วันจันทร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2550

ชนวน: ภาพละครแขวนคอที่นำไปสู่กรณี 6 ตุลา


เมื่อวันที่ 6 ตุลาคมที่ผ่านมา (2543) ในระหว่างงานรำลึก 6 ตุลาที่ธรรมศาสตร์ ใจ อึ๊งภากรณ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกใบปลิวโจมตีหนังสือพิมพ์ บางกอกโพสต์ โดยมีข้อความตอนหนึ่งว่า

ในวันที่ 5 ตุลาคม 2519 หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ และหนังสือพิมพ์ ดาวสยาม ได้ตีพิมพ์รูปภาพของการเล่นละครที่ธรรมศาสตร์ โดยเสนอข่าวในทำนองว่านักศึกษาจงใจดูหมิ่นเจ้าฟ้าชาย หลายคน เช่น อดีตนายกรัฐมนตรีเสนีย์ และ ดร. ป๋วย มีความเห็นว่ามีการแต่งภาพและปั้นน้ำเป็นตัว ในเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เป็นความจริงคือนักศึกษาไม่ได้เล่นละครดูหมิ่นแต่อย่างใด ไม่ว่าจะมีการแต่งภาพหรือไม่ และที่สำคัญคือการประโคมข่าวดังกล่าวของสื่อมวลชนบางกลุ่มนำไปสู่เหตุการณ์นองเลือดและการทำทารุณกรรมในเช้าวันที่ 6 ตุลาคม หนังสือพิมพ์ บางกอกโพสต์ ไม่เคยขอโทษ เรื่องนี้แต่อย่างใดต่อผู้ถูกกระทำในวันนั้น.... ฝ่ายบริหารของหนังสือพิมพ์มิได้พัฒนาตนเองจาก 24 ปีก่อนแต่อย่างใด

ในคำสัมภาษณ์ของใจต่อสำนักข่าวไทยและในแถลงข่าวของคณะกรรมการรับข้อมูลและสืบพยานเหตุการณ์ 6 ตุลาที่เขาเป็นเลขานุการ ที่ออกเผยแพร่ในวันนั้น ก็มีข้อความพาดพิงถึง บางกอกโพสต์ ในลักษณะเดียวกัน

วันต่อมา บางกอกโพสต์ ได้ออกแถลงการณ์ในหน้าหนึ่ง ยืนยันอย่างหนักแน่นว่าไม่ได้มีส่วนร่วมในแผนการยั่วยุให้เกิดกรณีนองเลือด 6 ตุลา และโจมตีใจว่ากล่าวหา โพสต์ อย่างไม่มีหลักฐาน อันที่จริง สี่ปีก่อนหน้านี้ ในวาระครบรอบ 20 ปีของเหตุการณ์ 6 ตุลา โพสต์ ได้ออกแถลงการณ์หน้าหนึ่งชี้แจงความเป็นมาของภาพที่ตีพิมพ์ในฉบับวันที่ 5 ตุลาคม 2519 อย่างละเอียด แต่คำชี้แจงไม่เป็นผล เป็นที่ทราบกันดีว่า ความเชื่อที่ใจแสดงออกไม่ใช่ของใจคนเดียว

เห็นได้ชัดว่า เรื่องนี้ไม่ใช่ความขัดแย้งส่วนตัวระหว่างใจ อึ๊งภากรณ์กับ บางกอกโพสต์ แต่เกี่ยวพันถึงความจริงทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ ผมเห็นว่าหลังจาก 24 ปี น่าจะถึงเวลาที่เรื่องนี้มีข้อยุติ ยิ่งกว่านั้น ผมยังเชื่อว่าแม้หลักฐานชิ้นสำคัญบางอันจะยังขาดหายไปดังจะได้อธิบายต่อไป เราก็สามารถรู้แล้วว่าความจริงขั้นพื้นฐานของเรื่องนี้คืออะไร

สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการอ่านบทความนี้ต่อหรือต้องการจะทราบข้อสรุปทันที (ผมขอเตือนว่ารายละเอียดของเรื่องที่จะเล่าข้างล่างค่อนข้างจะซับซ้อน) นี่คือสิ่งที่ผมพบจากการตรวจสอบหลักฐานที่เกี่ยวข้อง:


(1) บางกอกโพสต์ ไม่เคย "เสนอข่าวในทำนองว่านักศึกษาจงใจดูหมิ่นเจ้าฟ้าชาย" ด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีความจำเป็นต้อง "ขอโทษ" ในเรื่องนี้แต่อย่างใด

(2) แม้ว่าภาพถ่ายละครที่ตีพิมพ์ใน ฉบับวันที่ 5 ตุลาคม 2519 จะถูกกลุ่มพลังฝ่ายขวายกขึ้นมาอ้างและแจ้งความต่อตำรวจ กล่าวหาว่านักศึกษาหมิ่นองค์รัชทายาท แต่ภาพดังกล่าวไม่ใช่ภาพที่ถูกนำมา รณรงค์โจมตีนักศึกษาและระดมกำลังฝ่ายขวาในบ่ายวันนั้น อย่างน้อยก็ไม่ใช่ภาพที่ถูกใช้เป็น หลัก ภาพที่ทำหน้าที่นั้นคือภาพที่ตีพิมพ์ใน ดาวสยาม ซึ่งเป็นคนละภาพกับที่ตีพิมพ์ใน โพสต์ และ ดาวสยาม ก็เป็นเพียงฉบับเดียว (โดยการร่วมมือของ วิทยุยานเกราะ) ที่ "เสนอข่าวในทำนองว่านักศึกษาจงใจดูหมิ่นเจ้าฟ้าชาย" คือสร้างสถานการณ์ในบ่ายวันที่ 5 อันนำไปสู่การนองเลือดในวันรุ่งขึ้น

(3) มีความเป็นไปได้ว่า กลุ่มฝ่ายขวาจะ "ได้ไอเดีย" สร้างสถานการณ์ โจมตีนักศึกษาครั้งแรกจากการเห็นภาพที่ตีพิมพ์ใน บางกอกโพสต์ แต่ความเป็นไปได้นี้ (และข้อเท็จจริงในข้อ 2 ที่ว่า โพสต์ ถูกพวกเขานำมาอ้าง) ไม่ควร ถูกนำมาใช้โจมตีว่าเป็นความผิดของ โพสต์ เพราะถ้าเช่นนั้น ผู้ที่เล่นละครก็สามารถถูกกล่าวหาว่ามีความผิดได้เพราะเล่นละครที่ทำให้ฝ่ายขวา "ได้ไอเดีย" ขึ้น ความจริงคือ ทั้งผู้เล่นละครและ โพสต์ เพียงแต่ทำหน้าที่ของตนไปตามปกติ คือสะท้อนเหตุการณ์ออกมาเป็นละครและเสนอภาพข่าวที่น่าสนใจ

(4) ในความเห็นของผม ภาพที่ตีพิมพ์ใน บางกอกโพสต์ เป็นภาพจริง ไม่ได้รับการแต่ง ยิ่งกว่านั้น แม้แต่ภาพใน ดาวสยาม ก็เป็นภาพที่ไม่ได้รับการแต่ง การสร้างสถานการณ์ในบ่ายวันที่ 5 ไม่จำเป็นต้องอาศัยความ "เหมือน" หรือ "ไม่เหมือน" ของผู้แสดงละครในภาพ

ละครกลางแจ้งที่ลานโพธิ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์แสดงระหว่างพักเที่ยงวันที่ 4 ตุลาคม 2519 จากเวลานั้นถึงเช้าวันที่ 6 ตุลา มีหนังสือพิมพ์ภาษาไทยออกวางจำหน่าย 3 ครั้ง (หรือ 3 "กรอบ" ตามที่เรียกกันในวงการ) คือ บ่ายวันที่ 4 (แต่พิมพ์หัวเป็นวันที่ 5), เช้าวันที่ 5 และบ่ายวันที่ 5 (แต่พิมพ์หัวเป็นวันที่ 6) ถ้านับรวมฉบับที่ออกเช้าวันที่ 6 ด้วยก็จะเป็น 4 ฉบับ

ปกติ ดาวสยาม จะต่างจากหนังสือพิมพ์ภาษาไทยฉบับอื่น (ไทยรัฐ, เดลินิวส์) แต่เหมือนกับ สยามรัฐ คือออกเฉพาะตอนบ่ายของแต่ละวัน (และพิมพ์หัววันที่วันนั้นเหมือน สยามรัฐ) แต่ในช่วงเหตุการณ์ 6 ตุลานั้น ดาวสยาม ออกวันละ 2 กรอบ นี่เป็นข้อเท็จจริงสำคัญที่คนรุ่นผมหลายคนไม่เห็นด้วย แต่ผมสามารถพิสูจน์ได้ อย่างไรก็ตามจะเป็นเรื่องยาวเกินไปที่จะอธิบายข้อพิสูจน์ในที่นี้

จากการแสดงละครถึงการนองเลือด ดาวสยาม ออกวางตลาด 3 ครั้ง คือ บ่ายวันที่ 4 (ลงหัววันที่ 5), เช้าวันที่ 5 และบ่ายวันที่ 5 (ลงหัววันที่ 6) ถ้านับเช้าวันที่ 6 ด้วย ก็จะเป็น 4 ฉบับด้วยกัน

ปัญหาแรกที่เกิดขึ้นสำหรับผู้ที่ต้องการสืบค้นความจริงกรณี 6 ตุลาในปัจจุบันคือ ดาวสยาม ที่มีเก็บอยู่ในหอสมุดแห่งชาติขณะนี้และที่ทุกฝ่ายมีอยู่ในมือ (เท่าที่ผมทราบ) เป็น ดาวสยาม ฉบับที่ออกในตอนเช้าทั้งวันที่ 5 และ 6 ยกตัวอย่างเช่น ฉบับวันที่ 6 ตุลาที่มีการถ่ายภาพมาแสดงในนิทรรศการ 6 ตุลา เมื่อสี่ปีก่อน ก็เป็นฉบับที่ออกในเช้าวันนั้นจริงๆ ไม่ใช่ที่ออกในตอนบ่ายวันที่ 5 เพราะฉะนั้น รูปถ่ายละครแขวนคอที่ปรากฏ จึงไม่ใช่รูปที่ใช้ในการปลุกระดมมวลชนฝ่ายขวาในบ่ายและค่ำวันที่ 5

ที่สำคัญ มีหลักฐานว่า ดาวสยาม ตีพิมพ์ภาพที่ถ่ายจากการแสดงละครครั้งแรกตั้งแต่ฉบับที่ออกในบ่ายวันที่ 4 (ลงหัววันที่ 5) แต่ ดาวสยาม กรอบนี้ปัจจุบันหาไม่ได้แล้ว ภาพนี้จะมีลักษณะอย่างไรไม่สามารถบอกได้ แต่จากคำของ ดาวสยาม เองที่พูดถึงเมื่อเกิดการกล่าวหาว่านักศึกษาแสดงละครหมิ่นองค์รัชทายาทแล้ว "ภาพนั้นเล็กและดูไม่ชัดเจน" สรุปแล้วในช่วงบ่ายและเย็นวันที่ 4 ดาวสยาม และกลุ่มฝ่ายขวายังไม่รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติเกี่ยวกับละครหรือภาพจากละครที่ลงใน ดาวสยาม ครั้งแรกเอง
คงเพราะเหตุนี้ หนังสือพิมพ์ ดาวสยาม กรอบต่อมาคือที่ออกในเช้าวันที่ 5 จึงไม่มีภาพเกี่ยวกับการแสดงละครเลย ในทางกลับกัน ในเช้าวันนั้น หนังสือพิมพ์ 3 ฉบับที่พิมพ์ภาพที่ถ่ายจากการแสดงละครไม่ใช่หนังสือพิมพ์ฝ่ายขวา คือ ประชาธิปไตย, เนชั่น และ บางกอกโพสต์ (มีหลักฐานว่า อธิปัตย์ของศูนย์นิสิตฯ เองก็พิมพ์ภาพจากละคร แต่ผมหาดูไม่ได้ในขณะนี้) แต่ โพสต์ เป็นฉบับเดียวที่เห็นหน้าด้านตรงของผู้แสดงที่ถูกแขวน (หมายถึงอภินันท์ บัวหภักดี ประชาธิปไตย เป็นภาพด้านตรงของวิโรจน์ ตั้งวาณิชย์ ผู้แสดงอีกคนหนึ่ง ทั้งยังเป็นภาพเล็กและมัวมาก ส่วน เนชั่น เป็นภาพด้านข้างของอภินันท์) คำบรรยายใต้ภาพของ โพสต์ บอกอย่างชัดเจนว่าเป็นการแสดง "ฉาก...การฆ่าแขวนคออย่างทารุณของแอ๊คติวิสต์สองคนหลังการกลับมาของอดีตผู้เผด็จการ ถนอม กิตติขจร"

ผมเห็นว่าข้อเท็จจริงนี้เป็นจุดสำคัญที่ยืนยันว่าการพิมพ์ภาพละครในเช้าวันที่ 5 ของ บางกอกโพสต์ ไม่เกี่ยวกับพวกฝ่ายขวา เพราะถ้าพวกฝ่ายขวาต้องการเผยแพร่ภาพโดยมีแผนล่วงหน้าที่จะจุดชนวนระดมคน พวกเขาน่าจะเอาไปพิมพ์ใน ดาวสยาม ในเช้าวันนั้นมากกว่า

ตามแถลงการณ์เมื่อสี่ปีก่อนของบางกอกโพสต์ ตั้งแต่เช้าวันนั้น มีผู้โทรศัพท์มาที่สำนักงานข่มขู่กล่าวหาที่ตีพิมพ์ภาพนั้น แต่ตามบันทึกของพลเอก วัลลภ โรจนวิสุทธิ์ ในหนังสือ ยังเตอร์กของไทย (2521) "กลุ่มผู้รักชาติและชมรมแม่บ้านจำนวนประมาณ 300 คน" ที่ชุมนุมกันหน้าทำเนียบรัฐบาลตั้งแต่ เช้าวันนั้นเพื่อเรียกร้องให้เสนีย์ รับสมัคร สุนทรเวช และสมบุญ ศิริธร กลับเป็นรัฐมนตรี เมื่อใกล้จะสลายตัวตอนบ่ายสามโมง "ก็เกิดเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงขึ้นมาและมีผลสะท้อนร้ายแรงยิ่งนัก กล่าวคือผู้ที่มาชุมนุมอยู่นั้นได้หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ประจำวันที่ 5 ตุลาคม 2519 มาสามสี่ฉบับ มีภาพ ผู้ถูกแขวนคอเหมือนสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช...."

ผมคิดว่าปัญหาเรื่องเวลาว่าฝ่ายขวา "เกิดไอเดีย" เกี่ยวกับรูปใน บางกอกโพสต์ เมื่อไร คงยากจะยืนยันลงไปให้แน่นอนแล้วในปัจจุบัน แต่คิดว่าน่าจะเป็นประมาณบ่ายต้นๆ เมื่อนางนงเยาว์ สุวรรณสมบูรณ์ สมาชิกชมรม แม่บ้าน เข้าแจ้งความที่สน.ชนะสงครามในค่ำนั้น ว่าศูนย์นิสิตฯ เล่นละครหมิ่น องค์รัชทายาทก็เล่าว่า "14.00 น. ตนได้เห็นภาพในหน้า นสพ. บางกอกโพสต์...." หนังสือพิมพ์ทุกฉบับที่รายงานข่าวการชุมนุมของพวกนี้จนถึงประมาณเที่ยงวันหรือหลังเที่ยงวันเล็กน้อย ก็ยังไม่มีการกล่าวถึงเรื่องภาพการแสดงละคร

แต่หลังจากนั้น เรื่องนี้ได้แพร่กระจายไปในหมู่กลุ่มพลังฝ่ายขวาในขณะนั้นอย่างรวดเร็ว ดาวสยาม เองได้รายงานเรื่องนี้ไว้อย่างน่าสนใจดังนี้

เมื่อวันที่ 5 เดือนนี้เวลา 17.00 น. ได้มีบุคคลหลายอาชีพได้นัดประชุมโดย ยกรูปภาพในหน้าของ นสพ. ดาวสยาม ฉบับวันที่ 5 ต.ค. (กรอบแรก) [คือฉบับที่ออกในบ่ายวันที่ 4 - สมศักดิ์] และได้นำมาวิเคราะห์ถึงภาพและการกระทำของศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาที่เล่นละครการเมืองในบริเวณลานโพธิ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยได้วิเคราะห์ว่ารูปภาพนั้นเหมือนสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช แต่เนื่องจากภาพนั้นเล็กและดูไม่ชัดเจน จึงได้ติดต่อขอมาที่ นสพ.ดาวสยาม และทาง นสพ. ดาวสยาม ก็ได้ให้ความร่วมมือ โดยขยายภาพให้ชัดเจนและไม่ได้มีการตบแต่งภาพแต่อย่างไร ส่งไปให้ยังตัวแทนของบุคคลกลุ่มนี้ที่มาขอรับ ที่ประชุมของบุคคลกลุ่มนี้ ได้มีมติเห็นพ้องต้องกันเป็นเอกฉันท์ว่าภาพนี้เป็นภาพที่ส่อเจตนาดูหมิ่นราชวงศ์จักรี....

ที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือ ไทยรัฐ ซึ่งกล่าวว่า "ทางด้านกลุ่มต่อต้านนักศึกษาเปิดประชุมกันเครียดตั้งแต่บ่ายวันที่ 5 นี้ ณ ที่แห่งหนึ่ง..." แล้วรายงานเรื่องที่พวกนี้ประชุมกันราวกับมีนักข่าวเข้าร่วมฟังอยู่ด้วย

ผมเข้าใจว่า ในช่วงบ่ายวันที่ 5 นั้นเอง ดาวสยาม กรอบบ่าย (ลงวันที่ 6 ตุลาคม) ได้ตีพิมพ์ภาพจากการแสดงละครอีกครั้ง และภาพนี้แหละที่ถูกใช้ในการระดมพลของฝ่ายขวาตลอดเย็นและค่ำวันนั้น น่าเสียดายที่ ดาวสยามกรอบนี้ปัจจุบันหาไม่ได้เช่นกัน (ดังที่กล่าวในตอนต้นว่าฉบับวันที่ 6 ที่ทุกคนเห็นจากหอสมุดแห่งชาติในขณะนี้เป็นคนละกรอบกัน)

ผมเชื่อว่าตัวเองเคยเห็นภาพละครแขวนคอใน ดาวสยาม ที่ถูกใช้รณรงค์กล่าวหานักศึกษาในบ่ายวันที่ 5 นั้น ในความจำของผม เป็นภาพแบบ "โคลสอัพ" ขนาดใหญ่ เห็นตัวละครที่ถูกแขวนเพียงครึ่งตัว เป็นไปได้ว่านี่คือ ภาพที่ ดาวสยาม เองกล่าวถึงว่าได้ "ขยายภาพให้ชัดเจนและ...ส่งไปให้ยังตัวแทน" ของกลุ่มฝ่ายขวาในเย็นนั้น (และอาจจะมาจากเป็นภาพที่ทั้ง ดาวสยาม และ บ้านเมือง พิมพ์ในกรอบเช้าวันที่ 6 แต่อันหลังซึ่งไม่มีผลต่อการรณรงค์แล้ว จะเป็นระยะไกลขึ้น แสดงตัวผู้เล่นเกือบทั้งตัว) ที่แน่ๆคือเป็นคนละภาพกับที่พิมพ์ใน บางกอกโพสต์

ทำไมผมจึงพูดในตอนต้นว่าแม้แต่ภาพใน ดาวสยาม ตอนบ่ายวันที่ 5 นี้ก็ไม่น่าจะเป็นภาพแต่ง? ผมไม่ได้ต้องการเสนอว่าเพราะหน้าคนเล่นละคร "เหมือน" อยู่แล้วจึงไม่ต้องแต่งภาพ แต่ต้องการจะเสนอว่า ความรู้สึกที่ว่า "เหมือน" นั้นที่สำคัญไม่ใช่มาจากหน้าคนเล่นละครแต่มาจากความรับรู้ (perception) ที่แพร่หลายไม่เพียงแต่ในหมู่ฝ่ายขวา แต่ในหมู่คนจำนวนไม่น้อยในขณะนั้นว่า ขบวนการนักศึกษา "แอนตี้สถาบัน" ด้วยเหตุนี้ ขอเพียงแต่ให้องค์ประกอบบางอย่างของภาพมีส่วนคล้ายคลึงเท่านั้น ก็ทำให้คิดไปในทางนั้นได้ทันที ในแง่นี้ เสื้อชุดทหารที่ตัวละครใส่อาจจะมีผลต่อความรู้สึกของคนดูภาพ มากกว่าใบหน้าตัวละครเสียอีก

เมื่อถึงเช้าวันที่ 6 ตุลาคม หนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับก็ลงข่าวเรื่องนักศึกษาถูกกล่าวหาว่าเล่นละครหมิ่นองค์รัชทายาทแล้วราวกับว่านักศึกษาผิดจริงๆ และที่เหมือนกับจะเป็นการเยาะเย้ย (irony) ของประวัติศาสตร์ก็คือ บางกอกโพสต์ อาจเป็นฉบับที่ลงข่าวเข้าข้างนักศึกษาที่สุดในสถานการณ์เช่นนั้น แม้แต่ ไทยรัฐ หรือ ประชาชาติ ที่เคยเข้าข้างนักศึกษามาตลอดก็พาดหัวว่า "จับนักศึกษาหมิ่นฟ้าชาย" และ "สั่งสอบแขวนคอลานโพธิ์ ระบุภาพหมิ่นองค์รัชทายาท" ตามลำดับ โพสต์ เกือบเป็นฉบับเดียวที่ไม่ยอมระบุตรงๆเช่นนั้น แต่กลับพาดหัวเพียงว่า "สั่งสอบละครแขวนคอ ศูนย์นิสิตปฏิเสธผู้แสดงหน้าเหมือนใครทั้งสิ้น"


สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล

ที่มา : http://www.2519.net/ เสรีภาพ สันติภาพ ความเป็นธรรม

หมายเหตุ : ภาพประกอบ ผู้จัดเก็บบทความเป็นผู้นำมาลงประกอบ
ภาพทั้งหมดนำมาจาก http://www.2519.net/

ก้าวให้พ้นจากความคิดแบบไพร่


สิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาคและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของบุคคลใด บุคคลนั้น จะต้องตื่นรู้ หวงแหนและต่อสู้เพื่อพิทักษ์รักษาไว้ด้วยตนเอง ถ้ามีใครมากระทำละเมิด ล่วงล้ำก้ำเกิน

เช่นเดียวกับ สิทธิ เสรีภาพ ควาเสมอภาคและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ของกลุ่มชนใด กลุ่มชนนั้น จะต้องตื่นรู้ หวงแหนและต่อสู้เพื่อพิทักษ์รักษา ไว้ด้วยตนเอง ถ้ามีใครมากระทำละเมิด ล่วงล้ำก้ำเกิน

ที่เรียกว่า การตื่นรู้ ก่อนอื่น หมายถึง การต่อสู้กับความคิด ค่านิยมและ วัฒนธรรมที่ชนชั้นปกครองได้มอมเมา ครอบงำอยู่ในหัวของแต่ละคน การต่อสู้เพื่อพิทักษ์รักษาสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาคและ ศักดิ์ศรีความเป็น มนุษย์ของแต่ละคนและแต่ละกลุ่มชนกับกลุ่มผู้ขูดรีด เอาเปรียบและกดขี่ข่มเหง ไม่อาจเกิดขึ้นได้ ถ้าไม่ต่อสู้กับมลพิษในหัวของแต่ละคน แต่ละชุมชนเสียก่อน

ด้วยเหตุนี้ การปลดแอกทางสังคม ก่อนอื่นจึงต้อง ปลดแอกทางความคิด ของตนก่อน ซึ่งไม่มีใครทำแทนให้ได้ เป็นเรื่องที่แต่ ละคน แต่ละกลุ่มชน จะต้องทำกันเอง ดังคำเก่าๆที่ว่า "เสรีภาพ จักสมปองต้องต่อสู้"

เช่น ตอนที่มีการประกาศเลิกทาสในสังคมไทย ก็ยังมีทาสจำนวนมาก ที่ยังขอเจ้าทาสว่า ตัวขอเป็นทาสต่อไป ไม่อยากออกไปเป็นไท เพราะคิดว่า อาศัยอยู่กับเจ้าทาส ก็ดีอยู่แล้ว ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร อย่างไรเสียเจ้าทาสก็มีอาหารให้กินแน่นอน ขืนออกไปเป็นไท ตนเองไม่มีทุนรอน ไม่มีความรู้ ไม่เคยทำมาหากินเอง อาจอดตายก็ได้

หรือในสังคมปัจจุบัน ทั้งๆ ที่ไทย ได้พ้นจากสังคมเจ้า-ไพร่ มาถึง ๗๕ ปีแล้ว ก็ยังมีคนที่ไม่อยากเป็นเสรีชน ไปขออาสาเป็นไพร่ในสังกัดเจ้านายผู้มีอิทธิพล ในสังคมไทย เพื่อขอความปกป้องคุ้มครอง พึ่งพาอาศัยอิทธิพลอำนาจ ของเจ้านาย โดยตนเองจะต้องถวายการรับใช้ ส่งส่วย บรรณาการตอบแทน ในรูปแบบต่างๆ ดังที่นักวิชาการบางคนเรียกว่า ระบบอุปถัมภ์

ยิ่งเจ้านาย มีอิทธิพลอำนาจ มากเพียงใด ก็ยิ่งมีคนไปถวายตัวมากเพียงนั้น ดังนั้น สำหรับ"เจ้าแห่งเจ้า"นั้น กล่าวได้ว่า มีคนเสนอตัวไป ให้เลือกใช้สอยได้อย่างไม่หมดสิ้น ล่าสุดที่มีฝรั่งคนหนึ่งไปศึกษารวบรวมมา ก็บอกว่า เขามีไพร่ในสังกัดของเขา มีถึงประมาณ ๔ ถึง ๕ พันคน

ที่จริงฝรั่งคนนั้น อาจสามารถศึกษารวบรวมได้เพียงเฉพาะส่วนที่เปิดเผย เพราะเรื่องการใช้อิทธิพลอำนาจของพวกเจ้า ส่วนมากเป็นเรื่องผิดกฎหมาย จึงมักหลบๆ ซ่อนๆ แอบทำกันหลังม่านทั้งนั้น จำนวนไพร่ในสังกัดของเขาจึงอาจมากว่าตัวเลขของฝรั่งคนนั้นเป็นหลายสิบเท่าก็ได้

พวกไพร่เหล่านี้ เชื่ออย่างงมงาย ว่าเจ้านายของพวกเขา มีบุญญาธิการแต่ กำเนิด ฟ้าส่งมาให้เป็นเจ้าคนนายคน บ้างว่า มีดาววาสนาส่องอยู่ที่หน้าผาก การถวายตัว หมอบกราบติดตามรับใช้ มีแต่จะทำให้ตัวเจริญรุ่งเรือง เจ้านายเขาก็มีแต่จะมั่นคงสถาพร ไปชั่วฟ้าดินสลาย เป็นต้น

ปัญหาของกลุ่มชนที่ยากจน เสียเปรียบ เช่น กรรมกร ชาวนา และคนทุกข์ คนยากกลุ่มใดๆ จึงต้องให้พวกเขาลุกขึ้นมาต่อสู้ แก้ปัญหาด้วยตัวของเขาเอง การช่วยเหลือและการให้การศึกษาแนะนำ เป็นเรื่องที่สมควรทำ ในฐานะเป็นพี่น้องร่วมชาติ แต่ต้องไม่ล้ำเส้นไปเป็นการรับเหมาทำแทน

การรับเหมาทำแทน แบบอัศวินม้าขาว ล้วนเป็นเรื่องหลอกลวง ของพวกอภิสิทธิ์ชน

คนทุกข์ คนยาก จะเรียนรู้ด้วยประสพการณ์ของตนเองว่า การเข้าร่วม สนับสนุนกลุ่มเจ้า หรือกลุ่มนายทุนใหญ่ ผลสุดท้าย ตนเองจะได้รับเพียง ประโยชน์ โภคผลเพียงเล็กๆ น้อยๆ และชั่วคราว ตราบใดที่ชนชั้นนำเหล่านั้น ยังใช้ประโยชน์พวกเขา้เป็นหินรองเท้าได้

แต่ในที่สุดแล้ว ชนชั้นนำเหล่านั้น จะไม่แก้ และไม่มีวันแก้ปัญหาทาง โครงสร้างที่เป็นสาเหตุรากฐานของความยากจนทั้งชนชั้นของพวกเขาได้

มีแต่การเข้าร่วมสนับสนุนกลุ่มชนที่ก้าวหน้าที่สุดในสังคมไทย - คนงานปกคอสีขาว (white collar)--ปัญหาลักษณะโครงสร้าง ที่เป็นสาเหตุรากฐานของความยากจนทั้งชนชั้นของพวกเขา จึงจะสามารถ แก้ไขได้อย่างแท้จริง

เขียนโดย ไท เมื่อ 21 สิงหาคม, 2007