วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2553

การสืบสันตติวงศ์ : พ่อทรงร่วงโรย ลูกๆต่างขับเคี่ยว

Thailand’s succession: As father fades, his children fight


The Economist
March 18, 2010

แปลและเรียบเรียง : แชพเตอร์ ๑๑



เบื้องหลังความวุ่นวายของประเทศไทยในทุกวันนี้ คือความกลัวอันฝังหัวเกี่ยวกับการสืบสันตติวงศ์ และบรรดาผู้คนเหล่านี้อาจจะไม่พูดออกมาให้ได้ยินกันทั่วไป




ทั้งรถบรรทุก ทั้งเรือ และรถโดยสารประจำทางที่หลั่งไหลเข้าสู่กรุงเทพอย่างไม่ขาดสาย เพื่อร่วมการชุมนุมอย่างต่อเนื่อง และถูกเรียกว่าเป็น “สงครามประชาชนต่อต้านศักดินา” ในวันที่ ๑๔ มีนาคม ผู้ชุมนุมที่ผ่านจำนวนหลักแสนทั้งหมดสวมเสื้อสีแดงสด แต่ละคนยิ้มแย้มด้วยความปรีดา บนเวทีปราศรัยนักพูดแต่ละคนต่างโจมตีรัฐบาล ทั้งราชวงศ์และกองทัพที่แต่งตั้งรัฐบาลนี้ขึ้นมา ป้ายต่างๆอ่านได้ความว่า “ไม่มีความยุติธรรม ความสงบไม่เกิด” อีกยกหนึ่งที่บอบช้ำในการดิ้นรนเพื่ออำนาจอันยืดเยื้อของประเทศไทย ที่กำลังใกล้เข้ามาถึงซึ่งทางออกที่ยังคงมืดมน


จนกระทั่งถึงกลางอาทิตย์ ดูเหมือนเป้าหมายของเสื้อแดงในการขับไล่นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้ออกจากตำแหน่ง และบังคับให้มีการเลือกตั้งใหม่นั้นยังไม่สัมฤทธิ์ผล กองทัพยังคงยืนกรานในการปกป้องอภิสิทธิ์ ซึ่งเข้ามามีอำนาจเมื่อ ๑๕ เดือนก่อนโดยใช้วิธีจัดการทางสภา และเป็นรัฐบาลในดวงใจของชนชั้นเศรษฐีใจแคบของกรุงเทพ เช่นเดียวกับผู้ประท้วงเสื้อเหลืองซึ่งสนับสนุนรัฐบาลปัจจุบันนี้ สำหรับประชาธิปไตยซึ่งถือว่า หนึ่งคน ต่อหนึ่งเสียงนั้น ฝ่ายซึ่งขาดเสียงกลับกลายเป็นตัวกุมอำนาจ

อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ซึ่งมาจากการเลือกตั้งถึงสองครั้ง และขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการลี้ภัยเข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างลึกซึ้ง ทักษิณไม่ยอมจากไปอย่างเงียบเชียบนับตั้งแต่การทำรัฐประหารของกองทัพที่ปล้นอำนาจของเขาในปี ๒๕๔๙ เมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ คำตัดสินของศาลในการยึดทรัพย์ ๔๖,๐๐๐ ล้านบาทของเขานั้น ยิ่งสร้างความโกรธแค้นให้ทักษิณเป็นทวีคูณ เสื้อแดงหลายคนมองทักษิณว่าคือผู้นำแท้จริงของประเทศ แม้เขาจะมีความมั่งคั่ง และมีชีวิตอย่างอภิสิทธิ์ชน ก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา

นักการเมืองพรรครัฐบาลเหน็บแนมเสื้อแดงที่ต่ำต้อยว่ารับจ้างมา และไม่ได้เป็นตัวแทนความเห็นของคนส่วนใหญ่ นักการเมืองเหล่านี้ต่างบ่ายเบี่ยงต่อความคิดที่ว่า การเลือกตั้งอาจจะเป็นหนทางเดียวที่จะพิสูจน์ในประเด็นนี้ และแถว่าในช่วงวุ่นวายแบบนี้ ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่การเลือกตั้งจะเป็นไปอย่างมีระเบียบ ที่สำคัญที่สุด นักการเมืองพวกนี้ประณามทักษิณว่า เป็นตัวการของความไม่สงบ

แต่ยังมีบุคคลสำคัญอีกพระองค์หนึ่งซึ่งในแวดวงทางการเมืองที่จะต้องคำนึงถึง: กษัตริย์ภูมิพล อดุลยเดช พระชนมายุ ๘๒ พรรษา ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่ครองราชย์นานที่สุดในโลก ในสถานที่ชุมนุมนั้น มีภาพพระบรมฉายาลักษณ์ขนาดใหญ่ซึ่งสายพระเนตรแสดงความเฉยเมยมายังกลุ่มคนเสื้อแดง สำหรับการเคลื่อนไหวของพวกคลั่งเจ้าในประเทศไทยนั้น กษัตริย์ถือว่าเป็นพระบิดาของแผ่นดิน และ “การต่อสู้ของบรรดาลูกๆ” บนท้องถนนนั้นถือว่า เป็นการสร้างความโทมนัสให้กับพระองค์ บางคนถึงกับหวาดผวาว่า ปัญหาของประเทศไทยอาจจะเป็นตัวขัดขวางการหายจากอาการประชวรด้วยโรคทางเดินหายใจ ซึ่งพระองค์ทรงเข้าประทับรักษาพระวรกายในโรงพยาบาลมาตั้งแต่เดือนกันยายน

นั่นเป็นเรื่องแน่นอน เพราะ “พ่อ” กำลังจะจากไป และ “ลูกๆ” ของพระองค์กำลังต่อสู้ห้ำหั่นกัน ทุกสมัยเมื่อสิ้นรัชกาลจะเป็นเวลาแห่งโศกนาฏกรรมของชาติ และการครุ่นคิดคำนึงอยู่กับตนเอง ชาวไทยรู้สึกประหวั่นพรันพรึงในเรื่องนี้ หลายคนซึ่งรู้จักแต่เพียงกษัตริย์ภูมิพล ที่ทรงเสด็จขี้นครองราชย์ในปี ๒๔๘๙ จากสถาบันที่กำลังจะหมดความสำคัญ เมื่อกองทัพเข้าครอบครองโดยยื่นประชาธิปไตยให้เพียงครึ่งใบ พระราชวังจึงต้องรับหน้าที่เป็นตัวแทนแห่งอำนาจอันเป็นที่เคารพ แต่ความเหมาะสมชอบธรรมนั้นขี้นอยู่กับพระอัจฉริยภาพของกษัตริย์ภูมิพล และข้าราชบริพารซึ่งชักใยอยู่เบื้องหลังอย่างลับๆ

ทางพระราชวังยืนยันว่า กษัตริย์ทรงสดชื่นและทรงแข็งแรง แต่คนไทยต่างวิตกกังวลในเรื่องความไม่แน่นอนแห่งการสืบสันตติวงศ์ ยิ่งโดยเฉพาะนักลงทุน ซึ่งหวาดวิตกหนักขึ้นไปอีกเพราะกฎหมายหมิ่นฯ ซึ่งห้ามมิให้มีการถกเถียงอย่างตรงไปตรงมาในเรื่องนี้ เมื่อบริษัทตัวแทนการสำรวจระดับยักษ์ใหญ่ของไทยทำการสำรวจความเห็นจากผู้จัดการกองทุนต่างๆ เกี่ยวกับปัจจัยความเสี่ยงทางการเมืองของปี ๒๕๕๓ ความเห็นร้อยละ ๔๒ เลือกข้อที่ตัวแทนตั้งว่า “การเปลี่ยนแปลงซึ่งไม่สามารถระบุได้” ข่าวลือเกี่ยวกับการสิ้นพระชนม์ของกษัตริย์ภูมิพลเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ส่งผลให้เกิดการเทขายของกองทุนในระยะเวลาแค่สองวัน และรัฐบาลถึงกับหัวเสียไล่บี้หาตัวการปล่อยข่าวลืออย่างหนัก หากเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงแล้ว ดูท่าว่าจะแซงหน้าเหตุการณ์ที่ผ่านมานี้แน่

ประเทศไทยยังคงยืนหยัดต่อความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในระยะสีปี จำนวนผู้เสียชีวิตยังถือได้ว่าต่ำ แต่ความโกรธแค้นได้ระเบิดออกมาในเดือนเมษายนที่แล้ว เมื่อเสื้อแดงปะทะกับกองทัพในกรุงเทพ เป็นเวลาเพียงแค่พริบตาเดียวแต่แสดงให้เห็นถึงอารมณ์อันบีบคั้นที่ถูกเก็บงำมาเนิ่นนาน กองทัพเองเริ่มแสดงให้เห็นถึงความแตกแยก แม้ว่าเรื่องที่น่ากลัวมากที่สุดคือ – สงครามกลางเมือง เป็นเรื่องที่ดูเว่อเกินไป จะมีเหตุผลดีกว่าหากกล่าวว่า ถ้าเป็นการเผชิญหน้าทางการเมือง และการเมืองที่เข้าขั้นอัมพาตในอีกหลายๆปีที่จะมาถึง

ราชบัลลังก์คงผ่านพ้นไปด้วยดี สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ พระชนมายุ ๕๗ พรรษา ทรงเป็นพระโอรสองค์รัชทายาทที่จะสืบราชบัลลังก์ และไม่มีข้อสงสัยใดๆกับการอ้างในเรื่องนี้ การไว้ทุกข์ที่เนิ่นนาน อาจจะนานมากกว่าหกเดือน จะทำให้การต่อสู้ทางการเมืองถูกระงับลง ผู้มีบทบาทสำคัญทางการเมืองบางคนอาจสำนึก และหาทางประนีประนอม การสิ้นพระชนม์ของกษัตริย์ภูมิพลอาจเป็นสัญญาณการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยสำหรับประเทศไทย: อาจจะเริ่มได้ยินความคิดจากคนรุ่นใหม่

แต่กษัตริย์พระองค์นี้จะทรงรับภารกิจอันหนักอึ้งที่จะตามมา และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเองโดยทั่วไปแล้วไม่ทรงเป็นที่ชื่นชม และทรงเป็นที่ยำเกรง คนไทยส่วนใหญ่พยายามที่จะไม่คิดถึงเรื่องการขี้นครองราชย์ของพระองค์ นักวิชาการคนหนึ่งกล่าวว่า “เมื่อรัชกาลนี้สิ้นสุดลง ก็ไม่มีใครอีกแล้ว” ผู้ปกครองคนต่อมาจะต้องตามรอยพระบาทแห่งปูชนียบุคคลผู้เปี่ยมด้วยบารมี ซึ่งพระเกียรติคุณได้รับการยกย่องเปรียบดังลัทธิบูชา บทบาทขององค์รัชทายาทในยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ และตกเป็นเป้าสายตาของประชาชนนั้นเป็นเรื่องไม่ง่ายในทุกที่ สำหรับในประเทศไทยแทบจะไม่มีทางเอาเสียเลย นักการทูตอาวุโสคนหนึ่งตั้งคำถามว่า “คุณจะตามรอยเท้าผู้วิเศษได้อย่างไร”


ความกังขาต่อองค์ฟ้าชาย

เป็นปริศนาที่คุ้นเคยกันดี กษัตริย์วชิราวุธ รัชกาลที่ ๖ ซึ่งทรงขี้นครองราชย์ในปี ๒๔๕๓ ทรงพบอุปสรรคกับการตามรอยพระบาทของพระราชบิดา กษัตริย์จุฬาลงกรณ์ ผู้ทรงคล่องแคล่วนำสมัย อันเนื่องมาจาก ธงชัย วินิจกุล ศาสตราจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ไทย มหาวิทยาลัยวิสคอนซินแห่งสหรัฐอเมริกาได้กล่าวว่า แม้ก่อนเสด็จขี้นครองราชย์ พระองค์ทรงได้รับความเสื่อมเสียจากการซุบซิบที่ออกมาจากพระราชวังกล่าวหาว่า พระองค์ทรงมีความประพฤติที่ไม่งาม กษัตริย์วชิราวุธทรงเป็น “นักกวี และนักประพันธ์อันเอกอุ” แต่ทรงไม่ประสบความสำเร็จในฐานะกษัตริย์ซึ่งทรงถูกบดบังบารมีจากความยิ่งใหญ่ของกษัตริย์องค์ก่อน ธงชัยกล่าวในการสัมมนาที่เปิดกว้างให้ประชาชนได้รับฟังเมื่อไม่นานมานี้ว่า “ราชวงศ์ต่างทำลายกันเอง”

กษัตริย์ประชาธิปก รัชกาลที่ ๗ ทรงยิ่งแย่หนักขึ้น การทำรัฐประหารอย่างไม่เสียเลือดเนื้อในปี ๒๔๗๕ ยุติการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และระบอบกษัตริย์เกือบจะหมดความหมาย กษัตริย์ประชาธิปกทรงลี้ภัยไปประทับที่ลอนดอน และทรงสละราชสมบัติในปี ๒๔๗๘ สร้างความเคว้งคว้างอย่างหนัก พระองค์ทรงมอบราชสมบัติให้รัชกาลที่ ๘ พระเชษฐาในกษัตริย์ภูมิพล ซึ่งทรงสิ้นพระชนม์ในปี ๒๔๘๙ ด้วยการถูกยิงที่พระเศียรอย่างมีเงื่อนงำ กษัตริย์ภูมิพลทรงขี้นครองราชย์ต่อมาในวันเดียวกันนั้นเอง และทรงเสด็จพระราชดำเนินกลับสวิสเซอร์แลนด์เพื่อทรงศึกษาให้สำเร็จ

ในปี ๒๔๖๙ กษัตริย์ประชาธิปกทรงมีพระราชนิพนธ์อย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับจุดอ่อนของการปกครองแห่งกษัตริย์ ในพระราชบันทึก พระองค์ทรงต่อสู้กับความขัดแย้งระหว่างสังคมที่เดินหน้า และกฎแห่งการสืบทอดราชาธิปไตย ซึ่งประเทศไทยในเวลานี้ดูเหมือนกำลังตกอยู่ในสภาพความขัดแย้งเช่นนี้ การปกครองของกษัตริย์เป็นหนึ่ง “ในอุปสรรคสำคัญ” เป็นความเห็นของสาธารณะชนที่ต่อต้านการปกครองแบบเผด็จการ ทรงวิตกว่าใครที่จะขี้นครองราชย์องค์ต่อไป พระองค์ทรงบันทึกว่า “จะต้องมีหลักประกันทางอื่นเพื่อคานกับกษัตริย์ที่ด้อยความสามารถ”

เวลาผ่านไปเกือบศตวรรษ หลักประกันนั้นยังไม่ปรากฏ และคนไทยต้องเผชิญกับสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชในอนาคตข้างหน้า ทรงเป็นทหารอาชีพ และทรงเป็นนักบินเครื่องบินรบ ซึ่งทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจหลายอย่างแทนพระราชบิดา ในหลายปีมานี้ พระองค์ทรงว่างเว้นจากพระราชกรณียกิจเนื่องจากทรงเสด็จประทับทางยุโรป ขณะนี้พระองค์ทรงพระราชดำเนินกลับประเทศไทย และทรงออกสู่สายตาประชาชน ซึ่งเป็นสัญญาณที่กึกก้องและชัดเจน สองอาทิตย์หลังจากพระบรมราโชวาทในวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษาของกษัตริย์ภูมิพล บางกอกโพสต์ลงพระราชประวัติของพระองค์อย่างยกย่องภายใต้หัวข้อว่า: “กษัตริย์ที่ทรงรอคอย”

สำหรับคนไทยซึ่งคุ้นเคยกับคุณธรรมของกษัตริย์ภูมิพล ซึ่งรวมถึงการทรงมีพระมเหสีพระองค์เดียว ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา และทรงสมถะ สมเด็จพระบรมฯทรงเปรียบเทียบมิได้ เรื่องราวอุจาดของชีวิตส่วนพระองค์กลายเป็นเรื่องซุบซิบประจำวัน วิดีโอที่ออกแพร่หลายในปี ๒๕๕๐ แสดงให้เห็นถึงพระชายาองค์ที่สาม หรือเรียกกันว่า “อัครชายา” ทรงชุดเปลื้องพระองค์ในงานฉลองพระกายาหารค่ำอย่างเป็นทางการกับสมเด็จพระบรมฯ นักการทูตกล่าวว่าสมเด็จพระบรมฯ ทรงมีความแหวกแนวจนถึงขั้นพิสดาร: ตัวอย่างเช่น การฉลองอย่างหรูหราให้กับสุนัขส่วนพระองค์ “ฟูฟู” ซึ่งมียศทางทหาร และในหลายโอกาสที่นั่งร่วมกับบรรดาแขกรับเชิญในงานเลี้ยงฉลองพระกายาหารค่ำ ในช่วงปี ๒๕๒๓ มีข่าวลือว่า ทรงเกี่ยวข้องกับขบวนการอาชญากรรมใต้ดิน ซึ่งพระองค์ทรงประทานสัมภาษณ์ให้การปฏิเสธ สร้างแรงดลใจให้เกิดพระนามเล่นว่า “เสี่ยโอ”

ในทางตรงข้าม สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธรพระขนิษฐา ทรงมีภาพลักษณ์ประดุจเทพซึ่งทรงภารกิจด้านการกุศล คนไทยหลายคนหวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวินาทีสุดท้ายโดยการสถาปนาพระองค์ให้ทรงขี้นครองราชย์ นายทหารบางคน และหลายกลุ่มในพระราชวังต่างกล่าวว่า ต้องการให้เจ้าฟ้าหญิงขี้นครองราชย์เป็นองค์ต่อไป ทางเลือกอีกทางหนึ่ง ซึ่งได้ยินมาเมื่อไม่กี่ปีมานี้คือ การมอบบัลลังก์ให้กับพระโอรสและธิดาในสมเด็จพระบรมฯ เช่นพระโอรสองค์สุดท้อง พระองค์เจ้าทีปังกร และผู้สำเร็จราชการแผ่นดินอาจจะเป็นเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร คลิปที่ถูกปล่อยออกมานั้นคาดว่า จะเป็นการลดความน่าเชื่อถือของเจ้าฟ้าชาย และเพื่อหาทางเลือกอื่น ทั้งนี้ทั้งนั้น กษัตริย์ภูมิพลดูเหมือนจะทรงตัดสินพระทัยไว้แล้วว่า ผู้ที่จะขี้นครองราชย์องค์ต่อไปคือ สมเด็จพระบรมฯ

พอล แฮนด์เล่ย์ ผู้แต่งหนังสือพระราชประวัติที่ไม่ได้รับพระบรมราชานุญาต หนังสือของเขาถูกห้ามจำหน่ายในประเทศไทย เขาคิดว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่กษัตริย์ภูมิพลจะทรงตัดสินพระทัยในระหว่างทรงรักษาพระองค์ ในการที่จะยกเลิกสิทธิ์ในสมเด็จพระบรมฯ เพราะต้องออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร การเสด็จแปรที่ประทับใช้ชีวิตในยุโรปนั่นค่อนข้างจะเหมาะกว่าสำหรับเจ้าฟ้าชาย ผู้ซึ่งอาจไม่ประสงค์ราชทรัพย์ หรือความสนใจ แต่สิ่งที่คาดหมายว่าจะเกิดขี้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ หากพระองค์ทรงถูกตัดสิทธิ์จากองค์รัชทายาท คือการนองเลือด นี่จึงเป็นการอธิบายว่า ทำไมทหารรักษาพระองค์จึงไม่อนุญาตให้พกอาวุธต่อหน้าพระพักตร์ของพระองค์

เหตุผลหนึ่งซึ่งทำไมวงการกองทัพจึงไม่ไว้วางใจในสมเด็จพระบรมฯ เพราะในอดีตพระองค์ทรงเคยเกี่ยวข้องกับทักษิณ ซึ่งถูกทหารทำรัฐประหารปล้นอำนาจในปี ๒๕๔๙ ทักษิณมหาเศรษฐีด้านโทรคมนาคม ผู้หันชีวิตมาเป็นนักการเมืองที่ได้รับความนิยม เคยกล่าวว่าได้เคยปรนเปรอพระองค์ นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่แท้จริงในการทำรัฐประหาร ซึ่งดูเหมือนจะได้รับการสรรเสริญจาก เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและมีหน้าที่ให้คำปรึกษาต่อองค์กษัตริย์ ความจริงที่ว่า แม้ทักษิณจะลี้ภัยอยู่ที่ประเทศดูไบ แต่ยังคงติดต่อกับเจ้าฟ้าชาย ซึ่งสร้างปัญหาอย่างหนักให้กับพวกคลั่งเจ้ากลุ่มเดิม ในการให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ของอังกฤษเมื่อไม่นานมานี้ อดีตนายกรัฐมนตรีได้เทิดทูนสมเด็จพระบรมฯ อย่างหาที่เปรียบไม่ได้

ไม่มีใครทราบได้ว่าสมเด็จพระบรมฯ จะทรงเป็นนักปกครองแบบใด สุลักษณ์ ศิวรักษ์ นักสังเกตการณ์ผู้ช่ำชองเกี่ยวกับราชวงศ์ และนักเคลื่อนไหวทางสังคม กล่าวว่า พระองค์ทรงมีวุฒิภาวะมากขึ้นในระหว่างการอภิเษกสมรสครั้งที่สาม และทรงเป็นที่เคารพมากขี้นกว่าในอดีต คนอื่นกล่าวว่า พระองค์ทรงเบื่อหน่ายกับงานพระราชพิธีต่างๆ ซึ่งแตกต่างจากเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร ซึ่งทรงพระเกษมสำราญในการปฏิบัติภารกิจ ผู้สังเกตการณ์ราชวงศ์กล่าวว่า เหนืออื่นใด พระองค์ทรงต้องมีข้าราชบริพารที่มีความสามารถ ที่จะนำทางพระองค์ผ่านหนทางที่เต็มไปด้วยหลุมพรางทางการเมืองที่อยู่ข้างหน้า หลายคนเชื่อว่า สมเด็จพระบรมฯจะทรงแต่งตั้งองคมนตรีของพระองค์เองแทนคนเก่า สำหรับข้าราชบริพารรุ่นเก่าที่รับใช้กษัตริย์ และไม่ไว้ใจในการสืบบัลลังก์ของพระองค์ คงจะถูกเชิญให้ลาออก นักวิชาการต่างประเทศคนหนึ่งกล่าวว่า ข้าราชบริพารชุดใหม่ของพระองค์ “เป็นที่แน่นอนว่า จะไม่มีความสามารถ” เทียบเท่ากับชุดปัจจุบัน


ทรงพลัง แต่ขาดความสุขุม

การชิมลางในเรื่องนี้ เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว เมื่อนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ พยายามที่จะสลับขั้วอำนาจในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ บุคคลซึ่งอภิสิทธิ์เลือกให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาตินั้นถูกขัดขวางจากสมาชิกในพรรคเดียวกัน รวมถึง นิพนธ์ พร้อมพันธุ์ ผู้ช่วยสมเด็จพระบรมฯ ซึ่งวิ่งเต้นเสนอชื่อบุคคลอื่น มีรายงานข่าวว่า ผู้อยู่เบื้องหลัง “ที่มีอำนาจ และทรงพลัง” ได้ผลักดันให้มีการแต่งตั้งตัวเลือกอันดับสอง คืออดีต ผอ.สำนักข่าวกรองแห่งชาติสมัยรัฐบาลทักษิณขึ้นดำรงตำแหน่งแทน ต่อมานิพนธ์ลาออกจากคณะรัฐบาล อภิสิทธิ์ยังไม่สามารถแต่งตั้ง ผบ.ตร. ได้ ตำแหน่งปัจจุบันนี้เป็นเพียงแค่รักษาการณ์แทน ความขัดแย้งนี้เปิดเผยให้เห็นว่า สมเด็จพระบรมฯ ทรงแทรกแซงอย่างขาดความรัดกุมเพียงใด แหล่งข่าวจากพระราชวังกล่าวว่า เรื่องนี้สร้างความหัวฟัดหัวเหวี่ยงให้กับบรรดาข้าราชบริพารในกษัตริย์ภูมิพล แหล่งข่าวกล่าวว่า สมเด็จพระบรมฯ ทรงได้รับการแจ้งว่า “เราไม่ทำเรื่องแบบนี้”

แท้จริงแล้ว พระราชวังได้อุปถัมภ์ค้ำชูกองทัพ และข้าราชการมาเป็นเวลาเนิ่นนาน นี่คือวิธีการกุมอำนาจในประเทศไทย อะไรที่ทำให้ทักษิณต้องเป็นตัวคุกคามของพระราชวัง ก็เพราะความหมายมั่นของทักษิณที่จะกุมอำนาจนี้ไว้เช่นกัน ต่อมานักการทูตเอเชียระดับสูงกล่าวว่า สมเด็จพระบรมฯ มีพระประสงค์ที่จะเข้าแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารประจำปี เพื่อขยายฐานสนับสนุนของพระองค์ ยิ่งพระองค์ทรงประสบความสำเร็จมากเท่าไร จะเป็นตัวกำหนดได้ว่าพระองค์จะทรงอำนาจได้นานแค่ไหน โอกาสอีกอย่างหนึ่งคือ การพระราชทานอภัยโทษให้ทักษิณ เพื่อที่ทักษิณจะได้เดินทางกลับมาบริหารประเทศในกษัตริย์พระองค์ใหม่ ซึ่งจะสร้างความปรีดาให้กับคนเสื้อแดง แต่จะสร้างความขวัญหนีดีฝ่อให้กับศักดินาในกรุงเทพ และสร้างความแตกแยกในกองทัพ สำหรับเสียงสนับสนุนจากสาธารณะชนนั้น ดูเหมือนว่าจะไม่น่าเป็นไปได้ ผู้ใกล้ชิดทางการเมืองคนหนึ่งกล่าวว่า สมเด็จพระบรมฯ ทรงทราบว่าพระองค์ทรงไม่ได้รับความชื่นชม แต่ “พระองค์ทรงไม่สนใจ”

ทางออกอีกทางหนึ่งสำหรับสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้ คือการลดขนาดของระบอบกษัตริย์ให้ลดลงเท่ากับเมื่อในอดีต การปรับปรุงสถาบันตั้งแต่ระดับสูงลงมาย่อมน่าพิสมัยมากกว่า การถูกผลักดันจากระดับล่างด้วยเสียงเรียกร้องให้มีการตั้งเป็นสาธารณรัฐ ตลาดหุ้นในรัชสมัยกษัตริย์ภูมิพลได้ตกฮวบมาตั้งแต่ตอนที่ราคาสูงสุดในเดือนพฤษภาคม ๒๕๓๕ เมื่อพระองค์ทรงสามารถจะออกคำสั่งให้เผด็จการทหารยุติการกระทำ และระงับเสีย ในไม่กี่ปีมานี้ ได้เปิดเผยให้เห็นอำนาจอันมีจำกัดของพระองค์ ในปี ๒๕๕๑ กษัตริย์ไม่ทรงสามารถยุติการกระทำของฝ่ายพันธมิตรในการก่อความวุ่นวายในนามของพระองค์ ข้าราชบริพารระดับสูง ถอนหายใจและกล่าวว่า “พวกเราคาดหวังจากพระองค์มากเกินไป”

เป็นที่แน่ชัดว่า ประเทศไทยต้องการความสมดุลใหม่ บางคนกลัวว่า เมื่อสุญญากาศแห่งอำนาจที่ถูกระบอบกษัตริย์อันอ่อนกำลังได้ละทิ้งไป จะถูกกองทัพเข้ามายึดแทน ซึ่งเป็นอำนาจชักใยเบื้องหลังของความสวยหรูที่ฉาบทองของพระราชวังอยู่แล้ว แต่นายพลทั้งหลายซึ่งยึดอำนาจด้วยการทำรัฐประหารปี ๒๕๔๙ นั้นบริหารประเทศอย่างไร้ฝีมือ และจำต้องคืนอำนาจให้กับประชาชนผู้ลงคะแนนเสียงในอีก ๑๕ เดือนต่อมา ตระกูลนักธุรกิจทั้งหลายไม่ต้องการให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย และต้องการให้นักการเมือง และมืออาชีพบริหารประเทศแทน ส.ส.หลายคนที่ถูกห้ามเล่นการเมือง ซึ่งบางคนหวังว่าจะได้เข้าเป็นพรรคเสียงข้างมาก จะได้กลับเข้าสู่เวทีการเมืองอีกในปี ๒๕๕๕ แต่กติกาการเล่นจะต้องได้รับการเปลี่ยนใหม่

บางคนอาจแย้งว่า กษัตริย์ภูมิพลทรงมีส่วนรับผิดชอบกับการวางรากฐานของสถาบันประชาธิปไตยต่างๆ ที่ล้มเหลวในประเทศไทย แฮนด์เล่ย์กล่าวว่า แค่ขี้นอยู่กับ “คนเก่งเพียงไม่กี่คน” และกองทัพที่นำพาประเทศเข้ารกเข้าพงแบบนี้

เป็นเรื่องน่าเศร้าสำหรับราชวงศ์ ครั้งหนึ่งประเทศไทยเคยเป็นแนวหน้าแห่งเสรีภาพในภูมิภาคซึ่งค่อนข้างถูกบีบคั้น การเมืองอย่างกระท่อนกระแท่นไม่ได้เป็นตัวการทำให้การเจริญเติบโตของเศรษฐกิจหยุดยั้งลง เหมือนกับการที่ข้าราชการต่างๆ กุมบังเหียนแน่นในการบริหารประเทศแบบเช้าชามเย็นชามเช่นนี้ ในยุคปี ๒๕๓๓ (ค.ศ.๑๙๙๐) กลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชนทางตะวันตกหวังว่า ประชาสังคมไทยที่มีพลวัต (Dynamism) สูงอาจจะขยายไปสู่ประเทศเพื่อนบ้านต่างๆ แต่กลับกลายเป็นว่า ขณะนี้บางคนมองประเทศไทยว่า เป็นอุทาหรณ์ให้เห็นถึงความเป็นประชาธิปไตยแบบสุกเอาเผากิน

นั่นอาจจะเป็นการกล่าวที่รุนแรงเกินไป กลุ่มเสื้อแดง และกลุ่มเสื้อเหลืองที่เป็นอริกันในประเทศไทยนั้นแม้มีความเห็นไม่ลงรอยกันในเรื่องประชาธิปไตย แต่ทั้งสองฝ่ายต้องการระบบการเมืองที่มีความยุติธรรม ปีที่แล้วเพื่อที่จะวัดเรื่องความอดทน มูลนิธิเอเชียซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในแคลิฟอร์เนียได้ออกสำรวจความเห็นของคนไทยในเรื่องนี้ และผลสำรวจพบว่าร้อยละ ๗๙ ยอมให้พรรคการเมืองต่างๆซึ่งไม่ได้รับความนิยมเข้าเยี่ยมพื้นที่ตัวเองได้ เพียงร้อยละ ๖ เท่านั้นที่กล่าวว่า พวกเขาจะเลิกคบเพื่อนซึ่งเข้าร่วมพรรคฝ่ายตรงข้ามกับตัว นับว่าเป็นตัวเลขที่น่าชื่นชมมากกว่าอีกหลายประเทศที่เป็นประชาธิปไตยของเอเชีย เกือบจะทุกคนต่างเห็นด้วยว่า รัฐบาลประชาธิปไตยเป็นรูปแบบที่ดีที่สุด แม้ว่าร้อยละ ๓๐ จะยอมรับการปกครองแบบเผด็จการในบางสถานการณ์

ประเทศไทยยังไม่ยอมแพ้ในเรื่องประชาธิปไตย แต่การสะสางปัญหาที่สะสมทางการเมืองนั้นจะต้องรวมไปถึงการกล่าวถึงกษัตริย์ แน่นอน สำหรับความเชื่อของคนไทย การพูดเรื่องการสิ้นรัชกาลของกษัตริย์ภูมิพล ถือว่าเป็นเรื่องเลวทราม – และเป็นเรื่องอัปมงคล แต่เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ เป็นการเสี่ยงมากเกินไป ความเคารพยำเกรง และความหวาดกลัวเป็นตัวปิดตายต่อการแสดงความคิดเห็น ใครก็ตามหากเปิดปากในเรื่องนี้จะเสี่ยงต่อการถูกจับตามกฎหมายหมิ่นฯ หรือกฎหมายคอมพิวเตอร์ฯ ซึ่งออกใหม่และมีความเหี้ยมพอกัน ประชาชนหลายคนได้ถูกดำเนินคดีในข้อหาทำให้กษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์เสื่อมเสียชื่อเสียง รวมไปถึงชาวออสเตรเลียซึ่งถูกจำคุก (ต่อมาได้รับอิสรภาพด้วยการรับพระราชทานอภัยโทษ) จากนวนิยายที่เขาแต่งขึ้นมา มีเนื้อหาบรรยายถึงองค์รัชทายาทในทางเสื่อมเสีย

เบื้องหลังประตูที่ปิดตายนั้น มีการถกเถียงอย่างสร้างสรรค์ถึงอนาคตของสถาบันกษัตริย์เมื่อสิ้นรัชกาล จากคำพยากรณ์ในอดีตที่ว่า ราชวงศ์จักรีจะสิ้นสุดเพียงรัชกาลที่ ๙ กษัตริย์ภูมิพลทรงเป็นพระรามาที่ ๙ มีเสียงเล็ดรอดออกมาในเรื่องเป็นสาธารณรัฐ – ซึ่งสื่อเลือกข้างในประเทศไทยไม่เคยรายงานในเรื่องนี้ บางกอกโพสต์โจมตีด้วยสำนวนแบบเดิมที่มีทั้งความภาคภูมิใจ และการข่มขู่ในคำสดุดีเฉลิมพระเกียรติพระพรชัยมงคลในวันคล้ายวันประสูติของกษัตริย์ในเดือนธันวาคมว่า: “ความรักของชาวไทยที่มีต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้นช่างฝังแน่นในจิตใจของคนทั้งชาติ เจตนารมณ์อย่างอื่นนั้นให้เลิกคิดไปได้”

ในวงในของพระราชวัง เริ่มตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงที่จะเริ่มต้นขึ้น พวกคลั่งเจ้าระดับอาวุโสทราบดีว่า พระบุคลิกภาพ และพระบารมีไม่สามารถถ่ายทอดไปยังรัชทายาทได้ง่ายๆ นี่คือประเด็นสำคัญที่ถึงทางตันของราชวงศ์แห่งประเทศไทย สุลักษณ์กล่าวว่า และกษัตริย์ภูมิพลทรงทราบในเรื่องนี้ สุลักษณ์กล่าวไว้ว่า กษัตริย์ “ทรงปรารถนาที่จะเห็นรัชสมัยหน้า จะไม่มีการนองเลือด”

สุดท้ายนี้ อันเนื่องมาจากสุลักษณ์ที่ว่า เมื่อไม่นานมานี้กษัตริย์ภูมิพลทรงเชิญนักการทูตที่ทรงไว้พระทัยสามคนให้ร่วมเสนอความคิดที่จะปรับปรุงสถาบัน นักการทูตคนหนึ่งได้ขอคำแนะนำจากสุลักษณ์ โดยอธิบายว่า การวินิจฉัยนั้นจะเสนอแด่องค์กษัตริย์เท่านั้น สุลักษณ์ตอบว่า พระราชวังจะต้องโปร่งใสในด้านการเงิน รวมถึงพระราชทรัพย์ประมาณ ๑,๒๐๐,๐๐๐ ล้านบาท (หนึ่งล้านสองแสนล้านบาท) ซึ่งบริหารโดยสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระองค์ แยกพระองค์จากกองทัพ และเปิดรับการวิจารณ์ของสาธารณะ สุลักษณ์แย้งว่า การเป็นประมุขเพียงแค่ในนามอย่างทางยุโรป จะช่วยให้กษัตริย์องค์ต่อไปในอนาคตคงดำรงอยู่ได้


เก็บรักษาต้นไม้

สุลักษณ์ถูกกล่าวหาว่า หมิ่นฯ เสมอ เขายืนยันว่าเขาเป็นผู้นิยมระบอบราชาธิปไตยอยู่เต็มสายเลือด เขากล่าวว่า “การจะโค่นต้นไม้นั้นเป็นเรื่องง่าย แต่ผมคิดว่า จะเป็นการดีกว่าถ้าจะเก็บรักษาไว้” การเลือกก้าวเดินดังกล่าวอาจจะช่วยราชวงศ์จักรีไว้ได้ แต่การทบทวนแบบวิธีสุดโต่งนี้ ดูจะเป็นไปได้ยาก การยอมให้ฝ่ายตรงข้ามโจมตีผู้ปกครองที่ขาดความมั่นคงนั้น อาจจะทำให้เกิดการขยายไปในวงกว้างอย่างรวดเร็ว ในรัชสมัยกษัตริย์ภูมิพล การปิดปากฝ่ายตรงข้ามเป็นดาบสองคม หลายคนยอมอดทนแต่ขาดซึ่งความเคารพ สมเด็จพระบรมฯ ทรงหลีกเลี่ยงไม่พ้นที่จะพบปัญหานี้เช่นกัน

เมื่อหมดสิ้นระบอบกษัตริย์แล้ว จะมีสภาพอย่างไร ประเทศไทยอาจจะยังไม่พร้อมสำหรับเรื่องนี้ ในสเปน งบประมาณสำหรับพระราชวังต่อปีนั้นเป็นจำนวน ๔๒๐ ล้านบาท และถูกตรวจสอบโดยรัฐบาล นอร์เวย์ใส่บัญชีของราชวงศ์ทางเว็บไซต์ ไม่มีทางที่จะค้นหาว่าค่าใช้จ่ายของราชวงศ์อย่างเริดหรูนั้นจะเป็นจำนวนเท่าไร ญี่ปุ่นอาจจะเป็นแบบที่เหมาะกว่า ซึ่งสื่อแห่งชาติให้ความเคารพโดยการไม่แตะต้อง

ผลแห่งความปราชัยในสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อการเข้ายึดครองของสหรัฐฯได้จำกัดอำนาจของจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่น พระราชวังแห่งราชวงศ์อื่นๆ ก็ถูกสภาลดขนาดลงเช่นกัน และได้เกิดขึ้นในประเทศไทยเมื่อปี ๒๔๗๕ แต่ต่อมากษัตริย์ภูมิพลได้ทรงเปลี่ยนกลับไปใช้แบบเก่า เป็นที่แน่นอนว่า จะต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญบางข้อ เพื่อลดบทบาทแห่งความมีอำนาจสูงสุดของประเทศ อำนาจในประเทศไทยเป็นเครือข่ายแบบอุปถัมภ์ซึ่งเริ่มต้นที่กษัตริย์ นั่นคือสาเหตุว่าทำไมบรรดารัฐมนตรีผู้มาจากการเลือกตั้งทั้งหลาย จึงสนใจแต่ตำแหน่งของตัวเอง และคอยเหลือบมองสัญญาณจากพระราชวัง นักการทูตอาวุโสชาวตะวันตกคนหนึ่งกล่าวว่า อภิสิทธิ์เอาแต่ร่วมงานตัดริบบิ้นต่างๆของราชวงศ์ จนสุดที่จะคิดว่า อภิสิทธิ์จะหาเวลาที่ไหนมาบริหารประเทศ

การเซ็นเซอร์ในเรื่องราชวงศ์ทำให้การถกเถียงต้องมีการปิดบัง เป็นเรื่องที่น่าสมเพช พระราชดำรัสที่มีชื่อเสียงของกษัตริย์ภูมิพลเมื่อปี ๒๕๔๘ ที่ว่า พระองค์ไม่ได้อยู่เหนือการวิจารณ์ แต่ไม่มีใครกล้าพร้อมจะทดสอบในเรื่องนี้ แม้ว่าอินเตอร์เน็ตจะระดมด้วยความเห็นต่างๆ แต่ข้อห้ามนั้น ยังคงถูกยืนยัน และเนื่องจากประเทศนี้ไม่เคยเปิดโอกาสให้มีการพูดอย่างอิสระ ประชาชนจึงไม่มีโอกาสเตรียมตัวเพื่อรับมือกับหนทางอันขรุขระ ซึ่งทอดยาวอยู่ข้างหน้า


The Economist


ที่มา : liberalthai : ดิอิโคโนมิสต์: การสืบสันตติวงศ์ – พ่อทรงร่วงโรย ลูกๆต่างขับเคี่ยว

6 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ระยะนี้ ข่าวนี้ค่อนข้างเป็นที่กล่าวถึง ไม่ดึงความสนใจมากนัก แต่ก็ฟังแล้วขัดหู ส่วนใหญ่ก็ลืมเลือนไป
เพราะคนไทย เดี๋ยวนี้เรียนรู้และเข้าใจอะไรรวดเร็วกว่าเดิม
"ช่อง 3 พงศ์พัฒน์ได้รางวัล จากบทพ่อในเรื่องพระจันทร์ส ีรุ้ง ขึ้นพูดบนเวทีว่า "ผมขอพูดถึงพ่อ บ้านนี้คือบ้านของพ่อโกรธพ่ อไม่ พอใจพ่อจะมาไล่พ่อออกจา กบ้าน ได้อย่างไร บรรพบุรุษของพ่อเสียเลือดเน ื้อรักษาชาติไว้ ขอเถอะคับคุณไม่ชอบพ่อก็ออก ไป จากบ้านของท่านเถอะ ผมรักพ่อครับ พวกเราสีเดียวกันครับ ศีรษะนี้มอบให้พระเจ้าแผ่นดิน ดาราหลายคนน้ำตาไหล ลุกขึ้นปรบมือ"

เป็นสิทธิที่ใครจะคิดจะรู้สึก แต่ข้อเสียในประเทศนี้คือมีการพูดอยู่ข้างเดียว ถ้าพูดแสดงความเห็นต่างโดนยิง โดนจับ เป็นผู้สร้างความไม่มั่นคง
ประเทศนี้เป็นของทุกคนไม่ว่าใคร เพราะบรรพบุรุษของทุกคนรบ ตายหรือเอาตัวรอดมาจนวันนี้ด้วยกัน
เราจะไม่ให้เกียรติและเครดิตแก่สามัญชนเลยหรือ เราจะเป็นเพียงsubject ไม่ใช่citizen ถ้าเป็นอย่างนั้น
ถามผู้พูดและคนไทยทั้งมวลว่าเวลาทำศึกสงครามใครอยู่แถวหน้าประจันบาน ตายก่อน ให้ดูทหารในปัจจุบัน เวลามีปัญหาชายแดนใครไปเสี่ยงก่อน กระนั้นเราก็ยังเสียภาษีทุกรูปแบบเพื่อเช่าที่ทางอยู่ในประเทศแห่งโลกสมมตินี้ ใครเคยให้เราฟรีๆ มีแต่เราเสียภาษีไปแล้วไม่ได้กลับมา ข้าราชการหรือข้าประชาชนเพราะเงินเดือนที่รับคือภาษีเก็บมาจากคนจน เขามีเงินหลังเกษียณ แต่เราผู้จ้างคือเจ้านายไม่มี
ไม่มีบ้านเมืองไหน สร้างขึ้นจนสำเร็จได้โดยคนๆเดียว ครอบครัวเดียว ต้องพึ่งแม้กระทั่งมหาอำนาจภายนอก
และไม่เคยได้ยินประเทศไหนไล่คนในชาติ ออกสู่สาธารณะชนอย่างนี้ เป็นเราเราอาย ที่ได้ล่วงเกินประชาผู้ร่วมชาติให้ช้ำใจ
ชีวิตสมมติ ในวงจรสมมติ ตามที่รำพันกันหนักหนาว่าศาสดา สิทธัตถะสอน ได้ยินแล้วรู้สึกหนักใจเข้าไปอีก ที่ว่าเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ พูดกันติดปาก แต่ไม่เคยตระหนักคิด ไม่เคยพยายามปฎิบัติ วิถีการดำเนินชีวิตคนไทยจึงขัดกับที่พูดทุกอย่าง

ผู้พูดเคยตระหนักหรือไม่ หรือว่าประเทศอยู่ได้เสมอ นี้เป็นตรรกะ ถ้าใครขาดหายสักครอบครัว แต่ครอบครัวใดๆจะอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีคนหมู่มากเข้าร่วมจัดระบบและรับมันตามนั้น เกิดเป็นคนไทยนี้ทุกข์และเหนื่อย เสียทุกอย่างแล้วยังถูกไล่ ถ้าเป็นไปได้คนไทยพร้อมใจไปกันหมด จะทำอย่างไร รู้หรือไม่ว่าเค้าอยากย้ายหนีกันทั้งนั้น หนีความด้อยพัฒนาทางความคิด แต่ประเทศที่เจริญแล้วเค้าไม่อยากรับคนนอกอีก เพราะประวัติเดิมเราคงทำดีทำเก่งกันไว้มาก ประกอบกับคนของเขาเอง ก็มากพออยู่แล้ว
หรือว่าถ้าคนไทยไปกันหมดได้เป็นเรื่องดี ที่จะได้ไม่ต้องออกกม.วิธีการต่างๆบีบคั้นให้ประชาชนขายที่ดิน แล้วเอาไปขายให้ต่างชาติในราคาแพงกว่า ในความเป็นจริง ถ้าขายได้ก็ต้องมาแบ่งกัน เพราะเราก็เสียเงินทุกรูปแบบดูแลแผ่นดินนี้มาพอๆกัน ก่อนจะแยกทางกันเดิน
คุณพงพัฒน์และคนไทยอีกมาก คงไม่เคยเห็นชาวไทยที่ลำบากยากจน ไม่มีการศึกษา ไม่มีที่อยู่อาศัย ไม่มีแม้แต่ความเป็นคนในสายตาคนไทยบางคนด้วยกัน ถึงได้เอ่ยปากไล่ คนไทยอีกมากคงไม่ต่างอะไรกับหมาแมวในสายตาผู้พูด และผู้ที่เห็นด้วย
ถ้าการพูดครั้งนี้เป็นการเอาใจผู้ใหญ่ เราก็ไม่แปลกใจที่หนังไทย บันเทิงไทย ไม่เคยมีวิวัฒนาการไปไหน วนเวียนเป็นวัวพันหลัก คอยนั่งลอก แล้วชมกันเอง
ท้ายที่สุด กระทั่งโกงกันเอง
ขอความเจริญทางความคิดจงบังเกิดแก่คนไทยทุกคน อย่าดีแต่กิน เพราะชีวิตเป็นคนได้ตรงรู้จักจะคิด ถ้ากินอยู่เอาสบายไปวันๆไม่คิดอะไรเลย เดรัจฉานสัตว์นั้นดูจะประเสริฐกว่าเรา เพราะไม่สะสม จนเบียดเบียนกันเกินเหตุจำเป็น
มนุษย์เราบางคนต่างหากที่ไม่สามารถจะเรียกได้ว่า เดรัจฉานสัตว์
อาเมน

Mr.911 กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ
.....
บริการ โฮสติ้ง จดโดเมน Colocation ราคาถูก

เรารักในหลวง กล่าวว่า...

คุณรู้ได้ไงเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

แล้วคุณรู้ได้อย่างไรว่าเป็นความจริง ?.เราควรดีใจที่ประเทศไทยของเรามีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขสูงสุดและภูมิใจที่ท่านทรงให้ความเห็นอกเห็นใจประชาชน

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

คุณก็เป็นคนไทยเหมือนกับผมคุณน่าจะคิดได้ว่าอะไรถูกอะไรผิด . ผมอยากให้คุณเข้าใจใหม่ คิดใหม่ ทำใหม่ มันจะเป็นสิ่งดีเข้ามา เหมือนที่ท่านเคยบอกเคยกล่าวมา

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

คุณก็เป็นคนไทยเหมือนกับผมคุณน่าจะคิดได้ว่าอะไรถูกอะไรผิด . ผมอยากให้คุณเข้าใจใหม่ คิดใหม่ ทำใหม่ มันจะเป็นสิ่งดีเข้ามา เหมือนที่ท่านเคยบอกเคยกล่าวมา