ต้องยอมรับว่าการค้นพบสำเนาพระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีไปถึงแอนนา เลียวโนเวนส์ คงไม่สามารถคลี่คลายปัญหาทางประวัติศาสตร์ได้อย่างแจ่มแจ้ง แต่สำเนาจดหมายเหล่านี้ย่อมเปรียบเสมือนแสงไฟที่ฉายเข้าไปในห้องที่เคยมืดมิดมาตลอด ๑๐๐ กว่าปี พื้นที่ส่วนที่แสงไฟฉายไปถึงย่อมให้ความสว่าง ณ จุดนั้นได้บ้าง ส่วนที่อยู่นอกเหนือไปก็ย่อมต้องรออยู่ในความมืด รอแสงไฟดวงต่อไปในอนาคต
จดหมาย หรือสำเนาพระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถึงแหม่มแอนนา "ครูฝรั่งวังหลวง" ที่ได้นำลงในศิลปวัฒนธรรมฉบับเดือนมกราคมที่ผ่านมา ได้เริ่มเปิดประเด็นในการคลี่คลายปมปัญหาบางส่วนของแอนนา กับข้อถกเถียงที่ว่าแอนนาไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับกิจการของบ้านเมือง หรือแม้แต่มีส่วน "มีปากมีเสียง" เกี่ยวกับเรื่อง "ทาส" คำตอบในเรื่องเหล่านี้ชัดเจนอยู่ในจดหมายฉบับก่อนนั้นแล้ว
ครั้งนี้เป็นสำเนาพระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อีกส่วนหนึ่งจำนวน ๓ ฉบับกล่าวถึงเรื่องทั่วไป ปะปนไปกับเรื่องที่ทรงกล่าวพาดพิงถึงแนวคิดของแอนนา ซึ่งน่าจะมีนัยสำคัญอยู่ แต่เราไม่สามารถล่วงรู้เรื่องเหล่านั้นได้ เนื่องจากขณะนี้ยังไม่พบสำเนาจดหมายของแอนนาถวาย "คิงมงกุฎ"
อย่างไรก็ดี ทั้งจดหมายฉบับก่อนและที่นำมาในครั้งนี้ ได้ชี้ให้เห็นสิ่งสำคัญบางอย่าง คือข้อทักท้วง ติติงต่างๆ ของแอนนา ในเรื่องเกี่ยวพันกับการเมือง หรือวัฒนธรรมสยาม มักจะได้รับการ "ปฏิเสธ" จากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อย่างประนีประนอม คือทรงเป็น "ผู้ดี" ในสำนวนจดหมายอย่างหาใครเปรียบได้ยาก
จดหมายทั้ง ๓ ฉบับในคราวนี้ก็เช่นกัน เราได้เห็นว่าการใช้คำขึ้นต้นและลงท้าย รวมไปถึงสำนวนการโต้ตอบว่าทรง "นุ่มนวล" เพียงใด นอกจากนี้ยังได้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในคำขึ้นต้นที่ "เป็นกันเอง" มากยิ่งขึ้น จากช่วงปี ๒๔๐๖ ถึง ๒๔๐๗ ทรงขึ้นต้นจดหมายว่าถึง (To) และลงท้ายว่าฉันขอคงไว้ซึ่งความเป็นเพื่อนที่ดี (I beg to remain your good friend) ต่อมาในปี ๒๔๐๘ คำขึ้นต้นเปลี่ยนไปเป็นคุณที่รักของฉัน (My Dear Mam!) และลงท้ายด้วยคำว่าฉันขอคงไว้ในความเป็นเพื่อนแท้ของเธอ (I beg to remain your true friend)
แน่นอนว่าคำว่า Dear ย่อมไม่จำเป็นต้องมีความหมายลึกซึ้งเพียงอย่างเดียว ในการเขียนจดหมายถึง "เพื่อน" ทั่วๆ ไปก็สามารถใช้คำนี้ได้เช่นกัน แต่ระดับความ "เป็นกันเอง" ของคำว่า Dear ย่อมแตกต่างจาก To อย่างแน่นอน ดังนั้นความพยายามของใครหลายๆ คนที่จะวางแอนนาไว้แต่เพียง "ลูกจ้าง" ของวังหลวงจำเป็นต้องอ่านจดหมายทั้ง ๓ ฉบับนี้ และตอบคำถามให้ได้ว่าเหตุใด "คิงมงกุฎ" จึงต้องบอกเล่าเรื่องสัพเพเหระ ไปจนถึงเรื่องการเมืองกับ "ลูกจ้าง" คนนี้
จดหมายฉบับเลขที่ ๗๖ ทรงมีไปถึงแอนนาซึ่งเดินทางไปทำธุระหรือพักผ่อนที่สิงคโปร์ เนื้อหาในจดหมายไม่มีสาระสำคัญมากนัก นอกจากจะแสดงความห่วงใยตามธรรมเนียม ทิ้งท้ายด้วยความหวังว่าจะกลับมาโดยเร็ว เพราะลูกศิษย์คิดถึง แต่สิ่งที่น่าสังเกตคือลูกสาวของแอนนาคือเอวิส ซึ่งอยู่ที่ประเทศอังกฤษ ก็ยังมีจดหมายมาถึงคุณข้าหลวง ซึ่งแสดงว่าชาววังหลวงรู้จักสนิทสนมกับครอบครัวของแอนนามากกว่าที่เราคิด
จดหมายฉบับที่ ๒ ไม่ปรากฏเลขที่ ทรงชี้แจงเรื่องที่เราไม่สามารถทราบได้ว่าเกิดปัญหาอะไรกันขึ้น แต่พอจะสันนิษฐานได้ว่า น่าจะเป็นเรื่องที่แอนนาท้วงติงเกี่ยวกับสวัสดิภาพของคนรับใช้ ซึ่ง "คิงมงกุฎ" ก็ทรงรับว่าจะสอบสวนเรื่องนี้ด้วยพระองค์เอง และยังทิ้งท้ายว่า
"ฉันจะให้ความสนใจต่อคำตำหนิของเธอเป็นพิเศษ"
ทำให้เห็นความหมายของคำว่า
"แมมเนวละเวน ครูสอนหนังสือเจ้านายในนี้ เดี๋ยวนี้ซุกซนเอานี่ซนนั่น เอานั่นซนนี่ แล้วก็กล้านัก"
ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
จดหมายฉบับที่ ๓ เลขที่ ๘๐ ทรงมีมาจากเมืองสวรรคโลก ลงวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๔๐๘ ขึ้นต้นด้วยการบอกเล่าสารทุกข์สุกดิบตามธรรมเนียม แต่มีจุดสนใจในตอนกลางของจดหมายที่ว่า
"ฉันจะคุยกับเธอเรื่องที่เราเคยคุยกันในตอนที่เรากลับไปยังบางกอก แต่อย่างเป็นความลับ"
ทรงคุยอะไรกันค้างไว้ เหตุใดต้องคุยเป็นการลับ เราไม่มีทางรู้ได้ แต่สิ่งนี้ย่อมสามารถไขข้อข้องใจบางอย่างในเรื่องบทบาทของแอนนา ย่อมไม่ใช่เพียงแค่ครูฝรั่งวังหลวงทั่วๆ ไป หรือเลขานุการคอยแก้ไวยากรณ์ในจดหมายภาษาอังกฤษเท่านั้น แต่ย่อมมีบทบาทในการเสนอแนะ ติติง อยู่บ้างในบางโอกาส
สิ่งสำคัญที่สุดในจดหมายฉบับนี้คือประโยคสุดท้ายของจดหมายคือ
"ป.ล.๒ ฉันขอแจ้งให้เธอทราบว่าฉันได้ให้อภัยโทษแก่คุณกลิ่น นักเรียนของเธอ ตามคำขอร้องของสมเด็จเจ้าพระยาแล้ว"
เรื่องนี้ปรากฏอยู่ในหนังสือของแอนนาเรื่อง The English Governess at the Siamese Court บทที่ ๑๒ เรื่อง Shadows and Whispers of the Harem เป็นเรื่องราวของเจ้าจอมมารดาซ่อนกลิ่นถูกลงพระราชอาญาให้จำขัง เพราะเหตุว่าให้ลูกชายคือพระองค์เจ้ากฤษดาภินิหาร ถวายฎีกาต่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้ทรงแต่งตั้งพี่ชายของเจ้าจอมมารดาซ่อนกลิ่นเป็นเจ้าเมืองแทนลุงหรืออา (พระยาเกียรติ์) ที่เสียชีวิตไปแล้ว โดยที่ไม่รู้ว่าทรงแต่งตั้งบุคคลอื่นไปแล้ว ทำให้เจ้าจอมมารดาซ่อนกลิ่นถูกข้อหาบ่อนทำลายพระราชอำนาจ เนื่องจากเป็นเชื้อสายมอญ (คชเสนี) จากนั้นแอนนาก็ได้ไปขอร้องให้สมเด็จเจ้าพระยามหาศรีสุริยวงศ์ช่วยกราบทูลขออภัยโทษให้กับเจ้าจอมมารดาซ่อนกลิ่น
เรื่องนี้จะเท็จจริงแค่ไหนไม่มีหลักฐานแน่ชัด แต่ตามประวัติตระกูลเจ้าจอมมารดาซ่อนกลิ่นนั้น เป็นตระกูลที่เป็นเจ้าเมืองนครเขื่อนขันธ์ (พระประแดง) มาตั้งแต่ชั้นปู่ เรื่อยมาจนถึงน้องของท่านก็รับราชการเป็นผู้ว่าราชการเมืองนี้ในสมัยรัชกาลที่ ๕
ดังนั้นเรื่องการที่จะถวายฎีกาในเรื่องนี้ก็อาจจะเป็นไปได้ และการลงโทษเจ้าจอมมารดาซ่อนกลิ่นก็เป็นไปได้เช่นกัน ซึ่งก็สอดคล้องกับปัจฉิมลิขิตที่ว่า "ป.ล.๒ ฉันขอแจ้งให้เธอทราบว่าฉันได้ให้อภัยโทษแก่ คุณกลิ่น นักเรียนของเธอ ตามคำขอร้องของสมเด็จเจ้าพระยาแล้ว"
การติดตามตรวจสอบแอนนายังจะไม่ยุติเพียงแค่นี้ ฉบับหน้าศิลปวัฒนธรรมจะได้เสนอสำเนาพระราชหัตถเลขาที่แสดงถึงความกล้าของแอนนาอย่างที่สุด เมื่อเสนอให้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกระทำในสิ่งที่ราชสำนักสยามไม่เคยทำมาก่อน!
ปรามินทร์ เครือทอง.
ศิลปวัฒนธรรม
วันที่ 01 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2547 ปีที่ 25 ฉบับที่ 04
ที่มา : pantown.com
หมายเหตุ
การเน้นข้อความและการจัดหน้าบทความบางส่วน ทำไปโดยความเห็นของผู้จัดเก็บบทความ
วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551
จดหมาย "คิงมงกุฎ" ถึงแอนนา เปลี่ยนจาก TO เป็น DEAR และคดีเจ้าจอมมารดาซ่อนกลิ่น
ผู้จัดเก็บบทความ
เจ้าน้อย ณ สยาม
ที่
9:09 หลังเที่ยง
0
ความคิดเห็น
วันอังคารที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551
แอนนา เลียวโนเวนส์ ใครว่าหล่อนตอแหล?
ไม่มีเรื่องอะไรน่าตื่นเต้นได้เท่ากับการค้นพบ "หลักฐานใหม่" ทางประวัติศาสตร์ ที่สามารถให้ความกระจ่างในเรื่องซึ่งเคยคลาดเคลื่อนมานานนับ ๑๐๐ ปีเช่นนี้อีกแล้ว
ปลายปี ๒๕๔๖ ศิลปวัฒนธรรมได้ค้นพบความน่าตื่นเต้นที่ว่าโดยบังเอิญ เป็นสำเนาจดหมาย ๘ ฉบับของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่มีไปถึง My Dear Madam! นางแอนนา เลียวโนเวนส์ สำเนาจดหมายทั้ง ๘ ฉบับนี้ไม่เคยตีพิมพ์ หรือถูกอ้างอิงที่ใดมาก่อน แต่เก็บรักษาไว้ในหอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร นี่เอง
ที่มาของ "จดหมายแอนนา" ชุดนี้ แจ้งตามหนังสือของศาลาว่าการมหาดไทย ที่ ๓๓๔/๑๓๑๙๔ ลงวันที่ ๑๕ มีนาคม ร.ศ. ๑๒๗ (พ.ศ. ๒๔๕๒) เป็นจดหมายของพระยาศรีสหเทพ มีขึ้นกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่านายหลุยส์ เลียวโนเวนส์ ได้ไปพบมารดา ซึ่งเก็บพระราชหัตถเลขาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไว้หลายฉบับ เดิมทีแอนนา "คิดว่าจะพิมพ์ให้แพร่หลาย แต่ก็ยังไม่ได้จัดการเรียบเรียงประการใด" นายหลุยส์จึงได้ทำสำเนาพระราชหัตถเลขานั้นมามอบให้พระยาศรีสหเทพก่อนที่จะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย
แม้จะมีการรวบรวมพระราชหัตถเลขาที่เป็น "จดหมาย" ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกันหลายครั้ง รวมจำนวนประมาณ ๑๔๔ ฉบับ แต่ในจำนวนนี้ก็ไม่เคยปรากฏ "จดหมาย" ที่ทรงมีไปถึงแอนนาแม้แต่ฉบับเดียว นอกจากนี้ "จดหมายแอนนา" ชุดนี้ต้องได้ผ่านพระเนตรของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพแล้ว เมื่อยังทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดี กระทรวงมหาดไทย ตามในคำกราบบังคมทูลของพระยาศรีสหเทพว่า
"ข้าพระพุทธเจ้าได้นำถวายพระเจ้าน้องยาเธอฯ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยแล้ว และข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานทูลเกล้าฯ ถวายสำเนาทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท"
แต่เมื่อหอพระสมุดวชิรญาณ ซึ่งสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเป็นสภานายกอยู่นั้น ได้รวบรวมพิมพ์พระราชหัตถเลขาครั้งแรกในปี ๒๔๖๒ ครั้งที่ ๒ ในปี ๒๔๖๔ และครั้งที่ ๓ ในปี ๒๔๖๕ เป็นลำดับมากลับไม่มีครั้งใดที่มี "จดหมายแอนนา" รวมอยู่ด้วย
สำเนาจดหมายชุดนี้จึงหายไปนับตั้งแต่มีการทูลเกล้าฯ ถวายถึง ๙๔ ปี จนกระทั่งศิลปวัฒนธรรมไปพบเข้าโดยบังเอิญเมื่อปลายปีที่แล้ว
แอนนา เลียวโนเวนส์ เดินทางเข้ามาสยามเพื่อถวายงานสอนภาษาอังกฤษให้กับพระราชโอรส พระราชธิดา เจ้าจอม หม่อมห้าม ตามคำเชิญของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งแต่ปี ๒๔๐๕ และกลับออกไปจากสยามในปี ๒๔๑๐ รวมเวลาประมาณ ๕ ปีกว่า
ในเวลา ๕ ปีนี้เอง ที่เกิดปัญหาตามมาภายหลังขึ้นมามากมาย ว่าแอนนามีบทบาทอย่างไรในราชสำนักสยาม แอนนาผลักดันหรือชี้แนะอะไรบ้าง และทำจริงตามที่เขียนไว้ในหนังสือหรือไม่ เมื่อมีการสอบสวนเรื่องนี้โดยนักวิชาการ ก็ได้บทสรุปที่เชื่อกันว่าแอนนาแท้จริงแล้วไม่ได้มีบทบาทอะไรมากไปกว่าครูสอนภาษาอังกฤษ และลุกลามไปถึงการโจมตีหนังสือของแอนนาว่าโกหก หลอกลวง และ
ดูหมิ่นพระเกียรติพระมหากษัตริย์สยาม
ข้อกล่าวหานี้เกิดขึ้นจากหนังสือ ๒ เล่มที่แอนนาเขียนขึ้น คือ The English Governess at the Siamese Court และ The Romance of the Harem เนื้อหาของหนังสือ ๒ เล่มนี้กล่าวพาดพิงโดยตรงถึงพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และบทบาทของแอนนาในการ "ชี้นำ" นโยบายบางอย่าง ทำให้นักวิชาการไทยเดือดดาลต่อข้อเขียนนี้อย่างมาก รวมไปถึง "ฝรั่งคลั่งสยาม" อย่างมัลคอล์ม สมิธ (Malcolm Smith) และ เอ.บี. กริสโวลด์ (A.B. Griswold) ที่ต่างก็ "สับ" แอนนาไม่เหลือชิ้นดี
สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงมีความเห็นเกี่ยวกับหนังสือ ๒ เล่มนี้ว่า
"แหม่มแอนนาอาจมีความจำเป็นต้องหาเงินมาเลี้ยงลูก จึงปรุงแต่งเรื่องราวขึ้นให้มีรสชาติพอที่จะขายสำนักพิมพ์ได้ ตอนที่นางสอนหนังสืออยู่ในราชสำนักก็มิได้มีอิทธิพลมากมายถึงขนาดที่พระเจ้าอยู่หัวจะต้องไปใส่พระทัยรับฟัง เป็นไปได้ว่าสิ่งที่นางเขียนออกมานั้น ก็คือเรื่องที่ต้องการถวายความเห็นเป็นการย้อนหลัง เพราะจริงๆ แล้วไม่เคยมีโอกาสได้พูดออกมาเลย"
(จีระนันท์ พิตรปรีชา. ลูกผู้ชายชื่อนายหลุยส์. ประพันธ์สาส์น, ๒๕๔๒)
ส่วนมัลคอล์ม สมิธ ก็กล่าวไว้ไม่ต่างกันมากนัก
"หนังสือที่เธอแต่งไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่สอง แสดงให้เห็นว่านางมีความสามารถในการแต่งเรื่องไม่จริงได้ สุดแล้วแต่ปากจะพาไป"
(มัลคอล์ม สมิธ. ราชสำนักสยามในทรรศนะของหมอสมิธ. กรมศิลปากร, ๒๕๓๗)
เช่นเดียวกับกริสโวลด์ ที่ไม่ยอมรับหนังสือทั้งสองเล่มของแอนนาเหมือนกัน
"สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ทำให้นักประวัติศาสตร์อย่างแท้จริงแค้นเคืองหนังสือของเธอ แม้ว่าหนังสือของนางลิโอโนเวนส์จะมีสิ่งดีๆ อยู่เป็นอันมากแต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะเหตุว่าเราไม่อาจยอมรับข้อความตอนใดได้ว่าเป็นความจริง ถ้าไม่มีหลักฐานยืนยันจากที่อื่น การวิจัยย่อมแสดงให้เห็นว่าวิธีแต่งหนังสือของเธอนั้นใช้ไม่ได้"
(เอ.บี. กริสโวลด์. พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. ม.จ.จงจิตรถนอม ดิศกุล ทรงพิมพ์, ๒๕๐๘)
หากเรายอมรับข้อวิจารณ์เหล่านี้ ก็เท่ากับว่าเราควรจะประเมินหนังสือทั้ง ๒ เล่มของแอนนาว่าไม่ควรอยู่ในประเภท "หลักฐานทางประวัติศาสตร์" แต่ควรจะจัดไปอยู่ในประเภท "นิยาย" และเมื่อประเมินคุณค่าของหนังสือทั้ง ๒ เล่มนี้เป็นประเภทนิยายแล้ว นักวิชาการไทยก็ไม่ควร "หลง" ไปวิจารณ์หนังสือแอนนาในฐานะ "หลักฐานทางประวัติศาสตร์" อีก ยังไม่รวมนักวิชาการที่ "หลง" ไปวิจารณ์แอนนาจากหนังและละคร ซึ่งนักวิชาการกลุ่มนี้หาสาระที่จะกล่าวถึงในที่นี้ไม่ได้
แน่นอนว่าการวิพากษ์วิจารณ์ย่อมเป็นเรื่องที่ทำได้ และแอนนาก็สมควรถูก "ด่า" ในบางเรื่อง ซึ่งการบันทึกเรื่องราวต่างๆ ในสายตาฝรั่งย่อมมีการผิดเพี้ยนไปเสมอ ไม่เว้นแม้กระทั่งวันวลิต ลาลูแบร์ หรือปาเลกัว แต่น่าเสียดายที่นักวิชาการไทยไม่ยอมรับหนังสือของแอนนาทั้งหมด แม้กระทั่งไม่ยอม "สกัด" เอาส่วนที่น่าเชื่อถือมาใช้งาน
หากย้อนกลับไปดูจุดเริ่มต้นของหนังสือ The English Governess at the Siamese Court ซึ่งแอนนาเขียนเป็นบทความลงในนิตยสาร The Atlantic Montly ตั้งแต่ปี ๒๔๑๑ ก็จะพบว่าสิ่งที่แอนนารู้เห็นในราชสำนักสยามนั้นอยู่ในระดับ "หลักฐานทางประวัติศาสตร์" ได้ แต่บทความชุดนี้ไม่เคยมีนักวิชาการท่านใดเคยอ้างถึง จากนั้นบทความชุดนี้คงจะได้รับความนิยม จนแอนนาคิด "ปรุง" หนังสือ เพราะ "จำเป็นต้องหาเงินเลี้ยงลูก" จึงกลายมาเป็นหนังสือ The English Governess At the Siamese Court ในแบบมีสีสันมากขึ้น ส่วน The Romance of the Harem นั้น แม้แอนนาจะมีเจตนาให้เป็น "นิยาย" แท้ๆ แต่ "หลักฐานใหม่" ที่พบนี้กลับชี้ร่องรอยบางประการของความเป็นจริงไว้อย่างไม่น่าเชื่อ
การค้นพบ "หลักฐานใหม่" นี้ทำให้เราต้องกลับมาทบทวน "ความเป็นแอนนา" กันใหม่ทั้งหมด โดยเฉพาะข้อวิจารณ์ที่ว่า "นางสอนหนังสืออยู่ในราชสำนักก็มิได้มีอิทธิพลมากมายถึงขนาดที่พระเจ้าอยู่หัวจะต้องไปใส่พระทัยรับฟัง เป็นไปได้ว่าสิ่งที่นางเขียนออกมานั้น ก็คือเรื่องที่ต้องการถวายความเห็นเป็นการย้อนหลัง เพราะจริงๆ แล้วไม่เคยมีโอกาสได้พูดออกมาเลย" ความเห็นนี้ขัดแย้งกับ "จดหมายแอนนา" ชุดนี้อย่างสิ้นเชิง
เฉพาะจดหมายเลขที่ ๑๐๘ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชหัตถเลขาตอบเรื่องทาสนั้น ย่อมแสดงบทบาทของแอนนา "ในราชสำนักสยาม" ต่างไปจากการรับรู้เดิมโดยสิ้นเชิง จดหมายฉบับนี้ชี้ชัดว่าแอนนากับ "คิงมงกุฎ" มีการพูดคุยกันในระดับที่มากไปกว่านายจ้างกับครูภาษาอังกฤษ
"(ปัจฉิมลิขิตส่วนตัวอย่างยิ่ง)...อย่างที่ฉันเคยพูดไว้ ในการคุยเรื่องการเมืองกันในครั้งก่อน"
นอกจากนี้เรื่องการต่อสู้เพื่อให้อิสระกับทาสของแอนนา ตามที่ปรากฏใน The Romance of the Harem ก็มีเค้าความจริงในพระราชหัตถเลขาฉบับนี้เช่นกัน
"แม้จะเป็นพระเจ้าอยู่หัวของชาวสยาม การที่จะให้เสรีแก่ทาสให้พ้นจากข้อพันธะที่จะต้องรับใช้นายตามกฎหมายของพวกเขานั้น จะเป็นการละเมิดกฎหมาย และขนบประเพณีของสยามอย่างแรง หรือการที่จะให้ความสะดวกแก่เธอที่จะซื้อทาสทั้งสอง และปล่อยให้เป็นเสรี โดยปราศจากความยินยอมของคุณแพนายของพวกเขานั้น ก็เป็นการละเมิดอย่างสูงสุดเช่นกัน..."
นี่คือข้อเท็จจริงที่สูญหายไปเกือบร้อยปี จากนี้ไป "หลักฐานใหม่" ซึ่งเป็นจดหมายทั้ง ๘ ฉบับนี้คงจะเปิดโอกาสให้แอนนาได้อุทธรณ์ และแก้ข้อกล่าวหาบางส่วนได้บ้าง
"จดหมายแอนนา" ที่ศิลปวัฒนธรรมจะทยอยนำมาเปิดเผยนั้น อาจจะทำให้สังคมไทยได้รับมากไปกว่า "ความตื่นเต้น" แต่อาจถึงขั้น "พลิกประวัติศาสตร์" เลยก็เป็นได้ อยู่ที่ว่านักวิชาการไทยจะยอมรับข้อเท็จจริงแบบนี้ หรือยังคงชอบใช้หลักฐานประวัติศาสตร์ของฮอลลีวู้ดอยู่ก็ไม่ว่ากัน
ปรามินทร์ เครือทอง
ศิลปวัฒนธรรม
วันที่ 01 มกราคม พ.ศ. 2547 ปีที่ 25 ฉบับที่ 03
ที่มา : ศิลปวัฒนธรรม : รายงานพิเศษ
หมายเหตุ
การเน้นข้อความทำไปตามความเห็นของผู้จัดเก็บบทความ
ผู้จัดเก็บบทความ
เจ้าน้อย ณ สยาม
ที่
9:37 หลังเที่ยง
0
ความคิดเห็น