สวัสดีครับช่วงนี้เป็นช่วงใกล้สอบของผมแล้ว เลยห่างหายไปน่ะครับ แต่พอดีช่วงนี้เหมือนขาดแรงบันดาลใจทำงาน เลยเข้ามาแวะอ่านประชาไทซักหน่อยครับ
ทำไมวันนี้ผมจั่วหัวเช่นนี้ เพราะเกิดจากการที่คนไทยถูกโพรพะกันดามานานว่าคอมมิวนิสต์เป็นความเชื่อต้องห้าม เป็นสิ่งร้ายแรง จนเคยมีคำพูดที่ว่า ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป ในอดีต
และที่โพรพะกันดานี้ได้ผลก็เพราะว่าคนไทยยังขาดความรู้ความเข้าใจที่ดีเกี่ยวกับกระแสโลก แม้กระทั่งรัฐบาลสหรัฐเองก็ใส่ร้ายป้ายสีคอมมิวนิสต์เกินกว่าที่ควรจะเป็นในช่วงสงครามเย็น โดยที่ไม่ได้คิดว่าศัตรูที่แท้จริงของสหรัฐนั้นหาใช่ระบบคอมมิวนิสต์ไม่
แท้จริงแล้วคือระบบเผด็จการต่างหาก
กับคำพูดที่ว่า อ้าว ก็คอมมิวนิสต์มันเกี่ยวกับเผด็จการทั้งนั้น ดูจีน โซเวียด เกาหลีเหนือ เวียดนามสิคอมมิวนิสต์ไม่ใช่ระบบการปกครองครับ หากแต่เป็นระบบเศรษฐกิจที่ตรงข้ามกับทุนนิยม ด้วยคอมมิวนิสต์ส่งเสริมให้ทุกคนเท่าเทียมกันโดยได้รับการแบ่งสรรปันส่วนจากรัฐ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของรัฐ ไม่มีคำว่าทรัพย์สินส่วนบุคคล นับว่าเป็นสังคมนิยมชนิดสุดขั้ว
แต่ผู้นำที่ปกครองโดยใช้วิถีสังคมหรือคอมมิวนิสต์ก็ไม่จำเป็นต้องมาจากเผด็จการเสมอไป ตัวอย่างสดๆ ร้อนๆ คือที่เนปาล กลุ่มกบฎเหมาอิสต์ที่ยึดอำนาจมาจากราชวงศ์เนปาลนั้นได้รับความนิยม รับเลือกเป็นผู้นำเนปาล
หากแต่ปรัชญาของผู้นำเนปาลนั้นคือคอมมิวนิสต์ หรือนัยหนึ่งคือรัฐสวัสดิการเต็มรูปแบบนั่นเอง รัสเซียเองสมัยเลนินก็ดูทำท่าจะไปได้สวย แต่สตาลินกลับเปลี่ยนโซเวียดกลายเป็นเผด็จการเบ็ดเสร็จ เป็นตัวอย่างไม่ดีให้ประเทศคอมมิวนิสต์ยุคหลังอย่างจีน เกาหลีเหนือ ลอกเลียนแบบสตาลินไปใช้ ประเทศเหล่านี้จึงกลายเป็นเผด็จการไปในที่สุด
และเพราะความเป็นเผด็จการนี่แหละครับ ที่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพประชาชน ปิดกั้นประชาชนทุกวิถึทาง เพื่อให้ตนได้ครองอำนาจ ในสมัยสตาลินนั้นใครเห็นต่างกับสตาลินต้องถูกลงโทษอย่างโหดเหี้้ยม ถูกส่งไปยังค่ายกักกันในไซบีเรียอันเวิ้งว้างและหนาวเหน็บ
ผิดกับผู้นำสังคมนิยมที่ได้รับการเลือกตั้ง แม้แนวทางเศรษฐกิจจะไม่สนับสนุนทุนนิยม แต่เอียงสังคมนิยมมากกว่า เสรีภาพของประชาชนก็ไม่ถูกกระทบ ตัวอย่างเช่นประเทศแถวสแกนดิเนเวีย ที่ระบบเศรษฐกิจออกแนวสังคมนิยม ภาครัฐมีบทบาทในเศรษฐกิจมาก หากแต่รัฐไม่ได้กุมเศรษฐกิจแบบเด็ดขาดอย่างคอมมิวนิสต์เท่านั้น
ในอุดมคติแล้ว ผมนับถือระบบแบบคอมมิวนิสต์นะครับ เพราะผู้คนเท่าเทียมกันอย่างแท้จริง ไม่มีใครรวยจนกว่าใคร ทุกคนมีฐานะเท่าเทียมกันหมด หากเทียบกับพุทธทำนายก็คงเทียบได้กับยุคพระศรีอาริย์ ซึ่งนั่นก็ยังมาไม่ถึง
หากมามองความเป็นจริง สาเหตุที่ระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์ (สังคมนิยมเต็มขั้น) ล้มเหลวก็เพราะความแตกต่างและหลากหลายภายในของคนเรา โดยพันธุกรรม ตั้งแต่กำเนิดแล้วละครับ สิ่งนี้ทำให้คนมีความสามารถต่างๆ ที่แตกต่างกันออกไป และมนุษย์เองก็เต็มไปด้วยกิเลสและตัณหา ทำให้คอมมิวนิสต์ไม่สามารถปรับใช้กับสังคมมนุษย์ได้เลย เพราะมันเป็นระบบที่ประเสริฐเกินไป
ส่วนทุนนิยมเต็มขั้นก็ใช่ว่าจะดี ความโลภเกินพอดีจะทำให้ฟองสบู่แตก และชีวิตคนสามารถเปลี่ยนได้จากหน้ามือเป็นหลังมือ อีกทั้งยังทำให้สังคมเสื่อมทรามลงด้วยคนคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนตนมากกว่าส่วนรวม
ดังนั้น ประเทศทุนนิยมจ๋าอย่างอเมริกาในอดีต ตอนนี้รัฐบาลกลางก็เริ่มลงมาเล่นกับเศรษฐกิจประเทศบ้างแล้ว สมัย Great Depression ในอดีตรัฐบาลของ ปธน. รูสเวลท์ก็ได้ออก The New Deal ซึ่งเป็นโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่จากภาครัฐ
ส่วนคอมมิวนิสต์เก่าอย่างรัสเซียหรือจีน ตอนนี้ภาพคอมมิวนิสต์เต็มขั้นหายไปหมดแล้ว ที่มอสโคว์ ปักกิ่ง และเซี่ยงไฮ้ ผู้คนหายใจเข้าออกเป็นเงิน เงิน และเงิน งาน งาน และงาน
พล่ามมาซะยาว ที่แท้ผมต้องการอธิบายและสื่อว่า คอมมิวนิสต์ ไม่ใช่ศัตรูของเราครับ เพราะฉะนั้นข้อกล่าวหาที่ว่าเป็นคอมมิวนิสต์ เป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐนั้น ฟังไม่ขึ้นเลยสำหรับผม มันเป็นระบบเศรษฐกิจ ไม่ใช่ระบอบทางการเมือง
ที่เรากังวลกันมากกว่าคือ เผด็จการ หรือไม่ก็ อภิชนาธิปไตยซะมากกว่า ระบบเศรษฐกิจไม่ใช่ตัวกดดันเสรีภาพในการแสดงออกของคนครับ หากแต่ผู้ปกครองมากกว่าที่เลือกได้ที่จะปกครองอย่างยุติธรรม หรือแบบกดขี่ข่มเหง ต่อให้ระบบเศรษฐกิจจะเป็นแบบไหนก็ช่าง หากผู้ปกครองอุดมด้วยเมตตา และปกครองด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม ประชาชนย่อมมีความสุข รู้สึกถูกปฏิบัติโดยรัฐอย่างดีและเสมอภาคกัน
อยากให้คนไทยเลิกคิดถึงเรื่องทุนนิยม - คอมมิวนิสต์ เพราะเดี๋ยวนี้มันผสมกันไปแล้ว ต่างฝ่ายต่างก็เอาข้อดีของอีกฝ่ายมาใช้
สิ่งที่น่าห่วงมากกว่าคือ ผู้บริหารรัฐบาลของเรานั้นมาจากเสียงบริสุทธิ์จากประชาชนอย่างแท้จริงหรือไม่ โรมาเนียในวันของคอมมิวนิสต์นั้น นิโคไล เชาเชสคูเป็นผู้นำสูงสุด แต่ปกครองประเทศอย่างกดขี่ และมีการสร้างลัทธิบูชาตัวเชาเชสคูขึ้นในโรมาเนีย พอเชาเชสคูตาย ประชาชนชาวโรมาเนียต่างดีใจที่วันร้ายๆ ผ่านพ้นไปเสียที
เหล่าอำมาตย์เอ๋ย อยากตายไปมีแต่คนยกย่องสรรเสริญ หรืออยากอยู่ให้คนสาปแช่งด่าเหมือนตกนรกทั้งเป็นแบบนี้ อยากได้แบบไหนเลือกเอา
Democratic Chemist
ที่มา : เวบบอร์ด "ประชาไท" : ศัตรูของประชาธิปไตยไม่ใช่คอมมิวนิสต์ แต่......
หมายเหตุ
การเน้นข้อความทำโดยความเห็นของผู้จัดเก็บบทความ
วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2552
ศัตรูของประชาธิปไตยไม่ใช่คอมมิวนิสต์ แต่......
ผู้จัดเก็บบทความ
เจ้าน้อย ณ สยาม
ที่
10:13 หลังเที่ยง
0
ความคิดเห็น
ปัญหาระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท : The trouble with the king
The Economist.
The trouble with the king
Apr 16th 2009
แปลโดย : ทีมแปลข่าวเฉพาะกิจ (ประชาไท)
หมายเหตุ
กิจกรรมนี้เกิดขึ้นจากทีมนักแปลอาสาสมัครที่อยากให้สาธารณชนได้บริโภคข่าวสารอย่างรอบด้าน เนื่องเพราะเห็นว่าสื่อสารมวลชนของไทยมีปัญหาเรื่องการทำงานในสถานการณ์วิกฤตินี้ เราจึงเลือกแปลข่าวของสื่อต่างชาติที่ยังสามารถทำงานตามหลักการวิชาชีพได้ โดยไม่มีอคติต่อฝ่ายใด และไม่มีอำนาจรัฐมาครอบงำ
ปัญหาระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท
ไม่มีใครกล้าพูดออกมาดังๆ แต่ในวิกฤตการณ์ครั้งล่าสุดนี้ สถาบันกษัตริย์ไทยที่ไม่ปรากฏบทบาทให้เห็น คือหัวใจของปัญหาทั้งหมด
ในรายงานข่าวของ The Economist เกี่ยวกับการปฏิวัติของคณะราษฎร์เมื่อ พ.ศ. 2475 มีนัยยะบ่งบอกถึงเส้นทางการปกครองของไทยที่ให้ความหวังอยู่มากทีเดียว ในสมัยนั้น กลุ่มประเทศในละตินอเมริกา มีแต่รัฐบาลทหารผลัดเปลี่ยนเวียนหน้าขึ้นมา ในขณะที่นักลัทธิฟาสซิสต์ขับเคลื่อนประเทศญี่ปุ่นไปสู่การปกครองระบอบทรราชย์ ผู้สื่อข่าวของเรา (โปรดดูบทความชิ้นนี้ได้ที่นี่ http://www.economist.com/world/asia/PrinterFriendly.cfm?story_id=13479303) เขียนไว้ว่า:
“นักปฏิวัติชาวสยามกลับขับเคลื่อนประเทศไปในทิศทางตรงกันข้าม กล่าวคือ จากระบอบกษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชไปสู่การปกครองตัวเอง [ของประชาชน]” ในการยึดอำนาจโดยไม่เสียเลือดเนื้อครั้งนี้ กลุ่มนายทหารที่มีแนวคิดแบบตะวันตก จับตัวมกุฎราชกุมารและอธิบดีกรมตำรวจไว้ รัชกาลที่ 7 ทรงไม่มีทางเลือกอื่นมากนัก นอกจากต้องยอมรับโดยดุษฎี นับแต่นั้นมา อำนาจถูกถ่ายโอนจากระบอบกษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชไปสู่ระบอบรัฐธรรมนูญที่มีรัฐสภา ยุคศักดินาจึงสิ้นสุดลง
หากนักข่าวคนนั้นนึกว่าการปฏิวัติครั้งนี้จะทำให้เกิดภาพอะไรสักอย่างเหมือนราชวงศ์ดัทช์ขี่จักรยานออกไปช็อปปิ้งล่ะก็ ภาพแบบนั้นในประเทศไทยคงถูกปล้นกลางอากาศไประหว่างทางก่อนถึงซูเปอร์มาร์เก็ต ทุกวันนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชซึ่งมีพระชนมายุ 81 พรรษา และเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงครองราชย์นานที่สุดในโลก ทรงมีพระบารมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา และยังคงเป็นศูนย์กลางของประเทศไทยท่ามกลางความปั่นป่วนทางการเมืองมาโดยตลอด
ความจริงข้อนี้ช่วยอธิบายเหตุการณ์ประหลาดพิสดารประการหนึ่งในบรรดาเรื่องพิสดารมากมายในวิกฤตการณ์ครั้งล่าสุดของประเทศนี้ ในยามหน้าสิ่วหน้าขวานที่อาจเกิดการนองเลือดครั้งใหญ่ ขณะกองทัพกำลังประจันหน้ากับผู้ประท้วง “เสื้อแดง” ที่ต่อต้านรัฐบาลในกรุงเทพฯ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่หลุดจากตำแหน่งเพราะการรัฐประหาร พ.ศ.2549 ก็ออกมาให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ สุ้มเสียงสั่นเครือและวิงวอนขอพระมหากรุณาธิคุณ “ในหลวง” ทรงออกมาระงับการเผชิญหน้าขั้นแตกหักครั้งนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ชวนให้เรานึกถึงเหตุการณ์อันโด่งดังเมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงออกมาตำหนิผู้บัญชาการกองทัพและผู้นำการประท้วงผ่านการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ หลังจากเหตุพฤษภาเลือดในกรุงเทพเมื่อ พ.ศ. 2535
ทั้งๆ ที่ทักษิณ ผู้อยู่ระหว่างการลี้ภัยและถูกตัดสินลับหลังในคดีคอร์รัปชั่น ถูกฝ่ายตรงข้ามกล่าวหาว่าเป็นผู้มีจิตใจฝักใฝ่ในระบอบสาธารณรัฐอยู่ลับๆ อันที่จริง เขาก็มีพฤติกรรมเฉียดๆ การวิจารณ์สถาบันกษัตริย์อยู่เหมือนกัน ตรงที่ไปเรียกร้องให้องคมนตรีสองท่านลาออก ซึ่งเชื่อกันโดยทั่วไปว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการรัฐประหาร พ.ศ.2549 เมื่อผู้ประท้วง “เสื้อเหลือง” ยึดทำเนียบของรัฐบาลที่จงรักภักดีต่อทักษิณเมื่อปลายปีที่แล้ว พวกเขาก็อ้างว่าทำเพื่อสถาบันกษัตริย์ มาตอนนี้ กระทั่งทักษิณเองยังรู้สึกว่า ต้องประกาศความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์และถวายบังคมต่อพระราชอำนาจของพระองค์
บารมีอันใหญ่หลวงของสถาบันกษัตริย์หาได้มีอยู่ก่อนแล้วไม่ ในสมัยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงขึ้นครองราชย์ขณะยังทรงพระเยาว์ อีกทั้งยังทรงเป็นพระโอรสของสามัญชนลูกครึ่งจีนและประสูติในสหรัฐอเมริกา ภาพพจน์ของพระองค์ได้รับการหล่อหลอมจากที่ปรึกษาในพระราชวังและรัฐบาลทหารชุดแล้วชุดเล่า คนเหล่านี้เห็นว่ามีประโยชน์อย่างยิ่งที่พึงมีประมุขของประเทศ ซึ่งไม่เพียงอยู่เหนือการวิพากษ์วิจารณ์ใดๆ เท่านั้น แต่ยังเปรียบประดุจสมมติเทพด้วย เพราะการได้รับพระราชานุมัติจากพระมหากษัตริย์ ย่อมช่วยสร้างความชอบธรรมให้รัฐบาลหน้าตาอัปลักษณ์ที่ดูคล้ายรัฐบาลทหารในละตินอเมริกาสมัยก่อน ซึ่งในกรณีของประเทศไทยนั้น รัฐบาลประเภทนี้มักได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มพวกพ้องทางธุรกิจและชนชั้นนำในกรุงเทพฯ ความจำเป็นนี้อธิบายว่า เหตุใดพระมหากษัตริย์ที่ประชาราษฎรเคารพบูชาอย่างสุดซึ้ง จึงยังต้องได้รับการคุ้มครองจากกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่เข้มงวดที่สุดฉบับหนึ่งในโลก พระมหากษัตริย์มิได้เป็นเพียงประมุขแต่ในนามสำหรับชนชั้นนำในเมืองไทยเท่านั้น แต่ทรงเป็นที่มาของระบบอุปถัมภ์และอำนาจในพระองค์เองอีกด้วย ผลที่ตามมาในขณะนี้จึงเป็นความสั่นคลอน เนื่องจากพระชนมายุที่มากขึ้น พระองค์ทรงเป็นผู้ประทานเกียรติยศและรับถวายเงินบริจาคโดยเสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัยมาเป็นเวลานานแล้ว พระราชกรณียกิจเหล่านี้เป็นประโยชน์ต่อคนยากคนจนในชนบทอันเป็นที่รักยิ่งของพระองค์ แต่ระบบอุปถัมภ์นี้ก็ช่วยค้ำจุนอิทธิพลของสถาบันกษัตริย์ต่อไปเช่นกัน
นวัตกรรมของทักษิณคือการใช้รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2540 ที่มีความเป็นประชาธิปไตยอย่างมาก มาสร้างการเมืองใหม่ที่เปลี่ยนแปลงระบบเดิมๆ ของการซื้อเสียงแบบขายปลีกและแยกเป็นท้องถิ่นมาเป็นเครื่องจักรแบบขายส่งที่ขยายระบบอุปถัมภ์ไปทั้งประเทศ นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค เงินกู้รายย่อย ฯลฯ ช่วยส่งเสริมความเข้มแข็งของเครื่องจักรนี้ ด้วยเหตุนี้เอง ทักษิณจึงกลายเป็นนายกรัฐมนตรีคนเดียวในประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยลุ่มๆ ดอนๆ ของประเทศไทยที่สามารถดำรงตำแหน่งจนครบวาระ แต่พวกชนชั้นนำรุ่นเก่ากลับรู้สึกถูกคุกคาม เมื่อความเป็นผู้นำแบบเบ็ดเสร็จและความนิยมในตัวทักษิณดูเหมือนเริ่มท้าทายพระบารมีของพระมหากษัตริย์
วัฒนธรรมไทยคือส่วนประกอบที่ผสมผสานศาสนาพุทธ ความเชื่อแบบไสยศาสตร์และลัทธิบริโภคนิยมแบบฟุ้งเฟ้อเข้าด้วยกัน อำนาจและอิทธิพลมีลักษณะยืดหยุ่นหลายรูปแบบ แต่ดังที่ Andrew Walker และ Nicholas Farrelly แห่งมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลียชี้ให้เห็นว่า ชนชั้นนำของไทยมีทักษะทางความคิดที่ค่อนข้างอ่อนด้อย และมักคำนวณเรื่องอำนาจในแบบเกมที่ต้องมีผู้แพ้ผู้ชนะและผู้ชนะกินรวบ (zero-sum game) รัฐบาลทหารที่โค่นล้มทักษิณอ้างว่า นโยบายของทักษิณขัดต่อแนวพระราชดำริ “เศรษฐกิจพอเพียง” ที่มีรากเหง้ามาจากแนวคิดดั้งเดิมเกี่ยวกับชีวิตชนบทอันกลมเกลียว ลำดับชั้นในสังคม และการรู้จักฐานะของตัวเอง ซึ่งรัฐบาลทหารก็จัดการใส่แนวพระราชดำรินี้ไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หลังจากรัฐบาลทหารบริหารประเทศมั่วๆ อยู่ได้ไม่นาน ก็เปิดทางให้มีการเลือกตั้ง แต่คำวินิจฉัยแบบมักง่ายของศาลก็ช่วยล้มรัฐบาลโปรทักษิณได้สองชุดติดต่อกัน
โอกาสของอภิสิทธิ์
ตอนนี้ทรัพย์สินมหาศาลของทักษิณถูกอายัดไว้ คนไทยจำนวนมากมองว่า การที่เขาออกมาเรียกหาการปฏิวัติในช่วงที่วิกฤตการณ์กำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม ถือเป็นการไร้ความรับผิดชอบที่เข้าขั้นอาชญากรรม ทักษิณจึงตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ แต่สถาบันกษัตริย์ยิ่งมีปัญหารุมเร้าลึกล้ำกว่า.................................................ภาพพจน์ของสถาบันกษัตริย์ที่สู้อุตส่าห์ทะนุถนอมกันมาอาจพังครืนในชั่วข้ามคืน
การปกป้องสถาบันกษัตริย์คือภารกิจส่วนหนึ่งของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของไทย เขาขึ้นครองตำแหน่งโดยไม่ได้มีเสียงข้างมาก ทั้งนี้ด้วยการผลักดันของฝ่ายเสื้อเหลือง อภิสิทธิ์บอกว่าเขาเป็นนักปฏิรูปที่จะเยียวยาความแตกแยก เขาจัดการความปั่นป่วนของฝ่ายเสื้อแดงด้วยความบันยะบันยังแต่มั่นคง ..........................
ถ้าเป็นสมัย พ.ศ.2475 นักข่าวของเราคงจัดให้อภิสิทธิ์อยู่ในกลุ่ม “ปัญญาชนเอเชียที่มีความคิดแบบตะวันตก” ในรัฐบาลหลังรัฐประหาร ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ถ้านักข่าวคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ เขาคงทึ่งไม่น้อยที่ได้เห็นเรื่องพลิกกลับตาลปัตรกับการที่ชาวกรุงทันสมัยสากลอย่างอภิสิทธิ์กลายเป็นแนวหน้าให้ระบอบที่ได้เนื้อแท้ของอำนาจมาจากสถาบันกษัตริย์ยุคศักดินา นายอภิสิทธิ์ไม่มีทั้งบารมีและความชอบธรรม เพื่อให้ได้ทั้งสองอย่างนี้มา เขาจะต้องเผชิญหน้ากับผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง เนื่องจากเป็นหนี้บุญคุณฝ่ายนิยมเจ้าที่ดันเขาขึ้นสู่อำนาจ เขาคงไม่กล้าถกเถียงเรื่องอนาคตของสถาบันกษัตริย์ แต่ถ้าเขามีความกล้าพอที่จะทำเช่นนั้น ประเทศไทยและแม้กระทั่งราชวงศ์เองอาจรู้สึกขอบใจเขาในระยะยาว สำหรับบทบาทในปัจจุบัน สถาบันกษัตริย์มิได้ยืนอยู่ระหว่างประเทศไทยกับความปรองดองทางการเมืองเท่านั้น แต่ยังยืนอยู่ระหว่างประเทศไทยกับยุคสมัยใหม่ด้วย
Banyan
ที่มา : หนังสือพิมพ์ออนไลน์ประชาไท : The Economist: ปัญหาระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท
ผู้จัดเก็บบทความ
เจ้าน้อย ณ สยาม
ที่
8:14 หลังเที่ยง
3
ความคิดเห็น