ปัญหาของช่องว่างนี้เริ่มตั้งแต่พระมหากษัตริย์พระองค์เดิมแสดงพระอาการอย่างใดอย่างหนึ่งให้เห็นว่ารัชสมัยใกล้จะสิ้นลงแล้ว ก็สามารถเกิดปรากฏการณ์ต่างๆ ขึ้นได้ ช่วงเวลาแห่งการผลัดแผ่นดินนี้เอง จึงเป็น "ความว่าง" ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายที่มีผลต่อราษฎร ขุนนาง เจ้านาย ตลอดจนกระทั่งแผ่นดินทั้งแผ่นดิน
เช่น ในสมัยกรุงศรีอยุธยาช่วงเวลาของการผลัดแผ่นดินบางคราว ก่อให้เกิดการกระทบกระทั่ง การทำสงครามกลางเมือง การลอบสังหาร การฆ่าล้างแค้น แม้กระทั่งการฆ่าล้างครัว
ถึงสมัยรัตนโกสินทร์ เกิดการผลัดแผ่นดินทั้งสิ้น ๘ ครั้ง มีบางครั้งที่สงบเรียบร้อย บางครั้งอาจจะขัดแย้ง แต่มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่ต้องเสียเลือดเนื้อ และเป็นเพียงครั้งเดียวที่เรียกได้ว่า เกิดกบฏชิงราชบัลลังก์เหมือนในสมัยกรุงศรีอยุธยา
แม้จะมีความเรียบร้อยแต่ก็ใช่ว่าทุกครั้งจะ "ราบเรียบ" หรือเป็นไปอย่างรอมชอมทั้งหมด ตรงกันข้ามการผลัดแผ่นดินแต่ละครั้งล้วนแต่มี "เงื่อนไข" ที่พ่วงติดมาด้วยทุกครั้ง เงื่อนไขเหล่านี้เอง ทำให้การผลัดแผ่นดินแต่ละครั้งมีความแตกต่างกันอย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะในประเด็นที่ว่า ใครจะได้เป็นกษัตริย์พระองค์ต่อไป และใครที่พลาดบัลลังก์อันสูงสุดนี้
ผลัดแผ่นดินคราวที่ ๑
พ่อสู่ลูก, และกบฏเจ้าฟ้าเหม็น
การผลัดแผ่นดินครั้งแรกในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ "เกือบ" จะเรียบร้อย เนื่องจากในปลายรัชสมัยนั้นได้มีการเตรียมองค์รัชทายาทไว้ล่วงหน้าแล้ว หลังจากที่ "น้องชาย" ซึ่งเป็นวังหน้าสวรรคตลง และในเวลาใกล้เคียงกันก็ทรง "ปราบ" ลูกหลานวังหน้าที่ก่อการแข็งขืนและมีโอกาสที่จะเป็นภัยต่อวังหลวงในภายภาคหน้า
หลังจากอุปสรรคจากวังหน้าจะหมดสิ้นไปแล้ว แต่ "วังหลัง" ยังมีพระชนม์อยู่ เป็นพระเจ้าหลานเธอที่มีความสามารถและอำนาจบารมีไม่น้อย ทั้งยังทรงเป็นผู้หนึ่งที่ร่วมกันล้มพระราชวงศ์กรุงธนบุรี และสถาปนาราชวงศ์จักรีขึ้น เหตุเรื่องพลังอำนาจของวังหลังนี้ แม้แต่พระเจ้ากรุงเวียดนามมิตรประเทศผู้ใกล้ชิดของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑ ถึงกับมีพระราชสาสน์เตือนสติให้ทรง "จัดการ" ให้เรียบร้อยก่อนจะสายเกินไป
"มีพระราชสาสน์เตือนพระสติเข้ามาด้วยฉบับหนึ่งว่า สมเดจ์พระอะนุชาธิราช ซึ่งเปนกรมพระราชวังบวรสฐานมงคลสวรรคตแล้ว สมเดจ์พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระชราลงทุกวัน ยังแต่พระเจ้าลูกเธอพระเจ้าหลานเธอมีกำลังเสมอกันอยู่ การข้างน่ากลัวจะไม่เรียบร้อย ขอไห้ยกสมเดจ์พระเจ้าลูกเธอพระองค์ไหญ่ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรขึ้นดำรงเปนที่กรมพระราชวังบวร จะได้มีกำลังแลพาหนะมากขึ้น บ้านเมืองจึ่งจะเรียบร้อย"๑
ข้างฝ่ายพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ก็มิได้ทรงยกวังหน้าขึ้นโดยไม่หยั่งเสียงดูก่อน เพื่อความรอบคอบจึงทรง "โยนหินถามทาง" ไปครั้งหนึ่ง
"ครั้นจะทรงสถาปนาขึ้นแต่โดยพระราชดำริห์นั้น ก็ไม่ทรงทราบอัธยาศัยข้าทูลละอองธุลีพระบาททั้งปวง เปนการขัดอยู่ จึงมีพระราชโองการดำรัสว่า สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ กรมหลวงอิศรสุนทร ทรงพระเจริญแล้ว ไม่ปลงพระหฤทัยในราชการแผ่นดิน มีแต่ทรงฝักไฝ่ในการเล่น ก็ทรงพระพิโรธในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอนั้นเปนอันมาก จึ่งพระบรมวงศานุวงศ์และท่านเสนาบดี มีความโศกสลดสยดสยองเกรงพระเดชานุภาพยิ่งนัก ท่านอัครเสนาบดีปฤกษาตกลงเห็นพร้อมกันแล้ว จึงได้กราบทูลพระกรุณาว่า แต่นี้สืบไปเบื้องหน้า ไม่มีพระบรมราชวงศ์ผู้ใหญ่พระองค์ใดพระองค์หนึ่งซึ่งจะได้ช่วยจัดการ ทำนุบำรุงแผ่นดินให้เปนสุขาถาวรวัฒนาสืบไป เห็นแต่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ทรงพระปรีชาสามารถ อาจทราบในราชกิจทั้งปวง สมควรจะทำนุบำรุงแผ่นดินสืบไปภายหน้าได้"๒
หลังจากนั้นในปี พ.ศ. ๒๓๔๙ ปัญหาเรื่องวังหลังก็จบลงด้วยตัวเองเมื่อกรมพระราชวังบวรสถานพิมุขทิวงคต
ในปีเดียวกันนี้ จึงได้มีพระราชพิธีอุปราชาภิเษกสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรขึ้นเป็น "วังหน้า" หรืออีกนัยหนึ่งคือทรงวางไว้เป็นองค์รัชทายาทอย่างมั่นคงเป็นที่รับรู้ของคนทั่วไปว่า
"สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวเศกให้เป็นกรมพระราชวังบวรฯ สืบพระญาติพระวงษาต่อไป แผ่นดินจะได้ยืนยาวไปนั้น ยินดีพระไทยหนัก"๓
ครั้นเมื่อถึงปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ทรงพระประชวรอยู่ ๓ ปี ครั้นถึงเดือน ๖ ปีมะเส็ง ก็ทรงพระประชวรหนัก แพทย์ประกอบพระโอสถถวายพระโรคก็ไม่ได้เสื่อมลง จนถึงวันพฤหัสบดี แรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๙ ปีมะเส็งเอกศก จุลศักราช ๑๑๗๑ เวลา ๓ ยาม ๗ บาท ก็เสด็จสวรรคต ตรงกับวันที่ ๗ กันยายน พ.ศ. ๒๓๕๒
ยามเมื่อเสด็จสวรรคตนั้น พระราชพงศาวดารบันทึกการณ์อัศจรรย์ไว้ดังนี้
"ถึง ณ วันพฤหัศบดี เดือนเก้า แรมสิบสามค่ำ ปีมเสงเอกศก เวลาบ่ายห้าโมง เหนอัศจรรย์ ที่พระเจดีย์วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ซึ่งอยู่ตวันออกแห่งพระมณฑป มีรัศมีสว่างบนยอด ครั้นเวลาสามยามเจดบาท เสดจสวรรคต"๔
เมื่อสิ้นแผ่นดินที่ ๑ ยังไม่ทันได้มีพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่ ก็เกิดเหตุ "กบฏเจ้าฟ้าเหม็น" ขึ้นเสียก่อน เป็นกบฏที่ก่อขึ้นโดยขุนนางกลุ่มหนึ่งที่ไม่พอใจให้เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรขึ้นสู่ราชบัลลังก์ การปราบปรามเกิดขึ้นก่อนที่จะเกิดศึกกลางเมือง เป็นผลให้เกิดการ "ล้างครัว" เจ้าฟ้าเหม็น และลงโทษขุนนางผู้ก่อกบฏ เหตุการณ์ยุติได้ด้วยเวลาเพียงไม่กี่วัน
การสืบสันตติวงศ์จาก "พ่อสู่ลูก" เกิดขึ้นโดยสมบูรณ์เป็นไปตามพระราชประสงค์ของพระมหากษัตริย์พระองค์ก่อน พระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่เรียกพระนามอย่างย่อว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เป็นลำดับ ๒ แห่งพระราชวงศ์จักรี
ผลัดแผ่นดินคราวที่ ๒
พ่อสู่ลูก, รัชทายาทตัวจริงออกบวชเว้นวรรคราชสำนัก
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงดำรงสิริราชสมบัติอยู่ ๑๖ ปี แต่ว่าตลอดรัชกาลนี้ ผู้ที่มีบทบาทสูงสุดคือกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ พระราชโอรสองค์โตที่ประสูติจากพระสนม เนื่องด้วยผู้กำกับดูแลราชการอีก ๒ พระองค์ คือ "วังหน้า" กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ และเจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษมนตรี ว่าที่กรมวังและมหาดไทย สวรรคตและสิ้นพระชนม์ตามกันไป โดยที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยก็ไม่ได้ทรงแต่งตั้งผู้ใดขึ้นแทน งานทั้งหมดรวมทั้งกรมท่าและกรมพระคลังมหาสมบัติที่กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ทรงกำกับอยู่เดิม จึงตกอยู่กับพระองค์เพียงองค์เดียว เป็นการดูแลงานต่างพระเนตรพระกรรณโดยแท้จริง ดังมีบันทึกเล่ากันว่า
"เมื่อแผ่นดินพระพุทธเลิศหล้านภาไลยนั้น สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ท่านได้เปนมหาปธานาธิบดีในราชการกรมท่าและกรมพระตำรวจน่าหลังทั้งสิ้น แลได้เปนผู้รับฎีกาของราษฎรที่มาร้องทุกข์ แลได้เปนแม่กองกำกับลูกขุน ณ ศาลหลวง แลตระลาการทุกศาล ท่านพระองค์นี้เปนผู้สำเร็จราชการแผ่นดินทั่วทั้งพระราชอาณาจักรสยาม ท่านเปนผู้รับกระแสพระราชดำรัสแลพระราชประสงค์ต่างพระเนตรพระกรรณของพระเจ้าแผ่นดินซึ่งเปนพระบรมชนกนาถทั้งสิ้นฯ"๕
เมื่อถึงปลายแผ่นดิน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระประชวร และสวรรคตอย่างปัจจุบัน โดยไม่ได้รับสั่งถึงองค์รัชทายาทไว้ก่อน
"ถึง ณ วันพุธ เดือนแปด แรมสี่ค่ำ ปีวอกฉศก ทรงพระประชวรให้มึนเมื่อยพระองค์ เรียกพระโอสถชื่อจารในเพชร ข้างที่ ที่เคยเสวยนั้นมาเสวย ครั้นเสวยแล้วให้ร้อนเป็นกำลัง เรียกทิพยโอสถมาเสวยอีก พระอาการก็ไม่ถอยให้เชื่อมซึมไป แพทย์ประกอบพระโอสถถวายก็เสวยไม่ได้ มิได้ตรัสสั่งไว้ มาจนถึง ณ วันพุธ เดือนแปด แรมสิบเอ็ดค่ำ เวลาย่ำค่ำแล้วห้าบาทเสด็จสู่สวรรคต"๖
เมื่อพระเจ้าแผ่นดินไม่ได้ตรัสสั่งเป็นการเฉพาะเกี่ยวกับองค์รัชทายาท ซึ่งในความเป็นจริงพระราชดำรัสก่อนสวรรคตของทุกรัชกาลก็ไม่เคยกล่าวเป็นการเจาะจงผู้หนึ่งผู้ใด แต่มักจะตรัสโดยนัยยะ หรือวางตัวไว้ก่อน หรืออาศัยราชประเพณีเป็นที่อาศัย ทั้งนี้อาจเป็นเพราะหากทรงชี้ช่องไปยังผู้หนึ่งผู้ใด ก็มีโอกาสสร้างอันตรายถึงชีวิตให้กับพระราชวงศ์พระองค์นั้นได้ เนื่องจากทั้งในสมัยกรุงศรีอยุธยาและรัตนโกสินทร์ตอนต้น ยังไม่มีบทบัญญัติชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องการสืบสันตติวงศ์ ดังนั้นโอกาสจึงเป็นของทั้งผู้มีสิทธิตามประเพณีและผู้อื่นที่คิดว่าตัวเองก็มีสิทธินั้นด้วยเช่นกัน
คราวที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จสวรรคตโดย "มิได้ตรัสสั่งไว้" หากอาศัยธรรมเนียมแห่งราชประเพณี ราชสมบัติย่อมตกอยู่กับ "เจ้าฟ้ามงกุฎ" พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในพระมเหสี แต่ขณะนั้นทรงขาดทั้งกำลังและผลงาน และที่สำคัญที่สุดคือขุนนางที่มีอิทธิพลมากที่สุดในเวลานั้นไม่ได้สนับสนุนพระองค์
ผู้ที่มีทั้งกำลัง ผลงาน และผู้สนับสนุน คือกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ พระราชโอรสที่เกิดจากเจ้าจอมมารดาเรียม แม้จะขาดความชอบธรรมทางราชประเพณี แต่ก็ได้รับความเห็นชอบและการสนับสนุนจากผู้ทรงอำนาจทุกฝ่าย ว่ามีความเหมาะสมที่สุดในเวลานั้น จึงอัญเชิญเสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นรัชกาลที่ ๓ แห่งพระราชวงศ์จักรี
จากการเริ่มต้นประดิษฐานพระราชวงศ์ใหม่นี้ ทำให้ ๓ รัชกาลแรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นพระมหากษัตริย์ที่ไม่ได้มี "แม่" เป็นเจ้ามาแต่กำเนิด และ ๕ ใน ๙ รัชกาลของพระราชวงศ์จักรี เป็นพระมหากษัตริย์ที่มีพระราชชนนีมาจากสามัญชน
ทางฝ่าย "เจ้าฟ้ามงกุฎ" ก็จำเป็นต้องตัดสินพระทัยที่จะผนวชอยู่ต่อเพื่อไม่ให้เป็นการกีดขวางราชการแผ่นดิน แม้เมื่อภายหลังทรง "กลับมา" ครองราชสมบัติแล้ว ก็เคยรับสั่งถึงเรื่องนี้ว่า หากพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงมีพระกำลังพอที่จะตรัสมอบแผ่นดินแก่ผู้ใดแล้ว ก็ไม่แน่ว่าจะทรงมอบให้กับพระองค์
การสืบราชสมบัติครั้งนี้จึงถือว่าเป็นการออกนอก "สายตรง" ไประยะเวลาหนึ่ง
ผลัดแผ่นดินคราวที่ ๓
พี่สู่น้อง, กลับสู่สายหลัก
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงดำรงสิริราชสมบัติอยู่ ๒๗ ปี นับเป็นเวลาที่ยาวนานพอสมควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้รอคอยที่จะสืบราชบัลลังก์ต่อไป
จนเมื่อเวลาอันเป็นที่สุดแห่งรัชกาลมาถึง พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงเลือกขนบธรรมเนียมเดิม คือไม่ระบุองค์รัชทายาทตรงๆ แต่กลับทรงเลือกวิธีเก่าคือ โยนหินถามทาง หยั่งเสียง และการบอกโดยนัยยะ แม้กระทั่งมีพระราชดำรัส "ตัด" พระราชวงศ์ที่อยู่ในข่ายสืบราชสมบัติออก
เบื้องต้นมีพระราชประสงค์ที่จะ "หยั่งเสียง" โดยมีพระราชโองการออกมาให้พระบรมวงศ์และขุนนางเลือกองค์รัชทายาทกันเอง คล้ายกับจะทรงฟังว่ามีมติออกมาอย่างไร แต่ครั้นทรงทวงถามถึงพระราชโองการนั้นว่ามีผลอย่างไร พระยาศรีสุริยวงศ์ก็กราบทูลเป็นการบ่ายเบี่ยงเสียว่า พระโรคนั้นยังไม่ถึงขั้นตัดรอน "ซึ่งจะยกพระวงศานุวงศ์พระองค์ใดพระองค์หนึ่งขึ้นก็ยังไม่สมควร"๗
ครั้นเมื่อทรงทราบดังนี้แล้วว่ายังไม่มีการเสนอผู้ใดขึ้นมา ซึ่งย่อมหมายถึงพระราชโอรสที่ทรงต้องการให้เป็นรัชทายาทก็ย่อมไม่อยู่ใน "โผ" นั้นด้วย
จึงมีพระราชกระแสรับสั่ง "กัน" พระราชวงศ์ที่เป็น "ตัวเก็ง" ออก คือ กรมขุนเดชอดิศร ท่านว่าพระกรรณเบาเชื่อคนง่าย กรมขุนพิพิธภูเบนทร์ พระสติปัญญาไม่ถึงขั้น ส่วนเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ก็ไม่พอพระทัยทำราชการ รักแต่เล่นสนุก ส่วนที่มีความเหมาะสมมากกว่าคนอื่นคือเจ้าฟ้ามงกุฎ แต่ก็รังเกียจว่าทรงครองผ้าอย่างมอญ จะเห็นได้ว่า "ข้อหา" สำหรับเจ้าฟ้ามงกุฎนั้น "เบา" และแก้ไขได้ง่ายที่สุด เห็นจะทรงปลงพระทัยแล้วหรืออย่างไร?
ส่วนพระราชโอรสที่มีพระราชประสงค์จะให้สืบต่อราชสมบัติคือพระองค์เจ้าอรรณพ ซึ่งครั้งหนึ่งมีพระราชประสงค์จะมอบ "สัญลักษณ์" แห่งการสืบราชบัลลังก์ คือพระประคำทองคำของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ แต่ก็เกิดการ "หยิบผิด" หรือ "สับเปลี่ยน" นำพระประคำองค์ปลอมไปถวาย ว่ากันว่าเป็นลางให้พระองค์เจ้าอรรณพต้องพลาดจากราชบัลลังก์ไป
แต่สิ่งที่แน่นอนกว่าพระประคำทองคำองค์นั้นคือ แรงสนับสนุนจากขุนนางตระกูลบุนนาค ที่ส่งคนไปเตรียมการ "สึกพระ" ตั้งแต่ก่อนพระเจ้าอยู่หัวจะสวรรคตเสียอีก ทางด้าน "ทูลกระหม่อมพระ" เองก็ทรงแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนต่างประเทศ "เปิดตัว" ไว้ล่วงหน้าเช่นกัน
พระอาการประชวรของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นอยู่ค่อนข้างจะหนักและทรมาน เสวยข้าวไม่มีรสมาแล้วเป็นปี อาการพระโรคเจ็บหลัง เสียดท้องตามชายโครง เสียดถึงขั้นนอนหงายไม่ได้ พระอาการหนักอยู่จนถึงขั้นต้องออกประกาศหาแพทย์มือดีมารักษา แต่ก็ไม่สามารถจะฉุดรั้งพระอาการประชวรไว้ได้นาน ครั้น ณ วันพุธ เดือน ๕ ขึ้น ๑ ค่ำ เวลา ๘ นาฬิกา ๕ บาท ก็เสด็จสวรรคต ตรงกับวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๓๙๔
ราชสมบัติสืบต่อไปยังพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นรัชกาลที่ ๔ แห่งพระราชวงศ์จักรี และทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกในพระราชวงศ์นี้ที่มีสร้อยพระนาม "อุภโตสุชาติ" ใช้สำหรับพระเจ้าแผ่นดินที่มาจาก "เจ้าฟ้า" เท่านั้น อุภโตสุชาติคือการเกิดดี ทั้งพระราชบิดาและพระราชมารดาเป็นเจ้าพระมหากษัตริย์ในพระราชวงศ์จักรีที่มีสร้อยพระนามอุภโตสุชาตินั้นมี ๔ พระองค์ คือ รัชกาลที่ ๔, ๕, ๖, ๗
ผลัดแผ่นดินคราวที่ ๔
พ่อสู่ลูก, กลับสู่สายหลัก
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นพระมหากษัตริย์อีกพระองค์หนึ่งที่ไม่ทรงตัดสินเป็นเด็ดขาดเรื่ององค์รัชทายาท แต่อย่างไรก็ดีทรงเตรียมการณ์อย่างเปิดเผยสำหรับพระราชโอรสองค์สำคัญคือเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเตรียมพร้อมให้พระราชโอรสรับมือกับชาติตะวันตก
ครั้นเมื่อถึงเวลาจริงๆ ทรงพระประชวรด้วยพระโรคไข้ป่า จากการเสด็จทอดพระเนตรสุริยุปราคา และทรงหยั่งรู้ด้วยพระองค์เองว่าไม่อาจจะรอดจากพระโรคนี้ได้เป็นแน่ จึงได้แสดงพระราชประสงค์สุดท้ายผ่านทางขุนนางผู้ใหญ่ โดยมีพระราชดำริเป็นเชิง "หยั่งเสียง" เช่นรัชกาลก่อน คือให้พระราชวงศ์และข้าราชการปรึกษาหารือกันเองในเรื่องนี้ จะเลือกพระเจ้าลูกเธอหรือพระเจ้าหลานเธอพระองค์ใดก็ได้ที่เห็นว่าเหมาะสมกับกิจการงานแผ่นดิน
ฝ่ายขุนนาง (ตระกูลบุนนาค) ครั้งนี้ไม่ได้บ่ายเบี่ยงยักเยื้องเหมือนในแผ่นดินก่อน ทั้งยังได้กราบบังคมทูลให้ทรงทราบอย่างชัดเจน เมื่อรับสั่ง "ทวงถาม" ถึงมติเกี่ยวกับองค์รัชทายาท
"พระยาสุรวงศ์วัยวัฒน์ กราบทูลพระกรุณาว่า บิดากระหม่อมฉันเห็นว่า พระอาการทรงพระประชวรมาก ได้ปรึกษาพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการผู้ใหญ่พร้อมกัน เห็นว่าสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ เป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ ควรจะรับสิริราชสมบัติต่อไป"๘
สุดท้ายก็พระราชทาน "สัญลักษณ์" พระประคำทองคำให้กับเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ นำไปถวายเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ ณ พระตำหนักสวนกุหลาบ ต้องตามพระราชประสงค์ ก่อนที่จะเสด็จสวรรคตในวันพฤหัสบดี เดือน ๑๑ ขึ้น ๑๕ ค่ำ ปีมะโรงสัมฤทธิศก จุลศักราช ๑๒๓๐ ตรงกับวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๑
ผลัดแผ่นดินคราวที่ ๕
พ่อสู่ลูก, สลับสายสืบราชสมบัติ
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการเปลี่ยนแปลงเรื่องการกำหนดองค์รัชทายาท ที่เคยปฏิบัติแบบขาดกฎเกณฑ์ที่แน่นอนมาแต่โบราณ ทำให้เกิดความวุ่นวายให้กับราชสำนักอยู่เสมอ โดยเฉพาะความขัดแย้งภายในระหว่าง "พี่น้อง" และความขัดแย้งระหว่างพระญาติในสาย "วังหน้า"
แต่หลังจากเกิดความขัดแย้งรุนแรงระหว่างวังหลวงกับวังหน้า จนนำไปสู่ "วิกฤตวังหน้า" ในรัชกาลนี้ ทำให้หลังจากที่กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ วังหน้าพระองค์สุดท้ายทิวงคตลง ปีรุ่งขึ้น พ.ศ. ๒๔๒๙ จึงเกิดธรรมเนียมใหม่ในการสืบสันตติวงศ์ มีการกำหนดตัวบุคคลที่ชัดเจน โดยทรงสถาปนาเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศขึ้นเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ถือเป็นที่สุดว่าเจ้าฟ้าพระองค์นี้ทรงเป็นองค์รัชทายาทนับแต่บัดนั้น
การสถาปนาเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศขึ้นเป็นองค์รัชทายาท ผลที่ตามมาคือพระราชมารดา ให้ยกขึ้นเป็นพระมเหสีเอกไปด้วย สายการสืบราชสมบัติจึงตกอยู่กับสาย "สว่างวัฒนา" หรือสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี
อย่างไรก็ดี "กฎ" ใหม่นี้ มีข้อดีอยู่ที่สามารถตัดปัญหาเรื่องการแย่งราชสมบัติภายในพระราชวงศ์ลงได้ แต่ก็ยังมีข้อเสียอยู่ตรงที่ว่า การเลือกองค์รัชทายาทโดยใช้ระบบ "โปเจียม" หรือถือลำดับอาวุโสตามสกุลยศ ทำให้ความสำคัญเรื่องความสามารถ ความเหมาะสม และการสนับสนุนดังที่ใช้กันในอดีตเป็นเรื่องสำคัญรองลงมา
ดังจะเห็นได้ว่า แม้เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศจะทรงมีพระปรีชาเฉลียวฉลาด เป็นที่รักของพระราชวงศ์ และทรงได้รับการอบรมสั่งสอนให้พร้อมสำหรับการเป็นกษัตริย์อย่างดี แต่ด้วยความเป็น "วัยรุ่น" ก็มีปัญหา "ความซุกซน" มาให้พระราชบิดาอึดอัดพระทัยอยู่ ดังเคยมีพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่มีพระราชทานต่อเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ ว่า "ชายใหญ่เขามุ่งหมายจะเปนเจ้าแผ่นดินแต่สำหรับจะกินกับเสพย์เมถุน"๙
แต่แล้วตำแหน่ง "มกุฎราชกุมาร" พระองค์แรกก็อยู่ได้เพียง ๘ ปี เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศสวรรคตลงในปี พ.ศ. ๒๔๓๗ ด้วยพระชันษาเพียง ๑๖ ปีเศษ
ภายหลังที่เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศสวรรคตแล้ว พระราชโอรสองค์ถัดมาของพระมเหสีเอกก็น่าจะได้รับตำแหน่งนี้ต่อ ซึ่งขณะนั้นสาย "สว่างวัฒนา" มีอยู่ ๒ พระองค์ คือ เจ้าฟ้าสมมติวงศ์วโรทัย (๒๔๒๕-๔๒) และเจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช (๒๔๓๔-๗๒)
แต่การสืบต่อตำแหน่งไม่ได้เป็นไปตามนั้น คือได้มีการสลับสายจาก "สว่างวัฒนา" ไปสู่สาย "เสาวภาผ่องศรี" ด้วยเหตุผลที่ไม่แน่ชัด มีเพียงพระราชดำรัสครั้งหนึ่งว่า "ลูกแม่กลางกับลูกแม่เล็ก ให้นึกว่าเหมือนแม่เดียวกัน เรียงพี่เรียงน้องในการสืบสันตติวงศ์"๑๐
จึงมีการสถาปนาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชพระองค์ใหม่ คือเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ และยกให้พระราชมารดาขึ้นเป็นพระมเหสีเอกแทนพระองค์ก่อน คือสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระอัครราชเทวี
สาย "เสาวภาผ่องศรี" นี้ มีเจ้าฟ้าขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ต่อเนื่องกัน ๒ พระองค์
ต่อมาในวันที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๓ เวลาเที่ยงคืน ๔๕ นาที พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตด้วยโรคพระวักกะพิการเรื้อรัง ส่วนตำแหน่งรัชทายาทนั้นยังเป็นเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธพระองค์เดิม
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นลำดับที่ ๖ แห่งพระราชวงศ์ ด้วยความรู้สึกที่ทรงบรรยายไว้ดังนี้
"ส่วนตัวฉันเองมิได้เคยนึกอยากเปนเลย, ฉนั้นเมื่อได้เปนขึ้นจึ่งมิได้รู้สึกยินดีเลย. การเปนตำแหน่งอื่นๆ ยังเคยนึกอยากเปนบ้าง, เพราะไม่ใช่ต้องรอให้ผู้ที่อยู่ในตำแหน่งนั้นตายเสียก่อน, แต่การเปนพระเจ้าแผ่นดินโดยสืบสันตติวงศ์เช่นฉันนี้ ต้องเสียพ่อจึ่งจะได้เปน, จะให้ยินดีได้อย่างไร?"๑๑
ผลัดแผ่นดินคราวที่ ๖
พี่สู่น้อง, ไร้ราชโอรส
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นรัชสมัยที่มีความพยายามหาความชัดเจนเรื่ององค์รัชทายาท โดยทรงเห็นว่าหากไม่ทำความข้อนี้ให้ชัดเจนแล้วก็อาจจะเกิดเรื่องวุ่นวายได้ ดังปรากฏในความข้างต้นของกฎมณเฑียรบาล ว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พุทธศักราช ๒๔๖๗ ตอนหนึ่งว่า
"สมัยที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมิได้ทรงเลือก แลประดิษฐานพระรัชทายาทขึ้นไว้อย่างเช่นที่กล่าวมาแล้ว ซึ่งเป็นผลให้บังเกิดมีเหตุยุ่งยากแก่งแย่งกันขึ้น ในเมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตลง การแก่งแย่งช่วงชิงพระราชอำนาจกันย่อมเป็นโอกาสให้บุคคลผู้มิได้ตั้งอยู่ในสัมมาปฏิบัติคิดขัดขวางต่อความเจริญแห่งราชอาณาจักร"
หลักการของกฎมณเฑียรบาลฉบับนี้ก็คือให้ยึดสายตรงก่อน กล่าวอย่างง่ายๆ คือ จาก ๑. พระมหากษัตริย์สู่ลูก ๒. หากพระมหากษัตริย์ไม่มีลูก ก็มอบให้น้องอาวุโสสูงสุดก่อน ๓. แต่หากน้องที่อาวุโสสูงสุดนั้นสิ้นพระชนม์ไปแล้ว ก็เลื่อนไปสู่ลูกของน้องก่อน ๔. แต่หากน้องคนโตสิ้นพระชนม์ไปแล้วและไม่มีลูก จึงจะไปสู่น้องคนถัดลงมา อย่างนี้เป็นต้น
แต่เหนือสิ่งอื่นใดทั้งปวง การที่จะโปรดให้ใครเป็นรัชทายาทนั้นย่อมถือเป็นสิทธิ์ขาดขององค์พระมหากษัตริย์สุดแท้แต่พระราชหฤทัย
และปรากฏว่าในรัชกาลที่ ๖ ก็ไม่ทรงมีวี่แววว่าจะมีพระราชโอรส จึงต้องอาศัยหลักการ "พี่สู่น้อง" ในกฎมณเฑียรบาลไปพลางก่อน จึงทรงออกพระราชกฤษฎีกาประกาศตั้งองค์รัชทายาท โดยระบุให้สืบต่อกันระหว่าง "น้อง" ที่ร่วมพระชนนีเดียวกัน โดยเริ่มจากเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ (มีข้อแม้ว่าจะต้องไม่มอบราชสมบัติต่อให้ทายาทของพระองค์) ต่อมาเจ้าฟ้าจักรพงษ์ฯ ทิวงคตในปี พ.ศ. ๒๔๖๓ ทำให้ "น้อง" ลำดับถัดมารับช่วงเป็นองค์รัชทายาทต่อ คือเจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ แต่ก็ทิวงคตไปอีกในปี พ.ศ. ๒๔๖๗ ส่วนเจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก นั้นสิ้นพระชนม์ไปก่อนแล้วในปี พ.ศ. ๒๔๖๖ ดังนั้นจึงเหลือเพียงเจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์พระองค์เดียว
ซึ่งหากจะถือตามกฎมณเฑียรบาลปี พ.ศ. ๒๔๖๗ จะมีผลให้พระโอรสของเจ้าฟ้าที่เคยอยู่ในตำแหน่งรัชทายาท มีสิทธิจะสืบตำแหน่งต่อ ก่อนที่จะถึง "น้อง" ในลำดับต่างๆ ขณะนั้นมีอยู่ ๒ พระองค์ คือ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ (พระโอรสเจ้าฟ้าจักรพงษ์ฯ) และหม่อมเจ้าวรานนท์ธวัช (พระโอรสเจ้าฟ้าจุฑาธุชฯ) ทั้ง ๒ พระองค์นี้ ต่างมีสิทธิก่อนจะถึงลำดับของเจ้าฟ้าประชาธิปกฯ ตามกฎมณเฑียรบาล
แต่ก็ไม่ปรากฏว่าพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงเพิกถอนสิทธิของเจ้าฟ้าประชาธิปกฯ ทั้งยังมีพระราชหัตถเลขามีพระราชประสงค์ยกราชสมบัติให้กับเจ้าฟ้าประชาธิปกฯ๑๒ โดยไม่ยกให้กับ "หลาน" ตามกฎมณเฑียรบาล ทั้งนี้อาจเป็นเพราะยังทรงติดพระทัยเรื่อง "แม่" ของทั้ง ๒ พระองค์ คือ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์นั้นมีพระมารดาเป็นชาวต่างชาติ ส่วนหม่อมเจ้าวรานนท์ฯ นั้นท่านว่ามีพระมารดาเป็นสามัญชน
แล้วปัญหาจริงๆ ของการสืบราชบัลลังก์ก็ได้เกิดขึ้น เมื่อทรงได้พระราชธิดา ในวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๘ เป็นคำยืนยันว่าจะไม่มีพระราชโอรสสืบต่อตามที่ทรงหวังไว้ เพราะอีก ๒ วันหลังจากนั้นก็เสด็จสวรรคต ในวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ด้วยพระอาการแผลที่ลำไส้ทะลุ อันเกิดจากแผลที่ทรงเคยผ่าตัดไส้ติ่งเมื่อหลายปีก่อน
๑๕ นาที หลังจากที่สวรรคต พระบรมวงศ์ผู้ใหญ่และเสนาบดี อันมีเจ้าฟ้าประชาธิปกฯ เป็นองค์ประธาน ได้มีการอ่านแถลงการณ์และสำเนาพระราชหัตถเลขา อ้างพระราชประสงค์ให้เจ้าฟ้าประชาธิปกฯ สืบราชสมบัติต่อจากพระองค์
ผลัดแผ่นดินคราวที่ ๗
อาสู่หลาน, กลับสู่สาย "สว่างวัฒนา"
ฝันร้ายในการสืบสันตติวงศ์กลับมาอีกในรัชกาลนี้ คือพระเจ้าแผ่นดินไม่มีพระราชโอรส แต่ส่วนที่เป็นยิ่งกว่าฝันร้ายคือทรงระแวงพระทัยในพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ซึ่งยังคงมีผลผูกพันอยู่กับกฎมณเฑียรบาล เรื่องการสืบสันตติวงศ์ เพราะมิได้ทรงถูก "ข้าม" เป็นลายลักษณ์อักษรเหมือนกับหม่อมเจ้าวรานนท์ฯ (ภายหลังยกขึ้นเป็นพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า) ความหวาดระแวงดังกล่าวปรากฏอยู่ในพระราชหัตถเลขาที่มีไปยังพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ดังนี้
"แกอาจจะอยากทราบว่าความรู้สึกของฉันที่มีต่อแกอย่างไร ฉันบอกแกได้ทันทีว่าความรู้สึกของฉันต่อแกในฐานญาติในฐานเป็นอา ย่อมมีแต่ความรัก และฉันจะพยายามทุกวิถีทางที่จะให้แกได้รับความเจริญ แต่ยังมีความรู้สึกอีกด้านหนึ่ง คือความรู้สึกที่ฉันมีต่อแกในฐานที่ฉันเป็นพระเจ้าแผ่นดินและแกเป็นพระราชวงศ์ ฉันจะพูดกับแกตรงๆ และหวังว่าแกจะพยายามเข้าใจความคิดของฉัน ฉันรู้สึกสะอิดสะเอียนอย่างยิ่งที่ต้องเอามาพูด แต่เป็นการจำเป็นและแกก็รู้ตัวอยู่ดี คือแกเป็นครึ่งชาติ และเพราะเหตุนั้นจึงถูกยกเว้นจากการสืบราชสมบัติ คนบางคนเขาว่าการถือเลือดต่างชาติกันนั้นเป็นของเหลวไม่เป็นสาระ แต่ที่จริงความรู้สึกมันก็ยังมีอยู่ ฉันจึงต้องขอบอกแกว่าฉันเห็นด้วย สนับสนุนอย่างเต็มที่ในการที่แกถูกยกเว้น จนถึงกับมีคนเขารู้กันอยู่แล้วว่า ฉันเคยพูดอย่างเปิดเผยว่า ถ้าแกพยายามคบคิดที่จะขึ้นบัลลังก์ไทย ฉันจะยิงแกด้วยมือของฉันเอง..."๑๓
แต่ปลายแผ่นดินนี้กลับไม่เหมือนกับทุกครั้ง คือไม่ต้องรอให้พระเจ้าแผ่นดินสวรรคตก่อนจึงมีพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่ได้ เพราะครั้งนี้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละราชสมบัติ และมีพระราชดำริเรื่ององค์รัชทายาทไว้อย่างชัดเจน ในพระราชหัตถเลขาสละราชสมบัติ ฉบับลงวันที่ ๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ว่า
"ข้าพเจ้าไม่มีประสงค์ที่จะบ่งนามผู้หนึ่งผู้ใด ให้เป็นผู้รับราชสมบัติสืบสันตติวงศ์ต่อไป ตามที่ข้าพเจ้ามีสิทธิที่จะทำได้ตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบสันตติวงศ์"
คณะรัฐมนตรีในขณะนั้นจึงพิจารณา "เจ้านาย" หลายพระองค์ที่อยู่ในข่ายจะได้รับราชสมบัติสืบต่อในวาระนี้ อันได้แก่พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ แต่ก็ต้องถูกข้ามด้วยเหตุผลเดิมคือมีพระมารดาเป็นคนต่างด้าว ต่อมาคือพระองค์เจ้าวรานนท์ฯ ถูกยกเว้นด้วยเหตุผลเรื่องพระมารดาอีกเช่นกัน เท่ากับหมดสาย "เสาวภาผ่องศรี" เพียงแค่นี้
ตามกฎมณเฑียรบาลให้กลับมาพิจารณา "สายสนิทมากน้อย" ยังผลให้การสืบสายย้อนกลับมาสู่สาย "สว่างวัฒนา" อีกครั้ง
ในที่สุดลำดับการสืบสันตติวงศ์ก็มาตกอยู่กับเจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช แต่สิ้นพระชนม์ไปก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้นตามกฎมณเฑียรบาลจึงต้องเลื่อนมาสู่พระโอรส คือพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล สภาผู้แทนฯ จึงลงมติอัญเชิญขึ้นครองราชย์ในวันที่ ๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ และให้มีผลย้อนหลังไปในวันที่รัชกาลที่ ๗ ทรงสละราชสมบัติ คือวันที่ ๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์เดียวในพระราชวงศ์ที่ไม่ผ่านพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ทำให้ในรัชสมัยนี้ไม่มีคำว่า "พระบาท" นำหน้าพระนาม ต่อมาจึงเฉลิมพระนามใหม่ในรัชกาลปัจจุบันเป็นพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล
ผลัดแผ่นดินคราวที่ ๘
"พระเจ้าอยู่หัวยังอยู่ พระอนุชาต่างหากที่ไม่มีแล้ว"๑๔
เกิดเหตุร้ายที่ไม่มีใครคาดฝันว่าจะเป็นไปได้ ด้วยพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ที่ ๘ ในพระราชวงศ์จักรี เสด็จสวรรคตด้วยพระแสงปืนในพระบรมมหาราชวัง และขณะนั้นยังไม่มีพระมเหสีและพระเจ้าลูกเธอ
สมาชิกรัฐสภาจึงเห็นชอบ อัญเชิญสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช สืบสันตติวงศ์ตั้งแต่วันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๙
อ้างอิง
๑ ทิพากรวงศ์, เจ้าพระยา. พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ ฉบับตัวเขียน. กรุงเทพฯ : อมรินทร์วิชาการ, ๒๕๓๙, น. ๑๘๗.
๒ พระประภากร, หม่อมเจ้า. เทศนาพระราชประวัติและพงศาวดารกรุงเทพฯ. พระนคร : กรมราชบัณฑิต, ๒๔๖๒, น. ๓๖.
๓ นรินทรเทวี, กรมหลวง. จดหมายความทรงจำของพระเจ้าไปยิกาเธอ กรมหลวงนรินทรเทวี (เจ้าครอกวัดโพ) ตั้งแต่ จ.ศ. ๑๑๒๙-๑๑๘๒. พิมพ์ครั้งที่ ๔. กรุงเทพฯ : ต้นฉบับ, ๒๕๔๖, น. ๖๑๐.
๔ ทิพากรวงศ์, เจ้าพระยา. อ้างแล้ว. น. ๒๒๐.
๕ อภินิหารบรรพบุรุษ และปฐมวงศ์, กรุงเทพฯ : ศิลปวัฒนธรรมฉบับพิเศษ, ๒๕๔๕, น. ๖๒.
๖ ทิพากรวงศ์, เจ้าพระยา. พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๒. กรุงเทพฯ : คุรุสภา, ๒๕๐๔, น. ๒๐๕.
๗ ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๕๑ จดหมายเหตุเมื่อสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคต, กรุงเทพฯ : ก้าวหน้า, ๒๕๑๓, น. ๔๘๘.
๘ มหินทรศักดิ์ธำรง, เจ้าพระยา. ประชุมจดหมายเหตุเรื่องสุริยุปราคาในรัชกาลที่ ๔ และเรื่องรัชกาลที่ ๔ ประชวรและสวรรคต. งานพระราชทานเพลิงศพ นายเทพ เสมถิติ). กรุงเทพฯ : ๒๕๑๒, น. ๔๘.
๙ ราม วชิราวุธ. ประวัติต้นรัชกาลที่ ๖. กรุงเทพฯ : ศิลปวัฒนธรรมฉบับพิเศษ, ๒๕๔๕, น. ๕๕.
๑๐ สมภพ จันทรประภา. สมเด็จพระศรีสวรินทิรา พระบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า. กรุงเทพฯ : ผดุงศึกษา, ๒๕๒๐, น. ๑๒๑.
๑๑ ราม วชิราวุธ. อ้างแล้ว. น. ๕๕.
๑๒ พระราชประวัติและพระราชกรณียกิจในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว, กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, ๒๕๒๔, น. ๕๙.
๑๓ จุลจักรพงษ์, พระองค์เจ้า. เกิดวังปารุสก์ เล่ม ๒. กรุงเทพฯ : คลังวิทยา, ๒๕๑๑, น. ๒๕.
๑๔ พระธรรมิกราชของชาวไทย, ศิลปากร, ๒๕๓๐
ศิลปวัฒนธรรม
วันที่ 01 มิถุนายน พ.ศ. 2549 ปีที่ 27 ฉบับที่ 08
โดย. ปรามินทร์ เครือทอง
วันเสาร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2550
พระมหากษัตริย์สวรรคต ขอพระมหากษัตริย์ (พระองค์ใหม่) ทรงพระเจริญ : The King is dead long live the King
ผู้จัดเก็บบทความ
เจ้าน้อย ณ สยาม
ที่
7:53 หลังเที่ยง
3
ความคิดเห็น
วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2550
ประวัติเอกสาร " ความจริงย่อมลอยขึ้นเหนือน้ำ เหนือฟ้าเสมอ "
ผมขอเล่าในฐานะที่เป็นนักประวัติศาสตร์ (อันนี้เพื่อความปลอดภัยไว้ก่อน) ที่ต้องตามข่าวคราวเรื่องพวกนี้ก็แล้วกัน
เอกสารที่ว่า ซึ่งผมไม่มีและไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง (อันนี้เรื่องจริงครับ ไม่ใช่เขียนเพื่อความปลดดภัย) เรียกกันว่า "สมุดปกเหลือง" เพราะหุ้มด้วยปกสีเหลือง มีการทำออกเผยแพร่ในช่วง "200 ปี กรุงเทพ" คือ ปี 2525 (ขนาดคล้ายๆป้อกเก็ตบุค แต่ไม่หนามาก) เป็นการเผยแพร่แบบ "ใต้ดิน"
ที่ "ฮือฮา" กว่า "วรรณกรรม" ประเภทเดียวกันที่เคยเผยแพร่มาก่อน คือ การที่มีการทำให้มีลักษณะ "งานวิชาการ" คือมีอ้างอิง มีเชิงอรรถ อะไรทำนองนี้ และเขียนด้วย "ลีลา" เชิงวิชาการ ("วรรณกรรม" ประเภทนี้ มีทำกันบ้างในวงการใต้ดินสมัยก่อน อันที่จริง - อันนี้ผมยังไม่มีเวลาขยายความ - เมื่อผมอ่าน KNS ผมเห็นว่า ด้านที่สำคัญบางด้าน (ไม่ทั้งหมด) เป็นการ "สืบทอดจารีต" "วรรณกรรม" ประเภทที่ว่านี้อยู่เหมือนกัน พวกที่เกี่ยวกับ gossips ทั้งหลายน่ะ)
ว่ากันว่า ทาง "ราชการ" ตกใจ และ โกรธมาก กับเอกสารชิ้นนี้ ถึงขนาดมีการส่ง จนท.ไปตรวจสอบที่ หอจดหมายแห่งชาติ ว่าในช่วงเวลานั้น มีใครบ้างมาค้นเอกสารที่มีการอ้างอิงใน "ปกเหลือง" ที่ว่า เพื่อจับให้ได้ว่า ใครคือคนทำ และ ถึงขนาดว่า มีข่าวลือว่า นักวิชาการชื่อดังมาก 2 คน (ที่ผมได้ยินนะ ไม่รู้มีมากกว่านี้ไหมที่ถูกข่าวลือ) ถูกต้องสงสัยว่าเป็นคนเขียน (นักวิชาการ 2 คนดังกล่าว ตอนนี้ก็ยังดังมากครับ .. ไม่ใช่รุ่นผมนะครับ รุ่นผมยังเป็นเด็กกระจอก ไม่ใช่นักวิชาการ)
สุดท้าย ตำรวจได้เข้าจับกุมและมีการดำเนินคดีกับอดีตแอ๊กติวิสต์ 2-3 คน ในข้อหาทำหนังสือเล่มนี้ พวกเขาถูกติดคุก คนละ 7-8 ปี (ผมจำไม่ได้ว่าสุดท้ายติดกี่คน มีคนหนึ่งติดแน่ๆ คนอื่นๆไม่แน่ใจ) แต่ปล่อยออกมาก่อน หลังจากประมาณ 4 ปี หรือยังไงนี่แหละ
สรุปว่า เรื่องนี้ ซีเรียสครับ หรือใคร อย่าทำเป็นเล่นๆไป
พูดถึงการไปเช็คที่ หจช. ผมไม่แน่ใจเคยเล่าเรื่องนี้หรือยัง มีอยู่วันหนึ่ง ผมอยู่เย็นหน่อย คือหลังจากปิดแล้ว พอจะกลับผมก็ทักทายกับเจ้าหน้าที่ที่เฝ้าโต๊ะหน้า (ที่เราต้องไปเซ็นชื่อก่อนใช้น่ะครับ) ผมเห็นเขา กำลังอ่านรายชื่อคนที่เข้าใช้ในวันนั้น ดูเหมือนทำท่าจะคัดลอกออกมา ผมก็ถามเขาแบบยิ้มๆ ว่า เอ๊ะ นึกว่า รายชื่อพวกนี้ เซ็นเสร็จก็แล้วไป ไม่มีอะไรสำคัญ เขาบอกว่า ไม่นะ ทุกวันต้องส่งรายชื่อนี้ขึ้นไปตามลำดับให้เจ้านายนะ เพื่อส่งต่อให้รัฐบาล (ดูเหมือนเขาจะใช้คำทำนองนี้นะ "รัฐบาล" หรือ "กระทรวง" หรืออะไรสักอย่างีน่แหละที่มันใหญ่กว่าหน่วยงาน หจช.เอง)
เฮ้อ พูดเรื่องพวกนี้แล้ว นอกจากชวนให้ "เสียว" อย่างยิ่งแล้ว ยังชวนให้ "หด(หู่)" อย่างยิ่งด้วย
สมศักดิ์
หมายเหตุ
จากข้อเขียนข้างต้นผมได้ตัดทอนบางส่วนมาจาก กระทู้ ประวัติเอกสาร "รักษ์ธรรม รักไทย" 11 มี.ค. 2525 ในบอรด์ฟ้าเดียวกัน ( เก่า ) ของคุณ saraburian ผู้ตั้งคำถาม ส่วนด้านล่างเปนความในใจของผู้เขียน เอกสารชิ้นนี้ ที่ได้กลายเปนเอกสารต้องห้ามมาเปนเวลา 25 ปี
( กรุณาอ่านเพื่อการศึกษาเท่านั้น !
เพื่อการศึกษาเท่านั้น !!! ขอแจ้งอีกครั้ง )
ความในใจของผู้เขียน
“ความจริง ย่อมลอยขึ้น เหนือน้ำ เหนือฟ้าเสมอ”
ผู้เขียนขอเรียนชี้แจงไว้เป็นปฐม ณ ที่นี้ว่า จุดเริ่มต้นของการเขียน หาได้มีเจตนาที่จะลบหลู่พระบรมเดชานุภาพขององค์พระมหากษัตริย์ราชวงศ์จักรีแต่อย่างใดไม่ หากแต่อยู่บนพื้นฐานความต้องการเปิดเผยข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ที่ผู้เขียนได้ศึกษาค้นคว้าด้วยความสำนึกที่รุ่มร้อน และตระหนักต่อหน้าที่ของนักประวัติศาสตร์ที่เคารพความจริงคนหนึ่ง และด้วยเหตุผลที่ว่า “ข้อเท็จจริง” เป็นสัจธรรมที่มีความเที่ยงตรง มันจึงได้ปรากฏคุณค่าและพระเกียรติอย่างตรงไปตรงมาและแจ่มชัดในตัวมันเอง ดังนั้นความกระทบกระเทือนอันใดที่มี จึงหาใช่เจตนาในข้อเขียนของข้าพเจ้าแต่อย่างใดไม่ แต่เป็นเพราะข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์นั้นเอง
ข้อเท็จจริงเหล่านี้เป็นแสงสว่างอันมีคุณค่าและดูเหมือนจะมีคุณค่ายิ่งโดยเฉพาะในยุค ๒๐๐ ปีแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ที่ผู้คนส่วนหนึ่งพยายามจะเชิดชูพระเกียรติกษัตริย์ไทยให้สูงส่งเกินจริง ราวกับหวั่นเกรงว่า ข้อเท็จจริงอันเลวร้ายของราชวงศ์จักรีที่ปกปิดกันมาช้านานจะรั่วหลุดไปถึงสายตาปวงชน อันจะนำไปสู่ความเสื่อมศรัทธาครั้งใหญ่และจะยังความวิบัติแก่ราชวงศ์จักรี โดยที่แม้แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆก็ไม่อาจคุ้มครองได้
ท่านผู้อ่านที่เคารพ ประวัติศาสตร์ไทยที่เราท่านเล่าเรียนกันมา มิได้สะท้อนความเป็นจริงแห่งการดำรงชีพของคนไทยและความเป็นจริงของเหตุการณ์ในแผ่นดินอย่างตรงไปตรงมา เนื้อหาส่วนใหญ่กลับเป็นเรื่องบิดเบือนและปิดหูปิดตาไม่ให้ผู้คนรู้ความจริง ประวัติศาสตร์ไทยกลายเป็นตำนานของการสืบสันตติวงศ์ เป็นการยกย่องกษัตริย์ให้ผิดมนุษย์ธรรมดา ทำให้ผู้คนหลงเชื่อว่า กษัตริย์คือเทพเจ้าอยู่เหนือคำตำหนิใดๆของมนุษย์ เมื่อกล่าวถึงกษัตริย์จะมีแต่ส่วนดีงามและการยกย่องสรรเสริญเท่านั้น
ผู้เขียนมีความเห็นอย่างบริสุทธิ์ใจว่า กิจวัตรของกษัตริย์และราชนิกุลทั้งหลายก็เฉกเช่นคนสามัญ ที่ประกอบคละกันไปด้วยส่วนที่ดีงามควรแก่การสรรเสริญ กับส่วนที่เลวร้ายควรแก่การตำหนิวิจารณ์ ฉะนั้นการที่มีแต่สรรเสริญถ่ายเดียวและห้ามเอ่ยถึงส่วนที่เสียแม้แต่น้อยเพื่อการปรับปรุงสร้างสรรค์จึงเป็นหนทางแห่งการเสื่อมถอยมากกว่าเป็นเรื่องดี โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่การศึกษา ความรับรู้ของมนุษย์ได้ก้าวไปไกลมาก อีกทั้งสังคมก็มีสิทธิเสรีภาพ ข้อยึดปฏิบัติเกี่ยวกับกษัตริย์จึงเป็นเรื่องล้าหลังอย่างยิ่ง เพราะการศึกษาค้นคว้า ทำให้เราทราบข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ว่าใครถูกผิด ใครดีชั่ว อีกประการหนึ่งปุถุชนวิสัยมีความอยากรู้อยากเห็น ยิ่งบิดเบือนมากเสียงซุบซิบก็จะหนาหูขึ้น ดังเช่นในยุคปัจจุบันที่ผู้คนวงการต่างๆนำเรื่องในราชสำนักมาเล่าลือจนกลายเป็นเรื่องตลกหลังอาหารอย่างกว้างขวาง การโป้ปดมดเท็จหลอกลวงผู้คนเพื่อหวังกดหัวประชาชนให้รับใช้พวกตนอย่างงมงายด้วยความสัตย์ซื่อมานับร้อยๆปีนั้น มาบัดนี้จะเป็นหน้าที่ของประวัติศาสตร์ที่จะได้เปิดให้เห็นโฉมหน้าอันแท้จริงของเจ้าศักดินาไทย โดยเฉพาะกษัตริย์ราชวงศ์จักรีให้ประจักษ์ชัดต่อประชาชนไทย
ณ ที่นี้ ผู้เขียนใคร่ขอขอบคุณนักคิดนักเขียน นักโบราณคดีและนักประวัติศาสตร์ทั้งคนไทยและคนต่างชาติที่กล้าหาญและซื่อสัตย์ต่อข้อเท็จจริง พวกเขาได้เขียนบันทึกและเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของประวัติศาสตร์ออกมา จนผู้เขียนสามารถนำมาเรียบเรียงเป็นหนังสือเล่มนี้ ผู้เขียนมีความเชื่ออย่างเต็มเปี่ยมว่า “ความเป็นจริง ย่อมลอยขึ้น เหนือน้ำ เหนือฟ้าเสมอ”
ด้วยความเคารพ
รักษ์ธรรม รักษ์ไทย
๑๑ มี.ค. ๒๕๒๕
ปล. The royal family
ผู้จัดเก็บบทความ
เจ้าน้อย ณ สยาม
ที่
11:43 หลังเที่ยง
0
ความคิดเห็น