ในสถานการณ์แห่งการเรียกร้องประชาธิปไตยและความเป็นธรรมทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ที่กำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้นและกว้างขวางเป็นพิเศษนี้ สังคมไทยควรนำ “ประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ 1” (ลงวันที่ 24 มิถุนายน 2475) มาศึกษากันอย่างครบถ้วนกระบวนความ และอย่างเปิดเผยกว้างขวางเป็นสาธารณะ เพื่อทำความเข้าใจความหมายของ “ประชาธิปไตย” และ “ความเป็นธรรม” ที่กำลังเรียกร้องกันอยู่ให้ชัดเจน เพื่อสร้าง “อุดมการณ์ร่วมกัน” ในการเดินหน้าต่อไป
ทำไมจึงจำเป็นต้องศึกษา “ประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ 1” ?
คำตอบตรงไปตรงมา เพราะประกาศฉบับดังกล่าวคือ “สัญญาประชาคม” (social contract) แห่งการเริ่มต้นสังคมประชาธิปไตยไทย เมื่อแรกเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475
สัญญาประชาคมดังกล่าวจึงเป็นเสมือน “รากฐาน” ของระบอบประชาธิปไตยในสังคมไทย หากประชาธิปไตยที่เราเรียกร้องไม่ได้ยึดโยงอยู่กับรากฐานดังกล่าว มันก็จะกลายเป็น“ประชาธิปไตยไร้ราก” ที่เป็นเพียงของเล่นซึ่งนำมากล่าวอ้างกันเพื่อแย่งชิงอำนาจทางการเมืองเท่านั้นเอง
สาระสำคัญของประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ 1 อาจสรุปได้ดังนี้ [1]
1. เหตุผลของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
(1) “...กษัตริย์...ทรงอำนาจอยู่เหนือกฎหมายเดิม ทรงแต่งตั้งญาติวงศ์และคนสอพลอไร้คุณความรู้ให้ดำรงตำแหน่งที่สำคัญๆ ไม่ทรงฟังเสียงราษฎร ปล่อยให้ข้าราชการใช้อำนาจหน้าที่ในทางทุจริต มีการรับสินบนในการก่อสร้างและการซื้อของใช้ในราชการ หากำไรในการเปลี่ยนเงิน ผลาญเงินของประเทศ ยกพวกเจ้าขึ้นให้สิทธิพิเศษมากกว่าราษฎร กดขี่ข่มเหงราษฎร ปกครองโดยขาดหลักวิชา ปล่อยให้บ้านเมืองเป็นไปตามยถากรรม…”
(2) “...รัฐบาลของกษัตริย์มิได้ปกครองประเทศเพื่อราษฎรตามที่รัฐบาลอื่นๆ ได้กระทำกัน...ได้ถือเอาราษฎรเป็นทาส (ซึ่งเรียกว่าไพร่บ้าง ข้าบ้าง) เป็นสัตว์เดียรัจฉาน ไม่นึกว่าเป็นมนุษย์ เหตุฉะนั้น แทนที่จะช่วยราษฎร กลับพากันทำนาบนหลังราษฎร...”
(3) “…รัฐบาลของกษัตริย์ได้ปกครองอย่างหลอกลวงไม่ซื่อตรงต่อราษฎร มีเป็นต้นว่าหลอกว่าจะบำรุงการทำมาหากินอย่างโน้นอย่างนี้ แต่ครั้นคอยๆ ก็เหลวไป หาได้ทำจริงจังไม่ มิหนำซ้ำกล่าวหมิ่นประมาทราษฎรผู้มีบุญคุณเสียภาษีอากรให้พวกเจ้าได้กิน ว่าราษฎรยังมีเสียงทางการเมืองไม่ได้ เพราะราษฎรโง่ (ขีดเส้นใต้เน้นโดยผู้เขียน) คำพูดของรัฐบาลเช่นนี้ใช้ไม่ได้ ถ้าราษฎรโง่ เจ้าก็โง่เพราะเป็นคนชาติเดียวกัน ที่ราษฎรรู้ไม่ถึงเจ้านั้นเป็นเพราะขาดการศึกษาที่พวกเจ้าปกปิดไว้ไม่ให้เรียนเต็มที่ เพราะเกรงว่าเมื่อราษฎรได้มีการศึกษา ก็จะรู้ความชั่วร้ายที่พวกเจ้าทำไว้ และคงจะไม่ยอมให้เจ้าทำนาบนหลังคนอีกต่อไป...”
(4) “...ประเทศเรานี้เป็นของราษฎร ไม่ใช่ของกษัตริย์ตามที่เขาหลอกลวง บรรพบุรุษของราษฎรเป็นผู้ช่วยกันกู้ให้ประเทศเป็นอิสรภาพพ้นมือจากข้าศึก พวกเจ้ามีแต่ชุบมือเปิบและกวาดทรัพย์สมบัติเข้าไว้ตั้งหลายร้อยล้าน เงินเหล่านี้เอามาจากไหน? ก็เอามาจากราษฎรเพราะวิธีทำนาบนหลังคนนั้นเอง...”
(5) “...บ้านเมืองกำลังอัตคัดฝืดเคือง ชาวนาและพ่อแม่ทหารต้องทิ้งนา เพราะทำนาไม่ได้ผล รัฐบาลไม่บำรุง รัฐบาลไล่คนงานออกอย่างเกลื่อนกลาด นักเรียนที่เรียนสำเร็จแล้วและทหารที่ปลดกองหนุนแล้วก็ไม่มีงานทำ จะต้องอดอยากไปตามยถากรรม เหล่านี้เป็นผลของกษัตริย์เหนือกฎหมาย ... ควรเอาเงินที่พวกเจ้ากวาดรวบรวมไว้มาจัดบำรุงบ้านเมืองให้คนมีงานทำ จึงจะสมควรที่สนองคุณราษฎรซึ่งได้เสียภาษีอากรให้พวกเจ้าได้ร่ำรวยมานาน แต่พวกเจ้าก็หาได้ทำอย่างใดไม่ คงสูบเลือดกันเรื่อยไป เงินเหลือเท่าไหร่ก็เอาไปฝากต่างประเทศ คอยเตรียมหนีเมื่อบ้านเมืองทรุดโทรม ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก การเหล่านี้ย่อมชั่วร้าย…”
(6) “...คณะราษฎรเห็นว่าการที่จะแก้ความชั่วร้ายนี้ได้ก็โดยที่จะต้องจัดการปกครองโดยมีสภา จะได้ช่วยกันปรึกษาหารือหลายๆ ความคิดดีกว่าความคิดเดียว ส่วนผู้เป็นประมุขของประเทศนั้น ...จะต้องอยู่ใต้กฎหมายธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน จะทำอะไรโดยลำพังไม่ได้ นอกจากด้วยความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร… (ขีดเส้นใต้เน้นโดยผู้เขียน) และก็เป็นการจำเป็นที่ประเทศจะต้องมีการปกครองแบบอย่างประชาธิปไตย...”
เหตุผล (ที่ผู้เขียนสรุปเป็นข้อๆ) 6 ข้อ ดังกล่าว คือ “ความไม่เป็นธรรม” (ในสายตาของคณะราษฎร และประชาชนที่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงการปกครอง) ที่มีรากฐานมาจากโครงสร้างอำนาจตัดสินใจของคนเพียงคนเดียวซึ่งมีสถานะของ “กษัตริย์อยู่เหนือกฎหมาย”
2. สัญญาประชาคม 6 ประการ : พันธสัญญาเพื่อสังคมที่เป็นธรรม
(1) จะต้องรักษาความเป็นเอกราชทั้งหลาย เช่นเอกราชในทางการเมือง ในทางศาล ในทางเศรษฐกิจ ฯลฯ ของประเทศไว้ให้มั่นคง
(2) จะต้องรักษาความปลอดภัยภายในประเทศ ให้การประทุษร้ายต่อกันลดน้อยลงให้มาก
(3) ต้องบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะจัดหางานให้ราษฎรทุกคนทำ จะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก
(4) จะต้องให้ราษฎรมีสิทธิเสมอภาคกัน (ไม่ใช่พวกเจ้ามีสิทธิยิ่งกว่าราษฎรเช่นที่เป็นอยู่ในเวลานี้)
(5) จะต้องให้ราษฎรได้มีเสรีภาพ มีความเป็นอิสระ เมื่อเสรีภาพนี้ไม่ขัดต่อหลัก ๔ ประการดังกล่าวข้างต้น
(6) จะต้องให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร
3. บทสรุปของประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ 1
“...ประเทศจะมีความเป็นเอกราชอย่างพร้อมบริบูรณ์ ราษฎรจะได้รับความปลอดภัย ทุกคนจะต้องมีงานทำไม่ต้องอดตาย ทุกคนจะมีสิทธิเสมอกัน และมีเสรีภาพพ้นจากการเป็นไพร่ เป็นข้า เป็นทาสพวกเจ้า หมดสมัยที่เจ้าจะทำนาบนหลังราษฎร สิ่งที่ทุกคนพึงปรารถนาคือ ความสุขความเจริญอย่างประเสริฐซึ่งเรียกเป็นศัพท์ว่า “ศรีอาริยะ” นั้น ก็จะพึงบังเกิดขึ้นแก่ราษฎรถ้วนหน้า”
อุดมการณ์ร่วมกันและก้าวต่อไป
“อุดมการณ์ร่วมกัน” ของสังคมไทยในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยจะต้องมี “ราก” มาจากเจตนารมณ์ของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง คือ “ประชาธิปไตยที่ประมุขของประเทศอยู่ใต้กฎหมายธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน จะทำอะไรโดยลำพังไม่ได้ นอกจากด้วยความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร”
การปกป้อง “ชาติ ศาสน์ กษัตริย์” จะต้องชัดเจนว่า “ชาติคือประชาชน” ที่เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย “ศาสน์” และ “กษัตริย์” ดำรงอยู่ได้ด้วยศรัทธาและฉันทามติของประชาชนบนหลักการที่ว่า “สถาบันใดๆก็ตามจะอยู่ควบคู่ไปกับสังคมอย่างเหมาะสมกับสมัย ต้องโปร่งใสและตรวจสอบได้” (ส.ศิวรักษ์,ฟ้าเดียวกัน,ตุลาคม-ธันวาคม 2551,หน้า 22)
ก้าวต่อไปของสังคมไทยที่มี “อุดมการณ์ร่วมกัน” ดังกล่าว ไม่ใช่การต่อสู้เพื่อล้ม “อำมาตยาธิปไตย” ไม่ใช่การต่อสู้เพื่อล้ม “ทุนนิยมสามานย์” เพราะนั่นเป็นเพียง “ปีศาจ” ที่มีอิทธิฤทธิ์หลอกหลอนเราอยู่ได้โดยอาศัยการดูด “พลังหลับใหล” ไปจากเรา เพราะเราต่างสยบยอมต่ออำนาจของมันด้วยมัวแต่หลับใหลไม่นำพา “สัญญาประชาคม 6 ประการ” อันเป็นพันธสัญญาแรกเริ่มก่อร่างสร้าง “สังคมประชาธิปไตย” ที่ประชาชาติเจ้าของอำนาจที่แท้จริงจะต้องร่วมกันทำพันธสัญญานั้นให้เป็นจริงด้วยสมองและสองมือ
ไม่ใช่มัวรอการหยิบยื่นจาก “ฟากฟ้าสุราลัย” หรือจากชนชั้นนำอื่นๆที่ไม่รู้ค่าความหมายของ “สิทธิเสมอภาคกัน” ไม่เคยตระอย่างจริงใจในหน้าที่ที่ “จะต้องบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ..” และ “จะต้องให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร”
แต่ก้าวต่อไปคือการ “ก้าวกลับเพื่อเดินทางต่อ” ก้าวกลับไปสู่จุดเริ่มต้น “อุดมการณ์ประชาธิปไตย” และ “สัญญาประชาคม” แล้วเดินทางต่อด้วยการร่วมกันสร้างพลังทางสังคมขับเคลื่อนการออกแบบโครงสร้างสังคมประชาธิปไตยที่ประชาชนทุกคนมีสิทธิเสมอภาคอย่างแท้จริง มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีสวัสดิการ มีเสรีภาพ มีศักดิ์ศรี และอยู่ร่วมกันภายใต้กติกาที่เป็นธรรม
นักปรัชญาชายขอบ
ที่มา : หนังสือพิมพ์ออนไลน์ประชาไท : อุดมการณ์ประชาธิปไตยและความเป็นธรรม ตามนัย ‘ประกาศคณะราษฎร’
วันอาทิตย์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2552
อุดมการณ์ประชาธิปไตยและความเป็นธรรม ตามนัย ‘ประกาศคณะราษฎร’
ผู้จัดเก็บบทความ
เจ้าน้อย ณ สยาม
ที่
2:12 ก่อนเที่ยง
0
ความคิดเห็น
แผนการณ์ร่วมของราชวงศ์ กำลังเข้มข้น : Thailand’s royal sub-plot thickens
Inside Story Current affairs and culture
Thailand’s royal sub-plot thickens
report Nicholas Farrelly and Andrew Walker
แปลและเรียบเรียง : chapter 11
แผนการณ์ร่วมของราชวงศ์ กำลังเข้มข้น
การเปลี่ยนแนวร่วม ดันให้เรื่องที่แอบแฝงอยู่ในวิกฤติการเมืองไทย ถลำลึกลงไป
เมื่อเดือนที่แล้ว เราได้เสนอบทความเรื่องการร่วมวางแผนของราชวงศ์ในประเทศไทยในอินไซด์สตอรี่ เราคิดว่าราชวงศ์ได้นำตัวเข้าไปพัวพันในความขัดแย้งของการเมืองไทย ซึ่งนำความสั่นสะเทือนให้กับประเทศไทยในระยะสามปีที่ผ่านมา การร่วมวางแผนของราชวงศ์ขณะนี้กำลังเข้มข้นด้วยการเคลื่อนไหวที่เกินคาดหมาย
เช้าตรู่ของวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๕๒ สนธิ ลิ้มทองกุล อภิมหาสื่อและแกนนำผู้ประท้วงเสื้อเหลืองได้เดินทางโดยรถยนต์ในกรุงเทพ รายละเอียดที่เกิดขี้นต่อจากนั้นยังคงไม่ปะติดปะต่อ รถยนต์ของสนธิได้ถูกกระหน่ำยิงจนพรุน ไม่ว่าเรื่องนี้จะเป็นการลอบสังหารที่ไร้ฝีมืออย่างน่าขบขัน หรือความพยายามที่จะการสร้างสถานการณ์ก็ตาม สนธิรอดตายไม่มีแม้แต่รอยแมวข่วน มีแต่เพียงเศษกระสุนค้างอยู่ในกะโหลก
สนธิได้ใช้ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาทบทวนว่า ควรจะเปิดปากพูดว่าเกิดอะไรขี้น ตั้งแต่ได้ถูกรีบพาเข้าโรงพยาบาล และเรื่องที่มีการ เดาไปต่างๆนานาว่า ใครเป็นคนสั่ง “ฆ่า”
อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรและผู้สนับสนุนเสื้อแดงของเขาเป็นเป้าหมายแรกที่ถูกต้องสงสัย จากการประท้วงบนท้องถนนที่แยกฝ่ายด้วยสีที่ใส่เมื่อไม่นานมานี้ ทักษิณได้โจมตีเสื้อเหลืองฝ่ายสนธิ ทักษิณและสนธิในครั้งหนึ่งได้เคยร่วมงานทางธุรกิจและเกิดการขัดแย้งกันจนถึงขั้นไม่เผาผี การประท้วงต่อต้านทักษิณที่นำโดยสนธิได้ทวีความรุนแรงขี้น จนนำไปสู่การรัฐประหารในเดือนกันยายน ๒๕๔๙
หลังจากการทำรัฐประหารแล้ว ได้มีการเลือกตั้งในเดือนธันวาคม ๒๕๕๐ นักการเมืองฝ่ายทักษิณได้รับเลือกตั้งเข้ามาบริหารประเทศอีกครั้ง สนธินำผู้สนับสนุนของเขาทำการประท้วงบนท้องถนนในกรุงเทพ มีการปลุกปั่นโจมตีรัฐบาลตลอดทั้งปี ๒๕๕๑ และทวีความรุนแรงขี้นเรื่อยๆจนถึงขั้นบุกยึดสนามบินนานาชาติในกรุงเทพ และขับไล่นายกรัฐมนตรีสมชาย วงศ์สวัสดิ์ น้องเขยของทักษิณให้ออกจากตำแหน่ง สนธิระดมกำลังจากสถาบันการเงินที่สำคัญ จากสื่อ และจากผู้มีอิทธิพลทางการเมือง โหมรณรงค์ระรอกแล้วระลอกเล่าโจมตีฝ่ายทักษิณและชาวเสื้อแดง
ดังนั้น ทักษิณก็มีเหตุจูงใจ แต่ความน่าเชื่อถือว่าทักษิณอยู่เบื้องหลังการลอบสังหารนี้เพียงไม่กี่วันก็ตกไป แต่มีข้อสันนิษฐานที่น่าติดตามโผล่ออกมาใหม่
ตัวสนธิเองที่ออกมาปฎิเสธว่าทักษิณไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ได้ชี้นิ้วไปยัง “บรรดาทหารที่มีอิทธิพล” จากการเปิดให้สื่อสัมภาษณ์เป็นครั้งแรกหลังจากถูกลอบสังหาร สนธิได้ระบุว่า ด้วยสภาพการเมืองที่เป็นสูญญากาศหลังจากทักษิณถูกปล้นอำนาจแล้วนั้น มี “ใครบางคน” หวังว่าจะเข้ามาแทนที่ สนธิได้เปิดฉากใหม่ในการดิ้นรนทางการเมือง และเป็นที่น่ากังขาว่าจะยังมีผู้หนุนหลังเหลืออยู่หรือไม่ “ถ้าผมถูกฆ่า นั่นก็หมายความว่า (นายกรัฐมนตรี) อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะเป็นเป้าหมายคนต่อไป ในประเทศนี้คนไหนที่มีอาวุธจะทำอะไรก็ได้โดยไม่คำนึงว่าเมืองไทยจะอยู่รอดได้อย่างไร”
ไม่มีใครเชื่อว่าบรรดา “บุคคลที่มีอาวุธ” จะทำงานโดยลำพัง มีการพูดเป็นนัยว่ามีคนระดับสูงหนุนหลังอยู่ สนธิได้ประกาศไว้อย่างชัดเจนว่า
“ผมสงสัยว่าอาจมีการสมรู้ร่วมคิดของผู้มีอำนาจ”
มีการเดากันไปต่างๆนาๆ และมีการกระซิบกระซาบว่าใครคือบุคคลดังกล่าว เป็นเรื่องไม่น่าเชื่อที่ทางราชวังเองถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องกับข่าวลือ เมื่ออาทิตย์ที่แล้วได้มีการรายงานข่าวในสื่อของทั้งไทยและเทศอย่างแพร่หลายว่า ท่านผู้หญิงวิระยา ชวกุล สุภาพสตรีผู้ใกล้ชิดกับราชินีสิริกิติ์ ได้ปฎิเสธว่าไม่ได้มีส่วนรู้เห็นในการลอบสังหารสนธิ หนังสือพิมพ์ของสำนักพิมพ์หนึ่งได้บรรยายท่านผู้หญิงว่ามีตำแหน่งเป็นนางสนองพระโอษฐ์ การออกโรงปฎิเสธของท่านผู้หญิงนี้รังแต่จะสร้างเรื่องนินทาได้อย่างไม่จบไม่สิ้น โดยเฉพาะในขณะนี้ ท่านผู้หญิงได้กล่าวเป็นนัยว่า มีข้าราชบริพารท่านอื่นที่ไม่ได้เอ่ยชื่อ อาจจะเป็นเป้าหมายตัวจริงของกรมข่าวลือนั้น ราชวังพยายามที่จะถอยออกมาให้พ้นกับการเปิดเผยที่ก่อให้เกิดความเสียหาย โดยการยืนยันว่าท่านผู้หญิงไม่ได้มีตำแหน่งใดๆในราชวงศ์
ตั้งแต่การทำรัฐประหารซึ่งปล้นรัฐบาลทักษิณ ผู้ใกล้ชิดราชวังอีกหลายท่านได้ถูกดึงเข้ามาพัวพันกับความขัดแย้งที่เพิ่มขี้นในการดิ้นรนทางการเมือง เมื่อเดือนที่แล้ว พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ และ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ทั้งคู่เป็นบุคคลผู้ทรงอำนาจด้วยตำแหน่งองคมนตรีในกษัตริย์ภูมิพล ได้ถูกดึงเข้าสู่การขัดแย้งทางการเมืองต่อสาธารณะ เป็นเวลานานมาแล้วที่ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ข่าวลือ ที่ว่าบุคคลทั้งสองได้ให้การสนับสนุนการเคลื่อนไหวของเสื้อเหลืองของสนธิ ราชินีสิริกิติ์ก็ทรงเป็นผู้ให้การสนับสนุนอย่างชัดเจนต่อเสื้อเหลือง แต่ ณ เวลานี้ ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าพระองค์ยังคงทรงโปรดปรานเสื้อเหลืองอยู่อีกหรือไม่
ความสำเร็จในอดีตของสนธิและเสื้อเหลืองส่วนสำคัญมาจากการหนุนหลังของบุคคลระดับสูง ซึ่งตระเตรียมแผนการเคลื่อนไหวในทางการเมืองของเขา ขณะนี้กำลังที่เคยหนุนหลังได้ถูกทบทวนใหม่ เนื่องจากการรอดชีวิตของสนธิ ถ้าพวกเสื้อเหลืองที่ตายยากอย่างสนธิพบว่า ตัวเองไม่มีความปลอดภัยเสียแล้ว และไม่สามารถพึ่งเพื่อนเก่าทั้งหลายได้อีกต่อไป
แผนการณ์ที่น่ากลัวยิ่งกว่าอาจจะเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น
แอนดรูว์ วอคเกอร์ และ นิโคลาส ฟาร์เรลลี่
หมายเหตุ
แอนดรูว์ วอคเกอร์ และ นิโคลาส ฟาร์เรลลี่ เป็นผู้เชี่ยวชาญพิเศษทางด้านเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ของ วิทยาลัยเอเซียและแปซิฟิก มหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย และเป็นผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ “นิว แมนดาลา” ในปี ๒๕๔๙ ซึ่งเป็นเว็บไซต์เกี่ยวกับกิจกรรมของเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
ที่มา : Liberal Thai : แผนการณ์ร่วมของราชวงศ์ กำลังเข้มข้น
ผู้จัดเก็บบทความ
เจ้าน้อย ณ สยาม
ที่
1:10 ก่อนเที่ยง
0
ความคิดเห็น