วันเสาร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2550

'ทองปาน' ภาพยนตร์ประหลาดของไทย : 30 ปี ที่ผ่านไปของ ‘ทองปาน’




'ทองปาน' ภาพยนตร์ประหลาดของไทย

30 ปีผ่านไปไวเหมือนโกหก ไม่น่าเชื่อว่าเรื่องราวและชะตากรรมของคนตัวเล็กตัวน้อยอย่างทองปานที่ถูกกระหน่ำด้วยการพัฒนากระแสหลักของรัฐและองค์กรระหว่างประเทศนั้น
ชาญวิทย์ เกษตรศิริ

จะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกในประเทศไทยของเรา และแทนที่จะลดลงและได้รับการแก้ไขเยียวยา กลับดูเหมือนว่าได้แผ่ขยายไปทั่วทั้งดินแดนลุ่มแม่น้ำโขง จากเหนือสุดในทิเบต ยูนนาน (ที่จีนได้ไล่ผู้คนออกไปเพื่อสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำโขง 'ล้านช้างเจียง' เสร็จไปแล้ว 3 เขื่อน และกำลังสร้างอีก 5 เขื่อน) ไล่ลงมาถึงสามเหลี่ยมทองคำ (สบรวก) พม่า ไทย ลาว สู่สามเหลี่ยมมรกต และใต้ลงไปถึงกัมพูชากับเวียดนาม

ทองปาน เป็นภาพยนตร์กึ่งสารคดีขาวดำ (พูดภาษาไทย/ลาว พร้อมอักษรบรรยายอังกฤษ) ความยาว 60 นาที ที่สร้างขึ้นในสมัยของ 'มรสุมการเมืองไทย' เมื่อปี 2519 โดยทีมงานสมัครเล่น ที่เป็นอาจารย์/นักศึกษาทั้งไทยและเทศรุ่น 14 ตุลา มี คนดังๆ เป็นทั้งผู้สร้าง/ผู้กำกับ/ถ่ายทำ/ตัดต่อ/และผู้แสดงกิตติมศักดิ์คับคั่ง

ผู้รักความเป็นธรรมและชนชั้นกลางในเมืองนี้มีอาทิ Mike Morrow Frank Green ไพจง ไหลสกุล สุรชัย จันทิมาธร (หงา คาราวาน) ยุทธนา มุกดาสนิท รัศมี เผ่าเหลืองทอง คำสิงห์ ศรีนอก วิทยากร เชียงกูล เรืองยศ จันทคีรี เสน่ห์ จามริก สุลักษณ์ ศิวรักษ์ พัทยา สายหู Peter F.Bel เทพศิริ สุขโสภา ทรงยศ แววหงษ์ รวมไปจนถึงชาวบ้านจริงๆ อย่างเช่นทองปาน-องอาจ โพนทอง ผมหอม พิลาสมบัติ ชาวบ้านอำเภอบัวใหญ่ นครราชสีมา และภารโรงธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

ทองปาน เป็นเรื่องของชาวนาผู้ยากจนในอีสาน ที่ทั้งลูกและเมียถูกบีบบังคับให้ต้องทิ้งที่นาซ้ำสอง ทั้งนี้ด้วยข้ออ้างจำยอมของการสร้างเขื่อนเพื่อการพัฒนากระแสหลัก ตามนโยบายของรัฐบาลไทยและสหรัฐอเมริกา ในขณะที่นักวิชาการและนักศึกษาที่เป็นชนชั้นกลางในเมืองและรักความเป็นธรรมดังกล่าวข้างต้น ต่างก็ถกเถียง สัมมนาถึง 'ผลดีผลเสีย' ของการพัฒนาของการก่อสร้างขนาดใหญ่อย่างเขื่อนผามองที่จังหวัดเลย หนองคาย เวียงจันทน์ ไชยะบุรี และทองปานก็กลายเป็นเพียงชาวบ้าน ผู้นั่งฟัง ถูกกระทำ และก็สูญหายไปตามประสาของคนตัวเล็กตัวน้อย

เขื่อนผามอง เป็นหนึ่งในบรรดาเขื่อนขนาดใหญ่ๆ ที่สหรัฐอเมริกานำมาเสนอสร้างขึ้นในลุ่มแม่น้ำโขงตอนกลางและแม่น้ำสาขาทั้งหลายทั้งปวง ระหว่างไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม (ใต้) นี่เป็นยุคสมัยของสงครามเย็นของ 'สวรรค์ของนักสร้างเขื่อน/วิศวกร' ของธนาคารโลก (ที่ Asian Development Bank จะเป็นผู้สืบมรดก) และถ้าหากสร้างได้สำเร็จเมื่อ 30 ปีก่อน พื้นที่ส่วนใหญ่ของจังหวัดเลย จังหวัดหนองคาย กับด้านฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงที่ไชยะบุรี หลวงพระบาง และเวียงจันทน์ ก็คงจะจมอยู่ใต้น้ำไปเรียบร้อยแล้ว

ภาพยนตร์เรื่องทองปานนี้อาภัพ เมื่อสร้างเกือบจะเสร็จหลังการถ่ายทำเป็นเวลา 2 เดือนที่ชนบทอำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา และหนึ่งสัปดาห์ของฉากการสัมมนาที่ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ก็เกิดเหตุการณ์นองเลือดและรัฐประหาร 6 ตุลา (2519) ทำให้กลายเป็น 'หนังต้องห้าม' (เป็นหัวแดง หรือคอมมิวนิสต์) ทีมงานและนักแสดงต้องระหกระเหิน บ้างไปอยู่ต่างประเทศ บ้าง gone to the jungle for justice แต่ทองปานก็โชคดีได้ไปเปิดตัวที่ London Film Festival ภายหลังการตัดต่อเสร็จ และได้รางวัลเกียรติยศ Outstanding Film of Southeast Asia

น่าสนใจที่ว่านักมวยจริงนามองอาจที่แสดงเป็นทองปานนั้น ไปไกลถึงได้แสดงเป็น 'ลูกอีสาน' จากบทประพันธ์ของคำพูน บุญทวี (ที่ตีพิมพ์ 2518 ได้รางวัลงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ 2519 และซีไรต์ 2522) องอาจกลายเป็น 'ทองปาน โพนทอง' ในภาพยนตร์อมตะ ของวิจิตร คุณาวุฒิ (2525)

คนไทยส่วนใหญ่ไม่ได้ดู (แบบที่ก็ไม่ได้ดู 'สัตว์ประหลาด' ของอภิชาตพงศ์ วีระเศรษฐกุล หนังไทยที่ได้รับรางวัลสูงสุดในระดับสากล Jury Prize จากเมืองคานส์ ฝรั่งเศส 2547) แต่ในวงการอุษาคเนย์ศึกษานอกบ้านเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งอเมริกาเหนือ ยุโรป และออสเตรเลีย ทองปานกลายเป็นหนังที่ must see 'ต้องดู' ของอาจารย์และนักศึกษา ทองปานถูกฉายซ้ำแล้วซ้ำอีกในรอบ 30 ปีที่ผ่านมา (และก็เรียกความใจหายและความเจ็บปวดจากผู้ดูได้ทุกครั้ง)

30 ปีผ่านไปไวเหมือนโกหก ไม่น่าเชื่อว่าเรื่องราวและชะตากรรมของคนตัวเล็กตัวน้อยอย่างทองปานที่ถูกกระหน่ำด้วยการพัฒนากระแสหลักของรัฐและองค์กรระหว่างประเทศนั้น จะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกในประเทศไทยของเรา และแทนที่จะลดลงและได้รับการแก้ไขเยียวยา

กลับดูเหมือนว่าได้แผ่ขยายไปทั่วทั้งดินแดนลุ่มแม่น้ำโขง จากเหนือสุดในทิเบต ยูนนาน (ที่จีนได้ไล่ผู้คนออกไปเพื่อสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำโขง 'ล้านช้างเจียง' เสร็จไปแล้ว 3 เขื่อน และกำลังสร้างอีก 5 เขื่อน) ไล่ลงมาถึงสามเหลี่ยมทองคำ (สบรวก) พม่า ไทย ลาว สู่สามเหลี่ยมมรกต และใต้ลงไปถึงกัมพูชากับเวียดนาม และเขื่อนผามองก็อาจจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกก็เป็นได้

ถ้าหากอดีตจะเป็นบทเรียนได้ ภาพยนตร์ที่สะท้อนชีวิตและความเป็นจริงของผู้คนเช่นทองปานนี้ ก็น่าจะเป็นแสงสว่าง (แม้จะริบหรี่เพียงใด) ก็ยังอาจจะพอส่องทางให้กับเราได้บ้าง

มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ที่ก่อตั้งและดำเนินงานมาโดยบุคคลที่เกี่ยวข้องไม่โดยตรงก็โดยอ้อมกับผู้คนเช่นทองปาน ก็ต้องขอแสดงความยินดีและขอบคุณต่อโอกาสของการครบรอบ 30 ปีของทองปาน ในการได้รับอนุญาตให้นำ 'ทองปาน' กลับมาเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของพุทธวจนะที่ว่า 'นตถิ ปญญาสมา อาภา' หรือ 'แสงสว่าง เสมอด้วยปัญญา ไม่มี'


นสพ.กรุงเทพธุรกิจ คอลัมน์ “จุดประกาย” วันที่ 16 มกราคม 2549

ที่มา : http://www.ldinet.org/autopage/show_page.php?t=9&s_id=53&d_id=54



30 ปี ที่ผ่านไปของ ‘ทองปาน’
โดย ซาเสียวเอี้ย

เมื่อราวๆ ปี 2520 นักวิจารณ์ภาพยนตร์แห่งประเทศอังกฤษเยินยอหนังไทยเรื่องหนึ่งว่าเป็น

‘ภาพยนตร์จากประเทศโลกที่ 3 ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในทศวรรษที่ผ่านมา’

หนังไทยเรื่องนั้นมีชื่อแสนสั้นและบ้านๆ ว่า ‘ทองปาน’ ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับชะตากรรมของชาวบ้านธรรมดาๆ ชื่อว่า ‘ทองปาน โพนทอง’ ผู้อาศัยอยู่ในเขตอีสานบ้านเฮา (ณ ประเทศไทย) และเขาต้องเอาตัวเข้าไปปะทะกับ ‘การพัฒนา’ ด้วยการเผชิญหน้ากับโครงการสร้างเขื่อนเก็บน้ำ ‘เพื่อความเจริญของภูมิภาค ให้สามารถกักเก็บและจัดสรรทรัพยากรน้ำได้อย่างมีระบบ’ ตามวัตถุประสงค์ของแผนพัฒนาฯ ฉบับแรกๆ

แม้จะถูกขึ้นป้ายโชว์หราว่า ‘ยอดเยี่ยม’ แต่คนไทยหลายคนอาจตะขิดตะขวงใจอยู่บ้างกับคำว่า ‘ประเทศโลกที่สาม’ ที่ถูกจัดประเภทให้ ซึ่งถ้าจะมองกันอย่างพยายามเข้าอกเข้าใจนักวิจารณ์หนังเมืองผู้ดี เราคงต้องยอมรับว่าหนังไทยที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ พ.ศ.2518 และพูดถึงเรื่องราวของประเทศที่อยากจะพัฒนาพื้นที่ต่างๆ ของตัวเองให้ศิวิไลซ์ในทุกๆ ด้าน ก็พอจะกล้อมแกล้มอนุมานได้ว่า ‘ประเทศโลกที่ 3’ คงไม่มีนัยยะแห่งการดูถูกอะไรมากนักหรอก...

ถึงหน้าหนังจะดูเก่าไปสักหน่อย แต่ความเก๋าของหนังไทยอย่าง ‘ทองปาน’ ยังคงอยู่ครบถ้วน แม้จะผ่านกาลเวลามาแล้วถึง 30 ปี ก็ตาม

ยิ่งถ้าพูดถึงประวัติความเป็นมาของหนังเรื่องนี้ เด็กรุ่นหลังคงต้องยกให้ ‘ทองปาน’ เป็นหนังอินดี้ยุคบุกเบิกที่กลุ่มหนุ่มสาวหัวก้าวหน้าเมื่อกว่า 30 ปีที่แล้วร่วมแรงร่วมใจกันทำจนเสร็จสิ้น ด้วยความรู้เชิงภาพยนตร์ที่มีจำกัดแบบมือสมัครเล่น แต่เต็มไปด้วยความตั้งใจจริงซึ่งทะลุขีดมืออาชีพไปแล้ว

นักแสดงแต่ละคนที่มีชื่อเสียงเรียงนามปรากฏอยู่ยาวเป็นหางว่าวล้วนแต่เป็นคนดังๆ ระดับชาติในยุคต่อมา ไม่ว่าจะเป็นศิลปินระดับปรมาจารย์อย่าง เทพศิริ สุขโสภา, หงา คาราวาน ไม่เว้นแม้แต่นักคิด นักวิชาการนักกิจกรรม และนักเขียนคนสำคัญ อย่าง ส.ศิวรักษ์, อาจารย์เสน่ห์ จามริก และ คำสิงห์ ศรีนอก (ลาว คำหอม) รวมถึง และนักแสดงนำผู้เล่นเป็นทองปาน ก็คือชาวบ้านจากอีสานตัวจริงเสียงจริง ผู้มีชื่อจริงๆ ตามสำเนาทะเบียนบ้านว่า ‘องอาจ โพนทอง’ ที่ร่วมแสดงในหนังเรื่อง ‘ลูกอีสาน’ ด้วยในเวลาต่อมา

ความเป็นธรรมชาติของนักแสดงและเนื้อหาที่พูดถึงชะตากรรมของชาวบ้านที่ถูกโครงการพัฒนาบุกเข้าไปเยี่ยมเยือนถึงที่ กลายเป็นประเด็นปัญหาระดับ ‘คลาสสิก’ ทำให้ความสำคัญของหนังเรื่องทองปานไม่ได้มีแค่การเป็นผู้บุกเบิกในวงการหนังอินดี้บ้านเราเท่านั้น (เพราะนั่นอาจเป็นประเด็นที่เล็กน้อยที่สุดแล้ว) แต่คุณค่าของทองปานคือการเป็นหมุดหมายสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่สะท้อนภาพสังคมไทยเมื่อสมัย 30 ปีก่อน และบ่งบอกให้รู้ว่าการมองปัญหาและวิธีที่รัฐใช้จัดการกับผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับ ‘การพัฒนา’ เป็นอย่างไร

โดยเฉพาะฉากที่ทำให้สะเทือนใจจนอึ้งกันไปถ้วนหน้าก็คือเหตุการณ์ที่ทองปานต้องเข้าร่วมเสวนากับนักวิชาการและเจ้าหน้าที่รัฐบาล ซึ่งต้องการ ‘หยั่งเสียง’ ชาวบ้านเรื่องการสร้างเขื่อน แต่ทองปานถึงกับต้องใช้เงินก้อนสุดท้ายของเขาเพื่อที่จะเข้าร่วมโครงการนี้

ในขณะที่นักวิชาการและตัวแทนภาครัฐกำลังถกเถียงกันถึงข้อดี – ข้อเสียของโครงการสร้างเขื่อนอย่างเมามัน ทองปานและชาวบ้านคนอื่นๆ ไม่มีปากไม่มีเสียงอะไร (เพราะไม่มีโอกาสแทรกเข้าไปแสดงความคิดเห็นได้)

และในที่สุดก็ดูเหมือนว่าเขาและชาวบ้านคนอื่นๆ จะถูกกลืนหายไปกับฉากหลังโดยไม่มีใครรู้ตัว...

แต่ที่ร้ายไปกว่านั้นก็คือโศกนาฏกรรมที่ทองปานต้องประสบหลังการเสวนา เพราะมันต้องแลกมาด้วยการจากไปโดยไม่ทันล่ำลาของผู้เป็นที่รักในครอบครัวของเขา

ไม่ต้องบอกก็คงเดาได้ว่าหนังไทยที่อุดมไปด้วยความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์แนวทางการพัฒนาประเทศในยุคที่รัฐบาลทหารครองเมืองจะมีชะตากรรมแบบไหน

หลังจากที่ถ่ายทำกันเสร็จไม่นานเท่าไหร่ การรัฐประหารในเดือนตุลาคม 2519 ก็อุบัติขึ้น นักคิด นักเขียนนักกิจกรรม นักเคลื่อนไหว และศิลปินที่ต่อต้านเผด็จการพลอยถูกกวาดล้างไปด้วย หนังเรื่องทองปานจึงต้องระหกระเหเร่ร่อนลี้ภัยตามผู้กำกับ ‘ไพจง ไหลสกุล’ ไปถึงลอนดอน เพื่อจะได้รับการตัดต่อและถูกนำออกฉายเป็นครั้งแรกที่ต่างบ้านต่างเมือง

การ ‘โกอินเตอร์’ อย่างไม่ได้ตั้งใจของทองปาน ทำให้ชาวต่างชาติได้มีโอกาสดูหนังเรื่องนี้ก่อนคนไทย เป็นเหตุให้นักวิจารณ์หนังในอังกฤษโปรยยาหอมให้ชื่นใจ ‘ชาวประเทศโลกที่สาม’ และมีการเก็บรักษาฟิล์มของหนังเรื่องนี้เป็นอย่างดี ซึ่งก็เป็นเรื่องดีที่ช่วยให้หนังไทยเรื่องสำคัญไม่ถูกเผาทำลายไปตั้งแต่สมัยที่มีการรัฐประหารครั้งกระโน้น

จนเมื่อไม่นานมานี้ มีการค้นเจอฟิล์มต้นฉบับ 16 ม.ม. ของทองปานซึ่งถูกเก็บรักษาไว้ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย

‘ทองปาน’ จึงได้กลับบ้าน หลังจากต้องเดินทางไกลไปนานหลายสิบปี

และอาจเป็นความประจวบเหมาะพอดีก็ได้ ที่วาระครบรอบ 30 ปีให้หลังของทองปาน ตรงกับการเริ่มต้นรัฐประหารครั้งใหม่ในบ้านเราอีกครั้ง...

นอกจากนี้...ข่าวคราวน้ำท่วมและน้ำป่าไหลหลากก็ยังมีมาให้รับรู้กันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

ไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลไม่รู้กี่ยุคกี่สมัย ภาพชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการพัฒนาและการสร้างเขื่อนต่างๆ ที่ออกมาประท้วง ก็ยังไม่ลบเลือนหายไป

เช่นเดียวกับความคิดว่า: ชาวบ้านที่มาประท้วงทวงถามความรับผิดชอบจากรัฐบาลคือม็อบจัดตั้งของคนไม่รู้จักพอ และถูกเสี้ยมสอนจากองค์กรพัฒนาเอกชน ก็ไม่เคยหมดไปจากสังคมไทย

หากคนมากมายไม่เคยคิดแม้แต่จะค้นหาว่า - ความจริงที่แท้เกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นอย่างไรกันแน่...

ถึงวันนี้ ‘ทองปาน โพนทอง’ จะได้กลับบ้าน แต่ทองปานคนอื่นๆ ในยุคโลกาภิวัตน์ยังไม่มีบ้านให้กลับ

อย่าได้แปลกใจไปเลย ถ้าคำนิยมของ ‘ทองปาน’ ที่ปรากฏอยู่ตามสถาบันภาพยนตร์ต่างๆ ของประเทศในโลกที่ ‘เจริญแล้ว’ จะยังใช้ประโยคเดิมๆ ว่านี่คือ

“ภาพยนตร์จากประเทศโลกที่ 3 ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในทศวรรษที่ผ่านมา”


ที่มา : http://www.prachatai.com/05web/th/home/page2.php?mod=mod_ptcms&ContentID=5209&SystemModuleKey=HilightNews&SystemLanguage=Thai


หมายเหตุ
ดูข้อมูลภาพยนตร์เรื่อง ทองปาน เพิ่มเติมได้อีกจาก วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%99



เพิ่มเติม

รูปจากเพื่อนผู้ไม่ประสงค์ออกนามส่งมาให้ดู


ภาพจากอดีต ภาพนี้เป็นภาพระหว่างการถ่ายทำ ทองปานด้านซ้านมือเสื้อสีขาวกับสคริบอยู่ในมือคือ หงา คาราวาน ตรงกลางสะพายเทปบันทึกเสียงมีheadsetอยู่ที่คอ คือ Joe Gordon(ช่างเสียง) ด้านซ้ายที่ช่วยยกไมโครโฟนคือ ไพจง

คำตาม ในบทความเรื่อง "ศึกษารัฐไทย : วิพากษ์ไทยศึกษา"


ศึกษารัฐไทย : วิพากษ์ไทยศึกษา

โดย เบเนดิคท์ อาร์. โอ จี. แอนเดอร์สัน
แปลโดย ดาริน อินททร์เหมือน
บรรณาธิการแปล มุกหอม วงษ์เทศ ในฟ้าเดียวกัน 1:3 http://www.sameskybooks.org/ssmagshow.php?id=3

อ่านบทความที่เป็น PDF ได้ที่นี่ : http://www.sameskybooks.org/upload/file/3-38aw_98-147.pdf

( เน้นคำ-ขีดเส้นใต้เป็นของผมเอง ( สหายสิกขา ) )


คำตาม

ในวงวิชาการไทยศึกษาทั้งในและต่างประเทศ งานวรรณกรรมปริทัศน์ (literature review) ขนาดยาวของอาจารย์ เบน แอนเดอร์สันชิ้นนี้ เป็นต้นธารของการศึกษารัฐสัมบูรณาญาสิทธิ์สยามและชาตินิยมราชการไทยทั้งหมด งานที่เกี่ยวกับรัฐ-ชาติไทยไม่ว่าของ นิธิ เอียวศรีวงศ์, เสกสรรค์ ประเสริฐกุล, ธงชัย วินิจจะกูล, เกษียร เตชะพีระ ฯลฯ ล้วนได้รับอิทธิพลหรืออยู่ในกรอบครรลองมุมมองแนวคิดของงานแม่บทของอาจารย์ เบน แอนเดอร์สัน นี้ทั้งสิ้น

โดยตัวมันเอง นี่เป็นงานที่อาจารย์เบน แอนเดอร์สัน คิดบัญชีรวบยอดอย่างกว้างขวางครอบคลุม ละเอียดพิสดารกับงานวิชาการที่ศึกษาเมืองไทย ในโลกภาษาอังกฤษเท่าที่มีมาถึงตอนนั้น (ค.ศ. 1979) ทั้งหมด การคิดบัญชีครั้งนี้มีลักษณะเป็นการวิพากษ์แบบกลับตาลปัตรถอนรากถอนโคน หรือลัทธิแก้ต่อบทสรุปหลักของงานเหล่านั้นทั้งสิ้น ข้อวิจารณ์คืองานเหล่านี้มีข้อมูลดีๆ น่าสนใจมาก แต่มักค้นพบแบบหนึ่ง ดันสรุปไปอีกแบบหนึ่ง โดยข้อสรุปเหล่านั้นล้วนตกอยู่ใต้กรอบการมองทางอุดมการณ์ หรือสวมแว่นทรรศนะของเจ้านายผู้เป็นชนชั้นปกครองไทยทั้งสิ้น

อาจารย์เบน แอนเดอร์สันเสนอข้อสมมุติสันนิษฐานอีกแบบ ที่ตรงข้ามกับเดิมอย่างสิ้นเชิงในการมองเมืองไทย และในกระบวนการแสดงข้อมูลหลักฐาน (ซึ่งก็ดึงเอามาจากงานศึกษาทั้งหลายที่เขาวิจารณ์นั่นเอง) บรรยายข้อถกเถียง สนับสนุนข้อสมมุติสันนิษฐานใหม่ของเขานั้น เขาได้นำเสนอมติใหม่ที่ท้าทายวงวิชาการไทยศึกษา แบบพลิกกลับถอนรากหลายประการ ที่สำคัญที่สุดคือ :-

1) แยกชาติไทย/สถาบันกษัตริย์ ในการมองและศึกษาเข้าใจประวัติศาสตร์ไทย ไม่เพียงแต่เป็นคนละสิ่งและมีผลประโยชน์ต่างกันเท่านั้น แต่ในหลายกรณีมีผลประโยชน์ขัดแย้งกันด้วย

2) รัฐที่ราชวงศ์จักรีสร้างขึ้นสมัย ร.5 - ร.7 ไม่ใช่รัฐชาติสมัยใหม่ (modern nation-state) แต่เป็นรัฐสมบูรณาญาสิทธิ์ที่สร้างความทันสมัยบางอย่าง บางระดับขึ้นมา (modernizing absolutist state) ขณะขัดขวางกีดกันความทันสมัยอย่างอื่นระดับอื่นไว้ การปรากฎขึ้นของรัฐสัมบูรณาญาสิทธิ์ มิใช่การบรรลุความเป็นรัฐชาติสมัยใหม่ของไทย ตรงกันข้าม รัฐนี้เป็นอุปสรรคขัดขวางการสร้างรัฐชาติสมัยใหม่ และการมาถึงของความเป็นชาติด้วยซ้ำไป

3) เปรียบกับรัฐสัมบูรณาญาสิทธิ์ฝรั่งในยุโรป รัฐสัมบูรณาญาสิทธิ์สยามอายุสั้นเกินไปและอำนาจหยั่งรากไม่ลึกพอ มิได้เปลี่ยนสังคมไทยอย่างกว้างขวางทั่วถึงถึงรากพอ ทำให้ปฏิกิริยาตอบกลับในรูปการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 นั้น เป็นได้แค่กบฎลี้ลับครึ่งๆ กลางๆ ของระบบราชการซึ่งมีพลังพลวัตจำกัดมากในการเปลี่ยนรัฐและสังคมไทย มิใช่การปฏิวัติของมวลชนอย่างแท้จริง กล่าวคือมีมวลชนเข้าร่วมจำกัด และไม่อาจปฏิวัติเปลี่ยนแปลงรัฐและสังคมไทย อย่างถอนรากถอนโคนได้

4) ลักษณะอันเป็นปัญหานานัปการของรัฐราชการไทย (bureucratic polity) ที่เรารู้ๆ กันอยู่ ก็เกิดจากสภาวะอิหลักอิเหลื่อของระยะผ่านยืดเยื้อเรื้อรัง จากรัฐสัมบูรณาญาสิทธิ์ที่ตายไม่สนิทดีไปยังชาตินิยมของประชาชน ที่ยังไม่ทันเติบกล้านั่นเอง ในความหมายที่ว่า รัฐราชการเหมือนรัฐสัมบูรณาญาสิทธิ์ ตรงมันเป็นรัฐที่ดำรงอยู่เพื่อผลประโยชน์ตัวรัฐเอง และผู้กุมอำนาจรัฐ ทว่าความต่างอยู่ตรงผู้ปกครอง ไม่ใช่สถาบันกษัตริย์โดยตรงอีกต่อไป หากเป็นชนชั้นนำข้าราชการ

ดังนั้นอำนาจรัฐราชการจึงบกพร่องพิการความชอบธรรม ที่รัฐสัมบูรณาญาสิทธิ์เคยมีเคยได้ โดยอัตโมนัติจากความศักดิ์สิทธิ์ของสถาบันกษัตริย์

ในทางกลับกัน หากจะแก้ปัญหาคามชอบธรรมพร่องพิการ โดยไม่กลับไปเป็นรัฐสัมบูรณาญาสิทธิ์ ก็ต้องย้ายฐานความชอบธรรมจากสถาบันกษัตริย์ไปเป็นชาตินิยมของประชาชน แต่ถ้าทำดังนั้นก็หมายความว่า รัฐจะต้องเป็นของ ขึ้นต่อ และถูกควบคุมโดยประชาชาติ ดำรงอยู่เพื่อผลประโยชน์ของประชาชาติด้วย ซึ่งขัดกับเนื้อแท้ และผลประโยชน์ของรัฐราชการและมิใช่สิ่งที่ชนชั้นนำข้าราชการจะยอมโดยง่าย สภาวะจึงลงเอยด้วยการที่รัฐราชการซึ่งพร่องพิการความชอบธรรม กับสถาบันกษัตริย์ซึ่งปราศจากอำนาจปกครองโดยตรง ดำรงอยู่ร่วมกันแบบ symbiosis ทางการเมือง โดยรัฐราชการยืมความชอบธรรมจากสถาบันกษัตริย์ ให้เป็นเสมือนเจว็ดหรือรูปเทพารักษ์ (Palladium) แก่อำนาจรัฐเพื่อตัวเองของตน ขณะกระแสชาติยมของประชาชนกลายเป็นทางออกที่ถูกทำหมัน กดปราบ และเลื่อนออกไปตลอดกาล

5) ภายใต้สภาพเงื่อนไขเช่นนี้ จึงเปิดทางให้รัฐราชการย้อนกลับไปเป็นรัฐสัมบูรณาญาสิทธิ์ได้ง่ายๆ ดังกรณีเผด็จการ สฤษดิ์-ถนอม-ประภาส ซึ่งโดยเนื้อแท้แล้วก็คือรัฐสัมบูรณาญาสิทธิ์ หรือเผด็จการอาญาสิทธิ์ของทหารที่มีจอมพลสฤษดิ์-ถนอม-ประภาส กุมอำนาจเด็ดขาดสัมบูรณ์เหนือกฎหมาย ขณะที่สถาบันกษัตริย์เล่นบทเป็นสถาบันศาสนานั่นเอง, และด้วยแรงหนุนช่วย ของความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ-การทหาร และการลงทุนมหาศาลของอเมริกา บวกแผนพัฒนาเศรษฐกิจสังคมแห่งชาติอย่างจงใจ เผด็จการอาญาสิทธิ์ของสฤษดิ์-ถนอม-ประภาส ก็ได้เปลี่ยนเศรษฐกิจสังคมไทย ไปอย่างกว้างขวางทั่วถึงถึงรากจริงๆ ทำให้ชาวชนบทล้มละลายไร้ที่ดินอพยพเข้าเมือง เกิดชนชั้นใหม่ทั้งในเมืองและชนบท อันได้แก่ชนชั้นกลางระดับต่างๆ ในความหมายนี้ รัฐสัมบูรณาญาสิทธิ์จักรี สมัย ร.5 - ร.7 ทำไปไม่ถึง) ที่จะก่อให้เกิดปฏิกิริยาตอบกลับทางการเมือง ที่มีลักษณะมวลชนอย่างรุนแรง นั่นคือการลุกขึ้นสู้ของนักศึกษาประชาชน 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 อันเทียบได้กับ "การปฏิวัติ ค.ศ. 1789" ของไทย อันนับเป็นการปรากฎขึ้น ของขบวนการชาตินิยมของประชาชนไทยอย่างแท้จริง

6) บทสรุปสุดท้ายของอาจารย์เบน แอนเดอร์สันคือ "ปัญหาการเมืองที่แท้จริงของสยามแต่เดิมมา จึงเป็นและยังคงเป็นประเด็นนี้แน่แท้คือ ไม่มีการแตกหักอย่างเด็ดขาดจาก 'ระบอบสัมบูรณาญาสิทธิ์' อันหมายถึงการแตกหัก แบบที่ประชาชนลุกฮือเข้าร่วมและขับเคลื่อน ด้วยแนวคิดที่มุ่งเปลี่ยนสังคม อย่างขุดรากถอนโคนและลัทธิชาตินิยมของมวลชน"

คำถามที่น่าคิดคือ 24 ปีให้หลังถึงระบอบทักษิณแล้ว ปัญหาการเมืองของไทยข้างต้นนี้ แก้ตกหรือยัง? หรือยังไม่แก้? และถ้ายัง มันได้กลายตัวเปลี่ยนรูปการแสดงออกไปบ้างหรือไม่อย่างไร?


เกษียร เตชะพีระ

ฟ้าเดียวกัน ปีที่1 ฉบับที่ 3 เดือนกรกฎาคม - กันยายน 2546 , pp. 138 - 139


ถ้าตั้งต้นด้วยกรอบวิเคราะห์แบบนี้ แล้วใช้ข้อมูลที่เกิดขึ้นหลังจาก 19 กันยา 2549 การวิคราะห์ในข้อ 4 จะเปลี่ยนไปแล้วไหม? โอเค, รัฐราชการยังยืมความชอบธรรมจากสถาบันกษัตริย์ ให้เป็นเสมือนเจว็ดหรือรูปเทพารักษ์ (Palladium) แก่อำนาจรัฐเพื่อตัวเองของตน แต่คำถามคือ ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐราชการและสถาบันกษัตริย์ยังเป็นไปในแบบ symbiosis อีกไหม? เอาเข้าจริงๆแล้ว ใครมีบทบาทในการนำใครกันแน่?

หรือมีอุดมการณ์ใหม่ ที่เข้ามาท้าทายและเป็นอันตรายต่ออุดมการณ์ที่ค้ำยัน รัฐสัมบูรณาญาสิทธิ์ที่ตายไม่สนิทดี? จนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเมื่อ 19 กันยา 49 (ที่มีการเตรียมการก่อนหน้าการปฏิบัติการนั้นเป็นเวลานาน)...


โดย : สหายสิกขา

ที่มา : http://www.sameskybooks.org/board/index.php?showtopic=273

หมายเหตุ
จากข้อเขียนข้างต้นนี้ ผมได้ทำสำเนามาแต่ในบางส่วนจากกระทู้ที่ คุณสหายสิขา เขียนลงในเว็บบอร์ดฟ้าเดียวกัน ( เจ้าน้อย ณ สยาม )