เมื่อวันที่ 30 ม.ค. โครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา จัดสัมมนาวิชาการอุษาคเนย์ครั้งที่ 6 หัวข้อ ‘อคติที่แอบแฝงสู่ความขัดแย้งไม่รู้จบ’ ณ หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ กล่าวในประเด็นแบบเรียนของสังคมไทยว่า จะพูดถึงแนวคิดรากฐานและสำนึกในสังคมไทย ซึ่งในความเป็นจริงประเทศไทยรับประสบการณ์อาณานิคมไม่ต่างจากเพื่อนบ้านเหมือนกัน แต่มีประเด็นหนึ่งที่แตกต่างคือ กลุ่มชนชั้นนำตามจารีตไม่ถูกทำลายไปเพราะอาณานิคม เป็นพวกไม่ได้ถูกปกครองโดยตรง แต่ที่อื่นถูกทำลายหรือทำให้หมดความสำคัญลง
ทั้งนี้ ชนชั้นนำตามจารีตได้ทำตัวเหมือนเป็นตัวกลางหรือเป็นโบรกเกอร์ให้เจ้าอาณานิคมจึงสามารถทำให้อยู่รอดได้ ซึ่งในฐานะโบรกเกอร์สามารถเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เหมาะกับผลประโยชน์ทางตะวันตกและมีสภาพที่ทำให้เหมือนกับอาณานิคมอื่นๆ โดยไม่ต้องยึดครองโดยตรง ชนชั้นนำประสบความสำเร็จในการนำรัฐโบราณให้เข้าสู่ความทันสมัยได้
ศ.ดร.นิธิ ยังกล่าวอีกว่า เรามักโทษฝรั่งเศสว่าทำให้แบบเรียนของประเทศลาวกับกัมพูชาเกลียดไทยมาก ซึ่งจริงหรือไม่ไม่ทราบ แต่ในอีกแง่หนึ่งทั้งสองประเทศก็รับอิทธิพลจากประเทศไทยสูงมาก การเขียนประวัติศาสตร์ของสองประเทศดังกล่าวได้เริ่มด้วยการที่อ่านประวัติศาสตร์ไทยก่อนจึงทำแบบเดียวที่ไทยทำ คนไทยเองที่ทำให้สองประเทศนี้ไม่ชอบไทย
นอกจากนี้ ชนชั้นนำทางจารีตมีภาวะการนำที่ไม่ใช่ทางการเมืองเท่านั้น แต่นำทางสังคม วิชาการ และทุกๆด้าน แม้มีเหตุการณ์ พ.ศ. 2475 แต่เพียงเป็นการลดทอนภาวะการนำของชนชั้นนำทางจารีตได้ชั่วคราวเท่านั้น แล้วก็กลับมาในเวลาไม่นานนัก มีเพียงจอมพล ป. พิบูลสงคราม เท่านั้นที่เข้าใจความซับซ้อนของภาวะการนำตามจารีต และทำให้ลดน้อยลง
อย่างไรก็ตาม ศ.ดร. นิธิ กล่าวว่า มีความพิกลพิการบางอย่างสืบมาจนปัจจุบัน เพราะแทนที่ชาติจะเป็นของทุกคนแต่เมื่อเกิดชาติทุกคนกลับเป็นสมบัติของชาติโดยเสมอกัน ชาติคล้ายเป็นนายใหม่เป็นเจ้าของเรา แม้แต่ในรัฐธรรมนูญก็เน้นที่เรื่องหน้าที่พลเมืองมากกว่าเรื่องสิทธิเสรีภาพ จึงไม่ต่างไปจากรัฐราชาธิราช มองคนเป็นข้าราษฎรหรือเป็นสมบัติเท่านั้น
ประการต่อมา ชาติไทยไม่สามารถเชื่อมต่ออดีตได้ในทางใดเลยนอกจากสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะ ถ้าไปมองทางอื่นเช่น เศรษฐกิจหรือนิเวศประวัติศาสตร์จะเป็นอีกเรื่องหนึ่งและเกิดพระเอกอีกมากซึ่งไม่ใช่แค่คนในสถาบัน อาจารย์ เครก เรย์โนล (นักวิชาการสำนักศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์) ตั้งข้อสังเกตว่า เหตุการณ์หลังสมัยรัชกาลที่ 5 จะไม่สามารถเล่าต่อไปโดยกล่าวถึงสถาบันพระมหากษัตริย์คนเดียวได้อีกแล้ว การเล่าประวัติศาสตร์แบบสมเด็จกรมพระยาดำรงฯไม่สามารถเผชิญได้ เพราะมีพระเอกเต็มไปหมด ประวัติศาสตร์แบบ 14 ตุลา จึงไม่สามารถนำเข้าไปร่วมในประวัติศาสตร์ได้ กระบวนการทางประวัติศาสตร์ที่เรารู้จักไม่สามารถผนวกประวัติศาสตร์ไปสู่สำนึกที่เราเข้าใจได้
ศ.ดร.นิธิ ยังกล่าวถึงโลกทัศน์ต่อการมองโลกข้างนอกในประวัติศาสตร์ว่า ลักษณะแรกตามอุดมคตินั้น พระมหากษัตริย์ทรงเป็นจักรพรรดิราช รัฐอื่นเป็นรอง การเล่าถึงรัฐอื่นจึงต้องเป็นรองหมด แม้ในทางปฏิบัติจะยอมรับจีนพรือพม่าเทียบเท่าหรือเหนือกว่า ซึ่งรัฐจักรพรรดิราชมันไม่เปลี่ยนแปลง ต่อมาเมื่อรับการเล่าประวัติศาสตร์แบบฝรั่งก็ต้องเล่าถึงความเปลี่ยนแปลงของกษัตริย์และมองเพื่อนบ้านด้อยกว่า
ดังนั้น แบบเรียนจึงไม่มีทางเข้าใจอะไรที่นอกเหนือจากอำนาจขององค์จักรพรรดิ์ได้เลย เช่น เราศึกษาอยุธยาโดยไม่รู้ว่าเป็นเมืองท่าใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และสัมพันธ์กับศูนย์อำนาจอื่นค่อนข้างมาก แบบเรียนไทยไม่สนใจความเชื่อมโยง ไม่สนใจการอพยพของผู้คน ประชากรไทยมีการไหลเข้าจำนวนมาก ทั้ง จีน มอญ ไทใหญ่ ข่า ชาวเขาหลายกลุ่ม ไม่มีใครพูดถึงการค้า เราพูดถึงรัชกาลที่ 5 โดยไม่พูดถึงปีนังและสิงคโปร์ ทั้งที่ส่งออกข้าวไปเป็นจำนวนมาก การมองไทยในบริบทอุษาคเนย์จะเข้าใจได้ก็ต่อเมื่อมองมันกลับเข้าไปในภูมิภาคอุษาคเนย์ ซึ่งมีทั้งการเชื่อมโยงติดต่อกันตั้งแต่ก่อนอินเดียเข้ามา ถ้าไม่มองก็ไม่มีทางเข้าใจประวัติศาสตร์และประเทศไทย ต้องมองไทยในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของเอเชียตะวันออกฉียงใต้ รวมไปถึง ลังกา และจีนด้วย
ช่วงท้าย ศ.ดร.นิธิ กล่าวถึงทางออกจากชาตินิยม ว่า อย่าออกจากชาตินิยมแต่ต้องช่วยนิยามความเป็นชาติใหม่ เพราะในอุดมการณ์ทั้งหลาย ชาตินิยมเป็นอุดมการณ์ที่เปิดพื้นที่เล็กๆให้คนในโลกนี้ ในกรณีไทยเองได้ขยายพื้นที่เล็กๆไปพอควร แต่ต้องนิยามใหม่ให้หมดจากความพิกลพิการ เพื่อมีชาติให้คนไร้อำนาจมีสิทธิเท่าเทียมและสามารถใช้ชาติเป็นเครื่องมือต่อรองได้เหมือนกับที่คนมีอำนาจใช้ชาติเป็นเครื่องมือต่อรองในเวลานี้
รศ.ดร.อุบลรัตน์ ศิริยุวศักดิ์ นักวิชาการคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย กล่าวในหัวข้อ พรมแดนความรู้อุษาคเนย์ : แบบเรียน สื่อ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ว่า สื่อมวลชนมีบทบาทสูงเรื่องความต่อเนื่องในการสร้างวาทกรรมกระแสหลักต่อเนื่องจากตำราเรียน
สื่อทำงานโดยกลไกโฆษณาชวนเชื่อกับการเซ็นเซอร์เป็นหลัก สร้างความคลั่งหรือเกลียดชังเผ่าพันธุ์อื่นโดย จัดการข้อมูลข่าวสารทั้งที่เป็นเรื่องจริงอย่างสารคดีหรือเรื่องแต่ง และขณะนี้คำว่า self censor กระเด็นไปอยู่ในสื่อหนังสือพิมพ์มากในขณะที่ในอดีตสื่อหนังสือพิมพ์ภูมิใจในเรื่องสิทธิเสรีภาพ แต่ตอนนี้ปิดกั้นตัวเองเอาไว้ก่อน
รศ.ดร.อุบลรัตน์ อธิบายว่า การเซ็นเซอร์มีทั้งทางตรงและทางอ้อม ทางตรงเช่นมีประมวลกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพทำให้มีการปิดเว็บจำนวนมาก หรือการมี พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารที่ไม่ค่อยเปิดเผยข้อมูลจริงและกำลังมีการแก้ไขให้ปิดมากขึ้น ทำให้มีวิธีคิดแบบเซ็นเซอร์ค่อนข้างสูง พ.ร.บ.ภาพยนตร์ 2551 ที่เหมือนจะเสรี แต่เพิ่มการแบนภาพยนตร์ นอกจากนี้ยังมีคำสั่งต่างๆของรัฐ ส่วนการเซ็นเซอร์โดยอ้อม เช่น การเสนอวาระต่างๆ การงดเสนอข่าวในด้านลบ การไม่วิพากษ์โฆษณาสินค้าที่ให้สปอร์นเซอร์ เป็นต้น
สิ่งที่รัฐไทยทำให้ยอมรับการครอบงำคือการทำผ่านศาสนา การศึกษา กฎหมาย และสื่อมวลชน การครอบงำต้องสร้างเนื้อหาสาระ รัฐกับสื่อต้องร่วมกันสร้างวาทกรรมเรื่องเล่าที่มีลักษณะเป็นกฎระเบียบ เช่น สร้างหลักเกณฑ์ที่เรายอมรับเรื่อง ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ วาทกรรมประชาธิปไตย
ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์มีการสร้างวาทกรรมผ่านวรรณกรรมไทยรบพม่า และมีอาณานิคมภายใน คือภาคใต้ หลังพ.ศ. 2475 เป็นยุคชาตินิยมก็พยายามมีศัตรูภายนอกโดยมองตะวันตกเป็นศัตรูภายนอก จนหลัง 2500 ก็หันมามองศัตรูเป็นภายใน คือ ความคิดที่แตกต่าง หรือแนวคิดสังคมนิยมหรือคอมมิวนิสต์
แบบเรียนและสื่อจะนำเสนอในกรอบเหล่านี้ สื่อมักสร้างภาพตัวแทนเป็นอคติที่ไม่ใช่ไทย สร้างซ้ำๆจนกลายเป็นความเคยชิน เช่น พม่ากับไทยรักกันไม่ได้ หรือในภาพจริงๆ เช่น พูดไม่ชัดไม่ใช่ไทย เป็นต้น ซึ่งรูปแบบที่ทำให้สื่อมีอิทธิพล คือ มีความน่าเชื่อถือ เช่น ข่าวสารคดี ในขณะที่สิ่งที่เป็นมายาแต่มีพลังที่สุดอยู่ในรูปโฆษณา ที่รวมทั้งความจริง จินตนาการและอารมณ์ ถ่ายทอดซ้ำๆจนตกผลึกทำให้เข้าถึงได้ไม่ยาก
รศ.ดร.อุบลรัตน์ ได้ยกตัวอย่างหนังโฆษณาคาราบาวแดง ที่นำประวัติศาสตร์ความทรงจำบางระจันที่โยงมาถึงสงครามปราบยาบ้า ซึ่งบางระจันได้ตอกย้ำการเสียสละ การรักชาติคือต้องรบ ต้องยอมตาย ซึ่งเป็นการรักชาติในแบบอุมดมการณ์เก่าอันถ่ายทอดมาจากสถาบันทหาร เพราะถ้าเป็นกรอบประชาธิปไตย การรักชาติไม่ต้องรบก็ได้ นอกจากนี้ยังโยงมาถึงความยิ่งใหญ่ของนักร้องและเครื่องดื่มคาราบาว ตอกย้ำซ้ำเติมเข้าไป
อีกกรณีหนึ่ง รศ.ดร.อุบลรัตน์ได้นำเพลงที่จะใช้ในการประชุมอาเซียนมาให้ผู้เข้าร่วมเสวนาฟัง และอธิบายเพิ่มเติมว่า หากฟังแล้วจะรู้สึกเหมือนอาเซียนเป็นชาติใหม่ คือเรียกร้องสิบชาติให้เป็นหนึ่ง แต่ไทยบนผลประโยชน์แบบชาตินิยมเดิมจะรับมืออย่างไรกับชาติที่มาใหม่ ทั้งความเท่าเทียม หนึ่งชาติหนึ่งเสียง หรือความรักใคร่อาทร และจะสามารถถอดรื้อประวัติศาสตร์ชาตินิยมแบบเดิมๆได้หรือไม่
โดย : ประชาไท
เพิ่มเติม
(ความคิดเห็นที่ 12)
ย่อหน้าที่ 7 ตรงที่รายงานว่า"อาจารย์ เครก เรย์โนล (นักวิชาการสำนักศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์)"อันนี้คลาดเคลื่อนนะครับ Craig J Reynolds เป็น(ดูเหมือนน่าจะเกษียณแล้ว)อาจารย์ที่ Australian National University ก่อนหน้านั้นคือที่ Sydney University (ยกเว้นเสียแต่ว่า Craig จะได้รับเชิญมาวลัยลักษณ์ แล้วผม"ตกข่าว" แต่ไม่น่าจะใช่นะ)คนที่คุณนึกถึงน่าจะหมายถึง Dr.Patrick Jory (วลัยลักษณ์)คนหลัง (Dr Patrick) เป็นลูกศิษย์ คนแรก ครับ
สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล
ที่มา : หนังสือพิมพ์ออนไลน์ประชาไท : ‘นิธิ’ หนุนชาตินิยม แต่ต้องนิยามใหม่
หมายเหตุ
การเน้นข้อความทำโดยความเห็นของผู้จัดเก็บบทความ
วันอาทิตย์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
'นิธิ เอียวศรีวงศ์' หนุนชาตินิยม แต่ต้องนิยามใหม่
ผู้จัดเก็บบทความ
เจ้าน้อย ณ สยาม
ที่
8:20 หลังเที่ยง
1 ความคิดเห็น
Village Scouts: The King's Finest : ลูกเสือชาวบ้าน - ตำรวจของกษัตริย์
Indochina Chronicle
มกราคม-กุมภาพันธ์ 2520
Village Scouts: The King's Finest
(เป็น pdf. นะครับ )
แปลไทยจาก : Thai Report.com
ลูกเสือชาวบ้าน - ตำรวจของกษัตริย์
หนึ่งในองค์กรหัวรุนแรงสไตล์ฟาสซิสต์ที่เกิดขึ้นจากความพยายามของสหรัฐฯในการต่อต้านการก่อการร้ายในไทยได้ปรากฏสู่สายตาสาธารณชนอเมริกันเมื่อสื่อตะวันตกแสดงภาพถ่ายตำรวจและทหารทำการสังหารหมู่นักศึกษาผู้บริสุทธิ์และไม่มีอาวุธที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ภาพถ่ายหนึ่งแสดงให้เห็นลูกเสือชาวบ้านคนหนึ่งซึ่งสวมผ้าพันคอที่กษัตริย์มอบให้พวกเขาและมือของเขากำลังรัดคอนักศึกษาคนหนึ่งที่บาดเจ็บและขวัญผวา ตำรวจนายหนึ่งจับนักศึกษาคนนั้นด้วยแขนขณะที่อันธพาลคนหนึ่งต่อยหน้าของเขา
นักข่าวที่อยู่ในเหตุการณ์สังหารหมู่ราวกับฝันร้ายนั้นรายงานว่าลูกเสือชาวบ้านเป็นหนึ่งในพวกที่เข้าร่วมการเผาทั้งเป็น การควักลูกตา และการฆ่าแขวนคอนักศึกษาที่รวมตัวกันที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในวันนั้นเพื่อต่อต้านการกลับมาของอดีตเผด็จการทหารถนอมที่สนับสนุนโดยทหารและพวกฝ่ายขวา
ลูกเสือชาวบ้านคือใคร? พวกเขาถูกก่อตั้งเมื่อปี 2514 โดยตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ที่ซึ่งการกดขี่ของรัฐบาลเลวร้ายที่สุดและมีการเคลื่อนไหวของชาวนาต่อต้านตำรวจและรัฐบาลมาอย่างยาวนาน ดังที่นายพล Edward Lansdale ผู้เชี่ยวชาญการต่อต้านการก่อการร้ายรายงานไว้ใน Pentagon Papers และรายงานอื่นๆก็ยืนยันชัดเจนว่า ตำรวจตระเวนชายแดนของไทยเป็นผลงานของ CIA สมาชิกของมันได้รับการฝึกอบรมการต่อต้านสงครามกองโจรจากหน่วยรบพิเศษกองทัพบกสหรัฐฯ รองผู้อำนวยการ ตชด.เป็นรองผู้อำนวยการลูกเสือชาวบ้านคนปัจจุบัน
ตชด.เริ่มก่อตั้งลูกเสือชาวบ้านโดยรวมรวบผู้ใหญ่ในหมู่บ้านภาคอีสานและนำพวกเขามาเข้ารับการฝึกต่อต้านคอมมิวนิสต์เป็นเวลา 5 วัน โครงการนี้ไม่ได้ขยายตัวจนเป็นที่สังเกตนักจนกระทั่งหลังการลุกฮือของนักศึกษาเมื่อเดือนตุลาคม 2516 ได้นำไปสู่การเมืองที่เปิดกว้าง และทำให้มีการประท้วงต่อต้านลัทธิจักรวรรดินิยมของสหรัฐฯมากขึ้นเรื่อยๆ ในปี 2517 ขบวนการลูกเสือชาวบ้านขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อสถาบันกษัตริย์ไทยรับโครงการนี้เข้ามาไว้ในอุปถัมภ์ ด้วยความพยายามของ ตชด. มันจึงแพร่กระจายไปทุกจังหวัดของประเทศไทย และวันนี้ การฝึกอบรมลูกเสือชาวบ้านก็กำลังดำเนินไปในทุกจังหวัด
ผู้เข้ารับการฝึกแต่ละกลุ่มประกอบด้วยผู้ใหญ่ 300-500 คน แต่ละกลุ่มจะได้รับการฝึกเป็นเวลา 5 วันโดยผู้นำ 30-50 คน อยู่ใต้คำสั่งของ ตชด.โดยตรง แต่ละกลุ่มจะถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อย กลุ่มละ 10 คนระหว่างการฝึกฝน พวกเขาทำงานและเล่นด้วยกัน พวกเขารำไทยและร้องเพลงไทยขณะที่พวกเขาถูกปลูกฝังซ้ำๆซากๆให้อุทิศตัวให้สามสถาบันของรัฐอย่างถวายหัว สามสถาบันนี้ได้แก่ ชาติ ศาสนา และกษัตริย์ ได้ถูกใช้มาตั้งแต่ปี 2463 เพื่อระดมพลชาวนาและกรรมกรเพื่อบรรลุจุดประสงค์ของรัฐ
ขบวนการนี้ยังได้อ้างเรื่องความเป็นเชื้อชาติไทย เช่นเดียวกับลัทธิแบ่งแยกชาติพันธุ์ที่ใช้โดยรัชกาลที่ 6 (2453-2468) และโดยจอมพล ป. พิบูลสงครามในระหว่างที่ไทยเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่สอง แม้ว่ามันจะไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ แต่ความพยายามครั้งนี้ละเอียดอ่อนกว่าครั้งเดิมมาก ดังที่ชาวบ้านที่เข้ารับการฝึกคนหนึ่งให้ข้อสังเกต วิทยากรที่อบรมเขาได้รับการฝึกวิชาจิตวิทยามา เห็นได้ชัดว่ามันเป็นปฏิบัติการการรบเชิงจิตวิทยาที่ได้มาจากหน่วยรบเชิงจิตวิทยาของสหรัฐฯที่ดำเนินการต่อต้านการก่อการร้ายในประเทศไทยมาเป็นเวลาหลายปี ในวันสุดท้ายของการอบรม ลูกเสือชาวบ้านถวายสัตย์ปฏิญาณว่าพวกเขาจะร่วมมือกันดูแลประเทศและจะปกป้องมันจากพวก"คอมมิวนิสต์"
ผู้เข้าร่วมคนหนึ่งกล่าวว่ากษัตริย์องค์ปัจจุบันที่เป็นผู้ให้การอุปถัมภ์ขบวนการโดยตรงและมอบผ้าพันคอให้ลูกเสือชาวบ้านกับมือต้องการเห็นจำนวนผู้เข้าร่วมเพิ่มขึ้นไปถึงห้าล้านคน ปัจจุบันมีลูกเสือชาวบ้านสองล้านคน ทุกคนสามารถเป็นสมาชิกได้ แต่ตชด.เน้นพื้นที่ชนบทเป็นพิเศษ ดังเช่นชื่อของมัน "ลูกเสือชาวบ้าน" มันมุ่งหมายไปที่ชาวบ้านในพื้นที่ชนบทเป็นหลัก มันดูประสบความสำเร็จท่ามกลางชาวนาและเด็กในชนบทที่ไม่มีงานทำ ขบวนการรูปแบบเดียวกันในประเทศไทยคือ กลุ่มนวพล และกลุ่มกระทิงแดง ขบวนการรูปแบบเดียวกันในเวียดนามที่มีอายุนานกว่าก็คือขบวนการของโง ดินห์ เดียม และขบวนการที่เก่าแก่ยิ่งกว่านี้ก็คือกลุ่มยุวชนฮิตเลอร์ในนาซีเยอรมนีและกลุ่มสนับสนุนลัทธิจักรวรรดิในญี่ปุ่นยุคสงคราม
ลูกเสือชาวบ้านไทยเป็นความพยายามของชนชั้นสูงที่ล้มละลายทางสังคมที่ต้องการสร้างสัญลักษณ์ทางชาติพันธุ์ขึ้นมาเพื่อชักชวนให้ผู้ที่ถูกรังแกยอมรับสังคมแห่งการกดขี่
ลูกเสือชาวบ้านไม่ได้เป็นคลื่นลูกใหม่แห่งอนาคตและแม้แต่นักการเมืองไทยและตำรวจ-ทหารบางคนก็ไม่สนใจพวกเขาเท่าไร แต่พวกเขาก็พิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาเป็นพวกกระหายเลือดที่แม้จะอายุสั้นแต่ก็เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาสังคมในประเทศนี้
Indochina Chronicle : No.54
ที่มา : Thai Report : Indochina Chronicle: ลูกเสือชาวบ้าน - ตำรวจของกษัตริย์
หมายเหตุ
การเน้นข้อความทำโดยความเห็นของผู้จัดเก็บบทความ
ผู้จัดเก็บบทความ
เจ้าน้อย ณ สยาม
ที่
6:53 หลังเที่ยง
0
ความคิดเห็น