลปัจจุบันที่มาจากรัฐประหาร จะขยายไปถึงขนาดไหนก็ขี้นกับบทบาทของกองทัพ และผลที่เกิดตามมาจะเป็นอย่างไร
ใจ: คนที่ประท้วงเป็นคนแก่ ซึ่งตรงข้ามกับเสื้อเหลืองที่เราเคยเห็นตอนยึดสนามบิน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกองทัพ ราชินี และศักดินา ดังนั้นกลุ่มคนประท้วงเหล่านี้อาจจะเสียเปรียบ มีอีกเรื่องหนึ่งก็คือคนไทยเบื่อหน่ายกับความวุ่นวายที่เกิดขึ้นไม่จบไม่สิ้น ดังนั้นเราจะไม่เห็นการขยายตัวมากนัก แต่ผมคิดว่าขี้นอยู่กับการที่รัฐบาลปัจจุบันจะจัดการกับวิกฤติเศรษฐกิจอย่างไรในอีก 6 เดือนข้างหน้า
พอล เจ: สื่อมวลชนสนับสนุนรัฐบาลปัจจุบันนี้หรือไม่
ใจ: สื่อมวลชนสนับสนุนรัฐบาลปัจจุบันเต็มที่ และอย่างที่ผมเคยพูดไว้แล้วว่า สื่อไม่เสนอข่าวคดีหมิ่นฯ
พอล เจ: แล้วคดีของคุณจะเป็นอย่างไรอีกต่อไป
ใจ: ผมต้องไปรายงานตัวกับตำรวจวันอังคารนี้ ตำรวจจะแจ้งข้อหาผม เราตั้งใจสู้กับเรื่องนี้ ไม่เพียงแต่คดีของผม แต่ทุกคดีในขณะนี้ มีชาวออสเตรเลียที่ถูกจำคุกก่อนจะมีการตัดสิน มีผู้หญิงที่ถูกจำคุก มีผู้ชายคนหนึ่งที่ถูกจับ มีการฟ้องนักข่าวบีบีซี ทุกอย่างดูเหมือนจะอยู่เหนือการควบคุม ยังกับอยู่ในยุคล่าแม่มด
พอล เจ: ขอบคุณมากสำหรับการให้สัมภาษณ์ในครั้งนี้ วันอังคารนี้ขอให้คุณโชคดีและขอบคุณ และเราจะยังคงติดตามเรื่องของคุณใจและเรื่องที่จะเกิดขี้นในประเทศไทย กรุณาติดตามรับชมได้ใหม่
ใจ อี้งภากรณ์เป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ของคณะรัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นสมาชิกของกลุ่มสังคมนิยม
บทสัมภาษณ์จาก : The Real News Network
ที่มา : Liberal Thai : สัมภาษณ์ อ.ใจ อึ้งภากรณ์
วันเสาร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2552
การเก็บกดทางการเมืองของประเทศไทย : The Real News สัมภาษณ์ อ.ใจ อิ้งภากรณ์
ผู้จัดเก็บบทความ
เจ้าน้อย ณ สยาม
ที่
12:51 ก่อนเที่ยง
1 ความคิดเห็น
วันศุกร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2552
ปาฐกถาเบเนดิค แอนเดอร์สัน : ลัทธิชาตินิยมเก่าและใหม่
เกือบ 150 ปีที่มาแล้ว ลอร์ด แอคตัน นักประวัติศาสตร์ชื่อดังแห่งสหราชอาณาจักร ได้แสดงความวิตกกังวลต่ออนาคตว่า จะมีอำนาจที่ทรงพลังอย่างยิ่งเข้ามาคุกคามความชอบธรรมทางกฎหมาย สิ่งนั้นคือ ‘ลัทธิชาตินิยม’
สำหรับ คำว่า ‘ความชอบธรรมทางกฎหมาย’ เขาหมายถึง ระเบียบทางสังคมที่ถูกสถาปนาขึ้นโดยถูกเข้าใจว่าเป็นดั่งมรดกอันยิ่งใหญ่จากอดีต การที่จะเข้าใจแนวคิดนี้ได้อย่างกระจ่างชัด สิ่งหนึ่งที่ต้องจดจำต้องย้อนไปถึงปี ค.ศ. 1870 ครั้งที่ประเทศฝรั่งเศสได้กระทำการโค่นล้มราชวงศ์ ประเทศมหาอำนาจทั้งในยุโรป เอเชีย และแอฟริกา ต่างถูกปกครองโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอย่างกว้างขวาง การผสมกันของความแตกต่างของประชาชนที่มีภาษาต่างกัน รวมทั้งศาสนาและวัฒนธรรม และครึ่งซีกโลกตะวันตกก็ได้ตกอยู่ในกรณีเหล่านี้เช่นกัน ท่านลอร์ดแอคตันไม่ใช่ผู้ที่ต่อต้านการเปลี่ยนแปลง ท่านปรารถนาถึงเสรีนิยมด้วยความเชื่อที่ตั้งมั่นแห่งหลักเหตุผลนิยม และท่านได้พบว่าลัทธิชาตินิยมโดยแท้จริงแล้วเป็นสิ่งไร้ซึ่งเหตุผลและดูเหมือนว่าเป็นสิ่งซึ่งทำลาย
ความหวาดกลัวของท่านลอร์ดแอคตันเป็นสิ่งที่พิสูจน์ตัวท่านให้เป็นนักพยากรณ์ล่วงรู้การณ์ภายหน้า การปกครองโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขมีความยุ่งเหยิงอันใหญ่หลวงต่อลัทธิชาตินิยม เหตุเพราะเป็นการสร้างแนวคิดของความไม่เท่าเทียมกันทางประเพณีและความเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของการจัดระบบทางชนชั้น ขณะที่ลัทธิชาตินิยมเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความเท่าเทียมในด้านต่างๆกันอย่างสมบูรณ์ และก่อให้เกิดสำนึกของชุมชนความเป็นพี่น้องในแต่ละรัฐชาติต่างๆ
การยินยอมที่จะมีความสัมพันธ์ทางการเมืองต่อการตื่นตระหนกของลัทธิชาตินิยม หลายราชวงศ์ต้องสิ้นสุดลงในศตรวรรษที่ 19 ต่อการพยายามดิ้นรนที่จะเป็นรัฐชาติ ซึ่งมีความสำคัญเพื่อปกป้องนโยบาย มากไปกว่านั้นคือความพยายามของราชวงศ์ต่างๆที่ต้องการจะเป็นชาติ เช่น เยอรมัน อังกฤษ ตุรกี รัสเซีย เป็นต้น
ความยุ่งยากไปกว่านั้นคือการที่ประเทศเหล่านี้ต้องเผชิญหน้าจากชนกลุ่มน้อยจากหลายเผ่าพันธุ์ในดินแดนของตน (ชาวไอริช, ชาวโปลิส,ชาวอาหรับ,ชาวกรีก,ชาวยูเครน,ชาวฟินแลนด์ และอื่นๆอีกมากมาย) นอกจากนี้ยังมีปัญหาอื่นๆที่เพิ่มเข้ามาอีก คือการที่ราชวงศ์ต่างๆมีที่มาจากที่อื่น เช่น อังกฤษและกรีซถูกปกครองโดยราชวงศ์เยอรมัน ขณะที่สวีเดนถูกปกครองโดยราชวงศ์จากฝรั่งเศส มันต้องใช้เวลานานถึงสองร้อยปีและสงครามโลกครั้งที่หนึ่งผ่านไปเพื่อทำให้พระเจ้าจอร์จที่หก (พระอัยกาของควีนอลิซาเบธแห่งอังกฤษ) ยอมเรียกชื่อราชวงศ์โดยใช้ภาษาอังกฤษ
ในห้วงระยะเวลาอันสั้นนี้ เป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ก่อให้เกิดลัทธิชาตินิยมขึ้นในสยาม ในช่วงท้ายที่สงครามสิ้นสุดลงนั้น ราชวงศ์ที่ยิ่งใหญ่ทั้งจากยุโรป ตะวันออกกลาง เฉกเช่นเดียวกับการปกครองของราชวงศ์แมนจูในปักกิ่งต่างถูกโค่นล้ม เหลือเพียงสหราชอาณาจักรเท่านั้นที่พ้นจากภัยคุกคามนี้
ในสมาคมรัฐชาติสมัยใหม่นั้น ราชวงศ์ต่างๆกลับกลายเปลี่ยนสภาพเป็นชนกลุ่มน้อย ในขณะที่สมาชิกรัฐชาติต่างๆกลายเป็นสาธารณรัฐในสงครามโลกครั้งที่ 2 และช่วงหลังสงครามเกิดการแพร่กระจายต่อต้านลัทธิเจ้าอาณานิคม ซึ่งเป็นลัทธิชาตินิยมในเอเชียและแอฟริกา เป็นหายนะต่อราชวงศ์เป็นอย่างมาก ทุกวันนี้ มีเพียง 15% ของชาติที่เป็นสมาชิกของสหประชาชาติที่ยังคงมีสถาบันกษัตริย์ดำรงอยู่ และทั้งหมดนั้นเมื่อประชากรรวมกันก็ยังคงน้อยกว่าประชากรของประเทศอินเดียครึ่งประเทศ
ราชวงศ์ต่างๆในยุโรปเหนือ สเปนและญี่ปุ่น ต่างดำรงความเป็นสถาบันอยู่ได้ด้วยการทรงสละพระราชอำนาจทางการเมืองและทรงยินยอมที่จะดำรงอยู่โดยบทบาทเชิงสัญลักษณ์ เว้นแต่ในกลุ่มของรัฐอาหรับโดยมีซาอุดิอารเบีย และในเอเชีย ซึ่งก็คือสยาม ที่เราสามารถพูดได้ว่ามีน้อยกว่า 10 % ของชาติสมาชิกของสหประชาชาติที่สถาบันพระมหากษัตริย์ยังคงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่มีผลบังคับใช้ ในกลุ่มชาติเล็กน้อยเหล่านี้สยามเป็นชาติที่มีประชากรมากที่สุด
อะไรเป็นสิ่งที่ทำให้สยามเป็นที่น่าสนใจศึกษาในเรื่องนี้ ซึ่ง Seton – Watson เรียกมันว่า เป็นลัทธิชาตินิยมอย่างเป็นทางการ เกิดจากการปลุกระดมปฏิกริยาเพื่อนำไปสู่ความคลั่งไคล้ในลัทธิชาตินิยม ซึ่งได้ถูกจัดการเพื่อความอยู่รอด อาจมีเพียงที่สยามประเทศเดียวที่สามารถทำได้แบบนี้ ดังเช่นที่ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ทรงมีพระราชดำริในการสร้างความเป็นชาตินิยม โดยทรงใช้คำว่า ‘ชาติ ศาสน์ กษัตริย์’ ซึ่งยังคงเห็นได้จนถึงปัจจุบัน
เหล่านี้ล้วนเป็นรากฐานต่อการสอดแทรกแนวคิด ความเป็นลัทธิชาตินิยมอย่างเป็นทางการดังเช่นในยุโรป เมื่อ 100 ปีที่แล้ว ใน รัสเซีย ออสเตรีย สหราชอาณาจักร คือคำว่า พระเจ้า กษัตริย์และประเทศ (God , Queen/King and Country) ทุกวันนี้ในยุโรปได้ยกเลิกคำเหล่านี้ไปแล้ว ในทางตรงข้ามกลับนำมาใช้ในความหมายเชิงเย้ยหยันประชดประชันในรายการตลกโทรทัศน์
สิ่งที่ข้าพเจ้าสนใจ คือสิ่งที่นักวิชาการชาวเยอรมันเรียกว่า NACHTRAEGLICHKEIT (ความไม่พอใจ) ซึ่งเป็นเรื่องของทรัพยากรด้านการเมือง ราชวงศ์ในตะวันออกกลางต่างยังคงดำรงความเป็นสถาบันด้วยการสร้างให้เป็นภาพตัวแทนของผู้นำความเป็นโลกมุสลิมผ่านขอบเขตพรมแดนแห่งความเป็นรัฐชาติเดียวกันโดยใช้หลักศาสนาของความเป็นมุสลิมเป็นตัวเชื่อม แต่ในพุทธศาสนาแบบไทยนั้น นับเป็นการปรากฏที่แสดงถึงข้อบ่งชี้อย่างเป็นทางการในตัวเองในทุกๆที่ของการเปลี่ยนผ่านของรัฐชาติ สิ่งเหล่านี้เป็นหนทางที่จะสามารถหนีไปสู่กับดักของเวลาได้หรือไม่นั้น การกลืนกินของระบบสถาบันกษัตริย์ทำได้อย่างไรในสยาม ในช่วง 150 ปี ซึ่งทั่วโลกกำลังพูดถึงในช่วงท้ายของศตวรรษที่ 19 ที่ลัทธิชาตินิยมอย่างเป็นทางการเป็นแบบทดสอบของการข้ามพ้นความล้าสมัยและต้องปราศจากอำนาจจากกองทัพในการข่มเหงด้วยเช่นกัน
ในยุโรปแสดงให้เห็นถึงเหตุการณ์ของการเปรียบเทียบที่น่าสนใจ ดังที่ข้าพเจ้าจะเสนอตัวอย่างดังต่อไปนี้
ประการแรก กระบวนการวัฏจักรที่สมบูรณ์ของระบบสถาบันกษัตริย์และของการสืบราชสันตติวงศ์กว่าหลายพันปีที่แล้วที่ประชาชนส่วนใหญ่ของโลกยังคงคุ้นเคยกับแนวคิดของระบบสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ยังไม่หมดไปและยังไม่ล่มสลายนั้นต่างเต็มไปด้วยพระราชอำนาจ ในจีนมีราชวงศ์ฮั่น ราชวงศ์ถัง ราชวงศ์ซ้ง(ซ้อง) ราชวงศ์หยวน ราชวงศ์หมิง ราชวงศ์แมนจู และในประเทศอังกฤษมี นอร์แมน เวลช์ สก๊อต ดัตช์ และเยอรมัน แต่หลัง ค.ศ.1918 เป็นที่กระจ่างชัดว่าไม่มีราชวงศ์ใหม่ใดเกิดขึ้นได้
หากราชวงศ์ใดล่มสลายลงก็ไม่สามารถมีราชวงศ์ใหม่ๆเกิดขึ้นมาทดแทนได้อีกต่อไปเว้นแต่การมีประนาธิบดีหรือนายกรัฐมนตรีเฉกเช่น จอมพล ป. ซึ่งมีกองกำลังทหารเป็นของตนเองให้เฉกเช่นพระมหากษัตริย์ ทุกคนก็ต่างเย้ยหยันเป็นอันแน่ถ้าจอมพล.ป.กระทำการเช่นนั้น ผู้นำจีน Yuan Shih-kai พยายามกระทำการเช่นนี้มาแล้วเมื่อ ค.ศ. 1910 แต่มีอำนาจปกครองเพียงแค่หนึ่งถึงสองปี จากนั้นจึงถูกสำเร็จโทษประหารชีวิต ความสำเร็จครั้งล่าสุดของราชวงศ์เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อต้นศตวรรษที่ 20 ในนอรเวย์ กว่าร้อยปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังคงมิสามารถถูกแทนที่ด้วยราชวงศ์ใหม่ๆได้
วิกฤติที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องของราชวงศ์ที่มีรูปแบบความแตกต่าง คือ การที่ราชวงศ์ในยุโรปพระมหากษัตริย์มีคู่สมรสเพียงพระองค์เดียว แต่ในเอเชียพระมหากษัตริย์กลับมีคู่สมรสได้จำนวนมาก ในยุโรปมีหลักธรรมเนียมพระราชประเพณีปฏิบัติอย่างหลักๆในการสืบราชสมบัติอยู่สองประการ คือจากคู่สมรสและจากพระราชโอรสองค์โตซึ่งจะสืบราชสมบัติโดยไม่มีผู้ใดคัดค้าน (โดยแบ่งจากการสืบสันตติวงศ์จากกฎมณเฑียรบาลโดยฐานนันดรศักดิ์) และเป็นที่น่าทึ่งที่ราชวงศ์ในยุโรปจำนวนหนึ่งถูกปลงพระชนม์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1790 และนั่นก็หมายความว่าผู้ที่มีจะสืบสันตติวงศ์ที่มีความสามารถก็จะมีจำนวนลดน้อยลงเช่นกัน
ในสหราชอาณาจักร ราชวงศ์ทิวดอร์และราชวงศ์สจ๊อตซึ่งเป็นสองราชวงศ์สุดท้าย และยังมีราชวงศ์ของเนเธอแลนด์อีกราชวงศ์หนึ่งด้วยเช่นกัน ราชวงศ์ฮันโนเวอร์มีเพียง 8 รัชสมัย และได้ถูกปรับเปลี่ยนเป็นสถาบันเป็นเพียงเชิงสัญลักษณ์
ความเสื่อมถอยของการมีคู่สมรสจำนวนมากในเอเชีย ในสยามเมื่อ 100 ปีที่ผ่านมา ทำให้มีจำนวนของลำดับสันตติวงศ์จำนวนมาก จากการให้กำเนิดองค์รัชทายาทจากพระมหากษัตริย์ หากพระมหากษัตริย์มีผู้สืบสันตติวงศ์ 80 พระองค์ ก็จะทำให้มกุฎราชกุมารดำรงพระชนม์ชีพด้วยความยากลำบาก จากการที่มีผู้สืบสันตติวงศ์จำนวนมากขึ้นซึ่งอาจทำให้มีการลอบปลงพระชนม์ระหว่างพี่น้องด้วยกันเอง นี่คือถ้อยคำถากถางของความแตกต่างระหว่างราชวงศ์ยุโรปและเอเชีย
ส่วนพระนางเจ้าที่มีชื่อเสียงที่สุดของอังกฤษ 3 พระองค์ คือ พระนางเจ้าอลิซาเบธที่ 1 พระนางเจ้าวิกตอเรีย และพระเจ้าอลิซาเบธที่ 2 แต่ละพระองค์ทรงล้วนครองราชสมบัติร่วมกว่าครึ่งศตวรรษและไม่มีพระมหากษัตริย์พระองค์ใดของรัสเซียและออสโตรฮังการีที่ได้รับความนับถืออย่างมากเท่ากับพระบรมราชินีนาถแคทเธอรีนซึ่งเป็นชาวเยอรมัน และพระนางมาเรีย เทเรซ่า
การที่สามารถสมรสได้หลายคู่ของชาติเอเชีย ทำให้มีผู้สืบราชสันติวงศ์จำนวนมาก (ดังเช่นที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงยกเลิกประเพณีกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ โดยให้พระราชโอรสเป็นมกุฎราชกุมารสืบราชสมบัติต่อจากพระองค์ และในปัจจุบันนี้ได้เปิดโอกาสให้พระราชธิดาสามารถสืบราชสันตติวงศ์ได้แล้วเช่นกัน) ชีวิตสมัยใหม่ของยุโรปได้แสดงให้เห็นว่าการมีพระราชินีนาถเป็นผู้ปกครองพสกนิกรจะรักพระองค์มากกว่าการที่มีพระราชาเป็นผู้ปกครอง ดังเช่นที่พระราชินีอลิซาเบธได้รับความชื่นชอบเป็นจำนวนมาก แต่นี่ไม่รวมถึงพระราชโอรสของพระองค์ที่ทรงเอาแน่เอานอนไม่ได้ และพระราชนัดดาที่ไม่กระทำตามสัญญาทั้งสองพระองค์ นับเป็นสิ่งยอดเยี่ยมเมื่อพระราชินีทรงอยู่ในบัลลังก์ ในขณะเกิดเรื่องเสียๆหายๆบ่อยกับพระราชา
ประการที่สอง การปรับตัว เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งคู่ระหว่างราชวงศ์และความเป็นชาติ อย่างใดอย่างหนึ่งสองคำนี้ซึ่งสามารถปรับตัวได้ อย่างน้อยที่สุดในยุโรป อย่างแรกสามารถเรียกได้ว่าเป็นการเสาะแสวงหาความนับถือจากชนชั้นกลาง คริสตศาสนิกชนถูกห้ามไม่ให้สมรสได้หลายครั้ง แต่ในศตวรรษนั้นก็มีพระสนมของกษัตริย์ในยุโรปได้เข้ามามีบทบาททางการเมือง เช่นในรัชสมัยของพระนางเจ้าวิกตอเรียมีการเปลี่ยนแปลงเมื่อเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดที่ 7 มกุฎราชกุมารซึ่งเป็นพระราชโอรสของพระองค์ทรงแอบมีพระสนมอย่างลับๆและในช่วง 3 รัชสมัยสั้นๆนี้เองที่ราชวงศ์พยายามกระทำตนเฉกเช่นชนชั้นกลางทั่วไป พระชายามิได้ทรงปรากฏพระองค์และพระโอรส พระธิดาต่างก็ถูกส่งเข้าโรงเรียนเฉกเช่นเด็กทั่วไป ไม่ได้กักขังเลี้ยงดูภายในราชวังอีกต่อไป
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นภาพตัวแทนที่ยิ่งใหญ่ของการยอมให้ลัทธิชาตินิยมตอกย้ำความเสมอภาคซึ่งพระนางราชินินาถอลิซาเบธเป็นผลผลิตของคำแรกรูปแบบการปรับตัวนี้เริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 1980 แต่ความสำเร็จที่แท้จริงในอังกฤษ ฮอลแลนด์ สวีเดน นอร์เวย์ เดนมาร์ก เบลเยี่ยม ญี่ปุ่น สเปน ได้แสดงภาพลักษณ์ตัวตนเฉกเช่นสามัญชนธรรมดา ทรงเป็นผู้นำทางคุณธรรม ทรงดำรงชีพเฉกเช่นครอบครัวชนชั้นกลาง มีพระโอรสพระธิดาเพียง 2-3 พระองค์ (ใกล้เคียงพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว) พระองค์ก็ทรงเสียภาษีเงินได้ประจำพระองค์ให้แก่รัฐ และเป็นช่วงที่งดเว้นการมีพระราชพิธีที่ใหญ่โต และจารีตประเพณีอันโบราณคร่ำครึ และทำให้มีภาพลักษณ์ที่น่าตื่นตาทางโทรทัศน์และจุดดึงดูดการท่องเที่ยวกว่าบางสิ่งบางอย่างที่มีความหมายเชิงลึกสำหรับคนอังกฤษ
แต่สมัยใหม่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ระยะที่สองสามารถเทียบได้กับการปรับตัวสู่อำนาจของวัฒนธรรมประชานิยมซึ่งคนรุ่นใหม่ยิ่งมีเสียงมากยิ่งขึ้น
โทรทัศน์เป็นจุดเปลี่ยนทางเทคโนโลยีที่สำคัญ แต่ผลกระทบทางการเมืองล้วนมากจากการเป็นพันธมิตรกับวัฒนธรรมประชานิยมทั้งละครน้ำเน่า รายการทอร์คโชว์ ภาพยนตร์ การแข่งขันกีฬา การ์ตูน และอื่นๆ การปรับตัวของราชาธิปไตยต่อวัฒนธรรมแห่งชาตินี้นั้นยากมากขึ้นเพื่อที่จะรวมกับเกียรติยศ สังคมและศีลธรรมกับราชวงศ์
ปัจจัยหลักนั้นคือการปรากฏขึ้นของกลุ่มผู้มีชื่อเสียง อย่างที่นักเล่นสำนวนคนหนึ่งกล่าวสรุปสั้นๆว่า “เป็นผู้มีชื่อเสียงเพื่อมีชื่อเสียง” วีรบุรุษของวัฒนธรรมประชานิยมในประเทศอังกฤษ รวมทั้งทุกๆที่คือ นักกีฬา นักแสดงภาพยนตร์ นักดนตรีร็อค ผู้คนในรายการทอร์คโชว์ นักการเมืองโทรทัศน์และผู้คนมีฐานะทางเศรษฐกิจ
วีรบุรุษและวีรสตรีกลุ่มนี้ถูกคาดหมายให้มีรูปร่างหน้าตาดี ร่ำรวย และมีคู่รักจำนวนมากแต่งตัวเก่ง เป็นผู้ที่ท้าทายความเสี่ยง เป็นผู้ทีใช้ยาเสพติด โดยทั่วไปแล้วเป็นเรื่องอื้อฉาว และค่อนข้างเป็นเรื่องที่น่าสลดใจ ยกตัวอย่างเช่น มาลิลีน มอนโรว,เจมส์ ดีน เจ้าหญิงไดอานา เช่น เดียวกับไมเคิล แจ็คสัน มาดอนน่า จอห์น เลนนอนฯลฯ ความเชื่อมโยงที่มีผู้ชมมักดูเหมือนให้ความเสมอภาคเท่าเทียมกัน และผู้คนนั้นเริ่มที่จะคิดว่าตนเองเป็นเช่นนั้น ถ้าฉันเป็นคนที่สวยกว่านี้ รวยกว่านี้ และแปลกประหลาดกว่านี้ฉันคงสามารถเป็นหนึ่งในพวกเขาได้ ผู้คนเริ่มที่จะคาดหวังที่จะเปิดเผยชีวิตส่วนตัวของพวกเขาต่อพื้นที่สาธารณะมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ นั่นคือวิธีการที่พวกเขาจะยังคงมีชื่อเสียงอยู่ต่อไปได้
สามารถเห็นได้ทันทีว่าเหตุใดการปรับตัวราชวงศ์ต่อวัฒนธรรมประชานิยมในลักษณะนี้นั้นเป็นทั้งสิ่งที่มีเสน่ห์และน่ากลัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งราชวงศ์รุ่นเยาว์สามารถเข้าถึงตัวฮีโร่นักกีฬาได้อย่างง่ายดาย รวมทั้งนักร้องเพลงร็อค นักแสดง และบรรดาพ่อค้านักธุรกิจ ดังนั้นจึงมักเกิดกรณีขึ้นในใจของพวกเขาที่มีความสับสนระหว่างผู้มีชื่อเสียงและราชวงศ์ แต่ในพื้นที่สาธารณะนั้นน้อยมากที่จะเกิดความผิดพลาดเช่นนั้น ในใจของประชาชน พวกเขาคาดหมายว่าราชวงศ์นั้นจะมีเกียรติ เสียสละเพื่อส่วนรวม
ความยากเย็นประการที่สอง คือ น้อยมากที่จะมีหน้าตาดีเหมือนนักแสดงภาพยนตร์ หรือมีความสามารถเท่านักดนตรีร็อค และมีความฉลาดเท่าพ่อค้าคนรวย จริงๆแล้วพวกเขาไม่มีอะไรเลย เว้นแต่ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับชาติกำเนิดของพวกเขา ซึ่งไม่ได้มีนัยยะสำคัญที่เกี่ยวกับสถานะของผู้มีชื่อเสียงเลย เรื่องอื้อฉาวของราชวงศ์นั้นเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยไม่ใช่เรื่องน่ากลัวผิดปกติแต่อย่างใด เป็นเรื่องที่ทำให้ฉุกคิดของความคาดหวังที่มีอยู่สูงต่อราชวงศ์เท่านั้นเอง
กรณีเจ้าหญฺงไดอาน่านั้น เป็นกรณีตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบในการอธิบายปัญหาในโลกสมัยใหม่นี้ พระองค์ไม่ได้เป็นคนที่มีความสามารถพิเศษ และไม่ได้รูปร่างหน้าตาดีกว่าราชวงศ์อังกฤษส่วนใหญ่ พระองค์ไม่สามารถที่จะแข่งขันเสน่ห์ของพระองค์กับดาราภาพยนตร์โดยปราศจากสถานะจากในราชวงศ์ของพระองค์
ประชาชนชอบพระองค์ในช่วงเวลาหนึ่ง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพระองค์มีพระสวามีที่แปลกไม่ค่อยเป็นที่ชื่นชอบของผู้คน และส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะราชินีไม่เป็นที่ชื่นชอบของประชาชนและดูไม่ค่อยมีเกียรติ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความต้องการของพระองค์ที่จะให้กำลังใจผู้ป่วยเอดส์ อาจเป็นเพราะพระองค์นั้นยังทรงพระเยาว์ผู้คนจึงนิยมชมชอบพระองค์
แต่ด้วยความสัมพันธ์ครั้งสุดท้ายของพระองค์กับลูกชายเพลย์บอยของพ่อค้าคนรวยชาวมุสลิมในอังกฤษ แน่นอนถ้าพระองค์เป็นนิโคลคิดแมน นั่นอาจเป็นเรื่องปกติที่สามรถเกิดขึ้นได้ นิตยสารไทม์ได้ออกมาต่อต้านพระองค์เช่นกันในกรณีนี้ เพราะวันหนึ่งพระองค์อาจจะต้องเป็นราชินีที่อื้อฉาวพอๆกับพระสาวมีที่อื้อฉาวเช่นกัน เป็นเหมือนฝันร้ายที่ชาวอังกฤษหลายพันคนร้องไห้ให้พระองค์ เมื่อพระองค์จากไปด้วยการสิ้นพระชนม์ที่น่าหดหู่ แต่มันอาจจะเป็นชะตากรรมของผู้มีชื่อเสียงที่จะถูกลืมและถูกแทนที่ด้วยคนรุ่นใหม่ และนี่คือเรื่องที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงที่โชคร้ายคนนั้น เท่านั้นเอง
Professor Emeritus
Dr.Bennedict O’Gorman Anderson
อดีตอธิการ ม.คอร์แนล USA.
ที่มา : หนังสือพิมพ์ออนไลน์ประชาไท : ปาฐกถาเบเนดิค แอนเดอร์สัน : ลัทธิชาตินิยมเก่าและใหม่
หมายเหตุ
การเน้นข้อความทำโดยความเห็นของผู้จัดเก็บบทความ
ผู้จัดเก็บบทความ
เจ้าน้อย ณ สยาม
ที่
8:26 หลังเที่ยง
1 ความคิดเห็น