วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

กำเนิดการจัดงานวันเฉลิมพระชนมพรรษา


อีกไม่กี่วันก็จะถึงโอกาสจัดงานวันเฉลิมพระชนมพรรษา ที่ปัจจุบันเรียกว่างาน “๕ ธันวา มหาราช” (ชื่อที่เกิดหลังเหตุการณ์ ๖ ตุลา) อีก ดังที่ผมได้ชี้ให้เห็นในบทความเรื่อง “ประวัติศาสตร์วันชาติไทย” (ฟ้าเดียวกัน, ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๒, เมษายน-มิถุนายน ๒๕๔๗), ในสมัยสมบุรณาญาสิทธิราช งานวันเฉลิมพระชนมพรรษา เป็นงานที่ทางราชการให้ความสำคัญมากที่สุด มีการจัดงานมหรสพ ประดับประดาประทีปโคมไฟ อย่างเอิกเกริกในพระนคร เมื่อเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำสมัยรัชกาลที่ ๗ จึงให้งดจัดเป็นการชั่วคราว แต่เมื่อคณะราษฎรขึ้นมามีอำนาจ การงดชั่วคราวนี้จึงกลายเป็นเรื่องถาวรไป คือรัฐบาลใหม่ไม่ได้จัดให้มีขึ้นอีก แต่หันไปให้ความสำคัญกับการจัดงาน ๑๐ ธันวา “วันรัฐธรรมนูญ” ในฐานะงานที่สำคัญที่สุดของทางราชการในแต่ละปี โดยมีกิจกรรมต่างๆ (มหรสพ, ประดับประดาโคมไฟ, ฯลฯ) ในลักษณะเดียวกับที่รัฐบาลก่อน ๒๔๗๕ เคยจัดให้มีขึ้นในวันเฉลิมพระชนมพรรษา และในช่วงสั้นๆในครึ่งแรกของทศวรรษ ๒๔๘๐ ก็เปลี่ยนไปให้ความสำคัญและจัดงานในลักษณะนี้ กับ “วันชาติ ๒๔ มิถุนายน” แทน (แม้ว่ายังมีงาน ๑๐ ธันวา อยู่ในระดับที่เล็กลงมากว่างานวันชาติ) เมื่อเกิดสงคราม งานรื่นเริงเฉลิมฉลองกลางแจ้งทั้งหมดก็งดไปชั่วคราว แต่พอหลังสงคราม โดยเฉพาะหลัง ๒๔๙๐ รัฐบาลก็กลับไปให้ความสำคัญกับงาน ๑๐ ธันวา ในฐานะงานเฉลิมฉลองที่สำคัญที่สุดของปีอีก งาน ๑๐ ธันวา ในช่วงนี้จะรวมเอางานกาชาดฤดูหนาว และการประกวดนางสาวไทยเข้าไว้ด้วย

หลังการยึดอำนาจเมื่อ ๑๖ กันยายน ๒๕๐๐ และ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๐๑ รัฐบาลพจน์ สารสินและ “คณะปฏิวัติ” ของสฤษดิ์ ได้งดการจัดงาน ๑๐ ธันวา ใน ๒ ปีนั้น โดยชี้แจงในลักษณะที่เข้าใจได้ว่า เป็นเพียงการงดชั่วคราว (ปี ๒๕๐๐ ความจริง มีการเตรียมการจะจัดแล้วโดยรัฐบาลจอมพล ป. แต่ปี ๒๕๐๑ เข้าใจว่าไม่มีการเตรียมการเลย) แต่ในความเป็นจริง กลับกลายเป็นการงดเด็ดขาดมาจนทุกวันนี้ เพราะในปีต่อมา (๒๕๐๒) รัฐบาลสฤษดิ์ ได้รื้อฟื้นการจัดงานวันเฉลิมพระชนมพรรษาขึ้นใหม่ในลักษณะเดียวกับที่เคยมีการจัดในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราช คือทำให้เป็นงานที่สำคัญที่สุดของทางราชการประจำปี และยุติการจัดงานในลักษณะเดียวกันให้กับวันที่ ๑๐ ธันวาอีก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงวันชาติ ๒๔ มิถุนา ซึ่งในปีถัดไป (๒๕๐๓) สฤษดิ์ประกาศให้เปลี่ยนเป็นวันที่ ๕ ธันวา และยกเลิกความเป็นวันสำคัญ-วันหยุดราชการของ ๒๔ มิถุนา โดยสิ้นเชิง

การจัดงานวันเฉลิม, เลิกจัดงาน ๑๐ ธันวา, เปลี่ยนวันชาติ, ยกเลิกความสำคัญของ ๒๔ มิถุนา เหล่านี้ เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการและกิจกรรมฟื้นฟูสถานะของสถาบันกษัตริย์ที่สฤษดิ์และราชสำนักได้ร่วมกันดำเนินการอย่างรวมศูนย์ในช่วงระหว่างกลางปี ๒๕๐๒ ถึงต้นปี ๒๕๐๔ (กิจกรรมอื่นได้แก่ รื้อฟื้นพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ, การเสด็จแห่เรือทอดกฐิน, การเสด็จเยือนยุโรปและอเมริกา) ซึ่งผมได้เสนอว่า “นี่คือช่วงปีเศษ...ที่เปลี่ยนสถานะของสถาบันกษัตริย์ในวัฒนธรรมทางการเมืองของไทย”

ข้างล่างนี้ ผมขอนำเสนอบันทึกการประชุมคณะรัฐมนตรี ๔ ครั้งที่เกี่ยวกับการรื้อฟื้นการจัดงานวันเฉลิมพระชนมพรรษาขึ้นใหม่ คือ ครั้งที่ ๑ เมื่อสฤษดิ์เสนอให้จัดงานวันเฉลิมพระชนมพรรษาแบบสมัยก่อน ๒๔๗๕, ครั้งที่ ๒ เมื่อคณะรัฐมนตรีลงมติเห็นชอบด้วยกับแผนการจัดงาน, ครั้งที่ ๓ เมื่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบกับการถวายตำแหน่งและยศทหาร เนื่องในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา และครั้งที่ ๔ หลังจัดงานแล้ว สฤษดิ์แสดงความเห็นประเมินความสำเร็จของงาน


สฤษดิ์เสนอให้จัดงานวันเฉลิมพระชนมพรรษา

สฤษดิ์ เสนอในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ครั้งที่ ๔๔/๒๕๐๒ วันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๐๒ เป็นหัวข้อที่ ๓ ในวาระที่ ๒๒ ของการประชุม

๒๒. เรื่องที่ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี

...................

๓) งานวันเฉลิมพระชนมพรรษา

ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี เสนอว่า ตามประเพณีเดิม ในวันเฉลิมพระชนมพรรษา เคยมีการตามประทีปโคมไฟ หรือประดับประดาคำถวายพระพรเป็นการถวายความจงรักภักดี นอกจากนั้น ยังมีการแสดงมหรสพให้ประชาชนได้ชมเป็นบางแห่งด้วย นับเป็นประเพณีที่ควรจะได้รักษาไว้ตามสมควร

มติ – เห็นชอบด้วยตามที่ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีเสนอ และมอบให้กระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าของเรื่อง รับไปพิจารณา ร่วมกับหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง แล้วเสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาต่อไป


คณะรัฐมนตรีเห็นชอบกับแผนการจัดงานวันเฉลิมพระชนมพรรษา

ประมาณ ๑ เดือนหลังจากนั้น กระทรวงมหาดไทยได้นำแผนการจัดงานซึ่งได้รับมอบหมายให้ไปเตรียม มาเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา (การประชุมครั้งที่ ๔๘/๒๕๐๒ วันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๐๒) ขอให้สังเกตการย้ำว่า “จะต้องตามประทีปโคมไฟด้วย” (หัวข้อ ๒ การตกแต่งสถานที่)

๕. เรื่อง การจัดงานวันเฉลิมพระชนมพรรษา

กระทรวงมหาดไทย รายงานว่า ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๐๖ ให้กระทรวงมหาดไทย เป็นเจ้าของเรื่องรับไปพิจารณาจัดงานวันเฉลิมพระชนมพรรษา ร่วมกับหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไปนั้น

กระทรวงมหาดไทย ได้เชิญผู้แทนกระทรวงทุกกระทรวง และผู้แทนหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง ไปร่วมประชุมพิจารณาจัดดำเนินการในเรื่องนี้แล้ว ที่ประชุมได้ตกลงในหลักการต่างๆสรุป ดังนี้ –


๑. กำหนดวัน – วันที่ ๕, ๖ และ ๗ ธันวาคม

๒. การตกแต่งสถานที่ – นอกจากการประดับธงทิว จะต้องตามประทีปโคมไฟด้วย ให้แต่ละหน่วย พิจารณาดำเนินการเป็นการภายใน ให้อยู่ในหลักการประหยัด

๓. การมหรสพ – แบ่งเป็นทางราชการจัด และประชาชนจัด ตามสมควรและเหมาะสม

๔. กำหนดเวลาตามประทีปโคมไฟ – เริ่มแต่พระอาทิตย์ตก ถึงเวลา ๒๔.๐๐ น. เว้นสถานที่พิเศษ ไม่ควรเกินเวลา ๐๒.๐๐ น.

๕. ยานพาหนะประจำทาง – ยืดกำหนดเวลาไปถึง ๐๑.๐๐ น. ทั้ง ๓ วัน

๖. การโฆษณา – ให้กรมประชาสัมพันธ์

๗. ตลาดนัด – งดในวันเสาร์ที่ ๕ และอาทิตย์ที ๖ นี้

๘. ในส่วนภูมิภาค – ให้ถือปฏิบัติโดยอนุโลม

มติ – เห็นชอบด้วยตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และมอบให้หน่วยราชการต่างๆรับไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ต่อไป


ถวายตำแหน่งและยศทหาร

อีก ๒ สัปดาห์ต่อมา ในการประชุมคณะรัฐมนตรี ครั้งที่ ๕๐/๒๕๐๒ วันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๐๒ ที่ประชุมได้ให้ความเห็นชอบกับข้อเสนอของกองทัพบก ที่ให้ถวายตำแหน่งทางทหารแก่ในหลวง และขอพระราชยศและตำแหน่งทหารแก่พระราชินี


๗. เรื่อง กองทัพบกขอน้อมเกล้าฯถวายตำแหน่งและยศทหาร

กระทรวงกลาโหมเสนอตามรายงานของกองทัพบก ขอให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา ดังนี้

๑. ขอพระราชทานเปลี่ยนชื่อ กรมผสมที่ ๒๑ เป็น กรมทหารราบที่ ๒๑ รักษาพระองค์

๒. ขอพระราชทานให้กรมทหารราบที่ ๒๑ เป็น หน่วยทหารรักษาพระองค์ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ

๓. ขอพระราชทานยศ พันเอก และตำแหน่ง ผู้บังคับการพิเศษ กรมทหารราบที่ ๒๑ รักษาพระองค์ และเป็นนายทหารพิเศษ ของกรมทหารราบที่ ๑ มหาดเล็กรักษาพระองค์ ถวายแด่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ

๔. ขอพระราชทานน้อมเกล้าฯ ถวายตำแหน่ง ผู้บังคับการพิเศษ หน่วยทหารรักษาพระองค์ทุกหน่วย แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือ –

(๑) กองนักเรียนนายร้อย โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าฯ และขอพระราชทานให้ ทหารในหน่วย กองนักเรียนนายร้อย โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าฯ มีสิทธิประดับ อักษรพระปรมาภิไธยย่อ ที่เครื่องแบบด้วย

(๒) กรมทหารราบที่ ๑ มหาดเล็ก รักษาพระองค์

(๓) กรมทหารราบที่ ๑๑ รักษาพระองค์

(๔) กรมทหารม้าที่ ๑ รักษาพระองค์

(๕) กรมทหารปืนใหญ่ที่ ๑ รักษาพระองค์

(๖) กรมทหารช่างที่ ๑ รักษาพระองค์


สฤษดิ์ประเมินความสำเร็จของการจัดงาน

หลังงานผ่านไปแล้ว ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี วันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๐๒ สฤษดิ์ได้กล่าวประเมินความสำเร็จของการจัดงาน ซึ่งผมคิดว่า มีเนื้อหาที่น่าสนใจมาก ผมยังได้คัดลอกอีกหัวข้อการประชุมหนึ่งซึ่งเกี่ยวข้องกันมาให้ดูด้วย (ทั้งคู่อยู่ในวาระ “เรื่องที่ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี”) คือ เรื่องเกี่ยวกับการรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของรัฐมนตรีในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาในปีนั้น ผมคิดว่าเรื่องนี้สำคัญและน่าสนใจเพราะแสดงให้เห็นความเปลี่ยนแปลงของความสัมพันธ์ระหว่างคณะรัฐมนตรีกับพระมหากษัตริย์ เท่าที่ผมหาหลักฐานได้ นี่เป็นครั้งแรกหลัง ๒๔๗๕ ที่มีการบันทึกว่า การได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ถูกถือเป็นเรื่องสำคัญในหมู่คณะรัฐมนตรี ผมคิดว่า เราอาจนับได้ว่า นี่คือจุดเริ่มต้นของวัฒนธรรมให้ความสำคัญกับ “เครื่องราชฯ” ในหมู่ข้าราชการระดับสูงของไทยที่เราเห็นกันทุกวันนี้

๑. เรื่อง ที่ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี

๑) รัฐมนตรีได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์

ก่อนที่จะเริ่มประชุมตามระเบียบวาระ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวแสดงความยินดีต่อบรรดารัฐมนตรีที่ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาปีนี้ ทั้งนี้ย่อมถือว่า ได้กระทำคุณงามความดี ได้ปฏิบัติงานมาด้วยความเอาใจใส่และเรียบร้อย ทั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ดูทรงพอพระราชหฤทัย และทรงชมเชยในการปฏิบัติงานของรัฐมนตรีทุกคน เป็นเครื่องหมายความดีความชอบที่ได้ปฏิบัติงาน รู้สึกว่า น้ำพระทัยพระองค์ท่านดี

ทางด้านส่วนตัวของ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ที่ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์นพรัตน์ราชวราภรณ์นั้น มิใช่หมายความว่า เป็นเกียรติยศสำหรับตัว ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีอย่างเดียว แต่เป็นเกียรติของรัฐบาลร่วมกันด้วย เพราะเป็นหัวหน้ารัฐบาล และรู้สึกมีความรับผิดชอบในการบริหารของรัฐบาล หากมิได้รับความร่วมมือจากรัฐมนตรีแล้ว ก็คงไม่สามารถที่จะให้รัฐบาลมีชื่อเสียง ได้รับความนิยมไปในทางดีได้ จึงขอขอบคุณรัฐมนตรีทุกท่านอย่างจริงใจในโอกาสนี้ด้วย

เสด็จในกรมฯรองนายกรัฐมนตรี [พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์] ได้ทรงกล่าวขอบคุณ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีในนามของรัฐมนตรี สรุปว่า ทรงชื่นชมยืนดีในการที่ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์นพรัตน์ราชวราภรณ์ และรัฐมนตรีทุกท่านก็ได้ตระหนักในผลงานที่ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ได้ปฏิบัติและได้พยายามเอาใจใส่ทนุบำรุงบ้านเมือง เพื่อให้ประชาราษฎร์สุขสมบูรณ์ บรรดารัฐมนตรีทุกท่านจึงขออำนวยพรให้ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีมีความสุข ความเจริญ สมบูรณ์ด้วยพลานามัยยิ่งๆขึ้นไป

๒) งานพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา

ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีได้แจ้งให้ทราบว่า ในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาครั้งนี้ เท่าที่ได้สดับตรับฟังมา ก็รู้สึกว่าเป็นที่พอใจ ประชาชนชื่นชมยินดี จะเห็นได้จากประชาชนไปเที่ยวเตร่เป็นจำนวนมากมาย หลังจากมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมา ๒๗ ปีแล้ว ไม่เคยมีการเฉลิมฉลองและประดับประดาไฟ เพิ่งจะมีในปีนี้เป็นครั้งแรก เข้าใจว่า คนที่เกิดมาซึ่งในขณะนี้มีอายุประมาณ ๓๐ ปีนั้น คงจะไม่ได้เห็น ปัญหาที่ว่าไฟฟ้าไม่เพียงพอนั้น ก็จะเห็นผลประจักษ์ในครั้งนี้แล้วว่า มีพอได้ยินก็ดีใจ ขอเรียนว่า อะไรอะไรนั้นมาอยู่ที่รัฐบาล เขาบ่นเขาด่าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดีหรือไม่ดีก็มาอยู่ที่รัฐบาล หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่คราวนี้รู้สึกว่า ประชาชนชื่นชมยินดีมาก สำหรับในปีต่อไป ก็เข้าใจว่า คงจะดีขึ้นกว่าปีนี้อีก ทางด้านประชาชนก็คงจะมีเวลาตระเตรียมงานประดับประดาไว้ล่วงหน้า

ส่วนงานปีใหม่ที่จะถึงนี้ ก็ขอมอบให้กระทรวงมหาดไทยรับไปพิจารณาต่อไป แต่การจัดงานนั้น ควรเป็นของเทศบาล และทางด้านกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือ

มติ – ทราบ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรับทราบไป


สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล

ที่มาของบทความ : somsak's work : กำเนิดการจัดงานวันเฉลิมพระชนมพรรษา

หมายเหตุ
ข้อความที่ถูกเน้นเปนไปตามความสนใจของผู้จัดเก็บบทความเอง

สมบูรณาญาสิทธิราชในรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐

มาตรา ๒๒ ของรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ กำหนดว่า

ภายใต้บังคับมาตรา ๒๓ การสืบราชสมบัติให้เป็นไปโดยนัยแห่งกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช ๒๔๖๗

การแก้ไขเพิ่มเติมกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช ๒๔๖๗ เป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์โดยเฉพาะ เมื่อมีพระราชดำริประการใด ให้คณะองคมนตรีจัดทำร่างกฎมณเฑียรบาลแก้ไขเพิ่มเติมกฎมณเฑียรบาลเดิม ขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อมีพระราชวินิจฉัย เมื่อทรงเห็นชอบและทรงลงพระปรมาภิไธยแล้ว ให้ประธานองคมนตรีดำเนินการแจ้งประธานรัฐสภาเพื่อให้ประธานรัฐสภาแจ้งให้รัฐสภาทราบ และให้ประธานรัฐสภาลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ และเมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับเป็นกฎหมายได้

ในระหว่างที่สภาผู้แทนราษฎรสิ้นอายุหรือสภาผู้แทนราษฎรถูกยุบ ให้วุฒิสภาทำหน้าที่รัฐสภาในการรับทราบตามวรรคสอง

มาตรา ๒๓ กำหนดว่า หากพระมหากษัตริย์ (องค์ก่อน) ทรงตั้งพระรัชทายาทไว้แล้วตามกฎมณเฑียรบาล เมื่อราชบัลลังก์ว่างลง ให้คณะรัฐมนตรีแจ้งให้ประธานรัฐสภาทราบ เพื่อ “เรียกประชุมรัฐสภาเพื่อรับทราบและให้ประธานรัฐสภาอัญเชิญองค์พระรัชทายาทขึ้นทรงราชย์” ถ้าในกรณีที่พระมหากษัตริย์ไม่ได้ทรงตั้งรัชทายาทไว้ จึงให้คณะองคมนตรีเสนอพระนามผู้สืบราชสันตติวงศ์ตามกฎมณเฑียรบาลต่อคณะรัฐมนตรี “เพื่อเสนอต่รัฐสภาเพื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบ”

การสืบราชสันตติวงศ์ไม่ใช่เรื่อง “ส่วนพระองค์” อย่างแน่นอน เพราะผู้ที่จะราชสืบสันตติวงศ์เป็นพระมหากษัตริย์ จะมีฐานะเป็นประมุขของรัฐ และจะทรงมีพระราชอำนาจอื่นๆตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ (และที่ไม่ได้กำหนดไว้อีกด้วย) ที่สำคัญคือจะทรงเป็นผู้ “ทรงใช้อำนาจ (อธิปไตย) ทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล” ดังนั้น การสืบราชบัลลังก์และแก้ไขเพิ่มเติมกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ จึงไม่อาจถือเป็นเรื่อง “ส่วนพระองค์” ได้ ตรงกันข้าม เป็นเรื่องสาธารณะที่สำคัญอย่างยิ่งยวดในระดับรากฐานของรัฐและระบอบการปกครอง

อันที่จริง แม้ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช ซึ่งไม่มีการแบ่งแยก “ส่วนพระองค์” กับ “ส่วนราชการแผ่นดิน” อย่างชัดเจน การสืบราชบัลลังก์และ/หรือ การแก้ไขเพิ่มเติมกฎมณเฑียรบาลดังกล่าว ก็ไม่อาจนับเป็นเรื่อง “ส่วนพระองค์” ได้ แต่เนื่องจาก ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช พระมหากษัตริย์คือรัฐและกฎหมาย ทรงมีสิทธิ์ขาดในการตราหรือแก้ไขกฎหมายใดก็ได้ด้วยพระองค์เอง ดังนั้น แม้ว่า เรื่องที่มีลักษณะเป็น “ราชการแผ่นดิน” เช่นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ ก็ย่อมทรงสามารถกระทำได้ในลักษณะราวกับว่าเป็นเรื่อง “ส่วนพระองค์” ในแง่ที่ว่า ทรงมีสิทธิ์ขาดที่จะกระทำด้วยพระองค์เอง (กระนั้นก็ตาม ถ้าเป็นเรื่องการสืบราชบัลลังก์ ผู้จะขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ใหม่ ก็ยังมักจะต้องได้รับการเห็นชอบโดยนัยจากบรรดาเจ้านายชั้นสูงด้วยกัน)

แต่ในระบอบประชาธิปไตย หรือระบอบรัฐธรรมนูญ หรือระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ (Constitutional Monarchy) เป็นที่เข้าใจหรือยอมรับกันโดยทั่วไปว่า พระมหากษัตริย์ย่อมทรงอยู่ภายใต้ข้อกำหนดของรัฐธรรมนูญ ไม่สามารถทำอะไรด้วยพระองค์เองโดยเด็ดขาดอย่างเช่นในระบอบสมบูรณาญาสิทธราช โดยเฉพาะในแง่นิติบัญญัติ (การตราและแก้ไขกฎหมายต่างๆ) หน้าที่และอำนาจหลักย่อมอยู่กับรัฐสภา ไม่ใช่องค์พระมหากษัตริย์อีกต่อไป

แต่มาตรา ๒๒ วรรค ๒ และ ๓ ของรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ กลับมอบอำนาจในการแก้ไขกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ให้กับองค์พระมหากษัตริย์โดยเด็ดขาด รัฐสภามีหน้าที่เพียง “รับทราบ” การแก้ไขอันเป็นอำนาจเด็ดขาดของพระมหากษัตริย์นั้นเท่านั้น

อันที่จริง ข้อกำหนดเช่นนี้ ขัดแย้งกับข้อกำหนดขั้นหลักการพื้นฐานที่กำหนดไว้ในมาตรา ๓ ของรัฐธรรมนูญฉบับนี้เองว่า “อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้” ข้อความที่ว่า “ทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา” เป็นที่เข้าใจกันโดยทั่วไปว่า หมายถึง การทีรัฐสภาเป็นผู้มีหน้าที่และอำนาจในการพิจารณา ตรา และแก้ไขกฎหมาย และพระมหากษัตริย์ทรงประกาศให้ใช้กฎหมายที่สภาเป็นผู้พิจารณานั้นในพระปรมาภิไธย (อาจอ้างได้ว่าข้อความที่ว่า “ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้” สามารถครอบคลุมถึงการให้อำนาจเด็ดขาดในการแก้ไขกฎมณเฑียรบาลแก่พระมหากษัตริย์และให้รัฐสภาเพียง “รับทราบ” เท่านั้น แต่การอ่านเช่นนี้ ก็เพียงทำให้การให้อำนาจเด็ดขาดนั้น “ไม่ขัด” กับมาตรา ๓ แต่ยังคงขัดกับหลักการของระบอบประชาธิปไตย/รัฐธรรมนูญ ที่อำนาจนิติบัญญัติ – อำนาจในการพิจารณาตราและแก้ไขกฎหมาย – ควรอยู่ที่รัฐสภา อยู่นั่นเอง)

ในทำนองเดียวกัน การที่มาตรา ๒๓ ให้อำนาจพระมหากษัตริย์ทรงตั้งรัชทายาท และเมื่อราชบัลลังก์ว่างลง ก็เพียงแต่ “เรียกประชุมรัฐสภาเพื่อรับทราบ” เท่านั้น ว่าพระมหากษัตริย์องค์ก่อนทรงกำหนดให้ใครเป็นกษัตริย์สืบต่อจากพระองค์ รัฐสภาไม่ต้องเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ ก็เท่ากับเป็นการมอบอำนาจสมบูรณาญาสิทธิราชแก่พระมหากษัตริย์ในการกำหนดรัชทายาทโดยสิ้นเชิง (เฉพาะกรณีที่ไม่ได้ทรงกำหนดรัชทายาทไว้ก่อน รัฐสภาจึงจะเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ แต่กรณีนี้ไม่มีความหมายอะไรในปัจจุบัน เพราะไม่เป็นจริง และยากจะจินตนาการว่าจะเกิดขึ้นได้ในยุคสมัยนี้)


กฎมณเฑียรบาลสืบราชสันตติวงศ์ในประวัติศาสตร์รัฐธรรมนูญ

ไม่เป็นเรื่องบังเอิญ ที่การให้อำนาจสิทธิ์ขาดแบบสมบูรณาญาสิทธิราชแก่พระมหากษัตริย์ในเรื่องเกี่ยวกับการสืบราชบัลลังก์และการแก้ไขกฎมณเฑียรบาลเช่นนี้ เพิ่งเกิดขึ้นครั้งแรกในรัฐธรรมนูญฉบับ ๒๕๓๔ (รัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ ลอกมาตรา ๒๒ และ ๒๓ มาจากรัฐธรรมนูญ ๒๕๓๔) คือเกิดขึ้นในยุคหัวเลี้ยวหัวต่อที่อำนาจของกองทัพ (อำนาจแบบ “อำมาตยาธิปไตย”) ได้เสื่อมลง และเกิดการเติบโตขึ้นมาแทนที่ของอำนาจ ๒ แหล่งสำคัญ คือ อำนาจรัฐสภา-รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และอำนาจของสถาบันกษัตริย์ (ผมจะอภิปรายเรื่องนี้ในบทความเรื่อง “ทวิอำนาจ (Dual Power): คำอธิบายรัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙”)

แต่การให้อำนาจสมบูรณาญาสิทธิ์แก่พระมหากษัตริย์ในกรณีสืบราชบัลลังก์และกฎมณเฑียรบาลนี้ ความจริง อาจกล่าวได้ว่า ไมใช่เกิดขึ้นครั้งแรกที่รัฐธรรมนูญ ๒๕๓๔ เสียทีเดียว แต่ – ไม่ใช่เรื่องบังเอิญเช่นกัน – ที่รัฐธรรมนูญ ๒๔๙๒ ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่ร่างโดยพวกนิยมเจ้า (royalists) หลัง ๒๔๗๕

ก่อนรัฐประหาร ๒๔๙๐ คือก่อนที่พวกนิยมเจ้าจะเริ่มกลับมามีอำนาจทางการเมืองบางส่วนอีกเป็นครั้งแรก มีรัฐธรรมนูญ ๓ ฉบับ คือ ๒๗ มิถุนายน ๒๔๗๕, ๑๐ ธันวาคม ๒๔๗๕ และ พฤษภาคม ๒๔๘๙ ทั้ง ๓ ฉบับนี้ มีข้อกำหนดเกี่ยวกับการสืบราชสันตติวงศ์ตรงกัน คือ (ก) ให้เป็นไปตามนัยแห่งกฎมณเฑียรบาล ๒๔๖๗ แต่ “ด้วยความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร/รัฐสภา” และ (ข) ไม่มีข้อกำหนดเรื่องการแก้ไขกฎมณเฑียรบาลนั้นเอง เพราะเป็นที่เข้าใจกันโดยปริยายว่า เช่นเดียวกับกฎหมายอื่นๆ กฎมณเฑียรบาลย่อมแก้ไขได้ตามกระบวนการรัฐสภาในขณะนั้น

หมายความว่า รัฐธรรมนูญทั้ง ๓ ฉบับกำหนดให้การสืบราชสันตติวงศ์เป็นไปตามหลักการของระบอบใหม่ คือ องค์กรที่มาจากประชาชน (รัฐสภา) เป็นผู้กำหนดเห็นชอบ (ทั้งตัวบุคคลที่จะเป็นกษัตริย์และตัวกฎมณเฑียรบาล ที่อยู่ภายใต้อำนาจที่จะแก้ไขได้)

หลายคนคงไม่ทราบว่า การเลือกพระมหากษัตริย์ครั้งแรกหลัง ๒๔๗๕ คือ การเลือกพระองค์เจ้าอานันทมหิดล ขึ้นเป็นรัชกาลที่ ๘ นั้น ไม่ได้รับเสียงเป็นเอกฉันท์จากรัฐสภา (มีผู้อภิปรายและลงคะแนนไม่เห็นด้วย ๒ เสียง – ดูบทความของผมเรื่อง “ในหลวงอานันท์ขึ้นครองราชย์”) ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงอำนาจในการกำหนดประมุขรัฐโดยองค์กรที่ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชน ซึ่งเป็นไปตามหลักการประชาธิปไตยที่เข้าใจกันโดยทั่วไปทางสากล

เมื่อพวกนิยมเจ้าร่างรัฐธรรมนูญฉบับ ๒๔๙๒ แม้ว่าจะต้องยังคงหลักการของระบอบใหม่ที่ให้รัฐสภาเป็นผู้เห็นชอบการสืบราชบัลลังก์ ว่าใครควรเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป (ข้อ ก ข้างต้น) แต่ได้กำหนดบทบัญญัติเพิ่มเติมเพื่อปกป้องกฎมณเฑียรบาล ๒๔๖๗ (คือเปลี่ยนข้อ ข ข้างต้น) ไว้ดังนี้ “การยกเลิกหรือแก้ไขเพิ่มเติมกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช ๒๔๖๗ จะกระทำมิได้” ความจริง การบัญญัติเช่นนี้ เป็นการละเมิดหลักการของระบอบประชาธิปไตย/รัฐธรรมนูญ ที่องค์กรด้านอำนาจนิติบัญญัติที่มาจากประชาชน คือรัฐสภา มีอำนาจในการตราหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไข (รวมทั้งยกเลิก) กฎหมายต่างๆ โดยไม่มีข้อยกเว้น เพราะในเมื่อรัฐธรรมนูญซึ่งถือเป็นกฎหมายสูงสุด เหนือกว่ากฎหมายใดๆ ยังสามารถแก้ไขได้ เหตุใดจึงจะห้ามการแก้ไขกฎหมายที่รองลงมาอย่างกฎมณเฑียรบาล ๒๔๖๗? บทบัญญัติเช่นนี้ ในทางปฏิบัติคือการให้การยอมรับ (ย้อนหลัง) แก่อำนาจสมบูรณาญาสิทธิราชก่อน ๒๔๗๕ ให้เหนือกว่า อำนาจนิติบัญญัติของระบอบใหม่

รัฐธรรมนูญ ๒๔๙๒ เป็นแม่แบบให้กับรัฐธรรมนูญฉบับต่อมาที่ประกาศใช้ในปี ๒๔๙๕ ที่เรียกกันว่า รัฐธรรมนูญฉบับ ๒๔๗๕ แก้ไขเพิ่มเติม ๒๔๙๕ แม้รัฐธรรมนูญนี้จะถือเอาฉบับ ๑๐ ธันวา ๒๔๗๕ เป็นหลัก แล้ว “แก้ไข” ก็ตาม ในความเป็นจริง ส่วนที่เกี่ยวกับพระมหากษตริย์เป็นการนำเอาฉบับ ๒๔๙๒ มาใส่ไว้ทั้งหมด

รัฐธรรมนูญ ๓ ฉบับต่อมา คือฉบับ ๒๕๑๑, ๒๕๑๗ และ ๒๕๒๑ (ฉบับปี ๒๕๑๙ แม้จะเรียกว่า “รัฐธรรมนูญ” แต่มีลักษณะของ “ธรรมนูญการปกครอง” มากกว่า) ได้กำหนดการสืบราชสันตติวงศ์ไว้ว่า (ก) ให้เป็นไปตามกฎมณเฑียรบาล “และประกอบด้วยความเห็นชอบของรัฐสภา” และ (ข) “การยกเลิกหรือแก้ไขเพิ่มเติมกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช ๒๔๖๗ ให้กระทำได้โดยวิธีการอย่างเดียวกันกับการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ” ในแง่นี้เท่ากับเป็นการลดด้านที่เป็นสมบูรณาญาสิทธิราชของรัฐธรรมนูญ ๒๔๙๒ และ ๒๔๙๕ ลง คือให้แก้ไขยกเลิกกฎมณเฑียรบาลได้ แม้จะให้ความสำคัญมากกว่าการแก้ไขยกเลิกกฎหมายทั่วไป

แต่รัฐธรรมนูญ ๒๕๓๔ และ ๒๕๔๐ (ดังที่ได้เห็นแล้ว) เป็นการก้าวกระโดดถอยหลังก้าวใหญ่ คือ ยกอำนาจในการกำหนดการสืบราชสันตติวงศ์และการแก้ไขกฎมฎเฑียรบาลทั้งหมดกลับคืนไปให้พระมหากษัตริย์ ราวกับในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราช องค์กรรัฐที่มาจากประชาชน (รัฐสภา-คณะรัฐมนตรี) ไม่มีอำนาจในการกำหนดใดๆทั้งสิ้น


สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล

ที่มาของบทความ : somsak's work : สมบูรณาญาสิทธิราชในรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐