วันอังคารที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2551

คำนูญ เล่าเรื่อง "ผ้าพันคอสีฟ้า" และ "เงินสด 250,000 บาท" ( ข้อมูลเก่า )


ช่วงนี้ ผมกำลังพยายามเขียนบทความเรื่องหนึ่ง เพื่อให้ทันกับการ "เฉลิมพระเกียรติ" วันที่ 12 สิงหาคมที่จะถึงนี้ ไม่ทราบจะเสร็จทันหรือไม่ และไม่ทราบจะเผยแพร่หรือไม่
(ตั้งชื่อเรื่องว่า "พระบารมีปกเกล้า: พระสุรเสียงราชินีบนเวทีพันธมิตร")

อันที่จริง ช่วงนี้ หากใครช่างสังเกต น่าจะอดรู้สึกไม่ได้ว่า ดูเหมือนจะมีกิจกรรมเกี่ยวกับสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถเพิ่มมากขึ้นกว่าหลายปีทีผ่านมา แม้ปีนี้ จะไม่ใช่ปีที่มีลักษณะพิเศษ (เช่น ปีครบรอบนักษัตร พระชนมายุ, หรือ ครบรอบทศวรรษ การครองอิสระยศพระราชินี เป็นต้น)

นอกจากรัฐบาลประกาศจัดงาน 116 วัน ที่เริ่มจากวันที่ 12 สิงหาคมแล้ว ยังมีข่าวจาก Bangkok Post ว่า จะมีการรื้อฟื้นประเพณี แม่โพธิสพ ที่สมเด็จพระนางเจ้าฯจะทรงเสด็จเป็นประธาน ประเพณีนี้ กล่าวกันว่า ไม่ได้ปฏิบัติมาเป็นเวลา 47 ปี (ดูข่าวที่ Bangkok Post : Rice ritual to be revived และความเห็นสั้นๆของ Bangkok Pundit ที่ Bangkok Pundit : Reviving of Rituals )

....................


ในระหว่างการเตรียมเขียนบทความ ผมกลับไปอ่านหนังสือ ปรากฏการณ์สนธิ จากเสื้อสีเหลือง ถึง ผ้าพันคอสีฟ้า ของคำนูญ สิทธิสมาน ทีตีพิมพ์ทันทีหลังรัฐประหาร 19 กันยา (สำนักพิมพ์บ้านพระอาทิตย์, ตุลาคม 2549) ในบทก่อนบทสุดท้าย (บทที่ 24) ซึ่ง คำนูญ ได้ให้ชื่อบทว่า "เสื้อสีเหลือง ผ้าพันคอสีฟ้า" เขาได้เล่าถึงความเป็นมาของ "ผ้าพันคอสีฟ้า" ที่ปรากฏขึ้น ในที่ชุมนุมของพันธมิตร ในช่วงวันท้ายๆก่อนรัฐประหาร

ความจริง ข้อมูลที่คำนูญเล่า ได้รับการ "ข้ามพัน" (superseded) โดยข้อมูลที่สนธิเองนำมาเล่าทั้งในปี 2550 (ทีนิวยอร์ก และเปิดเทปซ้ำในรายการยามเฝ้าแผ่นดิน) และที่เวทีพันธมิตรเมื่อวันที่ 1 มิถุนายนที่เพิ่งผ่านมาแล้ว แต่เนื่องจากก่อนหน้านี้ ผมได้เขียนกระทู้เรื่องสนธิเปิดเผยความเป็นมาของผ้าพันคอสีฟ้าไปแล้ว

เว็บบอร์ดฟ้าเดียวกัน : คำอธิบายเรื่องผ้าพันคอสีฟ้า ของสนธิ อีกครั้ง

และอีกอย่างหนึ่ง ข้อมูลของคำนูญ ยังมี "มากกว่า" ข้อมูลที่สนธิเปิดเผยภายหลังอยู่ ในประเด็นทีน่าสนใจประเด็นหนึ่ง คือเรื่อง "เงินสด 250,000 บาท" (ดูข้างล่าง) เพื่อให้เป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์ไว้ ทั้งสำหรับคนที่อาจจะยังไม่เคยอ่านหนังสือของคำนูญ ผมจึงขอคัดนำมาลงในทีนี้ ดังนี้ (อยู่ในหน้า 278-279 และหน้า 281 ของหนังสือดังกล่าว - การเน้นคำด้วยตัวสีแดงเป็นของผม การเน้นคำตัวหนาเป็นของคำนูญเอง)


*****
QUOTE
*****


เรากำหนดให้แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนในเวลา 19.00 น. ค่ำวันที่ 15 กันยายน 2549 ที่หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพราะในวันน้นรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรคอนเสิร์ตการเมืองครั้งที่ 16 จัดขึ้นที่หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่อยู่ติดๆกันเป็นอาคารเดียว

เวลา 19.00 น. วันศุกร์ที่ 15 กันยายน 2549 แม้แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทุกคน ยกเว้น พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ที่เดินทางกลับไปปฏิบัติภารกิจที่โรงเรียนผู้นำกาญจนบุรี จะสวมใส่เสื้อสีต่างกันไป แต่ทุกคนมีเหมือนกันอยู่อย่าง

ต่างพันผ้าพันคอสีฟ้า!

เฉพาะคุณสนธิ ลิ้มทองกุล จะอยู่ในเสื้อสีเหลือง พันผ้าพันคอสีฟ้า ในทุกครั้งที่ปรากฏตัวต่อสื่อมวลชนนับจากนั้น ไม่ว่าจะที่สุราษฎร์ธานี เกาะสมุย หรือสนามบินดอนเมือง

ผ้าพันคอสีฟ้าเป็นการแต่งการที่ไม่ได้วางแผนมาก่อน

แต่เมื่อมีท่านผู้ปรารถนาดีที่ไม่ประสงค์จะให้ออกนามและหน่วยงานนำผ้าพันคอสีฟ้ามาให้จำนวน 300 ผืน เมื่อเวลาประมาณ 18.00 น. วันนั้น ทั้งคุณสนธิ ลิ้มทองกุล และแกนนำอีก 3 คนที่อยู่ ณ ที่นั้น คือ คุณพิภพ ธงไชย, คุณสมศักดิ์ โกศัยสุข และอาจารย์สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ต่างพร้อมใจกันนำขึ้นมาพันคอทันที ดูเหมือนผู้สื่อข่าวก็สังเกตเห็นในเวลาแถลงข่าว แต่ไม่มีใครถามถึงความหมาย เพียงแต่มีอยู่คนหนึ่งถามขึ้นว่าจะนัดหมายให้ประชาชนพันผ้าพันคอสีฟ้ามาร่วมชุมนุมใหญ่ในอีก 5 วันข้างหน้าหรือเปล่า คำตอบที่ได้รับก็คือ ไม่จำเป็น แต่งกายอย่างไรมาก็ได้ ขอให้มากันมากๆก็แล้วกัน

แต่เมื่อคุณสนธิ ลิ้มทองกุล พันผ้าพันคอสีฟ้าในทุกครั้งที่แถลงข่าวนับจากวันนั้นเป็นต้นมา โดยเฉพาะพันให้ส่วนที่เป็นมุมสามเหลี่ยมหันมาอยู่ด้านหน้า แบบคาวบอยตะวันตก ไม่ใช่แบบลูกเสือ ก็ทำให้สื่อมวลชนสนใจเป็นพิเศษ โดยเฉพาะไอทีวี ได้โคลสอัพผ้าพันคอผืนนั้นมาออกจอในช่วงข่าวภาคค่ำเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2549 ด้วย

ถ้าสังเกตสักหน่อย ก็จะอ่านได้ว่า

902
74
12 สิงหาคม 2549
แม่ของแผ่นดิน

ผ้าพันคอสีฟ้าผืนนี้ พวกเราที่เป็นทีมงานเก็บไว้คนละผืนสองผืน และนัดหมายกันไว้ว่าจะพร้อมใจกันพันในวันชุมนุมใหญ่ วันพุธที 20 กันยายน 2549 เสื้อสีเหลือง "เราจะสู้เพื่อในหลวง" + ผ้าพันคอสีฟ้า "902..." ขณะเดียวกันคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ได้สั่งตัดผ้าพันคอสีฟ้าแบบใกล้เคียงกัน ต่างกันแต่เนื้อผ้า และไม่มีคำ "902" เท่านั้น เตรียมออกจำหน่ายจ่ายแจกแก่ประชาชนที่จะมาร่วมชุมนุมในวันนั้น

เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ทำให้คุณสนธิ ลิ้มทองกุลมีความมั่นใจอย่างยิ่งว่าพวกเราจะประสบชัยชนะแน่นอน

ศรัทธาที่มีอย่างเต็มเปี่ยมมาโดยตลอดกว่า 1 ปียิ่งล้นฟ้าสุดจะพรรณนา


.......................


เย็นวันที่ 4 กันยายน 2549 คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ได้รับการประสานทางโทรศัพท์จากสุภาพสตรีสูงศักดิ์ท่านหนึ่งให้ไปพบณที่พำนักของท่าน ไม่ไกลจากบ้านพระอาทิตย์มากนัก เมื่อไปพบ ท่านได้แจ้งว่าตัวท่านและคณะของท่านรวมทั้งผู้ใหญ่ที่ท่านเคารพ ขอให้กำลังใจ ขอขอบใจที่ได้กระทำการปกป้องชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ อย่างกล้าหาญมาโดยตลอด และขอให้มั่นใจว่าธรรมจะต้องชนะอธรรม ก่อนกลับออกมา ท่านได้ฝากของขวัญจากผู้ใหญ่ที่ท่านเคารพใส่มือคุณสนธิ ลิ้มทองกุล

เป็นกระเป๋าผ้าไทยลายสีม่วงทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดประมาณกระเป๋าสตางค์ของสุภาพสตรีที่เห็นทั่วไปในงานศิลปาชีพ

เมื่อนั่งกลับออกมา คุณสนธิ ลิ้มทองกุล เปิดดูพบว่า เป็นธนบัตรใหม่เอี่ยมมูลค่ารวม

250,000 บาท !

เป็นอีกครั้งหนึ่ง ที่ทำให้คุณสนธิ ลิ้มทองกุล มีความมั่นใจอย่างยิ่งว่าพวกเราจะประสบชัยชนะแน่นอน !

ศรัทธาที่มีอย่างเต็มเปี่ยมมาโดยตลอดกว่า 1 ปียิ่งล้นฟ้าสุดจะพรรณนา

ไม่ว่าอนาคตข้างหน้าจะอย่างไรก็ตาม ความทรงจำที่จะไม่มีวันลืมเลือนไปจวบวันตายก็คือ ครั้งหนึ่งในชีวิต ประชาชนช่วยจ่ายเงินเดือนเราโดยตรง แผ่นดินช่วยจ่ายเงินเดือนพวกเราโดยตรง

ช่างเป็นชีวิตช่วงที่บรรเจิดเพริดแพร้วยิ่งนัก !


*****

ถึงทุกท่านที่ต้องการแสดงความคิดเห็น

โปรดแสดงความคิดเห็นอย่างระมัดระวัง
ผมไม่ขอรับผิดชอบใดๆต่อความเห็นที่แสดง
และคงจะไม่มาตอบ (โปรดรออ่านบทความฉบับเต็ม)


สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล


ที่มา : เว็บบอร์ดฟ้าเดียวกัน : คำนูญ เล่าเรื่อง "ผ้าพันคอสีฟ้า" และ "เงินสด 250,000 บาท" - ข้อมูลเก่า

ตุลาการวิบัติ ประสบการณ์ของฝรั่งเศส


นับตั้งแต่ยุคกลางจนถึงก่อนปฏิวัติ 1789 ฝรั่งเศสปกครองในระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ (Monarchie absolue) หรือที่เรียกกันว่า “ระบอบเก่า” (l”Ancien Regime) ระบอบนี้รุ่งเรือง ถึงขีดสุดในรัชสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 สมดังที่พระองค์กล่าวว่า

รัฐน่ะหรือ ? ก็คือตัวข้านี่แหละ

ก่อนจะเริ่มตกต่ำลง และพ่ายแพ้ไปในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ระบอบเก่ามีเอกลักษณ์ที่สำคัญ คือ อำนาจรวมศูนย์อยู่ที่พระมหากษัตริย์ อย่างไรก็ตาม คงเป็นไปไม่ได้ที่ลำพังเพียงพระมหากษัตริย์พระองค์เดียวจะมีอิทธิฤทธิ์สามารถใช้อำนาจหน้าที่บริหารประเทศได้ในทุกภารกิจ จึงจำเป็นต้องมีการแบ่งงานให้องค์กรต่างๆ ปฏิบัติหน้าที่แทน โดยถือว่าองค์กรเหล่านั้นกระทำการ ในนามพระมหากษัตริย์ ซึ่งในท้ายที่สุด พระมหากษัตริย์ก็ยังคงมีอำนาจชี้ขาด ในขั้นตอนสุดท้าย

ในส่วนอำนาจตุลาการสมัยระบอบเก่า เริ่มแรก องค์กรที่ทำหน้าที่ตุลาการ คือ ศาลของกษัตริย์ (Curia Regis) ซึ่งมีอำนาจหน้าที่พิจารณาตัดสินคดี ทุกประเภท ต่อมาคดีข้อพิพาทมีจำนวนมากและซับซ้อนมากขึ้น จึงจำเป็นต้องแบ่งแยกองค์กรผู้ใช้อำนาจตุลาการนี้ออกเป็น 3 องค์กร ได้แก่ สภาที่ปรึกษาราชการ แผ่นดินของกษัตริย์ (Conseil du Roi) มีอำนาจหน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน, สภาบัญชี (Chambre des comptes) มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับ การเงิน การคลัง การงบประมาณ, และศาลปาร์เลอมองต์ (Parlements) มีอำนาจหน้าที่ในการยุติธรรม

กล่าวสำหรับศาลปาร์เลอมองต์นั้น เริ่มแรกก่อตั้งที่ปารีส ต่อมาได้ขยายออกไปยังจังหวัดอื่น เช่น บอร์โดซ์ และตูลูส จนในท้ายที่สุดมีศาลปาร์เลอมองต์ถึง 13 จังหวัด ศาลปาร์เลอมองต์มีอำนาจหน้าที่วินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทในฐานะเป็นศาลอุทธรณ์และศาลสูง นอกจากนี้ในฐานะที่เป็นศาลสุดท้าย ศาลปาร์เลอมองต์จึงมีบทบาทในการจัดกลุ่มคำพิพากษาให้เป็นระบบ และควบคุมความชอบด้วยกฎหมายและความสอดคล้องกันตามลำดับชั้น ของกฎหมายระหว่างพระบรมราชโองการ พระราชกำหนด พระราชบัญญัติ กฎหมายประเพณี และกฎเกณฑ์อื่นๆ กษัตริย์ในฐานะองค์อธิปัตย์ ยังมีอำนาจไม่เห็นด้วย กับศาลปาร์เลอมองต์ได้ ด้วยการดึงเรื่อง ที่อยู่ในอำนาจของศาลปาร์เลอมองต์ มาพิจารณาเอง กรณีดังกล่าวศาลปาร์เลอมองต์อาจใช้สิทธิคัดค้าน (Droit de remontrance) ด้วยการตรวจสอบว่าพระบรมราชโองการหรือพระบรมราชวินิจฉัยของกษัตริย์มีความสอดคล้องกัน กับคำพิพากษาบรรทัดฐาน กฎหมายจารีตประเพณี และหลักกฎหมายทั่วไปหรือไม่

เมื่อศาลปาร์เลอมองต์ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องและยาวนาน ความเข้มแข็งและความเป็นอิสระขององค์กรก็เริ่ม มีมากขึ้น มีกฎหมายรับรองความเป็นอิสระแก่ผู้พิพากษาศาลปาร์เลอมองต์ เช่น ห้ามโยกย้ายผู้พิพากษา เป็นต้น ในบาง รัชสมัยที่กษัตริย์ไม่เข้มแข็ง ศาลปาร์เลอมองต์เริ่มแยกตัวเป็นเอกเทศออกจาก ราชสำนัก และขัดขวางการดำเนินนโยบายของราชสำนัก ด้วยเหตุนี้ราชสำนัก จึงหาทางตอบโต้ด้วยการจัดตั้งศาลพิเศษเฉพาะเรื่องเฉพาะราวขึ้นเป็นจำนวนมากเพื่อดึงอำนาจจากศาลปาร์เลอมองต์ ในรัชสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 พระองค์มีพระราชอำนาจและบารมีมาก จึงกล้า สั่งห้ามมิให้ศาลปาร์เลอมองต์ใช้สิทธิคัดค้าน (Droit de remontrance) พระบรมราชโองการหรือพระบรมราชวินิจฉัยก่อนมีผลใช้บังคับ พระองค์ทรง ประกาศพระบรมราชโองการ Saint-germain ปี 1641 ความว่า “ห้าม มิให้ศาลปาร์เลอมองต์มีเขตอำนาจในคดีที่อาจเกี่ยวกับรัฐ การบริหารราชการแผ่นดิน หรือรัฐบาล ซึ่งเราสงวนไว้ให้กับคนของเราเท่านั้น เพราะศาลต่างๆ จัดตั้งขึ้นเพื่ออำนวยความยุติธรรมแก่พสกนิกรของเราเท่านั้น ไม่ใช่เรา”

ในรัชสมัยต่อมาศาลปาร์เลอมองตามกลับมามีบทบาทอีกครั้งหนึ่ง นับตั้งแต่ปี 1750 ราชสำนักมีนโยบายปฏิรูปในหลายๆ เรื่องเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจและสังคม แต่ศาลปาร์เลอมองต์ก็ขัดขวางนโยบายดังกล่าวเสมอมา โดยเฉพาะนโยบายปฏิรูประบบภาษีให้มีความเสมอภาคและเป็นธรรมยิ่งขึ้น พระเจ้าหลุยส์ที่ 15 เล็งเห็นอุปสรรคเหล่านี้ พระองค์จึงพยายามจำกัดอำนาจของศาลปาร์เลอมองต์ ในปี 1771 มีความพยายามปฏิรูปศาลอีกครั้ง ภายใต้การนำของ Maupeou เขาต้องการยุบเลิกศาลที่มีจำนวนมากและซ้ำซ้อนกันเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องการยุบเลิกศาลที่กีดขวางการบริหารราชการแผ่นดินด้วยการ “ล้ม” นโยบายของรัฐบาลและราชสำนัก แต่ในท้ายที่สุดความพยายามนี้ก็ถูกต่อต้านจากกลุ่มขุนนางและผู้พิพากษาสายอนุรักษนิยม

ช่วงทศวรรษท้ายๆ ในรัชสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 พระองค์ทรงกลับไปเป็นมิตรกับศาลปาร์เลอมองต์ และในท้ายที่สุด ศาลปาร์เลอมองต์ก็กลายเป็น “เหยื่อ” แรกๆ ของการปฏิวัติ 1789

หลังปฏิวัติ 14 กรกฎาคม 1789 สำเร็จ สิ่งแรกๆ ที่คณะปฏิวัติต้องการทำโดยทันที คือ การลดอำนาจของศาลทั้งหลาย ไม่เพียงแต่ห้ามองค์กรตุลาการตัดสินคดีวางกฎเกณฑ์ราวกับเป็นองค์กรนิติบัญญัติ แต่ยังต้องการห้ามองค์กรตุลาการเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินด้วย

ในการประชุมสภานิติบัญญัติเมื่อเดือนมีนาคม 1790 มีการถกเถียงกันว่าสมควรให้องค์กรตุลาการมีอำนาจหน้าที่วินิจฉัยคดีที่เกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินหรือคดีปกครองต่อไปหรือไม่ ฝ่ายหนึ่ง นำโดย Chabroud เห็นว่าควรใช้ระบบศาลเดี่ยวเพื่อมิให้เกิดความยุ่งยากในการแบ่งแยกเขตอำนาจศาล อีกฝ่ายหนึ่งเห็นว่า ไม่ควรให้ศาลมีเขตอำนาจพิจารณาคดีปกครอง Thouret กล่าวว่า “หนึ่งในการใช้อำนาจตุลาการโดยมิชอบในฝรั่งเศส คือ การสับสนในการใช้อำนาจของตนเข้าไปปะปนและไม่สอดคล้องกับอำนาจอื่น อำนาจตุลาการเป็นคู่ปรปักษ์กับอำนาจบริหาร รบกวนการดำเนินการของฝ่ายปกครอง หยุดการขับเคลื่อนและสร้างความกังวลใจแก่เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง” ส่วน Desmeuniers ยืนยันว่า “ข้าพเจ้ามองเห็นถึงความเลวร้าย หากว่าศาลเข้ามาแทรกแซงยุ่งเกี่ยวในทุกคดี”

คณะผู้ก่อการปฏิวัติและสภานิติบัญญัติพยายามตีความหลักการแบ่งแยกอำนาจเสียใหม่ เพื่อนำมาอ้างไม่ให้องค์กรตุลาการเข้ามาเกี่ยวข้องกับการบริหารประเทศ โดยยึดถือว่า หลักการแบ่งแยกอำนาจ เรียกร้องให้มีการแยกอำนาจบริหาร ออกจากอำนาจตุลาการอย่างเด็ดขาด นอกจากองค์กรตุลาการไม่มีอำนาจเข้ามาแทรกแซงการบริหารในเชิงรุกหรือ
“ทำแทน” ฝ่ายบริหารและฝ่ายปกครองแล้ว ในเชิงรับอย่างเช่น การตรวจสอบหรือวินิจฉัยคดีปกครอง องค์กรตุลาการก็ไม่มีอำนาจเช่นกัน เพราะ “การตัดสินฝ่ายปกครอง ถือเป็นเรื่องในทางปกครอง” (Juger l”administration, c”est encore administrer) ไม่ใช่เรื่องในทางตุลาการ

การป้องกันไม่ให้ศาลปาร์เลอมองต์ เข้ามาข้องเกี่ยวกับการบริหารประเทศ เพราะคณะผู้ก่อการปฏิวัติเล็งเห็นว่า ศาลปาร์เลอมองต์เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินนโยบายบริหารประเทศ และมีทัศนคติที่เป็นปฏิปักษ์ต่ออุดมการณ์ปฏิวัติ 1789 จากผลงานในสมัยระบอบเก่า พิสูจน์ได้ว่าศาลปาร์เลอมองต์มักขัดขวางการปฏิรูปในเรื่องต่างๆ อยู่บ่อยครั้ง หากปล่อยให้ศาลปาร์เลอมองต์มีอำนาจหน้าที่วินิจฉัยคดีปกครอง ก็อาจส่งผลกระทบ ต่อการดำเนินการต่อเนื่องจากการปฏิวัติได้ คณะปฏิวัติจึงตัดสินใจให้คดีปกครองทั้งหลายอยู่ในอำนาจหน้าที่ของฝ่ายปกครองด้วยกันเองที่จะพิจารณาวินิจฉัย โดยออก รัฐบัญญัติ ลงวันที่ 16-24 สิงหาคม 1790 ซึ่งมีมาตราเดียวกำหนดว่า “หน้าที่ในทางตุลาการแยกออกและจะยังคงแยกตลอดไปจากหน้าที่ในทางปกครอง ผู้พิพากษา ไม่อาจรบกวนเรื่องใดที่เป็นการดำเนินการขององค์กรฝ่ายปกครอง และไม่อาจเรียกเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองมาศาลเพื่อประโยชน์ในการทำหน้าที่ในทางตุลาการได้” จากนั้นมีรัฐกฤษฎีกาลงวันที่ 5 เดือนฟรุคติดอร์ ปีที่ 3 หลังการปฏิวัติ ตามมาตอกย้ำ หลักการดังกล่าวอีกว่า “ยังคงป้องกัน อยู่ต่อไป มิให้ศาลมีเขตอำนาจเหนือการกระทำของฝ่ายปกครอง”

เป็นอันว่าคณะปฏิวัติได้ “ลบ” อำนาจวินิจฉัยคดีปกครองของศาลปาร์เลอมองต์ และ “ดึง” อำนาจนั้นมาให้ฝ่ายบริหาร

ความหวั่นกลัวและรังเกียจองค์กรตุลาการยังเป็นมรดกตกทอดหลงเหลือ มาจนถึงปัจจุบัน ดังจะเห็นได้จากระบบ ศาลคู่ของฝรั่งเศส ซึ่งแบ่งออกเป็นศาลยุติธรรม และศาลปกครอง ในส่วนของศาลปกครองนั้น องค์กรวินิจฉัยคดีปกครองในระดับสูงสุด คือ สภาแห่งรัฐ ซึ่งยังถือเป็นองค์กรของฝ่ายบริหาร (แต่ก็มีการจัดองค์กรและวิธีพิจารณาที่เป็นอิสระเหมือนดังองค์กรตุลาการ)

ในส่วนของการควบคุมความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของรัฐบัญญัติ รัฐธรรมนูญของฝรั่งเศสไม่ยอมให้คณะตุลาการรัฐธรรมนูญมีอำนาจควบคุมความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของรัฐบัญญัติภายหลังที่ประกาศใช้แล้ว เพราะหถือว่ารัฐบัญญัติเป็นการกระทำของผู้แทนประชาชนและแสดงออกถึงเจตจำนงทั่วไปของประชาชนเจ้าของอำนาจอธิปไตย องค์กรอื่นใด ย่อมไม่อาจลบล้างเจตจำนงเหล่านั้นได้ อย่างไรก็ตาม เพื่อป้องกันไม่ให้มีรัฐบัญญัติที่อาจขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญได้ ระบบกฎหมายฝรั่งเศสจึงหลบไปใช้การควบคุมความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของรัฐบัญญัติเฉพาะในช่วงก่อนที่รัฐบัญญัติ จะประกาศใช้แทน

จริงอยู่ การล้มศาลปาร์เลอมองต์ทิ้ง ส่วนหนึ่งเกี่ยวกับบริบททางการเมือง กล่าวคือ คณะปฏิวัติต้องการล้มองค์กร ที่รับใช้ระบอบเก่าออกไปให้หมด เพื่อมิให้เป็นอุปสรรคต่อแนวทางการปฏิวัติ อย่างไรก็ตาม ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า เหตุผลหนึ่งที่ศาลปาร์เลอมองต์ต้อง ปลาสนาการไปจากระบบกฎหมาย ฝรั่งเศส เพราะ “ผลงาน” ของศาล ปาร์เลอมองต์เอง

ไม่ว่าศาลปาร์เลอมองต์จะเจตนาหรือไม่ก็ตาม ประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส บอกเราว่า เมื่อไรก็ตามที่ตุลาการอยากจะแทรกแซงทางการเมืองจนเสียดุลยภาพ ของอำนาจ อยากจะเป็นผู้ “ภิวัตน์” มากจนเกินไป เมื่อนั้นก็เป็นตุลาการเอง ที่จะ “วิบัติ”

ที่เล่ามาทั้งหมดเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วใน “ฝรั่งเศส”


ปิยบุตร แสงกนกกุล


ตีพิมพ์ครั้งแรก:
หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 28 กรกฎาคม 2551

ตีพิมพ์ออนไลน์ : July 28, 2008


ทีมา : OnOpen : นิติรัฐ : ตุลาการวิบัติ ประสบการณ์ของฝรั่งเศส

หมายเหตุ
การเน้นข้อความทำโดนความเห็นของผู้จัดเก็บบทความ