ประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งบันทึกว่าเหตุการณ์ พ.ศ. ๒๔๗๕ นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงการปกครอง, ชาติตะวันตกมาล่าอาณานิคมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีแต่ประเทศเล็กที่ไม่มีทางสู้, คนไทยถูกต่างชาติเอาเปรียบด้วยการใช้สิทธิสภาพนอกอาณาเขตของฝรั่งต่างชาติ ฯลฯ
เหล่านั้นคือเสียงลือเสียงเล่าอ้างที่เคยได้ยินกันมายาวนาน อย่างไรก็ตามได้มีงานวิชาการที่เพิ่งมีการตีพิมพ์ ที่เลือกอธิบายประวัติศาสตร์ไทยสมัยใหม่ที่แตกต่างออกไปจากความเข้าใจข้างต้น หนังสือเล่มนั้นคือ
"The Rise and Decline of Thai Absolutism" ซึ่ง "ศิลปวัฒนธรรม" ได้มีโอกาสพูดคุยกับ รองศาสตราจารย์ ดร.กุลลดา เกษบุญชู มี้ด รองคณบดีฝ่ายบริการวิชาการวิเทศสัมพันธ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงผลงานเล่มล่าสุดว่า
"หนังสือเล่มนี้เป็นการศึกษาในเชิงประวัติศาสตร์ แต่มีวัตถุประสงค์ที่จะหาวิธีเข้าใจสังคมปัจจุบัน ด้วยการศึกษาในเชิงสังคมศาสตร์ที่เข้าไปดูเอกสารชั้นต้น ตอนที่เริ่มต้นค้นคว้าสนใจว่าระบบอุปถัมภ์มันเปลี่ยนไปอย่างไร จากที่อาจารย์อคิน รพีพัฒน์ ศึกษาไว้ว่ามันเป็นแกนกลางของการจัดโครงสร้างทางสังคม คือคนไทยต้องเข้าไปสังกัดมูลนาย จนกระทั่งถึงปัจจุบันระบบนี้ถูกล้มเลิกไป แต่ก็รู้สึกว่าความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ก็ยังคงมีอยู่ในสังคมไทย
อีกส่วนหนึ่งที่เป็นคำถามคือ กระแสชาตินิยมโดยรัฐ ที่ออกมาในรูปของขบวนการ เช่น เสือป่า เราก็อยากจะเข้าใจว่าสิ่งที่เรียกว่าชาตินิยมที่เห็นในขณะนั้น มันมีกำเนิดเมื่อไร อย่างไร คนส่วนมากจะบอกว่าชาตินิยมเกิดในสมัยรัชกาลที่ ๖ และตอนนั้นก็เชื่อเช่นนั้น แต่อยากเข้าใจว่ามันเกิดจากสาเหตุใด
เมื่อวิเคราะห์ข้อมูลพบว่ากระบวนการชาตินิยมและเสือป่าเป็นความพยายามของรัชกาลที่ ๖ ที่จะรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้นในระบบราชการสมัยใหม่ ซึ่งดูเหมือนจะมาท้าทายพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ แต่ไม่สามารถตอบได้ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในรัชกาลที่ ๕ ที่ทำให้รัชกาลที่ ๖ ต้องทรงสร้างอุดมการณ์ชาตินิยม และกระบวนการชาตินิยมคืออะไร
ถ้าเราจะเข้าใจปัญหาของรัชกาลที่ ๖ เราคงต้องไล่กลับไปที่รัชกาลที่ ๕ พอดีขณะนั้นได้ทำวิจัยโครงการอุดมการณ์รัฐไทย ก็มาคิดว่าถ้าจะดูว่าอุดมการณ์รัฐไทยในสมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นอย่างไร ก็ควรไปดูหนังสือแบบเรียนที่สร้างขึ้นมาสมัยรัชกาลที่ ๕"
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนังสือธรรมจริยา ของเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี ทำให้พบว่า
"ผู้นำไทยให้ความสำคัญกับการที่เราเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจโลก พอดีได้พบเอกสารจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติที่แสดงให้เห็นว่าการเลิกทาส เลิกไพร่นั้น สาเหตุสำคัญมาจากเราเริ่มต้นผลิตข้าวให้แก่ตลาดโลก จึงมีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนให้แรงงานที่มีอยู่เป็นแรงงานอิสระเพื่อสร้างเป็นผู้ผลิตที่มีประสิทธิภาพ ตรงนี้เป็น turning point ที่สำคัญมาก ทำให้การวิจัยมีความชัดเจน
เอกสารชั้นต้นที่พบอธิบายว่า สิ่งที่พระองค์ทำคือการรวมอำนาจไว้ที่ศูนย์กลาง จะเรียกว่าการสร้างรัฐสมัยใหม่ก็ได้ โดยการเสนอพระองค์เข้ามาเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดระบบแรงงานใหม่ ให้รับกับข้อเรียกร้องที่มาจากระบบเศรษฐกิจโลกได้ ทำให้เห็นความสัมพันธ์ของระบบเศรษฐกิจโลกที่เข้ามา กับความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลง
ขณะที่ผู้นำกลุ่มต่างๆ มีผลประโยชน์ มีทัศนคติ ต่อการเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าฐานะประโยชน์ของแต่ละกลุ่มอยู่ตรงไหน เช่น กลุ่มขุนนางคนสำคัญต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงให้ไพร่ทาสได้เป็นผู้ผลิตอิสระ เพื่อที่จะได้ทำการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด รัชกาลที่ ๕ ก็รับความคิดอันเดียวกันนี้ เพียงแต่พระองค์เห็นว่าการปรับตรงนี้จะทำให้เกิดทรัพยากรจำนวนมหาศาลขึ้นมา ซึ่งหากว่าสามารถเข้าไปควบคุมทรัพยากรตรงนั้นได้ ก็สามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบโครงสร้างอำนาจในยุคสมัยนั้นได้ด้วย
และนี่คือที่มาของการปฏิรูปการปกครอง ความพยายามที่จะรวบศูนย์อำนาจเข้ามาที่สถาบันกษัตริย์ ที่พูดมาถึงจุดนี้เพื่อชี้ให้เห็นว่าการที่รัฐไทยเข้าไปมีปฏิสัมพันธ์กับทุนนิยมในช่วงต้นรัชกาล กลางศตวรรษที่ ๑๙ จำเป็นที่จะต้องปรับโครงสร้างระบบเเรงงานเพื่อที่จะสามารถตอบสนองความต้องการของระบบทุนนิยมได้ดีที่สุด ขณะเดียวกันพระองค์ก็ได้ใช้ความจำเป็นนี้เป็นข้ออ้างในการเปลี่ยนแปลงการปกครองด้วย การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมีขอบเขตกว้างขวางกว่าที่จะเรียกว่าการปฏิรูปการปกครอง แต่เป็นการเปลี่ยนเเปลงรูปแบบรัฐ จากรัฐศักดินาไปสู่รัฐสมัยใหม่ หรือรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์
ในเชิงของประวัติศาสตร์การเกิดขึ้นของระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในยุโรป ทำให้เข้าใจว่าก่อนที่พระมหากษัตริย์จะขึ้นมามีพระราชอำนาจเต็มที่ได้ต้องต่อสู้กับขุนนาง เมื่อมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจทำให้เกิดมีทรัพยากรที่มากขึ้น บุคคลจะมีอำนาจต้องไปช่วงชิงการควบคุมทรัพยากรที่ขยายตัวตรงนี้ได้มากขึ้น
ตัวแบบที่ใช้ศึกษาเพื่อให้เข้าใจการเปลี่ยนแปลงของรัฐไทย คือรัฐในยุโรปตะวันตก ทั้งนี้เพราะทฤษฎีทางสังคมศาสตร์เกิดจากตะวันตก ถึงแม้ว่าขุนนางของเขาจะมีอำนาจเหนือดินแดน ซึ่งไม่เหมือนขุนนางของเราที่คุมไพร่พล แต่ต่างก็เป็นความพยายามที่จะสร้างระบบการคุมทรัพยากรในบริบทที่ขาดพลังของเศรษฐกิจเงินตรา ดังนั้นจึงสามารถเป็นตัวแบบเพื่อการศึกษาเปรียบเทียบด้วย เพราะดิฉันคิดว่าเวลาศึกษาเรื่องเมืองไทย เราไม่ควรเอาเมืองไทยเป็นตัวตั้งมากเกินไป เราต้องรู้ว่าสิ่งที่เราทำ เราเป็น นั้นสอดคล้องหรือแตกต่างกับกระแสการเปลี่ยนแปลงในที่อื่นอย่างไรด้วย"
แล้วขั้วอำนาจในยุโรปก็ถูกเปลี่ยนมือจากขุนนางมาเป็นกษัตริย์ในช่วงศตวรรษที่ ๑๖ เป็นต้นมา ช่วงเวลาของการขยายตัวทางเศรษฐกิจ สำหรับของไทยการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญเกิดขึ้นหลังจากสนธิสัญญาเบาริ่ง
"เรามักให้ความสำคัญกับสนธิสัญญาเบาริ่งว่า เราถูกบังคับให้เซ็นสัญญา ในกระบวนการนี้เราเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขต แต่เมื่อดิฉันได้อ่านเอกสารเกี่ยวข้องกับการเจรจาดังกล่าวก็เห็นว่าเขาไม่ได้สนใจเรื่องของสิทธิสภาพนอกอาณาเขตเลย มันไม่ใช่ประเด็นในการเซ็นสัญญา
ประเด็นคือ สิ่งที่อังกฤษต้องการคือการซื้อข้าวและการขายฝิ่น ซึ่งในกรณีหลังรัชกาลที่ ๔ ได้ทรงอนุญาตให้พ่อค้าอังกฤษเข้ามาค้าได้ก่อนการเจรจาสนธิสัญญาเบาริ่ง ปัญหาที่แท้จริงมิได้อยู่ที่เราไม่ต้องการที่จะขายข้าวให้อังกฤษ แต่อยู่ที่ขุนนางกับพ่อค้ากลุ่มหนึ่งได้ประโยชน์จากโครงสร้างเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ขณะนั้น ถ้ามีการเซ็นสัญญาต้องมีการปรับโครงสร้างภาษี ทำให้กลุ่มบุคคลที่เคยได้ประโยชน์เสียประโยชน์ จะทำอย่างไรให้เกิดการยินยอม เป็นเรื่องของความขัดแย้งของกลุ่มผลประโยชน์ภายในประเทศด้วย ในการจะเปิดรับอังกฤษหรือไม่เปิดรับ
หนังสือนี้เป็นการเปลี่ยนวิธีมองสนธิสัญญาเบาริ่ง จากที่มองว่าเราเป็นรัฐเล็กๆ แล้วมีมหาอำนาจอังกฤษมาบีบให้เราต้องเซ็นสัญญาที่ทำให้เสียประโยชน์มากมาย และเป็นปัญหาต่อมาในอนาคต นั่นเป็นส่วนหนึ่งของพล็อตประวัติศาสตร์ว่า เราได้ต่อสู้กับการรักษาเอกราชชาติไทยมาอย่างไรบ้าง ดิฉันคิดว่าสำคัญถ้าจะทำให้คนไทยมีความสามารถที่จะคิดเป็น
เราต้องรู้จักประวัติศาสตร์อย่างที่มันเป็นจริงๆ ไม่ใช่อย่างแนวทางการ หรือพวกกระแสหลักทั้งหลาย
ดิฉันเห็นความสำคัญของสนธิสัญญาเบาริ่ง ดิฉันเห็นฐานะของมันที่เป็นตัวแทนของโครงสร้างระบบเศรษฐกิจทุนนิยมโลก
อีกประเด็นหนึ่ง เเล้วทำไมระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ถึงได้ล่มสลายลง นี่เป็นข้อเสนออันที่ ๒ ของงานชิ้นนี้ ที่เมื่อกี้บอกว่าทุนนิยมเป็นเงื่อนไขของการเกิดรัฐสมัยใหม่ รัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ถ้าอย่างนั้นทุนนิยมมีบทบาทอย่างไรกับระบบล่มสลายไปในปี พ.ศ. ๒๔๗๕
สิ่งที่เสนอไว้ในหนังสือคือ ในกระบวนการสร้างรัฐร่วมศูนย์ กระบวนการสร้างรัฐสมัยใหม่นั้น ได้ก่อให้เกิดความขัดเเเย้ง ความตึงเครียดที่อยู่ในระบบเอง ซึ่งเป็นพื้นฐานที่สืบนำมาสู่การล่มสลายของระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ข้อสรุปนี้เเตกต่างจากงานวิชาการอื่นอย่างไร ตรงนี้ขออธิบายว่ากระบวนการสร้างรัฐเป็นที่มาของขบวนการล่มสลายด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้นดิฉันจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับปัจจัยเฉพาะหน้าเท่าไหร่นัก แต่ได้อธิบายในเชิงโครงสร้าง นั่นคือชี้ให้เห็นถึงปัญหาระหว่างระบบกษัตริย์ที่ได้นำเอาหลักการใหม่ๆ เช่น การรับคนเข้ารับราชการโดยใช้เกณฑ์การศึกษามาผสมผสานกับระบบเดิมที่ยังคงมีความเชื่อในชาติกำเนิดอยู่"
โดยการศึกษาอยู่ในระหว่างรัชกาลที่ ๕ และรัชกาลที่ ๖
"ต้นรัชกาลที่ ๖ ได้เกิดกบฏ ร.ศ. ๑๓๐ กบฏที่ดิฉันวิเคราะห์ว่า การล่มสลายของระบบที่รัชกาลที่ ๕ สร้างขึ้นมา เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสร้างรัฐ คือเสนอภาพในลักษณะที่เป็นเหรียญที่มี ๒ ด้าน ในกระบวนการสร้างมันก็มีการหย่อนเชื้อของระบบนี้ที่จะล่มสลายลงไปด้วยพร้อมๆ กัน
ในการวิเคราะห์คือว่า ทำไมในเชิงโครงสร้างระบบนี้ถึงอยู่ไม่ได้ และจงใจที่จะยุติการศึกษาในช่วงรัชกาลที่ ๖ เพื่อจะบอกว่ามันมีเงื่อนไขที่พร้อม ซึ่งจะบอกว่าระบบนี้มันจะอยู่ไม่ได้ เพราะมันได้เกิดกบฏขึ้นในปี ร.ศ. ๑๓๐ ที่รัชกาลที่ ๖ เพิ่งครองราชย์ ตรงนี้อาจจะต่างจากงานของนักวิชาการท่านอื่นๆ ที่มองว่าเหตุการณ์ พ.ศ. ๒๔๗๕ เกิดจากความไม่พอใจของบุคคลระดับล่างในสังคม
ดิฉันไม่ได้ปฏิเสธประเด็นนี้ แต่คำถามคือ ความไม่พอใจของบุคคลระดับล่างเป็นส่วนหนึ่งที่ผลักดันให้เกิดการล่มสลายของระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือเปล่า มันไม่ใช่ประเด็นเดียวกัน ความไม่พอใจมีอยู่ แต่ความไม่พอใจทำให้เกิดการล่มสลายหรือเปล่า เท่าที่ศึกษามาดิฉันวิเคราะห์ว่าเป็นเรื่องของความไม่พอใจของชนชั้นระดับข้าราชการ ข้าราชการแบบใหม่ที่รัชกาลที่ ๕ เป็นผู้สร้างขึ้นมา เมื่อพวกเขาพบว่าระบบที่เป็นอยู่ไม่สามารถตอบสนองความต้องการ ความคาดหวัง สถานภาพของเขาในสังคมที่มันไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง เพราะเขาคาดหวังมากกว่าที่ระบบจะให้ได้
ตรงนี้ต้องเน้นเลยว่าดิฉันอยากจะอธิบายสาเหตุของการล่มสลายของระบบ ไม่ว่าจะเป็นระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ระบบรัฐบาลอาณานิคมในประเทศต่างๆ ด้วยสาเหตุเดียวกัน คือมีการให้โอกาสทางการศึกษากับคนกลุ่มหนึ่ง แล้วคนพวกนี้ก็เข้ามาอยู่ในระบบ และเขาก็พบว่าระบบมันไม่เอื้อประโยชน์ อาจจะเอื้อบ้างแต่ไม่เท่าที่คาดหวัง และนำไปสู่การหาคำตอบว่าระบบที่ดีควรจะเป็นอย่างไร แล้วเขาก็พบว่าอย่างน้อยระบบที่มีรัฐธรรมนูญ มีรัฐสภา จะตอบคำถามหรือแก้ปัญหาให้ได้ในระดับหนึ่ง นี่คือที่มาที่เรียกร้องให้เกิดประชาธิปไตยในกรณีของรัฐไทย และข้อเรียกร้องให้ได้มาซึ่งเอกราชในกรณีของรัฐอาณานิคม
ดิฉันเลือกวิเคราะห์ปัญหาในระบบราชการเป็น ๒ ส่วน ส่วนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับข้าราชการระดับสูง คนเหล่านี้ก็คือลูกหลานรัชกาลที่ ๕ ที่พระองค์ส่งไปเรียนเมืองนอก เมื่อเวลากลับมาเขาก็ได้รับมอบหมายให้ทำงานสำคัญๆ สิ่งหนึ่งที่คนกลุ่มนี้มีอยู่ชัดเจนร่วมกัน คือแต่ละคนจะมองผลประโยชน์ขององค์กรเป็นสำคัญ
ยกตัวอย่างเช่น กรมหลวงราชบุรีฯ สิ่งที่ท่านต้องการคือการแยกอำนาจตุลาการให้เป็นอิสระจากอำนาจบริหาร ซึ่งในกรอบโครงสร้างอำนาจรัฐในเวลานั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ความเป็นอิสระของตุลาการมันก้าวหน้าเกินไปกว่าที่จะเป็นได้ ตรงนี้ก็คือสาเหตุความขัดแย้งของพระองค์ท่านกับรัชกาลที่ ๕ ทั้งที่เป็นพ่อลูกกันใช่ไหมในแง่หนึ่ง ดิฉันไม่วิเคราะห์ในแง่ของ David Wyatt ที่มองว่าเป็น Family Politic เป็นเรื่องของพ่อลูกทะเลาะกัน มันไม่ใช่อย่างนั้น สถานภาพใหม่ของคนที่เป็นสมาชิกของราชสกุลคือเจ้ากระทรวง เกิดมีผลประโยชน์ขององค์กรซึ่งอาจแตกต่างไปจากผลประโยชน์ที่กำหนดโดยพระมหากษัตริย์
หรือในสมัยรัชกาลที่ ๖ กรมหลวงชุมพรฯ ถูกปลดจากตำแหน่ง นายทหารเรือนายหนึ่งชื่อคุณประพัตร กฤษจันทร์ เขาทำการรวบรวมเอกสารของรัชกาลที่ ๖ โดยจดหมายสำคัญฉบับหนึ่งซึ่งสนับสนุนการวิเคราะห์ที่ว่าเกิด tension ในระบบราชการสังคมสมัยใหม่ ระหว่างกลุ่มราชการสมัยใหม่ กับพระมหากษัตริย์"
ความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์กับขุนนางรุ่นใหม่ที่เรียกว่า "ข้าราชการ" ได้เปลี่ยนไปแล้ว
"ข้าราชการสมัยเก่า เวลาคุณจะเข้ารับราชการ คุณถวายตัวให้คุณเป็น client คุณขึ้นอยู่กับพระมหากษัตริย์ พระองค์รับคุณเข้ามาคุณถึงเข้าได้ แต่พอเราเอาระบบการศึกษาสมัยใหม่มาเกณฑ์การรับราชการมันเปลี่ยนไป คุณต้องมีการศึกษา พอเรียนจบโรงเรียนคุณก็ถูกดึงเข้าไปแล้ว เพราะคนเรียนหนังสือในสมัยนั้นมีน้อยมาก
ระบบราชการสมัยใหม่ต่างจากระบบราชการสมัยเก่า ตรงที่ว่ามันต้องใช้คนไปบริหารจัดการ และต้องเอาอำนาจของรัฐหยั่งลงไปในทุกๆ ส่วน เพราะฉะนั้นการสื่อสารต้องเป็นเอกสาร ซึ่งระบบราชการแบบเก่าไม่มี การว่าราชการให้นั่งในท้องพระโรง กิจกรรมส่วนใหญ่เป็นการสั่งราชการด้วยปาก ขุนนางก็ใช้วิธีการกราบบังคมทูล ขุนนางเองอยู่ได้ด้วยพระมหากษัตริย์อนุญาตว่าให้เก็บทรัพยากรของรัฐจำนวนหนึ่งเอาไว้เลี้ยงชีพ ไม่มีการจ่ายเงินเดือน
นั่นเพราะว่ารัฐก่อนสมัยรัชกาลที่ ๕ ส่วนกลางไม่มีอำนาจ ไม่มีกลไกในการจัดบริหารทรัพยากร แล้วทรัพยากรก็มีจำกัด เศรษฐกิจมันไม่มีการเติบโต แต่ช่วงรัชกาลที่ ๔-๕ เศรษฐกิจมีการเติบโตอย่างมาก ทำให้รัชกาลที่ ๕ คิดว่าพระองค์ต้องสร้างกลไกที่จะเข้าไปบริหารจัดการทรัพยากรที่มันขยายตัวออกมาได้อย่างไร นี่คือโจทย์ของพระองค์ คือการตั้งระบบราชการสมัยใหม่ หรือว่า modern bureaucracy ซึ่งต่างจาก feudal bureaucracy
ภายใต้ระบบราชการสมัยใหม่ไม่ได้เข้ามาเพราะความสัมพันธ์ส่วนตัวอีกต่อไป และข้าราชการไม่สามารถเอาตำแหน่งมาหาประโยชน์ส่วนตัวได้ รัฐจ่ายเงินเดือนให้ หน้าที่ของข้าราชการคือ การรวบรวมเก็บทรัพยากร ดูแลความเรียบร้อย ทุกอย่างนี้เพื่อทำให้ระบบทุนนิยมที่เข้ามาในสังคมไทยทำงานได้อย่างราบรื่น"
ข้าราชการระบบใหม่มาพร้อมกับความคาดหวังชุดใหม่ ที่หวังว่าระบบจะไม่อ้างอิงชาติตระกูลเป็นเกณฑ์
"ระบบอุปถัมภ์ถูกทำให้หมดไปในทางหลักการ แต่ไม่หมดไปทางปฏิบัติ เพราะเป็นระบบที่อยู่มาอย่างนาน และอาจเรียกว่าเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะเข้าไปฝากตัวไปเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้นข้าราชการสมัยใหม่เมื่อเข้าไปในระบบใหม่ก็คาดหวังว่าระบบใหม่จะทำงานแบบหนึ่ง ตามเกณฑ์ใหม่ แต่มันไม่ได้เป็นไปอย่างนั้น
นอกจากนี้ระบบยังมีความเบียดเสียดยัดเยียด ปลายรัชกาลเริ่มเบียดกันแล้ว แต่ละคนจะคอยมองว่าใครได้ดีกว่ากัน แล้วก็พบว่ามันอาจเกิดความไม่ยุติธรรม
ขณะที่ระบบราชการสมัยใหม่บอกว่ามันขึ้นอยู่กับ meritocracy แต่เวลาทำงานจริงๆ มันไม่ได้ทำงานตามนั้น นี้คือที่มาของ tension ที่พูดถึง"
ท่ามกลางความขัดแย้งของสังคมที่มีชนชั้นกษัตริย์ เจ้า ขุนนาง และไพร่ รัชกาลที่ ๕ ทรงให้ฐานะพิเศษกับชนชั้นเจ้า และผูกมิตรกับขุนนาง
"รัชกาลที่ ๕ พระองค์มองว่าชนชั้นขุนนางเป็นพันธมิตรที่สำคัญของพระองค์ท่าน ท่านออกทุนการศึกษาให้ลูกหลานขุนนางตระกูลละ ๑ คน มีหนังสือของพระยาเทพหัสดิน ซึ่งได้รับทุนเล่าเรียนหลวง ท่านเขียนเอาไว้ว่า ละอายเหมือนกันว่าตัวเองไม่ได้มีคุณงามความดีอะไรเลย เรียนหนังสือก็ไม่เก่ง แต่ก็ได้การสนับสนุน ถ้าคนที่รับทุนคิดอย่างนี้คนอื่นจะไม่คิดอะไรเลยได้อย่างไร
พระองค์ตระหนักว่าอยู่ในฐานะที่ลำบาก พระองค์รู้ว่าพระองค์ท่านต้องสร้างพันธมิตรขึ้นมา เพื่อเอามาเป็นกำลังที่จะสร้างรัฐสมัยใหม่ พระองค์จะไปหาคนที่ท่านไม่รู้จักมาเป็นพันธมิตรหรือ พระองค์ก็หวังว่าบุคคลที่รู้จัก บุคคลที่เคยช่วยทำงานกันมาก่อน ซึ่งเป็นกลไกของระบบเก่าจะไปช่วยกันผลิตลูกหลานมาอยู่ในระบบใหม่ได้
ซึ่งเป็นเรื่องปกติ แต่ระบบของเราไม่ได้เป็นไปตามนั้นเสียทั้งหมด คนชั้นขุนนางปรับตัวได้ช้า ในการที่จะมาแสวงหาโอกาสใหม่ ประโยชน์ใหม่ที่ให้ กลับกลายเป็นว่าคนชั้นสามัญหรือไพร่สามารถปรับสถานภาพทางสังคมของเขาในการที่จะรับโอกาสใหม่สูงกว่าขุนนาง"
นี่เป็นที่มาของการใช้ชื่อหนังสือว่า "The Rise and Decline of Thai Absolutism" ทั้งที่ระยะการศึกษาในรัชกาลที่ ๕-๖ แต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองเกิดขึ้นในรัชกาลที่ ๗
"ความเสื่อมเป็นเรื่องเดียวกันกับการสร้าง เพื่อจะบอกว่าที่มาของการเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. ๒๔๗๕ มาจากรัชกาลที่ ๕ พร้อมกับการสร้างมันก็เสื่อมด้วย มันเกิดการท้าทายพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์เป็นครั้งแรก ก็เลยใช้คำว่า decline และจงใจหยุดที่ตรงนั้น เพราะเห็นว่ามีเงื่อนไขพอที่จะนำไปสู่ ๒๔๗๕ ได้ แต่ถ้าจะทำการศึกษาถึงรัชกาลที่ ๗ หรือ ๒๔๗๕ จะเป็น the fall"
วิภา จิรภาไพศาล
ที่มา : ศิลปวัฒนธรรม มกราคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 27 ฉบับที่ 03
หมายเหตุ
การเน้นข้อความทำไปตามความเห็นขอวผู้จัดเก็บบทความ
วันพุธที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2551
สมบูรณาญาสิทธิราชย์ จุดเริ่มและจบที่พบกันในรัชกาลที่ ๕
ผู้จัดเก็บบทความ
เจ้าน้อย ณ สยาม
ที่
11:45 หลังเที่ยง
0
ความคิดเห็น
ซื้อทาส สมัยรัชกาลที่ ๕
จากความรู้เรื่องการเลิกทาสของสังคมไทยนั้น นักวิชาการและผู้รู้จะกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า "ประเทศไทยเลิกทาสในสมัยรัชกาลที่ ๕"
แต่ความจริงแล้ว ใน พ.ศ. ๒๔๔๕ ก่อนพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยุ่หัว (รัชกาลที่ ๕) เสด็จสวรรคตไม่กี่ปี (รัชกาลที่ ๕ สวรรคต พ.ศ. ๒๔๕๓) ยังมีการขายตัวเป็นทาสนายเงิน ดังเอกสารโบราณลำดับที่ ๒๓ เป็นสัญญาขายตัวของอ้ายเพชร เมื่อวันที่ ๖ กันยายน ร.ศ. ๑๒๑ หนังสือสัญญาดังกล่าวเรียกว่า "สารกรมธรรม์" เป็นแบบฟอร์มที่พิมพ์จำหน่ายจากโรงพิมพ์หลวง (ตะพานเหล็กโรงหวย) แบบฟอร์มดังกล่าวพิมพ์ข้อความสำคัญไว้เกือบทั้งสิ้น และมีส่วนว่างให้เติมข้อความสำคัญอื่นๆ เช่น ชื่อทาส ชื่อนายเงิน จำนวนเงิน และตำแหน่งพนักงานที่จดทะเบียนสารกรมธรรม์ พร้อมกับประทับตราประจำตำแหน่ง ฯลฯ
เอกสารกรมธรรม์ซื้อทาสดังกล่าวเป็นเอกสารโบราณของทางราชการเมืองนครราชสีมา เพิ่งค้นพบเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๘ จำนวน ๑๓๘ ฉบับ ดังรายละเอียดต่อไปนี้
การซื้อทาสขายทาส รวมทั้งยอมขายตนเองเป็นทาสแก่นายเงินนั้น มีกฎหมายบังคับก่อนที่จะมี พ.ร.บ.เลิกทาสในสมัยรัชกาลที่ ๕ ตามที่ทราบกันอยู่ทั่วไปนั้น แต่ยังไม่พบหลักฐานการทำหนังสือสัญญายอมขายตัวเป็นทาส รวมทั้งขบวนการเข้าสู่ระบบทาส ซึ่งมีการสอบถามความยินยอมพร้อมใจของทาสผู้ยอมขายตัวเองต่อหน้าข้าราชการผู้ใหญ่ และพยานดีแล้ว ทางราชการจึงจะทำหนังสือสารกรมธรรม์ หรือหนังสือสัญญาขายตัว โดยมีนายอำเภอ (เจ้าเมืองหรือข้าราชการผู้ใหญ่) มีพยาน และเสมียน นั่งพร้อมกันสอบถามความสมยอมพร้อมใจของผู้ขายตัวเป็นทาส และนายเงิน เมื่อเห็นว่าไม่ได้บังคับกดขี่คดโกงกัน จึงจะประทับตราประจำตำแหน่ง (ตรารูปหนุมานทรงเครื่อง) ไว้เป็นสำคัญอย่างน้อย ๓ แห่ง คือ ๑. ศก (วัน เดือน ปี) ๒. เรือนเงิน (คือจำนวนเงินที่ซื้อขาย) ๓. ชื่อทาส (ชื่อทาส ชื่อเมีย และพ่อแม่ถ้ามี)
เอกสารโบราณว่าด้วยสารกรมธรรม์การขายตัวเป็นทาสนี้ พบจำนวนมาก (ประมาณ ๑๓๘ ฉบับ) ที่บ้านคุณยายยี่สุ่น ไกรฤกษ์ บ้านอยู่ถนนมหาดไทยในเขตเทศบาลนครราชสีมา เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๘ (ปัจจุบันอยู่ในความครอบครองของนางเสริมศรี โชรัมย์ ทายาท) และได้มอบให้สำนักศิลปวัฒนธรรมสถาบันราชภัฏนครราชสีมา ต่อมา พ.ศ. ๒๕๔๕ สำนักศิลปวัฒนธรรมได้พิมพ์เผยแพร่ชื่อว่า "เอกสารโบราณ เล่ม ๑ สารกรมธรรม์" มีเอกสารโบราณจำนวน ๑๓๘ ฉบับ ฉบับเก่าสุดลงศักราชตรงกับ พ.ศ. ๒๓๙๙ และฉบับล่าสุดลงศักราช พ.ศ. ๒๔๔๕ ซึ่งเอกสารโบราณดังกล่าว เป็นสารกรมธรรม์ขายตัวเองเป็นทาสส่วนใหญ่ มีบางส่วนเป็นสารกรมธรรม์นายเงินขายทาสให้นายเงิน โดยความยินยอมของนายเงินและทาส และบางส่วนเป็นสัญญากู้เงิน
เอกสารโบราณดังกล่าว เขียนด้วยอักษรไทย ลายมือโบราณส่วนหนึ่ง (สารกรมธรรม์ พ.ศ. ๒๓๙๙-พ.ศ. ๒๔๒๙) ส่วนเอกสารทำหลัง พ.ศ. ๒๔๒๙ ถึง พ.ศ. ๒๔๔๕ จะมีแบบฟอร์มพิมพ์จากโรงพิมพ์หลวง และมีคำชี้แจงด้านหลังว่า "กระดาษที่จะใช้ทำหนังสือสัญญาต่างๆ ที่ทำเพื่อใช้เป็นพยานในโรงศาลทั้งปวง ที่มีสารกรมธรรม์สัญญา เป็นต้น ควรใช้กระดาษหลวงที่มีตราหลวงสำหรับการนั้นๆ ให้ผู้ทำพิเคราะห์จงดี จึงจะเป็นการมั่นคงดี ที่อำเภอจะต้องใช้กระดาษต่างๆ และกระดาษต่างๆ ซึ่งเป็นที่ต้องการทุกสิ่งทุกอย่างนี้ จำหน่ายที่โรงพิมพ์หลวง แลที่ตึกแถวถนนใหม่ที่สุดริมตะพานเหล็กโรงหวย แลบ้านอำเภอทุกๆ แห่ง"
จากหลักฐานเอกสาร "สารกรมธรรม์" ข้างต้นนั้น เป็นหลักฐานว่า ในหัวเมืองนครราชสีมา ยังมีการขายตัวเป็นทาสจนถึง พ.ศ. ๒๔๔๕ แม้ว่าทางราชธานีจะประกาศเลิกทาสแล้วก็ตาม อีกประการหนึ่ง ในตอนต้นรัชสมัยของพระจุลจอมเกล้าฯ ที่ยังมิได้ประกาศเลิกทาสนั้น ทางราชการยังพิมพ์แบบฟอร์มสัญญาสารกรมธรรม์ขายตัวเองเป็นทาส ซึ่งมีรายละเอียดรูปพรรณของตัวทาส และมีพยาน มีการสอบถามความสมัครใจทั้งสองฝ่าย ลงชื่อ ประทับตราประจำตำแหน่งกันอย่างเป็นระบบ
๑.
กรณีการขายตัวเป็นทาส
จากการศึกษาเอกสารโบราณที่พบอยู่บ้านคุณยายยี่สุ่น ไกรฤกษ์ ในเขตเทศบาลเมืองนครราชสีมา เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๘ นั้น ทำให้เข้าใจขบวนการขายตัวเป็นทาสนายเงินหลายกรณี นั่นคือ ๑. กรณีเกิดยากจนเป็นหนี้สิน จึงยอมขายตนเองเป็นทาส ๒. กรณีนายทาส (เจ้าของทาส) มีความประสงค์จะขายทาสให้นายเงินคนอื่น ๓. กรณีเป็นคดีความถูกศาลสั่งปรับไหมเป็นเงินจำนวนมาก (๑ ชั่ง ๒ ชั่ง) จึงต้องขายตนเองและลูกเมียเป็นทาส เพื่อนำเงินไปใช้ค่าปรับไหม ๔. กรณีมูลนายขายตนเองเป็นทาสนายเงิน ๕. กรณีทาสขอเพิ่มค่าตัวโดยเปลี่ยนนายเงินใหม่
๑.๑ กรณียากจนยอมขายตนเองเป็นทาส
กรณีขายตนเองเป็นทาสนายเงินนั้นมักจะมีสาเหตุมาจากความยากจน ในสารกรมธรรม์จะบันทึกว่า "ข้าอีทรัพย์มีทุกข์ยากมาทำหนังสือสารกรมธรรม์ขายตัวเองอยู่กับท่าน..." หรือ "ข้าอ้ายแดงมีอาสน (ปรารถนา) มาทำหนังสือสัญญาขายตัวเอง และขอรับเงินตราสองชั่งของท่านจีนทองคำผัวพลับภรรยา..." (เอกสารโบราณลำดับที่ ๘ หน้า ๑๕) หรือ "ตูข้าอ้ายปลูกผู้ผัวอีสา...มีความทุกข์ยากพร้อมใจกันทำ (หนัง) สือสารกรมธรรม์ขายตัวเองอยู่กับท่านจีนปุกผัวนางมาภรรยา..." (เอกสารโบราณลำดับที่ ๓๐ หน้า ๕๓)
บางกรณียอมทำสารกรมธรรม์ขายตัวเองและลูกเต้าเป็นทาสนายเงิน ดังเช่นเอกสารโบราณลำดับที่ ๖๘ หน้า ๙๓ ลงวันเดือนปีว่า วันพุธ เดือนเจ็ด แรมสี่ค่ำ จ.ศ. ๑๒๓๓ ปีมะแมตรีศก (พ.ศ. ๒๔๑๔) บันทึกว่า "ตูข้าอ้ายเสือผู้ผัว อีแจ่มผู้เมีย อีอั้ว อีจีบ อีพวง อ้ายอิ่ม ผู้ลูก มีความทุกข์ยากพร้อมใจกันทำหนังสือสารกรมธรรม์ขายตัวเองอยู่กับท่านทองอิน แต่ต้นเป็นเงินห้าชั่งสองตำลึง ตูข้ายอมตัวเข้ารับใช้สอยการงานต่างกริยาดอกเบี้ย ถ้าตูข้าขัดแข็งบิดพลิ้ว หลบหลีกหนีหาย ท่านจะใช้สอยการงานของท่านมิได้ ให้ท่านคิดเอาต้นเงินและค่าป่วยการแก่ตูข้าจงเต็ม ถ้าตูข้าขัดแย้งบิดพลิ้วไปมามิให้ต้นเงินและค่าป่วยการของท่านไซร้ ให้ท่านเอาหนังสือสารกรมธรรม์ขายตัวใบนี้ ออกร้องเรียกว่ากล่าวเอาตามความแผ่นดินเมืองของท่านนั้นเถิด ตูข้าอ้ายเสือ อีแจ่มเมีย อีอั้ว อีจีบ อีพวง อ้ายอิ่มลูก ขีดแกงได (เครื่องหมายแทนลงลายมือ) ให้ไว้แก่ท่านนายเงินเป็นสำคัญ"
หนังสือสารกรมธรรม์ขายตนเองเป็นทาส หรือขายตนเองและครอบครัวเป็นทาสนายเงินจะมีข้อความสำคัญตามเอกสารโบราณลำดับ ๖๘ ทุกฉบับ (อาจจะมีข้อความบางส่วนต่างไปเล็กน้อย) แต่กระนั้นก็ตามต้องมีตราประจำตำแหน่ง (นายอำเภอ หรือขุนนางผู้ใหญ่เป็นประธาน) ประทับไว้บริเวณวัน เดือน ปี จำนวนเงิน ชื่อทาส อย่างน้อย ๓ แห่ง ซึ่งข้อความดังกล่าวจะบันทึกไว้ด้านหลังของหนังสือสารกรมธรรม์ว่า "หนังสือขายตัวใบนี้ อ้ายเสือ อีแจ่ม จ้างขุนสนิทเขียนเป็นอักษร ๗ บรรทัด บุบสลายหลายแห่ง ๐วัน ๓ ฯ๕๗ (วันอังคาร แรมห้าค่ำ เดือนเจ็ด) ปีมะแมตรีนิศก แม่ทองอินนายเงิน นำเอาตัวทาสกับสารกรมธรรม์มาให้พระพิพิธภักดีประทับตราๆ ได้ถามทาสรับ (ว่า) ถูกต้องตามสารกรมธรรม์แล้ว พระพิพิธภักดีจึงประทับตรารูปหนุมานทรงเครื่องประจำ ชื่อ-เรือนเงิน-ศก ไว้เป็นสำคัญ" (เอกสารโบราณลำดับ ๖๘ หน้า ๙๓)
๑.๒ กรณีเจ้าของทาสขายทาสให้นายเงินคนอื่น
รวมทั้งผัวขายเมียหรือพ่อแม่ขายลูกเป็นทาส
กรณีเจ้าของทาสนำทาสมาขายตัวให้นายเงินคนอื่น พบอยู่บ้างไม่มากเหมือนขายตนเอง และครอบครัวเป็นทาสนายเงิน ได้แก่เอกสารโบราณลำดับที่ ๔๖ หน้า ๗๑ ในหนังสือสารกรมธรรม์มีสาระโดยสรุปว่า เมืองจันทร์ (ตำแหน่งข้าราชการหัวเมืองภาคอีสานและล้านช้าง) เมืองทองคำใหญ่ เอาทาสชื่ออ้ายออง อ้ายกอม เป็นชาวข่าดัด มาขายให้หลวงภักดีณรงค์ (สามี) นางมา (เมีย) ลงศักราชวันพุธ เดือนสิบสอง ขึ้นสามค่ำ จุลศักราช ๑๒๓๘ ปีชวดอัฐศก (พ.ศ. ๒๔๑๙)
บางกรณีสามีนำเมีย หรือพ่อแม่นำลูกมาขายเป็นทาสของนายเงิน ในกรณีดังกล่าวพบอยู่หลายสารกรมธรรม์ เช่น เอกสารโบราณลำดับที่ ๘๖ หน้า ๑๑๑ ได้บันทึกสาระโดยสรุปว่า "วันพุธ เดือนหก ขึ้นเก้าค่ำ จุลศักราช ๑๒๓๖ ปีจอฉศก (พ.ศ. ๒๔๑๗) พ่อแสง (ไม่ใช้คำหน้าชื่อว่าอ้าย) ผู้ผัวทำหนังสือสารกรมธรรม์เอาอีศรีเมียมาขายฝากไว้กับท่านพระภักดีนุชิตผัว อ้นภรรยา แต่ต้นเป็นเงินตราสิบสองตำลึงบาทหนึ่ง (๔๙ บาท) มอบตัวอีศรีให้ท่านใช้สอยงานต่างกระยาดอกเบี้ย..."
หมายเหตุ ในกรณีนายแสงนำนางศรีมาขายฝาก ตามหนังสือสารกรมธรรม์ข้างต้นนี้ พบหลักฐานว่าได้นำเงิน ๔๙ บาทมาไถ่ค่าตัวภรรยาอีก ๒ ปีต่อมา และได้บันทึกด้านหลังหนังสือสารกรมธรรม์ฉบับนี้ว่า "วันอาทิตย์ เดือนสาม ขึ้นเจ็ดค่ำ จุลศักราช ๑๒๓๘ ปีชวดอัฐศก (พ.ศ. ๒๔๑๙) นายแสงได้เอาเงินค่าตัวอีศรีส่งไว้เป็นเงินสิบสองตำลึงบาท ได้รับไว้ สักหลังไว้เป็นสำคัญ"
ในกรณีพ่อแม่นำลูกมาขายเป็นทาสแก่นายเงิน พบสารกรมธรรม์บางฉบับได้กล่าวถึงแม่นำลูกมาขายเป็นทาสนายเงิน โดยเฉพาะเอกสารโบราณลำดับที่ ๙๒ หน้า ๑๑๗ ต้นฉบับเป็นอักษรพิมพ์ดีดโบราณ (ขนาดอักษรโตกว่าปัจจุบัน) และเว้นช่องให้ใส่รายชื่อบุคคล (ทาส นายเงิน) เอกสารสารกรมธรรม์ดังกล่าวทำขึ้น เมื่อ จ.ศ. ๑๒๔๐ ปีขาลสัมฤทธิศก (พ.ศ. ๒๔๒๑) มีสาระโดยสรุปว่า อำแดงมาก (แม่) เอาอ้ายแก้ว (ลูก) มาขายฝากไว้กับท่านนายช้าง (ผัว) จัน (ภรรยา) ทองอยู่ (บุตร) เป็นเงินตรา ๑ ชั่ง ๗ ตำลึง มีข้อสังเกตว่าอ้ายแก้ว (ทาส) มีความรู้เขียนหนังสือได้ดี ดังความตอนท้ายว่า "ข้าพเจ้าอ้ายแก้ว ตัวทาสเขียนลงชื่อเอง และลงชื่อแทนแม่ให้ไว้เป็นสำคัญ"
ส่วนด้านหลังเป็นลายมือเขียนรับรองสารกรมธรรม์ฉบับนี้โดยประทับตราดอกบัวบานประจำตัว รองหมื่นรามพลแผ้ว (นายอิน) มีใจความว่า "วันประหัส เดือนเจ็ด แรมสิบสองค่ำ จุลศักราช ๑๒๔๐ ปีขาลสัมฤทธิศก ท่านนายอินรองหมื่นรามพลแผ้ว ได้ซักถามปากคำท่านแม่จันนายเงิน อำแดงมากผู้ขาย อ้ายแก้วตัวทาส ให้ถ้อยคำว่า ข้าพเจ้าอำแดงมากแม่ เอาอ้ายแก้วลูก มาขายฝากไว้กับท่านนายช้างผัว (แม่) จันภรรยา ทองอยู่บุตร นายเงิน เป็นเงินตราชั่งเจ็ดตำลึง ข้าพเจ้าผู้ขาย-ตัวทาส จ้างนายจวด เขียนด้วยเส้นดำน้ำหมึก ตามระยะหนังสือพิมพ์ขายฝากฉบับนี้แล้ว นายอินรองหมื่นรามพลแผ้ว ได้ประทับตราบัวบานประจำศก-ชื่อ-เงิน-ตำหนิ ไว้เป็นสำคัญ ตำหนิอำแดงมากเป็นแผลใต้รักแร้ข้างขวา อ้ายแก้วเป็นแผลใต้ลูกคาง"
๑.๓ กรณีขุนนางผู้ใหญ่ขายตนเองเป็นทาส
ในกรณีขุนนางผู้ใหญ่ขายตนเองและเมียเป็นทาส นายเงินที่เป็นชาวจีน ไม่มีรายละเอียดว่าท่านหลวงภักดีสงคราม ยากจนเพราะเหตุใด และเงินค่าขายตัวเพียง ๒ ชั่ง ๑๔ ตำลึง (ทั้งสองคนผัวเมีย) ก็ไม่ได้สูงกว่าไพร่เลวอื่นๆ ที่ขายตัวเป็นทาสในสมัยเดียวกัน (พ.ศ. ๒๔๑๖) และไม่พบรายละเอียดเกี่ยวกับตัวท่านหลวงภักดีสงครามและนางคล้าย (ภรรยา) ว่ามีอายุมากน้อยเท่าใด อยู่ในราชการหรือถูกปลดออกจากราชการ เงินเบี้ยหวัดทรัพย์สมบัติสูญสิ้นไปไหนหมด จึงสิ้นเนื้อประดาตัว จนต้องขายตนเองเป็นทาสแก่จีนทองจีน และนางนกแก้วภรรยา ซึ่งนายเงิน (จีนทองจีนและนางนกแก้ว) พบชื่ออยู่ในสารกรมธรรม์สมัยเดียวกันนี้หลายฉบับ แสดงว่ามีบ้านเรือนอยู่ที่เมืองนครราชสีมา ส่วนหลวงภักดีสงครามและนางคล้าย (ภรรยา) คงเป็นขุนนางตกยากของเมืองนครราชสีมา และน่าจะถูกปลดประจำการเพราะพบในสารกรมธรรม์บางแห่งเขียนว่า "อ้ายหลวงภักดีสงคราม" สารกรมธรรม์ฉบับนี้อยู่ในเอกสารโบราณลำดับที่ ๘๔ หน้า ๑๐๙ มีใจความดังนี้
"๐ วันพุธ เดือนสิบเอ็ด ขึ้นสามค่ำ จุลศักราช ๑๒๓๕ ปีระกาเบญจศก (พ.ศ. ๒๔๑๖) ตูข้าอ้ายหลวงภักดีสงคราม อีคล้ายผู้เมีย ทุกข์ยาก พร้อมใจกันทำหนังสือสารกรมธรรม์ขายตัวเองอยู่กับท่านจีนทองจีนผัว นางนกแก้วเมีย (แต่ต้น) เป็นเงินตราสองชั่งสิบสี่ตำลึง ตูข้าเข้าอยู่รับใช้สอยการงานต่างกิริยาดอกเบี้ยของท่าน ถ้าตูข้าขัดแข็งบิด (พลิ้ว) หลบ (หนีไป) มามิให้ท่านใช้สอยการงานต่างกิริยาดอกเบี้ยของท่านไซร้ ให้ท่านคิดเอาต้นเงินและดอกเบี้ยกับตูข้าจงเต็ม (ถ้า) ตูข้าขัดแข็งบิดพลิ้วไปมามิให้ต้นเงินและค่าป่วยการของท่านไซร้ ให้ท่านเอาหนังสือสารกรมธรรม์ (ขายตัว) เองใบนี้ ออกร้องเรียกว่ากล่าวเอาตามความแผ่นดินกะบิลเมืองของท่านเถิด ตูข้าหลวงภักดีสงครามผัว คล้ายผู้เมีย ขีดแกงได ให้ไว้แก่ท่านเป็นสำคัญ"
อีกกรณีหนึ่ง ขุนอินทร์ อายุสี่สิบห้าปีขายตัวเองเป็นทาสของแม่เลื่อนนายเงิน เป็นเงิน ๑ ชั่ง ๕ ตำลึง เมื่อวันอาทิตย์ เดือนสิบเอ็ด ขึ้นค่ำหนึ่ง ปีระกานพศก จุลศักราช ๑๒๕๙ (วันที่ ๒๖ กันยายน ร.ศ. ๑๑๖/พ.ศ. ๒๔๔๐) โดยมีพระเจริญราชกิจ นายอำเภอเป็นผู้ออกหนังสือสารกรมธรรม์
รูปแบบหนังสือสารกรมธรรม์ฉบับนี้ เป็นฉบับพิมพ์จากโรงพิมพ์หลวง เป็นแบบฟอร์มที่มีรายละเอียดมากกว่าสารกรมธรรม์ที่เขียนด้วยลายมือ เช่น ลงชื่อพระเจริญราชกิจ-ผู้นั่ง (ประธาน) นายยอด-เสมียน ขุนอินทร-ตัวทาส จีนทองคำ-มาแทนนายเงิน นายหมา-พยาน ส่วนตอนท้ายของสัญญาจะมีตารางบันทึกรายละเอียดของตัวทาส ได้แก่ ชื่อผู้สัญญา-อ้ายขุนอินทร์ตัวทาส บิดามารดาหรือบุตรภรรยา-เมียชื่อสายราย อายุ-สี่สิบห้าปี ตำหนิ-มีไฝริมจมูกขวา ผิวเนื้อ-ดำแดง รูปพรรณ-สันทัด ลงชื่อ-อ้ายขุนอินทร์ นายหมา-พยาน
หมายเหตุ หลังจากทำสารกรมธรรม์ฉบับนี้เพียง ๑๑ วัน ขุนอินทร์ก็เอาเงินมาคืน ๑๕ ตำลึง คงค้างค่าตัวอีก ๑๐ ตำลึง ดังปรากฏบันทึกด้านหลังสารกรมธรรม์ว่า "วันที่ ๗ ตุลาคม ร.ศ. ๑๑๖ ขุนอินทร์ ตัวทาส ได้เอาเงินมาส่งแม่เลื่อน นายเงิน ๑๕ ตำลึง ต้นเงินยังคงค้างอยู่ในสารกรมธรรม์เป็นเงิน ๑๐ ตำลึง จึงให้สลักหลังสารกรมธรรม์ไว้เป็นสำคัญ"
การที่ขุนนางที่ยอมขายตัวเองเป็นทาสนายเงิน ทั้งหลวงภักดีสงคราม และขุนอินทร์ แสดงให้เห็นว่าขุนนางจำนวนหนึ่งที่ยากจนเพราะถูกออกจากราชการ หรือถูกลงโทษ และมีความประพฤติเสื่อมเสีย มีหนี้สินมากมายถึงขั้นขายตัวเป็นทาส และไม่ได้มีค่าตัวมากกว่าไพร่เลว นั่นคือ หลวงภักดีสงครามกับภรรยาขายตัวเองเป็นเงิน ๒ ชั่ง ๑๔ ตำลึง ส่วนขุนอินทร์ (คนเดียว) ขายตัวเองเป็นเงิน ๑ ชั่ง ๕ ตำลึง ซึ่งเป็นราคาที่ขายตัวเองเป็นทาสกันในสมัยนั้น
๑.๔ กรณีชาวจีนขายตัวเองเป็นทาส
จากการศึกษาเอกสารโบราณว่าด้วยสารกรมธรรม์ขายตัวเป็นทาสของเมืองนครราชสีมานั้น พบว่าชาวจีนที่เข้ามาทำมาหากินและมีเมียเป็นคนไทยจำนวนไม่น้อย ที่ยอมขายตัวเองเป็นทาสนายเงิน ซึ่งไม่พบหลักฐานว่าเหตุใดชาวจีนเหล่านั้นต้องประสบกับความยากจนถึงขั้นขายตัวเป็นทาสตามกฎหมายไทย ดังเช่น จีนปรั่งสามี (อายุ ๖๗ ปี) อีทองเมีย อายุ ๓๒ ปี ได้ทำสารกรมธรรม์ขายตัวเองทั้งสองคน เป็นเงิน ๑ ชั่ง ๑๗ ตำลึง ยอมเป็นทาสนายเงิน (แม่สายทอง) เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๓ (เอกสารโบราณลำดับที่ ๓ หน้า ๕) หรือกรณีจีนหมี แซ่จัง ผัว อายุ ๓๘ ปี อีขำ เมีย อายุ ๒๘ ปี ได้ทำสารกรมธรรม์ขายตัวเองทั้งสองคนเป็นเงิน ๓ ชั่ง ยอมเป็นทาสนายเงิน (พระยาศรีสิงหเทพ คุณหญิงมา) เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๖
ส่วนกรณีจีนห่อ นางมา พร้อมด้วยลูก จีนมั่น จีนเสือ อ้ายยง (หลาน) ได้ทำสารกรมธรรม์ขายตัวทั้งครอบครัว และบ้านตึก ๒ ห้องในเมืองร้อยเอ็ด เป็นเงิน ๓๓ ชั่ง ยอมเป็นทาสแม่อิน (นายเงิน) เมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๗ กรณีจีนห่อ นางมา นี้น่าจะเป็นคนที่มีฐานะมีทรัพย์สิน ภายหลังมีปัญหาทางด้านการเงินถึงขั้นขายตัวพร้อมกับสมบัติ จากการศึกษาใบสัญญาสารกรมธรรม์นี้ มีการเขียนลงลายมือเป็นอักษรจีน น่าจะเชื่อได้ว่าจีนห่อเป็นคนมีความรู้ (อ่านเขียนอักษรจีนได้) แต่ไม่ทราบเหตุผลว่าทำไมจึงตกยากเข็ญใจถึงขั้นต้องขายตัวเป็นทาสนายเงินทั้งครอบครัวและบ้านเรือนเป็นเงินถึง ๓๓ ชั่ง (๒,๖๔๐)
จากการศึกษาสารกรมธรรม์ฉบับนี้ พบว่าผู้ออกหนังสือสารกรมธรรม์ คือ พระพิพิธภักดี (ข้าราชการเมืองนครราชสีมา) ส่วนแม่อิน นายเงินน่าจะมีภูมิลำเนาอยู่ที่เมืองนครราชสีมา
๑.๕ กรณีทาสเพิ่มค่าตัวโดยขายตัวเป็นทาสกับนายเงินใหม่
ในการศึกษาเอกสารสารกรมธรรม์ ลำดับที่ ๙๓, ๙๔ มีเอกสาร ๔ ฉบับด้วยกัน (ไม่นับรวมสลักข้อความด้านหลังอีก ๒ ฉบับ) ซึ่งเป็นหนังสือสารกรมธรรม์ขายตัวของจีนอิ่ม ผัว (นางฤทธิ์ เมีย เป็นผู้ขายผัวเป็นทาส และยังยอมบันทึกค้ำประกันจีนอิ่มด้วย) กับพระศักดาเรืองฤทธิ์ ปลัดเมืองตาก นางสวาทภรรยา เป็นเงิน ๑ ชั่ง ๑ ตำลึง เมื่อ จ.ศ. ๑๒๔๓ (พ.ศ. ๒๔๒๔) ครั้นต่อมา พ.ศ. ๒๔๒๕ พระศักดาเรืองฤทธิ์ ได้ขายจีนอิ่ม (ส่วนนางฤทธิ์ไม่ได้ขายตัวเป็นทาส) ต่อให้หลวงภักดีณรงค์ นางมาภรรยา เป็นเงิน ๑ ชั่ง ๑๐ ตำลึง โดยสลักหลังหนังสือสารกรมธรรม์ว่า อ้ายจีนอิ่มมารับเงินจากหลวงภักดีณรงค์ ๙ ตำลึง เมื่อวันเสาร์ เดือน ๘ ขึ้น ๗ ค่ำ จ.ศ. ๑๒๔๔ (พ.ศ. ๒๔๒๕)
ในการขายตัวเป็นทาสของจีนอิ่มครั้งหลังนี้ มีการบันทึกหลักฐานไว้ถึง ๔ ฉบับ คือ ๑. บันทึกปากคำของจีนอิ่ม พ.ศ. ๒๔๒๕ ๒. สารกรมธรรม์ขายตัวจีนอิ่มให้พระศักดาเรืองฤทธิ์ ๓. บันทึกปากคำรับประกันของนางฤทธิ์ภรรยาจีนอิ่ม ๔. สารกรมธรรม์ขายตัวจีนอิ่มให้หลวงภักดีณรงค์
๑. หนังสือบันทึกปากคำของจีนอิ่ม ในกรณีจีนอิ่มขายตัวเองให้กับหลวงภักดีณรงค์ (เมืองนครราชสีมา) มีการสอบสวนให้ปากคำของจีนอิ่ม และนางฤทธิ์ด้วย ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะว่าจีนอิ่ม ได้ขายตัวเป็นทาสของพระศักดาเรืองฤทธิ์ (ปลัดเมืองตาก และขอเปลี่ยนนายเงินใหม่) โดยขอขึ้นค่าตัวอีก ๙ ตำลึง (รวมเป็นเงินค่าตัว ๑ ชั่ง ๑๐ ตำลึง) อีกประการหนึ่ง การขายตัวเป็นทาสครั้งนี้เป็นกรณีพิเศษ เพราะจีนอิ่มขายตัวให้พระศักดาเรืองฤทธิ์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๔ นั้น ทำสารกรมธรรม์ที่เมืองกำแพงเพชร โดยมีหลวงต่างใจราชมหาดไทย เมืองกำแพงเพชร ออกหนังสือสารกรมธรรม์ให้ ภายหลังได้มาขอเงินค่าตัวจากหลวงภักดีณรงค์ เมืองนครราชสีมา จำนวน ๑ ชั่ง ๑๐ ตำลึง เพื่อจะนำเงินไปไถ่ตัวจากพระศักดาเรืองฤทธิ์นายเงินเก่า เป็นเงิน ๑ ชั่ง ๑ ตำลึง จึงต้องมีการสอบปากคำจีนอิ่มว่ามิได้เป็นคนหลวงหมู่ไพร่หลวงที่ต้องห้ามแต่อย่างใด โดยมีขุนศรีนคร นายอำเภอ (เมืองนครราชสีมา) เป็นผู้สอบปากคำ เมื่อวันพฤหัส เดือน ๘ แรม ๔ ค่ำ ปีมะเมีย พ.ศ. ๒๔๒๕ และประทับตรารูปมนุษย์ผมมวย มือถือหนังสือกฎหมาย (ตราประจำตัวของขุนศรีนคร) ในที่นี้อยากแสดงรายละเอียดบันทึกปากคำจีนอิ่ม ดังนี้
๐ วันประหัส เดือนแปด อุตราษาฒ (แปดหลัง) แรม ๔ ค่ำ จ.ศ. ๑๒๔๔ ปีมะเมียจัตวาศก (พ.ศ. ๒๔๒๕) ขุนศรีนครอำเภอ-เสมียนชุน ได้ถามปากคำนายวัต มาแทนหลวงภักดีณรงค์สามี (นาง) มาภรรยา-อ้ายจีนอิ่มผัว (ทาส) อีฤทธิ์เมีย ให้ถ้อยคำว่า อ้ายจีนอิ่มผัวอีฤทธิ์ เมียหาได้เป็นหนี้เป็นทาสของท่านผู้ใด แต่หาได้เป็นคนหลวงหมู่ไพร่หลวงที่ต้องห้ามไม่ เดิมข้าฯ อ้ายจีนอิ่มมาขายตัวเองอยู่กับท่านพระศักดาเรืองฤทธิ์ ปลัดเมืองตากสามี สวาทภรรยา แต่ต้นเป็นเงินตรา ๑ ชั่ง ๑ ตำลึง ข้าฯ อ้ายจีนอิ่มผัว อีฤทธิ์เมีย มาหาเงินท่านหลวงภักดีณรงค์สามี-มาภรรยา ไปวาง (ค่าตัว) ข้าฯ อ้ายจีนอิ่มผัว อีฤทธิ์เมีย ขึ้นเงินตราอีก ๙ ตำลึง กับท่านหลวงภักดีณรงค์สามี มาภรรยา รวมทั้งเงินขึ้น-เงินเดิมมาทำสารกรมธรรม์เปลี่ยนไป ข้าฯ อ้ายจีนอิ่มผัว อีฤทธิ์เมีย พร้อมใจกันมาขายตัวเองอยู่กับท่านหลวงภักดีณรงค์สามี-มาภรรยา แต่ต้นเป็นเงินตรา ๑ ชั่ง ๑๐ ตำลึง ข้าฯ อ้ายจีนอิ่มผัว อีฤทธิ์เมีย จ้าง ข้าฯ เสมียนชุนเขียนด้วยเส้นหมึกน้ำดำลงรายวัน เดือน ปี ศักราช ชื่อ เงิน ตำหนิ ไว้ถูกต้องตามหนังสือพิมพ์ฉบับนี้แล้ว ขุนศรีนคร อำเภอ ได้ประทับตรารูปมนุษย์ผมมวยถือหนังสือกฎหมายประจำศก ชื่อ เงิน ตำหนิ ให้ไว้เป็นสำคัญ :-
ส่วนหนังสือสารกรมธรรม์ขายตัวอ้ายจีนอิ่มกับหลวงภักดีณรงค์ เมืองนครราชสีมานั้น ทำเมื่อวันประหัส เดือนแปดหลัง ขึ้นสี่ค่ำ จ.ศ. ๑๒๔๔ ปีมะเมียจัตวาศก (๒๔๒๕) คือเดือนปีเดียวกับบันทึกปากคำของจีนอิ่ม และผู้เป็นเจ้าหน้าที่ทำสารกรมธรรม์ คือ ขุนศรีนคร-อำเภอ เพราะใช้ตราประทับรูปมนุษย์ผมมวยถือหนังสือกฎหมายเหมือนกัน สารกรมธรรม์ฉบับนี้ เป็นฉบับพิมพ์ดีดโบราณ มีช่องว่างเติมวัน เดือน ปี ชื่อบุคคล และเงินค่าตัว ส่วนตอนล่างสุดเป็นอักษรจีน ๒ ตัว และมีอักษรไทยเขียนกำกับว่า "อ้ายจีนอิ่มเขียนหนังสือจีนลงชื่อตัวเอง เขียนหนังสือจีนลงชื่อแทนเมีย"
กรณีที่จีนอิ่ม เขียนหนังสือจีนได้นั้น แสดงให้เห็นว่า จีนอิ่มเป็นบุคคลที่มีความรู้ เขียนหนังสือจีนได้ดี ส่วนนางฤทธิ์คงจะเป็นหญิงฉลาดเจ้าเล่ห์ เพราะโดยจารีตบ้านเมืองนั้น สามีจะเป็นผู้นำภรรยาไปขายเป็นทาส แต่ในกรณีนี้นางฤทธิ์คงเกลี้ยกล่อมจีนอิ่มซึ่งไม่รู้จารีตไทยดี จึงยอมให้เมียนำตัวไปขายเป็นทาส ฉะนั้นจึงพบว่าสารกรมธรรม์ฉบับนี้ จึงมีการบันทึกปากคำตัวทาส ดังกล่าวข้างต้น และยังพบว่า นางฤทธิ์ (ภรรยา) ยังต้องทำหนังสือรับประกันจีนอิ่ม (ผัว) ตัวทาส ด้วยว่า "ถ้าอ้ายจีนอิ่ม ตัวทาสหลบหนีไปเกี่ยวข้องต้องคดีอยู่ใน ณ โรงศาล กรมใดๆ เจ้านายขัดไว้และว่าอ้ายจีนอิ่มเป็นคนหลวงหรือคนในบังคับต่างประเทศที่ต้องห้ามต่างๆ ท่าน (นายเงิน) เอาตัวอ้ายจีนอิ่มตัวทาสมิได้ ก็ให้ท่านเกาะ (จับกุม) เอาตัวข้าพเจ้าผู้นายประกัน มาเร่งรัดจำจองเอากว่าจะได้ตัวอ้ายจีนอิ่มนั้นเถิด ถ้าท่านไปเกาะตัวข้าผู้นายประกันมิพบ พบแต่บุตรแลผู้คนซึ่งอยู่เรือนข้าพเจ้า ก็ให้ท่านเกาะเอามาคนหนึ่งสองคน เป็นจำนำแทนตัวข้าพเจ้าๆ เขียนหนังสือไม่ได้ ข้าฯ วานขุนไชยเสนาเขียนแทนข้าพเจ้า (ชื่ออำแดงฤทธิ์) ไว้เป็นพยาน" (มีตรารูปเทวดา ถือดอกบัว ประทับ ๓ แห่ง)
๒.
การไถ่ตัวทาส
จากการศึกษาเอกสารสารกรมธรรม์ที่พบ ณ เมืองนครราชสีมานั้น ทำให้เข้าใจขั้นตอนการขายตัวเองเป็นทาสนายเงิน และการไถ่ถอนทาสอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะเอกสารสารกรมธรรม์นั้น มีการบันทึกข้อความด้านหลังเพิ่มเติม เช่น เมื่อพ่อแม่ ญาติพี่น้อง นำเงินมาส่งค่าตัวทาสบางส่วนหรือทั้งหมด ก็จะบันทึกจำนวนเงิน วันเดือนปีที่รับเงิน พร้อมทั้งมีพยานลงลายมือเป็นหลักฐาน
การไถ่ตัวทาส หรือการส่งเงินค่าตัวทาสบางส่วนแก่นายเงินดังกล่าวนั้น พบจำนวนน้อย แสดงให้เห็นว่า คนที่ขายตนเองเป็นทาสแก่นายเงินแล้ว มักจะไม่มีโอกาสที่จะมีเงินทองมาไถ่ตนเอง ญาติพี่น้องก็คงอยู่ในฐานะยากจนเช่นเดียวกัน จากการศึกษาการบันทึกด้านหลังหนังสือสารกรมธรรม์ พบว่ามีการขายที่ดิน นำเงินมาไถ่ตัวทาสบ้าง ดังเช่น
๑. หนังสือสารกรมธรรม์ ลำดับที่ ๖๕ หน้า ๙๐ ลงศักราช ๑๒๓๓ ปีมะแมตรีนิศก (พ.ศ. ๒๔๑๔) "จีนจุด (ผัว) อีสาวพา (เมีย) อ้ายพูน (ลูก) ขายตัวพร้อมกับที่บ้านสวน ตึกหลังหนึ่งสามห้อง ที่เมืองศรีภูมิ แก่แม่ทองอิน เป็นเงิน ๓๒ ชั่ง" สารกรมธรรม์ฉบับนี้ลงชื่อพระพิพิธภักดี ประทับตราหนุมานทรงเครื่อง
ด้านหลังสารกรมธรรม์มีบันทึก (ในสารกรมธรรม์ เรียกว่าสักหลังบ้าง สลักหลังบ้าง) ว่า "วันอังคาร เดือน ๔ ขึ้น ๑๒ ค่ำ จ.ศ. ๑๒๔๗ ปีระกาสัปตศก (พ.ศ. ๒๔๒๘) จีนพูนได้เอาเงินค่าตัว ๙ ชั่ง ๑๐ ตำลึงเป็นแล้วแก่กัน ข้าฯ วานหลวงวิชิตมาสักหลังไว้ให้แต่ท่านเป็นสำคัญ :-"
ตามบันทึกด้านหลังสารกรมธรรม์ฉบับนี้ แสดงให้เห็นการไถ่ตัวทาส (จีนจุด อีสาวพา อ้ายพูนลูก) เป็นเงิน ๙ ชั่ง ๑๐ ตำลึง ส่วนที่บ้านสวน ตึกสามห้องนั้น (เป็นเงิน ๒๒ ชั่ง ๑๐ ตำลึง) ยกให้นายเงินไป แต่กระนั้นก็ตาม กว่าจะมีเงิน ๙ ชั่ง ๑๐ ตำลึงมาไถ่ตัวทาสทั้งสามคน ต้องใช้เวลาถึง ๑๔ ปี ส่วนในกรณีที่จีนพูน (ลูก) ซึ่งถูกระบุว่าขายตัวเป็นทาสด้วย เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๔ นั้น สามารถจะไถ่ตัวออกไปก่อนได้ หรือจีนพูนอาจจะผูกดอกเบี้ยออกไปทำงานหาเงินมาไถ่พ่อแม่ไปก่อนได้ ดังที่พบสารกรมธรรม์ลำดับที่ ๖๐ หน้า ๘๕ ที่อ้ายเพชร (ผัว) นางแจ่ม (เมีย) อ้ายรุ่ง อ้ายขำลูก ขายตัวกับหลวงภิรมย์ เป็นเงิน ๓ ชั่ง ๑๙ ตำลึง ๓ บาท เมื่อ จ.ศ. ๑๒๒๙ ปีเถาะนพศก (พ.ศ. ๒๔๑๐) และภายหลังต่อมาอีก ๑๑ ปี คือ ปีขาลสัมฤทธิศก (ตรงกับ พ.ศ. ๒๔๒๑) อ้ายรุ่งนำเงินค่าตัวมาไถ่ ๑ ชั่ง เพื่อออกจากสารกรมธรรม์ฉบับนี้ ดังมีบันทึกด้านหลังว่า "วันอังคาร เดือน ๑๒ ขึ้นสี่ค่ำ ปีขาลสัมฤทธิศก อ้ายรุ่งได้รับเงิน ออกไปจากกรม (ธรรม) ใบนี้ เงินชั่ง (หนึ่ง) ยังค้างอยู่เงิน ๒ ชั่ง ๑๙ ตำลึง ๓ บาท เอามาแจ้งจึงมีตรา (รูปแพะบนแท่นบัลลังก์) ประทับเรือนเงินไว้เป็นสำคัญ" ลักษณะดังกล่าวแสดงว่าอ้ายรุ่งได้ผูกดอกเบี้ย (คือเสียค่าดอกเบี้ยแทนการเป็นทาสรับใช้) ออกไปประกอบอาชีพทำมาหากินจนได้เงิน ๘๐ บาท (๑ ชั่ง) จึงนำเงินมาไถ่ตัวเองออกจากสารกรมธรรม์ ซึ่งต้องแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ออกสารกรมธรรม์จึงประทับตราไว้เป็นหลักฐาน
๒. ในกรณีไถ่ตัวทาสบางคนออกจากสารกรมธรรม์ บางสารกรมธรรม์ได้บันทึกหลังสารกรมธรรม์ว่ามีผู้อื่นมาไถ่ตัวทาสบางคนออกไป เช่น สารกรมธรรม์ลำดับที่ ๖๙ หน้า ๙๔ ใจความว่า อ้ายเอี่ยม (พ่อ) อ้ายนาก อีแก้ว (ลูก) ได้ขายตัวเป็นทาสแม่ทองอิน เมื่อวันพุธ เดือน ๗ แรม ๕ ค่ำ จ.ศ. ๑๒๓๓ ปีมะแมตรีนิศก (พ.ศ. ๒๔๑๔) เป็นเงิน ๔ ชั่ง ๑๐ ตำลึง ต่อมาอีก ๔ เดือน ขุนรัตนาได้นำเงินมาไถ่ตัวอีแก้วออกจากสารกรมธรรม์เพียงคนเดียว ดังที่บันทึกหลังสารกรมธรรม์ว่า "วันพุธ เดือน ๑๑ ขึ้น ๑๐ ค่ำ ข้าฯ ขุนรัตนา ได้เอาเงินค่าตัวอีแก้วมาวางกับท่านแม่มา (แทนนายเงิน) เป็นเงินตรา (๒ ชั่ง) ๒ บาทส่วนตัวอีแก้วเป็นแล้วแก่กัน ข้าฯ ได้สลักสารกรมธรรม์ไว้แก่ท่านเป็นสำคัญ"
ในกรณีคนอื่นมาไถ่ตัวทาสนั้น มักจะไถ่ตัวทาสสาวเป็นส่วนใหญ่ เพราะในการบันทึกไว้หลังสารกรมธรรม์นั้น มิได้บอกว่าเป็นเครือญาติกับทาสสาวแต่อย่างใด เช่นกรณีขุนรัตนามาไถ่อีแก้วออกสารกรมธรรม์ข้างต้น แต่กระนั้นก็ตามส่วนใหญ่พบว่าทาสที่จะเป็นอิสระจากสารกรมธรรม์นั้น มักจะเป็นระยะเวลานาน ๑๐-๓๐ ปี นั่นคือทาสอายุมากแล้ว คงมีบุตรหลานที่สามารถรวบรวมเงินทองมาไถ่ตัวได้ เช่น
กรณีนางหนู (แม่) อีทรัพย์ อีแปะ อ้ายโมก (ลูก) ขายตัวเป็นทาสแม่อ้น เป็นเงิน ๕ ชั่ง ๖ ตำลึง (ทาส ๔ คน) เมื่อวันพุธ เดือน ๗ แรม ๓ ค่ำ จ.ศ. ๑๒๓๓ ปีมะแมตรีนิศก (พ.ศ. ๒๔๑๔) แต่กว่าจะไถ่ตัวกันได้ก็ล่วงเลยมาถึง พ.ศ. ๒๔๔๑ เป็นเวลานาน ๒๗ ปี ดังพบบันทึกหลังสารกรมธรรม์ฉบับนี้ว่า
"๐ วันที่ ๑ มิถุนายน ร.ศ. ๑๑๗ นายปอดได้นำเอาเงิน ๑ ชั่ง ๑๒ ตำลึง ส่วนค่าตัวอีแปะ มาส่งให้นายเงินเสร็จแล้ว จึงวาน (ผู้) ใหญ่บ้านสลักหลังสารกรมธรรม์ไว้เป็นสำคัญ วันที่ ๑ มิถุนายน ร.ศ. ๑๑๗ นายโปนได้เอาเงินค่าตัวอีทรัพย์มาให้เงิน ๑ ชั่ง ๑๐ ตำลึง ค่าลูก ๓ ตำลึง ค่ากระทะแตก ๒ ตำลึง รวมเงิน ๑ ชั่ง ๑๕ ตำลึง เสร็จแล้วไปส่วนค่าตัวอีทรัพย์สลักหลังไว้เป็นสำคัญ"
จะเห็นได้ว่าการไถ่ตัวทาสให้เป็นอิสระจากสารกรมธรรม์นั้นต้องใช้ระยะเวลายาวนานกว่าจะเก็บเงินทองได้พอค่าตัวทาสแต่ละคน แม้ว่าทาสทั้งครอบครัวจะอยู่ในหนังสือสารกรมธรรม์เดียวกัน แต่สามารถจะไถ่ทาสให้เป็นอิสระตามรายบุคคลได้ แต่กระนั้นก็ตามหนังสือสารกรมธรรม์ที่พบอยู่ที่เมืองนครราชสีมาชุดนี้ ก็มีจำนวนน้อยที่มีการบันทึกด้านหลังว่าทาส หรือญาติกาของทาสได้นำเงินค่าตัวทาสมาส่งนายเงิน หรือไถ่ตัวทาสให้เป็นอิสระ แสดงให้เห็นว่าบุคคลที่ขายตัวเป็นทาสนายเงินแล้ว
มักจะต้องรับสภาพเป็นทาสไปจนตลอดชีวิต
ธวัช ปุณโณทก
บรรณานุกรม
๑. กรมศิลปากร. กฎหมายตราสามดวง. กรุงเทพฯ : อุดมศึกษา (แผนกการพิมพ์), ๒๕๑๒ (พิมพ์ครั้งที่ ๗)
๒. สำนักศิลปวัฒนธรรมสถาบันราชภัฏนครราชสีมา. เอกสารโบราณ เล่ม ๑ สารกรมธรรม์. เอกสารสำเนา, พ.ศ. ๒๕๔๕.
ที่มา : ศิลปวัฒนธรรม มกราคม พ.ศ. 2547 ปีที่ 25 ฉบับที่ 03
ผู้จัดเก็บบทความ
เจ้าน้อย ณ สยาม
ที่
12:07 ก่อนเที่ยง
1 ความคิดเห็น