ระหว่างวันที่ 1-2 กันยายน 2551 มีแถลงการณ์จากกลุ่มบุคคลใหญ่น้อยสารพัดพยายามเสนอทางออกต่อสถานการณ์ขณะนี้รวม 17 ฉบับ ผมได้รับร่างที่ส่งผ่านกันมาให้พิจารณาอีก 2 ฉบับ รวมเป็น 19 ฉบับ
ในจำนวนนี้ 11 ฉบับเสนอให้นายกรัฐมนตรีลาออก อีก 3 ฉบับเสนอให้ยุบสภา อีก 2 ฉบับเสนอว่ายุบสภาก็ได้ นายกฯ ลาออกก็ได้ อีก 3 ฉบับไม่เสนออะไรเลย ข้อเสนอเหล่านี้ให้เหตุผลไปต่างๆกัน ผู้สนใจการเมืองคงคิดคำนวณข้อดีข้อเสียของแต่ละทางออกด้วยความลำเอียงเลือกข้างตามจริตของตน
น่าดีใจที่ไม่มีใครเสนอทางออกซึ่งอาจอยู่ในใจบางคนแต่ไม่กล้าพูดออกมา นั่นคือรัฐประหาร อย่างน้อยก็ยังมีความละอายใจกันอยู่บ้าง
น่าดีใจที่ไม่มีใครเสนอทางออกอีกอย่างซึ่งอาจอยู่ในใจหลายคน แต่มิอาจเอื้อมเสนอ อย่างน้อยก็ยังมีความยับยั้งชั่งใจกันอยู่บ้าง
แต่น่าตกใจที่มีไม่กี่คนที่เสนอทางออกอีกอย่างซึ่งอาจจะง่ายที่สุดและถูกต้องชอบธรรมที่สุด (เกษียร เตชะพีระเสนอความคิดนี้ในบทความของเขาแต่โดนปัญญาชนพันธมิตรฯ โจมตีราวเป็นศัตรู นักวิชาการจำนวนหนึ่งก็เสนอในการประชุมเร็วๆนี้ที่จุฬาฯ ก่อนการปะทะกัน) นั่นคือ
ผู้นำพันธมิตรฯ ควรมอบตัวแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจตามหมายศาล เพื่อให้เผชิญกับกระบวนการยุติธรรมตามปกติ ส่วนการชุมนุมประท้วงรัฐบาลยังคงดำเนินต่อไปได้ในที่อื่นที่เหมาะสมกับการแสดงออกตามสิทธิเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย (ที่ไม่ใช่เพื่อยึดอำนาจรัฐ)
ทางออกนี้ต้องการความกล้าหาญและความรับผิดชอบของผู้นำพันธมิตรฯ เมื่อกล้าก่อปัญหา กล้าขัดขืน ก็สมควรกล้าเผชิญหน้ากับกฎหมายอย่างมีอารยะ ต้องทำเช่นนี้ต่างหาก การประท้วงของพันธมิตรฯ จึงจะนับเป็นอารยะขัดขืน
หากไม่ทำเช่นนี้การกระทำของพันธมิตรฯ ย่อมนับเป็นการกระทำของอันธพาลการเมืองที่วางอำนาจบาตรใหญ่อยู่เหนือกฎหมาย ถึงจะใหญ่โตแค่ไหนก็เป็นแค่กุ๊ยการเมืองระดับชาติที่น่ารังเกียจ
ในสังคมไทย แม้แต่พระมหากษัตริย์ยังอยู่ใต้กฎหมาย ผู้นำพันธมิตรฯเป็นใครยิ่งใหญ่มาจากไหนกันจึงวางอำนาจบาตรใหญ่เหนือกฎหมายได้
เกลียดทักษิณ ก็อย่าทำตัวอย่างเดียวกับที่ตนกล่าวหาทักษิณ
ผมอยากเห็นท่าน ผบ.ทบ. หรือคนระดับนั้นไปเชิญตัวผู้นำพันธมิตรฯถึงที่ชุมนุม ไปมือเปล่าๆ ขอให้ผู้ชุมนุมเปิดทางให้มีการมอบตัวกันแต่โดยดี จากนั้นเป็นเรื่องของศาล
ผู้นำพันธมิตรฯ ควรกล้าหาญรับผิดชอบความบกพร่องของตน (หรือใครคิดว่าพวกเขาไม่มีความบกพร่อง?) อย่าเอาชีวิตเลือดเนื้อของมวลชนผู้สนับสนุนตน เข้าเสี่ยงตายแทนตัวเองเลย
ความกล้าหาญอาจช่วยให้ผู้นำพันธมิตรฯ กลายเป็นวีรบุรุษในฉับพลันอีกด้วย
อาจมีข้อโต้แย้งว่าเป็นไปได้ยาก เพราะผู้นำพันธมิตรฯ คงไม่ยอม เหตุผลนี้ฟังไม่ขึ้น เพราะทางออกอื่นก็ไม่ง่ายสักข้อ และก็คงมีคนอื่นไม่ยอมเช่นกัน ผู้นำพันธมิตรฯเป็นใครยิ่งใหญ่มาจากไหนกันที่เราต้องคอยเอาใจ
อาจมีข้อโต้แย้งว่าทางออกนี้ไม่ยุติความขัดแย้งในปัจจุบันอย่างถึงราก เหตุผลนี้ฟังไม่ขึ้น เพราะทางออกอื่น ไม่ว่ายุบสภาหรือลาออก ก็ไม่ยุติความขัดแย้งพื้นฐานแต่อย่างใด เรากำลังหาทางเพียงแค่ลดการประจันหน้าและลดอุณหภูมิทางการเมืองลง ทุกทางออกหวังผลแค่ต่อสถานการณ์เฉพาะหน้าด้วยกันทั้งนั้น
อาจมีข้อโต้แย้งว่า มวลชนของพันธมิตรฯ คงยอมไม่ได้ เหตุผลข้อนี้ฟังไม่ขึ้น เพราะขึ้นอยู่กับผู้นำพันธมิตรฯ จะกล้าหาญทำความเข้าใจกับคนของตนหรือไม่ต่างหาก มวลชนของพันธมิตรฯ เป็นคนมีการศึกษาและโตๆกันแล้วทั้งนั้น
ทั้งทางออกอื่นก็คงมีมวลชนของฝ่ายตรงข้ามพันธมิตรไม่ยอมรับเช่นกัน ไม่เห็นมีปัญญาชนนักวิชาการคิดถึงเขาบ้างเลย
ทางออกที่เสนอนี้ยังเป็นการรักษาระบอบประชาธิปไตย และไม่ทำลายความน่าเชื่อถือของศาลอีกด้วย ในทางกลับกันการทำตัวอยู่เหนือกฎหมายของพันธมิตรฯ เป็นการทำร้ายอำนาจตุลาการที่ตนยกย่องเชิดชู
อยากจะสร้างการเมืองใหม่ ก็กรุณาอดทนจนกว่าประชาชนจะเห็นด้วย มิใช่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ บังคับขู่เข็ญ ยัดเยียดให้คนครึ่งค่อนประเทศจำต้องยอมรับ
ทางออกง่ายๆ ตรงๆ และถูกต้องชอบธรรมตามกฎหมายข้อนี้ถูกมองข้ามเสียสิ้นเพราะความลำเอียงที่แผ่ซ่านจนน่ากลัว จนไม่ฟังกันอีกต่อไป
น่าตกใจที่ปัญญาชน นักวิชาการ สื่อมวลชน นักกฎหมายทนายความและนักสิทธิมนุษยชนทิ้งหลักการ หลักวิชาชีพ กลายเป็นนักเคลื่อนไหวมวลชนที่มุ่งเอาชนะกันไปหมด ต่างลำเอียงกระเท่เร่ให้ท้ายการวางอำนาจบาตรใหญ่อยู่เหนือกฎหมาย ลำเอียงจนขาดความยั้งคิด เอาแต่ได้ เลือกปฏิบัติ ขาดหลักการ เกลียดชังทักษิณจนขาดสติ ทำลายทุกอย่างและใครก็ตามที่ขวางหน้า
พวกตนข่มขู่คุกคามคนอื่นก็ถือเป็นความรักชาติ ใช้ความรุนแรงก็ถือเป็นการแสดงออกตามรัฐธรรมนูญ พกอาวุธก็ถือเป็นสันติวิธี รวมกันแล้วก็ถือเป็น “ข้ออ่อนที่มีอยู่บ้าง”พอรับได้ หากฝ่ายตรงข้ามตนทำผิดก็เรียกร้องเอาผิดราวจะกินเลือดกินเนื้อ
คนมากมายไม่กล้าทักท้วงทัดทานเพราะไม่อยากโดนก่นด่าทำลาย เสียเพื่อนเปลืองตัว
ประชาชนหลายสิบล้านที่กำลังเฝ้าดูพันธมิตรฯ และปัญญาชนชาวกรุง จะให้พวกเขาเข้าใจว่าประชาธิปไตยคืออะไรกัน พวกเขาย่อมคิดว่าประเทศชาติไม่ใช่ของเขาแต่เป็นของเทวดาชาวกรุงที่เห็นแก่ตัว เอาแต่ใจตัวเอง แถมยังมีนิสัยเด็กๆ คือ เอาแต่ได้แต่ไม่กล้ารับผิดชอบ
พวกเขากำลังอัดอั้นตันใจจนกำลังจะระเบิดสักวันว่า พวกเขาเป็นแค่ไพร่ทาส เป็นพลเมืองชั้นต่ำกว่าพันธมิตรฯ และปัญญาชนชาวกรุงหรืออย่างไร
ทางออกที่ถูกมองข้ามนี้ เป็นวิถีปฏิบัติปกติที่ใช้กันอยู่เป็นประจำในนานาอารยะประเทศที่ถือกฎหมายเป็นใหญ่ เพื่อไม่ให้การประท้วงลามปามกลายเป็นการนองเลือด เป็นทางออกอย่างแรกๆที่ใครๆก็นึกได้จนเป็นสามัญสำนึก
ประเทศไทยประหลาดกว่าใครอื่นขนาดไหนกัน จึงมองข้ามทางออกธรรมดาๆและตรงไปตรงมาข้อนี้กันหมด หรือประเทศไทยมีระดับอารยะธรรมสูงต่ำผิดปกติกว่าคนอื่น จึงถือกฎหมายเป็นของเล่นที่จะใช้เมื่อไหร่ก็ได้ ทิ้งเมื่อไหร่ก็ได้ตามใจชอบ
หรือปัญญาชนประเทศไทยมีระดับสติปัญญา ความเที่ยงตรงและความยึดมั่นในหลักการ อยู่ในระดับสูงต่ำผิดปกติต่างจากที่อื่นๆในโลก จึงนึกไม่ถึงทางออกอย่างแรกๆที่น่าจะเป็นสามัญสำนึก
ผมพบว่า มีหลายคนยอมรับว่าตนลำเอียง และเห็นว่าการเลือกปฎิบัติและเลือกใช้กฎหมายตามแต่ประโยชน์ของฝ่ายตนเป็นสิ่งจำเป็น เพราะเขาเห็นว่ามีภารกิจที่สำคัญกว่ากฎหมายซึ่งต้องเอาชนะให้ได้
พวกเขาจึงจงใจมองข้ามทางออกธรรมดาๆและตรงไปตรงมาข้อนี้ เพราะเขาหวังบรรลุชัยชนะที่ยิ่งใหญ่กว่าการเคารพกฎหมาย
ความขัดแย้งทางการเมือง 2-3 ปีที่ผ่านมาวนเวียนอยู่กับหายนะก็เพราะความคิดสั้นพรรค์นี้แหละ
สรุป ยุบสภา? ลาออก? หรือมอบตัวแล้วเชิญชุมนุมกันต่อไปในสถานที่อื่นที่เหมาะสม?
ขอความกรุณาพิจารณาอย่างมีสติ อย่าเอาแต่ได้ อย่าคิดแต่จะเอาชนะกันจนทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า อย่าเกลียดกลัวจนถูกอวิชชาครอบงำ
ขณะนี้สายไปแล้วที่สำหรับทางออกที่สมบูรณ์ มีแต่ทางออกที่ก่อความเสียหายมากกว่ากับน้อยกว่า รักษาระบบสถาบันหลักต่างๆ มากกว่ากับน้อยกว่า และเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์เฉพาะหน้า เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกัน
ผมเบื่อแถลงการณ์ทั้งหลายเต็มทน แต่หากมีใครเสนอทางออกนี้ ผมจะขอกราบขอบพระคุณอย่างสูง และขอจองลงชื่อล่วงหน้าตั้งแต่ยังไม่ทันร่างไว้เลย
ธงชัย วินิจจะกูล
ที่มา : ประชาไท : ธงชัย วินิจจะกูล : ทางออกธรรมดาๆ ที่ตรงไปตรงมา
วันพุธที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2551
ทางออกธรรมดาๆ ที่ตรงไปตรงมา
ผู้จัดเก็บบทความ
เจ้าน้อย ณ สยาม
ที่
9:55 หลังเที่ยง
0
ความคิดเห็น
Forbes รายงาน “ราชวงศ์ที่ร่ำรวยที่สุดในโลก”
แปลจากบทความ The World’s Richest Royals
เขียนโดย Tatiana Serafin ใน Forbes
(เผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ตเมื่อ 20 สิงหาคม 2551)
เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ประเทศเนปาลโหวตล้มล้างระบอบกษัตริย์ฮินดูที่มีอายุกว่า 240 ปี ซึ่งบังคับให้กษัตริย์กิยาเนนทราต้องคืนพระราชวังในกรุงกาฐมาณฑุให้แก่รัฐบาล และได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ไปเรียบร้อยแล้ว
จนบัดนี้ผู้นำ 15 คนที่อยู่ในทำเนียบของเรายังคงมั่งคั่งด้วยโภคทรัพย์ แม้จะมีข้อครหาต่างๆ ตั้งแต่การหลีกเลี่ยงภาษี จนกระทั่งการยุบสภาผู้แทนราษฎรในประเทศสวาซิแลนด์และคูเวต หากมองในฐานะกลุ่ม 15 ราชวงศ์ที่รวยที่สุดในโลกได้เพิ่มพูนโภคทรัพย์ของตนเองถึงระดับ 131 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สูงกว่าปีที่แล้วซึ่งตัวเลขอยู่ที่ 95 พันล้านเหรียญฯ
อันดับสูงสุดในทำเนียบของเราคราวนี้ก็คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลเดชแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งทรัพย์สินสุทธิที่ประมาณการได้ล่าสุดประมาณ 35 พันล้านเหรียญฯ (หรือ 1.19 ล้านล้านบาท ตามอัตราแลกเปลี่ยน 1 บาท: 34 ดอลลาร์) เพิ่มขึ้นจากเดิม 7 เท่า เป็นผลมาจากความโปร่งใสที่เพิ่มขึ้นของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ พระมหากษัตริย์ไทยทรงครองอันดับสูงสุดจากที่เคยเป็นของสุลต่านแห่งบรูไน ซึ่งเป็นกษัตริย์เอเชียอื่นอีกเพียงพระองค์เดียวที่ติดอันดับ (ทรัพย์สิน 20 พันล้านเหรียญฯ) และเป็นกษัตริย์หนึ่งในสองพระองค์เท่านั้นที่มีโภคทรัพย์ลดลงจากปีก่อนหน้า องค์สุลต่านผู้ซึ่งได้รับมรดกตกทอดมาจากราชวงศ์มุสลิมซึ่งมีอายุกว่า 600 ปี จำเป็นต้องลดอัตราการผลิตน้ำมันของประเทศบรูไนลง เนื่องจากปริมาณน้ำมันสำรองกำลังจะหมดไป
กษัตริย์ที่มีทรัพย์สินลดลงอีกพระองค์หนึ่งคือ กษัตริย์โมฮัมมัดที่ 6 แห่งประเทศโมร็อกโก ขณะนี้มีทรัพย์สินรวม 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงจากปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ 2 พันล้านเหรียญฯ ภัยแล้งที่รุนแรงได้ชะลอการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศให้อยู่ในระดับ 2 เปอร์เซ็นต์
ปัญหาที่กล่าวมาไม่ได้เกิดขึ้นกับ 6 ราชวงศ์จากประเทศตะวันออกกลาง ซึ่งทำเงินส่วนใหญ่จากการค้าน้ำมัน กษัตริย์ที่รวยที่สุดในภูมิภาคคือ ชีค คาลิฟา บิน ซาเยด อัล นาห์ยาน แห่งอาบูดาบี (สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) เข้ามาอีกครั้งในอันดับ 2 ของทำเนียบของเรา ด้วยตัวเลขทรัพย์สินประมาณการสุทธิ 23 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อาบูดาบีเป็นรัฐที่มีแหล่งน้ำมันสำรองคิดเป็น 95 เปอร์เซ็นต์ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และนี่เองที่เป็นที่มาแห่งความร่ำรวยของชีคพระองค์นี้ นอกจากนั้นอาบูดาบียังมีชื่อเสียงเนื่องมาจากการลงทุนระดับแนวหน้าโดยบรรษัทที่รัฐเป็นเจ้าของ การลงทุนที่ว่านั้น ได้แก่ เงินลงทุน 7.5 พันล้านเหรียญฯ ในบริษัท Citibank
ชีค โมฮัมมัด บิน ราชิด อัล มาคทูม แห่งดูไบ (อันดับ 5 ของโลก) กับทรัพย์สินสุทธิ 18 พันล้านเหรียญฯ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ Dubai Holding ซึ่งมีการลงทุนใหญ่ๆ ในหลายบริษัท อาทิ โซนี่ และบริษัทผลิตอาวุธ EADS และเมื่อเร็วๆ นี้กองทุนรวมเพื่อการลงทุนของชีคพระองค์นี้ได้ใช้เงิน 5 พันล้านเหรียญฯ เพื่อถือหุ้นในบริษัท MGM Mirage และ 825 ล้านเหรียญฯ เพื่อซื้อกิจการค้าปลีก Barneys New York
สำหรับเจ้าชายฮันส์ อาดัมที่ 2 แห่งลิกเตนสไตน์ สิ่งต่างๆ ไม่ค่อยโสภามากนัก พระองค์อยู่ในอันดับ 6 ของทำเนียบด้วยทรัพย์สินประมาณการสุทธิ 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แหล่งทุนหลักสำหรับความมั่งคั่งของพระองค์อย่าง LGT Bank (ซึ่งราชวงศ์นี้บริหารมากว่า 70 ปี) ตกเป็นเป้าสำหรับคดีหลีกเลี่ยงภาษีอันอื้อฉาว ซึ่งบริษัทของพระองค์ถูกกล่าวหาว่าช่วยเหลือลูกค้าฐานะดีหลายรายในการ “ซุกซ่อน” ทรัพย์สิน จากการสืบสวนของวุฒิสภาสหรัฐฯ พบว่าพระอนุชาของพระองค์ (เจ้าชายฟิลิป) มีส่วนเกี่ยวข้องในการนี้ในฐานะที่ดำรงตำแหน่งประธานของ LGT
กษัตริย์ที่ยังดำรงสถานะโสดอยู่เพียงพระองค์เดียวในบรรดาทุกพระองค์ที่ติดอันดับคือ เจ้าชายอัลเบิร์ตที่ 2 แห่งโมนาโก ถูกร่ำลือว่าส่งแฟนสาวของตัวเองเข้าเรียนคอร์สติวเข้มภาษาฝรั่งเศส โภคทรัพย์สุทธิของพระองค์ถูกประมาณการไว้ที่ 1.4 พันล้านเหรียญฯ และประกอบด้วยอสังหาริมทรัพย์ราคาสูง รวมถึงการเป็นหุ้นส่วนกิจการคาสิโนในโมนาโก พระองค์ทรงวางแผนที่จะขยายพื้นที่ของประเทศ (ซึ่งมีขนาดเท่ากับ Central Park ในนิวยอร์ก) โดยการสร้างเขตปกครองใหม่ออกไปในทะเลซึ่งจะตั้งอยู่บนเสาขนาดมหึมา ทำให้เป็นที่กังวลแก่นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอยู่พอสมควร
ขณะเดียวกัน แผนการสืบราชสมบัติ (Succession planning) เป็นที่กล่าวขวัญถึงสำหรับ 2 พระราชินีในทำเนียบของเรา พระราชินีบีทริกซ์แห่งเบลเยียม (อันดับที่ 14) ถูกร่ำลือว่าจะสละราชบังลังก์เพื่อพระราชโอรส ในขณะที่พระราชินีอลิซาเบธแห่งอังกฤษ (อันดับที่ 12) ทรงวางแผนที่จะดำรงตำแหน่งต่อไป บดบังความหวังของพระราชโอรสอย่างเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ ที่มุ่งจะครองราชบัลลังก์ในระยะเวลาอันใกล้นี้
กษัตริย์เพียงพระองค์เดียวที่ไม่ได้มีมีดินแดนครอบครอง (ในฐานะประมุขแห่งรัฐ) ก็คือ อากาข่าน ถือเป็นผู้นำจิตวิญญาณของชาวมุสลิมอิสไมลิยาห์ (Ismaili Muslims) กว่า 15 ล้านคนที่กระจายอยู่ทั่วโลก เมื่อเร็วๆ นี้ กษัตริย์นักขี่ม้าพระองค์นี้(ซึ่งทรัพย์สินสุทธิอยู่ที่ประมาณ 1 พันล้านเหรียญฯ) ได้ซื้อหุ้นในบริษัทประมูลม้าที่ใหญ่ที่สุดของอังกฤษ
พึงระลึกว่าความมั่งคั่งของบรรดากษัตริย์เหล่านี้ถ้าไม่ใช่มาจากมรดกตกทอดก็มาจากตำแหน่งแห่งอำนาจ (from inheritances or positions of power) ซึ่งมักเป็นทรัพย์สินรวมของราชวงศ์ที่พระบรมวงศานุวงศ์ถือครองร่วมกัน และมักหมายถึงทรัพย์สินที่ควบคุมโดยกษัตริย์เหล่านี้ในนามของชาติหรือดินแดน (in trust for the nation or territory) ด้วยเหตุผลเหล่านี้ จึงทำให้ไม่มีกษัตริย์พระองค์ใดในทำเนียบ 15 ราชวงศ์จะผ่านเกณฑ์ (qualify) สำหรับการจัดอันดับมหาเศรษฐีโลกประจำปีของเรา แม้ว่าปริมาณทรัพย์สินสุทธิจะสูงเพียงใดก็ตาม
เนื่องด้วยความซับซ้อนยุ่งยากทางเทคนิคและมีลักษณะเฉพาะแตกต่างกันไปในความสัมพันธ์ระหว่างความมั่งคั่งของปัจเจกและรัฐ การประเมินทรัพย์สินที่เกิดขึ้นจึงจำเป็นต้องใช้ “ศาสตร์และศิลป์” ประกอบกัน
ตัวอย่างเช่น กษัตริย์มัสวาติที่ 3 แห่งสวาซิแลนด์ (อันดับที่ 15 ของโลก) เป็นผู้สืบทอด 2 กองทุนรวมที่สร้างขึ้นโดยพระราชบิดาในนามของ Swazi nation ตราบใดที่พระองค์ทรงอยู่ในอำนาจ พระองค์ก็สามารถใช้สอยรายได้นั้นตามพระราชอัธยาศัยได้อย่างสัมบูรณ์ ซึ่งนี่เองทำให้พระองค์ทรงสามารถสร้างพระราชวังสำหรับพระมเหสีแต่ละพระองค์รวม 13 พระองค์ และทรงจัดงานเฉลิมฉลองครบรอบวันเฉลิมพระชนมพรรษาอย่างสุดเหวี่ยงหลายวโรกาส โดยวโรกาสหนึ่งไม่นานมานี้เป็นการฉลองครบรอบพระชนมายุ 40 พรรษาซึ่งมีรายงานว่าใช้เงินมูลค่ากว่า 2.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (85 ล้านบาท)
อย่างไรก็ตาม ในประเทศอังกฤษ สินทรัพย์บางอย่างของราชวงศ์ อาทิ พระราชวังบักกิ้งแฮม และเครื่องเพชรของราชวงศ์อังกฤษ (the British crown jewels) ให้ถือว่าเป็นของ British nation ไม่ใช่ของพระราชินีอลิซาเบธ ดังนั้นจึงไม่ถูกนับรวมในโภคทรัพย์สุทธิของพระองค์ ความมั่งคั่งของพระองค์จึงประเมินจากทรัพย์สินในอังกฤษและสก๊อตแลนด์ งานจิตรกรรมและประติมากรรม เครื่องประดับ และแสตมป์สะสมที่รวบรวมโดยพระอัยกา
แม้ว่าเราได้ติดตามสถานะของราชวงศ์ระดับแนวหน้าจำนวนหนึ่งมาหลายปี (เช่น พระราชินีแห่งอังกฤษ และสุลต่านแห่งบรูไน) นี่เป็นเพียงครั้งที่ 2 ที่เราเผยแพร่ทำเนียบราชวงศ์ที่ร่ำรวยที่สุดอย่างครบถ้วนที่สุด กษัตริย์ของประเทศอย่างสเปนและญี่ปุ่นไม่ติดอันดับในครั้งนี้
บทความอ่านประกอบ
The World’s Richest Royals โดย Devon Pendleton และ Tatiana Serafin
เผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ตโดยนิตยสาร Forbe เมื่อ 30 สิงหาคม 2550
“บรรดาชาติชน ชื่นชมสมใจ ถวายบังคมเทิดไท้ ภูมิพลมหาราชา”
ในฟ้าเดียวกันปีที่ 5 ฉบับที่ 4 (ต.ค.-ธ.ค. 2550)
กระทรวงต่างประเทศไทยชี้แจง Forbes ในการจัดอันดับของ “ราชวงศ์ที่ร่ำรวยที่สุดในโลก”
(22 สิงหาคม 2551)
ที่มา : ฟ้าเดียวกัน : Forbes รายงาน “ราชวงศ์ที่ร่ำรวยที่สุดในโลก”
หมายเหตุ
การเน้นข้อความทำโดยความเห็นของผู้จัดเก็บบทความ
ผู้จัดเก็บบทความ
เจ้าน้อย ณ สยาม
ที่
9:25 หลังเที่ยง
0
ความคิดเห็น