“เขาคงไม่ลง [ข่าวเรื่องนี้] เพราะกลัวว่ามันจะกระทบถึงภาพลักษณ์ของกษัตริย์” ชัยฤทธิ์ ยนต์เปี่ยม ผู้สื่อข่าว หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ สายการเมือง กล่าวกับผู้เขียนเมื่อถูกถามว่า เขาคิดว่าหนังสือพิมพ์ส่วนใหญ่จะลงข่าวในวันรุ่งขึ้นเกี่ยวกับคำพิพากษาวันนี้ (29 มี.ค.) ของศาลต่อชายชาวสวิสผู้ได้ใช้สเปรย์สีพ่นทับพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือไม่
ปรากฎว่า ชัยฤทธิ์คาดการณ์ได้ค่อนข้างถูกต้อง เพราะผู้เขียนไม่พบข่าวเกี่ยวกับคำพิพากษาต่อนายรูดอร์ฟ จูเฟอร์ ชาวสวิส วัย 57 ปี ในหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ พอผู้เขียนพยายามหาข่าวชิ้นเดียวกันในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ มติชน หรือแม้แต่กรุงเทพธุรกิจก็ไม่พบข่าวนี้ แม้กระทั่งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวันซึ่งเทิดทูนสถาบันสูงสุดพร้อมแถบสีเหลืองทุกวันก็ไม่พบข่าวนี้เช่นเดียวกัน
ส่วนทางประชาไท (www.prachatai.com) หนังสือพิมพ์ออนไลน์อิสระ ซึ่งยึดหลักว่าจะต้องเสนอข่าวสำคัญที่สื่อกระแสหลักไม่ให้พื้นที่ ได้ลงข่าวนี้ ถึงแม้ข่าวในประชาไทจะเป็นข่าวที่แปลมาจากสำนักข่าวบีบีซีและสำนักข่าวต่างประเทศอื่นๆ เช่นกัน นางสาวตติกานต์ เดชชพงศ ผู้สื่อข่าวประชาไทที่แปลรวบรวมข่าวเรื่องนี้ กล่าวกับผู้เขียนว่า ข่าวกรณีนายจูเฟอร์สำคัญ เพราะเกี่ยวกับเรื่องสิทธิมนุษยชนและกฎหมายไทย
หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์และเดอะเนชั่น ก็อ้างข่าวจากสำนักข่าวต่างประเทศ สองหนังสือพิมพ์ไทยภาษาอังกฤษได้รายงานข่าวนี้อย่างสั้นๆ โดยบางกอกโพสต์นั้นเสนอเป็นข่าวเล็กๆ ในมุมล่างซ้ายสุดของหน้าสอง ของฉบับวันที่ 30 มีนาคม ส่วนเดอะเนชั่น ซึ่งไม่ได้ลงข่าวตอนที่นายจูเฟอร์ถูกจับ กลับเล่นข่าวนี้อย่างใหญ่โตเป็นพาดหัวข่าวใหญ่อันดับสองบนหน้าหนึ่ง ถือได้ว่าเป็นการยูเทิร์นจากจุดยืนตอนแรกในระดับหนึ่ง
ประเด็นที่น่าสนใจอีกประเด็นหนึ่งคือการที่หนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษทั้งสองฉบับไม่มีจดหมายถึงบรรณาธิการจากผู้อ่าน พาดพิงแสดงทัศนะต่อคำพิพากษานี้เลย ถึงแม้ว่าเป็นที่คาดการณ์ได้ว่าชาวต่างชาติในประเทศไทยเป็นจำนวนไม่น้อยคงสนใจข่าวนี้ เพราะนายจูเฟอร์เองก็เป็นชาวต่างชาติ ผู้เขียนขอตั้งข้อสังเกตว่าอาจมีการเซ็นเซอร์ไม่ลงจดหมายถึงบรรณาธิการโดย บก. เอง
แล้วคงไม่ต้องพูดถึงทีวีวิทยุซึ่งที่ดูผ่านๆ ไม่ปรากฎข่าวใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากทางวิทยุ เอฟเอ็ม 95 ซึ่งผู้เขียนได้เผอิญฟังในช่วงนั้น กลับมีข้อความเชิญชวนให้ประชาชนใส่เสื้อเหลือง “ทุกวัน” จนถึงสิ้นปีนี้ เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองพระชนมายุครบ 80 พรรษา
แต่ภายใต้ผิวน้ำที่ดูค่อนข้างนิ่ง คนบางกลุ่ม นักข่าวบางคน (รวมถึงผู้เขียน) กลับมีปฏิกิริยากับคำพิพากษาจำคุก 10 ปี (จากโทษสูงสุด 75 ปี เพราะพ่นสเปรย์สีบนพระบรมฉายาลักษณ์ 5 ภาพ คิดเป็นพระบรมฉายาลักษณ์ภาพละ 15 ปี) เพราะพวกเขารู้สึกว่า นายจูเฟอร์ก็เพียงแค่เอาสเปรย์ไปฉีดพ่นทับภาพและอาจจะไม่สอดคล้องกับคอนเซ็ปท์เรื่องธรรมราชา “shame on Thai people, as the kingdom forces rest of the world to respect and worship their king,” นายสุภลักษณ์ กาญจนขุนดี นักข่าวอาวุโส จากหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น เขียนเป็นภาษาอังกฤษในข้อความแลกเปลี่ยนทางอีเมล
แต่ที่สำคัญคือว่าเราสามารถเรียนรู้อะไรได้จากการรายงานหรือไม่รายงานคำพิพากษาในสื่อไทย
ประการแรก เหตุการณ์และปฏิกิริยาของสื่อที่เกิดขึ้นเป็นเครื่องยืนยันอย่างชัดเจนถึงสภาวะวัฒนธรรมเซ็นเซอร์จากรัฐและเซ็นเซอร์ตัวเองเกี่ยวกับสถาบัน จริงๆ แล้วสิทธิในการแสดงความเห็นอย่างเท่าทันและ critical ในที่สาธารณะไม่ได้รับการยอมรับในรัฐธรรมนูญ แม้แต่ในรัฐธรรมนูญปี 40 ที่โดยทั่วไปถือว่า ก้าวหน้าที่สุดฉบับหนึ่ง ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับนี้บัญญัติไว้ในมาตรา 8 ว่า “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระ มหากษัตริย์ในทางใดๆ มิได้”
แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยอธิบายว่าทำไมหนังสือพิมพ์บางฉบับจึงกล้าที่จะรายงานเกี่ยวกับกรณีนายจูเฟอร์ ถึงแม้หนังสือพิมพ์และสื่อเหล่านั้นจะเอาข่าวจากสำนักข่าวต่างประเทศมาตัดต่ออ้างอิงเพื่อเป็นการเซฟตัวเอง เพราะกลัวว่าหากเขียนเองและเขียนไม่ต้องตาโดนใจคนบางกลุ่ม หนังสือพิมพ์เหล่านั้นอาจจะถูกฟ้องข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเสียเองก็เป็นได้
ประการที่สอง เป็นที่น่าสังเกตว่าข่าวจากสำนักข่าวเอพีและเอเอฟพีซึ่งสื่อหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษของไทยสองฉบับใช้อ้างอิง ไม่ได้พยายามไขข้อสงสัยหรือสืบให้รู้ว่านายจูเฟอร์มีแรงจูงใจอะไรในการกระทำเช่นนั้น นอกจากบอกเพียงว่า เขาอยู่ในอาการเมา
นางสาวรุ่งรวี เฉลิมศรีภิญโญรัช ผู้สื่อข่าวเอพี บอกกับผู้เขียนว่า การไต่สวนโดยศาลที่เชียงใหม่นั้นกระทำไปโดยไม่อนุญาตให้นักข่าวเข้าฟังคำให้การ ซึ่งเป็นเรื่องแปลกมาก เพราะโดยปกติแล้ว นักข่าวทั้งไทยและเทศจะได้รับอนุญาตให้ติดตามฟังการไต่สวนคดีอื่นๆ ผู้สื่อข่าวหญิงผู้นี้ยังได้กล่าวอีกว่า อัยการก็ไม่ยอมพูดอะไรมาก และพอศาลอ่านคำพิพากษา ก็ไม่ปรากฎคำอธิบายว่า ทำไมนายจูเฟอร์ถึงได้ทำในสิ่งที่เขาได้กระทำไป
ผู้เขียนขอตั้งข้อสังเกตว่า นายจูเฟอร์ได้อาศัยอยู่ในเมืองไทยมากว่า 10 ปี และแต่งงานมีภรรยาเป็นคนไทย เขาจึงน่าจะรู้ดีว่าเรื่องนี้ละเอียดอ่อนเพียงไร ลำพังเพียงแค่เมามาย ก็คงไม่ลุกขึ้นมาทำอะไรพิเรนเช่นนี้หากไม่มีแรงกดันหรือความรู้สึกแปลกแยกอะไรที่เก็บอยู่ในใจ หรืออาจเป็นเพราะนายจูเฟอร์รู้สึกอึดอัดกับวัฒนธรรมเทิดทูนเจ้า ยกย่องสถาบันที่เกิดขึ้นอย่างมากมายมหาศาลจนกลายเป็นพิธีกรรมประจำวัน และหนังสือพิมพ์ไทยจำนวนหยิบมือเดียวที่กล้ารายงานข่าวคำพิพากษาก็มิได้สนใจที่จะตั้งคำถามหรือหาคำตอบว่า แท้จริงแล้วนายจูเฟอร์มีแรงจูงใจอะไร
ในสังคมที่การพูดถึงสถาบันสูงสุดอย่างเท่าทัน อาจถือได้ว่าเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและมีโทษจำคุกสูงสุดถึง 15 ปี การพูดวิพากษ์วิจารณ์สถาบันนั้นมักเกิดขึ้นในพื้นที่ส่วนตัว ไม่ใช่ที่สาธารณะและในหมู่เพื่อนฝูงหรือคนที่รู้จักกัน ข้อเสียก็คือ หลายครั้งสิ่งเหล่านี้กลายเป็นการซุบซิบนินทากระจายข่าวลือหรือข่าวกุและมีผลทางลบต่อสถาบันมาก เพราะไม่มีใครสามารถยืนยันได้ว่า สิ่งที่ได้ยินได้ฟังจริงเท็จเพียงไร ผู้เขียนคิดว่ามันไม่เป็นประโยชน์ต่อสังคมที่อยากเป็นประชาธิปไตยเพราะผู้คนจะไม่สามารถแสดงความคิดความเห็นอย่างชัดเจนตรงไปตรงมาในทางสาธารณะได้โดยไม่ต้องกลัว และแท้จริงแล้วนักข่าวจำนวนมากและ บก. ก็กลัวว่า การวิพากษ์วิจารณ์กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จะเท่ากับเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพไปเสียด้วยซ้ำไป แม้บรรดาปัญญาชนจำนวนไม่น้อยก็มักใช้คำแทนเวลาพูดถึงกษัตริย์และสถาบัน เช่นคำว่า “ฟ้า”, “เบอร์ 9”, “คุณก็รู้ผมหมายถึงใคร” เป็นต้น
คนทำงานสื่ออาจจะบ่นหรือครุ่นคิดเป็นห่วงต่อสถาบันฯและอนาคตของสถาบันฯ แต่การกระทำของสื่อในช่วงสามสี่ทศวรรษที่ผ่านมาแสดงให้เห็นชัดว่า สื่อกระแสหลักมิได้และจะไม่เป็นพลังด้านบวกที่จะผลักดันให้มีการปฏิรูปเรื่องนี้ ในขณะเดียวกันสื่อกลับเล่นบทบาทจอมประจบอย่างไม่รู้จักพอเพียงและรักษาไว้ซึ่งวัฒนธรรมการเซ็นเซอร์ ไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม แต่ในพื้นที่ส่วนตัวปราศจากสายตาคนนอกและสาธารณะ คนในวงการสื่ออาจวิเคราะห์วิจารณ์สถาบันได้อย่างมิรู้จบ รวมทั้งแลกเปลี่ยนข่าวลือซุบซิบนินทาที่ได้ยินมา แต่พวกเขาจะไม่มีวันพิมพ์ข้อความอย่างเท่าทันสู่สาธารณะ แม้ว่าในสมัยรัชกาลที่ 7 หนังสือพิมพ์ไทยจำนวนหนึ่งเคยวิพากษ์วิจารณ์สถาบันสูงสุดอย่างเปิดเผยมาแล้วก็ตาม
นี่คือบทสรุปว่าสื่อไทยก้าวถอยหลังไปไกลแค่ไหนแล้วในปัจจุบัน
..........................................
ปล.1 บทความนี้เขียนภายใต้ข้อจำกัดของกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและวัฒนธรรมเซ็นเซอร์ตัวเองเช่นกัน หากผู้อ่านสนใจพูดเปิดกว้างเท่าทันเป็นการส่วนตัว ติดต่อผู้เขียนได้โดยตรง
ปล.2 ในวันที่ 13 เมษายน หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ เนชั่นและมติชนได้รายงานว่า นายจูเฟอร์ ไดรับพระราชทานอภัยโทษ แต่หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ กรุงเทพธุรกิจ โพสต์ทูเดย์ ก็ยังไม่ยอมรายงานข่าวเหมือนกับว่าเหตุการณ์นี้ไม่เคยเกิดขึ้น
ที่น่าสนใจคือว่าในขณะที่หนังสือพิมพ์ เดอะเนชั่น รายงานหน้าหนึ่งว่า นายจูเฟอร์ถูก “เนรเทศ” (deport) หลังจากได้รับพระราชทานอภัยโทษ ทางบางกอกโพสต์กลับใช้คำว่านายจูเฟอร์จะ “กลับ” (leave) ประเทศสวิสเซอร์แลนด์หลังถูกปล่อยตัว
ไม่มีสื่อไหนแม้กระทั่งประชาไท ซึ่งลงข่าวนี้ ที่ตั้งคำถามว่า “อภัยโทษ” ไปด้วยกันได้กับการ “เนรเทศ” หรือไม่
หนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษทั้งสองฉบับนั้นอ้างข่าวจากสำนักข่าวต่างประเทศ ทางเดอะเนชั่น อ้างข้อมูลที่น่าสนใจว่ากรณีนายจูเฟอร์ถูกโยงไปเกี่ยวข้องกับเรื่องฮือฮาเกี่ยวกับกรณีวิดีโอ YouTube ที่หมิ่นสถาบัน “การถกเถียงวิพากษ์เรื่องคำพิพากษาโทษหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอย่างแข็งทื่อ ได้ก่อให้เกิดปฏิกิริยาขึ้นในทางอินเตอร์เนต โดยมีวิดีโอที่หมิ่นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ โดยอ้างว่า กำลังวิพากษ์วิจารณ์กฎหมาย [หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ]” หนังสือพิมพ์เดอะเนชั่นรายงานโดยขยายความต่อไปว่า “ประเทศไทยได้บล็อคเว็บไซต์ของวิดีโอเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ซึ่งได้รับคำประณามจากกลุ่มพิทักษ์สื่อซึ่งกล่าวหาว่ารัฐบาลที่แต่งตั้งโดยทหารกำลังเพิ่มระดับการเซ็นเซอร์การแสดงความเห็นทางการเมืองบนอินเตอร์เนต คลิปแรกที่ถูกเอาออกหลังจากรัฐบาลไทยตัดสินใจเซ็นเซอร์เว็บไซต์ YouTube ทำให้เกิดปฏิกิริยามีวิดีโอคลิปล้อเลียนพระเจ้าอยู่หัวออกมาอีกหลายสิบชิ้นจากทั่วโลก”
น่าเสียดายว่า ประชาไทก็มิได้พยายามโยงเรื่องนายจูเฟอร์กับวิดีโอ YouTube ซึ่งอาจเป็นเพราะว่า ข่าวแปลส่วนหนึ่งที่ประชาไทอ้างอิงมาจากสำนักข่าวอัลจาซีร่าห์ ซึ่งเงินทุนส่วนใหญ่มาจากทรัพย์สินของกษัตริย์ผู้ปกครองรัฐกาตาร์ ซึ่งทางอัลจาซีร่าห์อาจจะมองว่า เรื่องเกี่ยวกับเจ้าก็เป็นเรื่องละเอียดอ่อนก็เป็นได้
อย่างไรก็ตาม ณ เว็บไซต์ประชาไท วันที่ 15 เมษา เวลาประมาณ 11.19 น. (สองสามวันหลังโพสต์ข่าวอภัยโทษ) มีผู้อ่านเข้ามาถึง 1932 คน และมีการแสดงความเห็นถึง 35 ความเห็น หลายความเห็นก็เป็นความเห็นที่ critical ซึ่งเป็นสิ่งไม่อาจคาดฝันว่าจะเกิดขึ้นได้ในสื่อหนังสือพิมพ์ เพราะจดหมายถึงบรรณาธิการต่อหนังสือพิมพ์กระแสหลักเช่น เนชั่น บางกอกโพสต์ ไม่ค่อยมีความเห็นที่เท่าทันหรือแม้แต่ความเห็นที่ชมในสองวันแรก หากเห็นหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่นลงจดหมายชิ้นหนึ่งในอีกสัปดาห์ต่อมาเมื่อวันที่ 19 ก็เป็นจดหมายเขียนในทำนองเทิดทูนพระราชาผู้ทรงธรรม
ประวิตร โรจนพฤกษ์
** บทความนี้เขียนขึ้นครั้งแรกเป็นภาษาอังกฤษตามคำเชิญของสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย (FCCT) เพื่อลงพิมพ์ในวารสารข่าว Dateline ของสมาคมในฉบับล่าสุด
ที่มาของบทความ : ประชาไท วันที่ : 23/4/2550
วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2550
การเซ็นเซอร์ข่าวหมิ่นพระมหากษัตริย์ในสื่อไทย (ข้อสังเกตกรณีคดีฝรั่งสวิส) : Silence of the Lamp
ผู้จัดเก็บบทความ
เจ้าน้อย ณ สยาม
ที่
12:23 ก่อนเที่ยง
0
ความคิดเห็น
วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2550
ประเทศไทยควรมีประมุขแบบใหน ?
โดย. ใจ อึ้งภากรณ์
ในวิกฤตการเมืองไทยปัจจุบัน มันเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องมาถกเถียงกันหารือซึ่งกันและกันว่า ประเทศไทยควรจะมีประมุขแบบไหน? เพราะไม่ว่าจะเป็นช่วงของรัฐบาลทักษิณ ช่วงไล่ทักษิณ หรือช่วงรัฐประหารเผด็จการ สถาบันกษัตริย์เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง ไม่ว่าจะด้วยความเจตนาหรือไม่ และการยืนยันต่อไปของฝ่ายอนุรักษ์นิยมสุดขั้ว ว่าเรา”ไม่มีสิทธิ์”พูดคุยเรื่องบทบาทประมุขในไทย เป็นอุปสรรค์ในการปฏิรูปการเมือง นี่ไม่ใช่แค่ความคิดของผมคนเดียว Dr Kevin Tan จากสิงคโปร์ก็พูดทำนองนี้เช่นเดียวกัน ในการสัมมนาที่สถาบันพระปกเกล้าเมื่อวันที่ 5 พ.ย. และผมคิดว่ามีหลายคนในสังคมไทยที่กำลังคิดถึงเรื่องนี้อยู่อีกด้วย
ในการพิจารณาว่าเราต้องการประมุขแบบไหน เราคงต้องเริ่มต้นจากจุดว่าปัจจุบันนี้ประเทศไทยจะต้องมีระบบการปกครองแบบประชาธิปไตย ไม่ใช่ระบบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งจบลงไปนานแล้วเมื่อมีการปฏิวัติ 2475 หรือระบบเผด็จการทหาร ซึ่งน่าจะสิ้นสุดไปนานแล้วเหมือนกัน การตอกย้ำจุดนี้สำคัญเพราะภาคประชาชนไทยออกมาต่อสู้ เสียสละเลือดเนื้อเพื่อสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยมาหลายรอบ ไม่ว่าจะเป็น 2475 14 ตุลาฯ 2516 ,6 ตุลาฯ 2519 หรือพฤษภาทมิฬ 2535 และทุกวันนี้ภาคประชาชนก็ต้องดิ้นรนต่อไปเพื่อเปิดและขยายพื้นที่ประชาธิปไตยจากอำนาจเถื่อนของเผด็จการ
อย่าลืมว่าแม้แต่พวกคณะทหารที่ทำรัฐประหารเอง ก็เข้าใจว่าเผด็จการขาดความชอบธรรม เขาจึงพยายามบอกสังคมว่าเขาเป็น “ประชาธิปไตย” หรืออ้างว่าทำรัฐประหาร “เพื่อประชาธิปไตย” ทั้งๆ ที่เราทราบดีว่าเขาโกหกอย่างหน้าด้าน ซึ่งก็ไม่แปลกจากเผด็จการอื่นๆ ในอดีต เช่นของจอมพลสฤษดิ์ ซึ่งก็เคยอ้างเช่นกันว่าเป็นไทย “ประชาธิปไตย” สมัยสฤษดิ์ผมเป็นเด็กนักเรียนที่สาธิตจุฬาฯ และในข้อสอบถ้าไม่ตอบว่าไทยเป็นประชาธิปไตยจะไม่ได้คะแนน
ถ้าประเทศไทยต้องเป็นประชาธิปไตย บทบาทประมุขไทยต้องปกป้องประชาธิปไตยอย่างชัดเจนด้วยใช่ไหม?
ตามตำราการเมืองเปรียบเทียบทั่วไป เช่นหนังสือที่เขาใช้สอนที่มหาวิทยาลัย Oxford ของ Hague, Harrop & Breslin เป็นต้น ประมุขในระบบประชาธิปไตยมีสองรูปแบบคือ กษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ และประธานาธิบดีที่มาจากการเลือกตั้ง และในประเทศไทยเรามีประวัติอันยาวนานของการถกเถียงว่าไทยควรมีกษัตริย์หรือประธานาธิบดี เช่นในสมัยกบฏต่อรัชกาลที่ 6 หรือยุค 2475 หรือสมัยพรรคคอมมิวนิสต์ยังรุ่งเรือง ในยุคนี้ก็มีการพูดคุยเช่นกัน แต่คนส่วนใหญ่ต้องแอบคุยเพราะกระแสเซ็นเซอร์จากฝ่ายขวามันแรง อย่างไรก็ตามในยุคนี้ฝ่ายอำนาจเผด็จการมีการเสนอว่านายกรัฐมนตรีอาจไม่ต้องเป็นส.ส. หรือมาจากการเลือกตั้งก็ได้ ซึ่งคงกระตุ้นให้เกิดการถกเถียงในสังคม ดังนั้นก็คงต้องพิจารณาต่อไปว่าประมุขควรมาจากการเลือกตั้งอีกด้วยหรือไม่เช่นกัน
ตามหนังสือการเมืองเปรียบเทียบที่ผมกล่าวถึง เขาจะอธิบายว่าประมุขแบบกษัตริย์มีหน้าที่สร้างเสถียรภาพและความต่อเนื่องของระบบการปกครองประชาธิปไตย ซึ่งทำได้เพราะประมุขไม่ลงมายุ่งเกี่ยวกับการถกเถียงระหว่างพรรคการเมือง หรือบุคคลที่ใช้อำนาจบริหาร ส่วนใหญ่แล้วประมุขมีหน้าที่เชิงพิธีกรรมเท่านั้น จะไม่มีอำนาจอะไรมากมาย แต่บางครั้งอาจต้องช่วยสังคมตัดสินใจในยามวิกฤต แต่ต้องเป็นการตัดสินใจในกรอบการปกครองประชาธิปไตย เช่นการทดลองแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใดคนหนึ่ง เพื่อดูว่าจะผ่านมติในสภาหรือไม่ ในกรณีที่พรรคการเมืองในรัฐสภามีเสียงพอๆกัน และไม่มีพรรคไหนมีเสียงข้างมากเป็นต้น แต่หน้าที่ของประมุขไม่ใช่การออกมาสนับสนุนการฉีกรัฐธรรมนูญ การทำรัฐประหาร และการทำลายสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกหรือการรวมตัวกันอย่างสันติ เพราะนั่นไม่ใช่กรอบประชาธิปไตย ประมุขไทยเองเคยกล่าวไว้ในกรณีการใช้มาตรา 7 ว่า “ขอยืนยันว่ามาตรา 7 ไม่ได้หมายถึง มอบให้พระมหากษัตริย์ มีอำนาจที่จะทำอะไรตามชอบใจ...มาตรา 7 ไม่ได้บอกว่า ให้พระมหากษัตริย์ตัดสินใจทำได้ทุกอย่าง ถ้าทำเขาก็จะต้องว่าพระมหากษัตริย์ทำเกินหน้าที่ ซึ่งข้าพเจ้าไม่เคยขอ ไม่เคยทำเกินหน้าที่ ถ้าทำเกินหน้าที่ก็ไม่ใช่ประชาธิปไตย” (นสพ มติชน 26เมษายน 2549)
ดังนั้นคำถามสำคัญในยุคแห่งการปฏิรูปสังคมและการเมืองครั้งนี้คือ ประมุขไทยพยายามปกป้องระบบประชาธิปไตยจากการทำรัฐประหารที่ฉีกรัฐธรรมนูญในวันที่ 19 กันยาหรือไม่? หรือประมุขไทยถูกบังคับหรือไม่? เต็มใจหรือไม่? มีการสนับสนุนคณะทหารที่ละเลยหน้าที่ตนเองและละเมิดกฎหมายและรัฐธรรมนูญปี 2540 หรือไม่? คำถามนี้สำคัญ เพราะคณะทหารที่ทำการรัฐประหารและทำลายประชาธิปไตยได้อ้างอิงความชอบธรรมจากประมุขตลอด เช่นการเปิดภาพประมุขในจอโทรทัศน์อย่างต่อเนื่องในวันแรก การผูกโบสีเหลือง การไปเข้าเฝ้า และการที่ให้ผู้แทนของประมุขไปเปิดสภาเผด็จการที่ทหารแต่งตั้งเป็นต้น ถึงเวลาแล้วที่เราชาวไทยควรได้รับข้อมูลและความจริงจากคณะทหาร เพื่อความโป่รงใสและเพื่อให้ประชาสังคมได้ตรวจสอบทุกองค์กรและสถาบันสำคัญๆ ในสังคม อย่าลืมว่าองค์กรหรือสถาบันใดที่จงใจไม่ยอมสร้างความโป่รงใส ย่อมมีผลประโยชน์ทับซ้อนที่ต้องการปกปิดจากการตรวจสอบเสมอ
ฝ่ายอนุรักษ์นิยมในประเทศไทยต้องการที่จะสร้างภาพว่ากษัตริย์รัชกาลที่ 9 เป็นมากกว่ามนุษย์ แต่ผมและคนอื่นมากมาย มองว่าข้อเสนอนี้ผิดหลักวิทยาศาสตร์ กษัตริย์คือมนุษย์ ไม่ต่างจากพลเมืองทุกคน ดังนั้นในฐานะที่เป็นมนุษย์กษัตริย์มีสิทธิ์ที่จะผิดพลาด และย่อมมีจุดอ่อนจุดแข็งเป็นธรรมดา
อาจารย์ ทักษ์ เฉลิมเตียรณ ได้อธิบายในหนังสือ “การเมืองระบบพ่อขุนอุปถัมภ์แบบเผด็จการ”ว่า ในช่วงแรกของการขึ้นมาเป็นกษัตริย์ รัชกาลที่ 9 มีอายุอ่อนและไม่ได้เตรียมตัวที่จะเป็นกษัตริย์ การขึ้นมาเป็นกษัตริย์มาจากอุบัติเหตุที่เกิดกับพี่ชาย ยิ่งกว่านั้นรัฐบาลไทยสมัยนั้น โดยเฉพาะรัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลย์สงคราม เป็นรัฐบาลที่ขัดขวางการทำงานของกษัตริย์ ดังนั้นการทำหน้าที่ในการเป็นประมุขของรัชกาลที่ 9 ในช่วงแรกๆ ย่อมเริ่มจากจุดอ่อน และสภาพเช่นนี้สามารถอธิบายได้ว่าทำไมประมุขไทยแสดงความเชื่อมั่นและสนับสนุนการทำงาน ของรัฐบาลเผด็จการทหารของจอมพลสฤษดิ์ ที่เริ่มเชิดชู โปรโหมด และเคารพสถาบันกษัตริย์
แต่เวลาผ่านไปหลายปี ฐานะและประสบการณ์ของมนุษย์ที่ดำรงตำแหน่งประมุขไทยได้เปลี่ยนไป มีประสบการณ์ทางการเมืองมากมาย มากกว่านักการเมืองทุกคน เพราะดำรงตำแหน่งมานานกว่าทุกคน พูดง่ายๆ มีฐานะอย่างที่เขาเรียกกันในต่างประเทศว่าเป็น “รัฐบุรุษ” (statesman) ดังนั้นมีการแสดงความมั่นใจจากประสบการณ์ดังกล่าว เช่นมีการตักเตือนรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง รัฐบาลของทักษิณเป็นตัวอย่างที่ดี ฉะนั้นประมุขในปี 2549 ต่างกับประมุขในช่วง 2505 แน่นอน คำถามสำคัญสำหรับวันนี้คือ ถ้าตักเตือนรัฐบาลทักษิณในกรณีที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยการฆ่าวิสามัญในสงครามยาเสพติดได้ ทำไมไม่ตักเตือนทหารที่ก่อรัฐประหาร ฉีกรัฐธรรมนูญ และละเมิดสิทธิเสรีภาพทางประชาธิปไตยทั้งหมดไม่ได้? เป็นเพราะอะไร?
ซึ่งคำถามนี้นำเรากลับมาสู่ประเด็นใหญ่คือ ในประเทศไทย เราต้องการประมุขที่กล้าปกป้องสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตย หรือเราต้องการประมุขที่สนับสนุนการทำลายประชาธิปไตยโดยทหาร ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่? ในการช่วยคิดช่วยพิจารณาปัญหานี้ ผมจะขอถามคำถามอื่นต่อไปคือ พลเมืองไทยต้องการมีประมุขที่เป็นกษัตริย์เพื่อให้มีบทบาทหน้าที่อะไรบ้าง? ประมุขควรมีบทบาทจำกัดที่เน้นพิธีกรรมและการแก้ไขปัญหาร่วมกับสังคมในยามวิกฤต ตามคำนิยามของประมุขในระบบประชาธิปไตยหรือไม่? ถ้าจะมีประมุขแบบนี้เราต้องมีสิทธิ์ตรวจสอบการทำงานของประมุขใช่ไหม? เราต้องมีสิทธิ์วิพากษ์วิจารณ์และเสนอคำแนะนำเพื่อช่วยให้ประมุขทำงานใช่ไหม? ซึ่งการวิพากษ์ไม่เหมือนการด่า มันมีเหตุผลและข้อมูลรองรับ
การสร้างความโปร่งใสและสิทธิตรวจสอบย่อมทำไม่ได้ ถ้าเรายังใช้ระบบหมอบคลานกับสถาบันกษัตริย์ ซึ่งจริงๆ แล้วมีการยกเลิกไปในยุครัชกาลที่ 5 แต่ดูเหมือนมีการค่อยๆ นำกลับมา การหมอบคลานสร้างภาพความไม่เท่าเทียมของอำนาจ แต่พลเมืองไทยทุกคนต้องเท่าเทียมกัน เพียงแต่ว่าแต่ละคนมีหน้าที่แตกต่างกันไป และการแสดงความศรัทธาหรือความเคารพ ซึ่งย่อมเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่จำเป็นต้องแสดงด้วยการบังคับให้หมอบคลาน
ในเรื่องความโปรงใสของสถาบันกษัตริย์ เราคงต้องขยายไปสู่ความโปรงใสทางเศรษฐกิจด้วย การกำจัดการคอรรับชั่นในหมู่นักการเมือง การแจ้งบัญชีการถือหุ้นและกรรมสิทธิ์ต่างๆ ของผู้ที่ดำรงตำแหน่งสาธารณะ หรือการบังคับให้ทักษิณและลูกหลานจ่ายภาษีเป็นเรื่องดีและจำเป็นอย่างยิ่ง แต่เราต้องไม่มีสองมาตรฐาน (double standards) เราต้องบังคับใช้กับทุกคน ดังนั้นการถือหุ้น รายได้ และกรรมสิทธิ์ต่างๆ ของพระราชวังควรเป็นข้อมูลเปิดเผย และควรมีการเก็บภาษีเหมือนพลเมืองอื่นๆ ทุกคน ความโปร่งใสในด้านเศรษฐกิจดังกล่าวจะนำไปสู่การรณรงค์ให้ทุกสถาบันรู้จัก “ความพอเพียง” อีกด้วย
คนส่วนใหญ่ในสังคมไทยปัจจุบันคงคิดว่าประมุขปัจจุบันของไทยเป็นคนดี แต่มนุษย์มีสิทธิ์เป็นคนดีหรือคนเลว เป็นเรื่องปกติ การอาศัย “ความดีส่วนตัว” เพื่อเป็นหลักประกันว่าประมุขจะทำหน้าที่ตามที่ประชาชนต้องการหรือไม่ เป็นเรื่องที่เสี่ยงอย่างสูง ยุคแห่งการสร้าง “การมีส่วนร่วมจากประชาชน” เริ่มในไทยนานแล้ว การร่างรัฐธรรมนูญปี 2540 เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น ผมอยากเสนอว่าประชาชนไทยควรจะมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางการทำงานและนโยบายของประมุขด้วย ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นแค่เรื่องของทหารหรือองค์มนตรีเท่านั้น ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องกล้าพิจารณาปัญหายากๆ แบบนี้ ด้วยสติปัญญาและการเปิดกว้าง เพื่อสร้างสังคมประชาธิปไตยและความเป็นธรรมในประเทศไทย
(สาเหตุที่บทความนี้ไม่ใช้ราชาศัพท์ ไม่ใช่เพื่อจะดูหมิ่นใคร แต่เพื่อให้อ่านง่ายเข้าใจง่ายในทุกส่วนทุกระดับของสังคม และเพื่อย้ำว่ากษัตริย์เป็นมนุษย์เหมือนพลเมืองไทยทุกคน และมีสิทธิ์ที่จะได้รับความเคารพรักตามผลงาน เหมือนมนุษย์ทุกคน)
ผู้จัดเก็บบทความ
เจ้าน้อย ณ สยาม
ที่
4:59 ก่อนเที่ยง
0
ความคิดเห็น