After Bhumibol?
Gulf Daily News
แปลและเรียบเรียง : แชพเตอร์ ๑๑
ในประเทศไทย ประชาชนต้องโดนติดคุกหัวโตถ้าวิจารณ์พระราชวงศ์ สื่อไทยจึงต้องปิดปากเงียบต่อคำถามที่ว่า อะไรจะเกิดขึ้นหลังจากสิ้นรัชกาลกษัตริย์ภูมิพล อดุลยเดช
ขณะนี้กษัตริย์พระชนมายุ ๘๑ พรรษา ได้เข้ารับรักษาพระวรกายในโรงพยาบาลเป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้ว จึงมีข่าวลือสะพัดด้วยความหวาดกลัวว่า พระองค์ทรงสิ้นแล้ว เมื่ออาทิตย์ที่แล้วเพียงวันเดียวตลาดหุ้นกรุงเทพดิ่งลงร้อยละ ๘ จากข่าวลือที่ว่า พระสุขภาพของพระองค์ทรุดลงมากกว่าที่ทางพระราชวังได้แถลงการณ์
กษัตริย์ภูมิพลทรงครองราชย์มายาวนานถึง ๖๓ ปี และทรงเป็นเคารพโดยทั่วไป ประเทศไทยตกอยู่ในวิกฤติที่ร้ายแรงที่สุดนับตั้งแต่เคยมีมาในทางการเมืองถึง ๓ ปี ตั้งแต่เป็นประเทศประชาธิปไตยแบบลุ่มๆดอนๆมามากกว่าสองทศวรรษ และนับได้ว่ากษัตริย์ทรงเป็นปัจจัยสำหรับการรวมศูนย์ใจและความมั่นคงที่ยังคงเหลืออยู่ การสิ้นสุดรัชกาลของพระองค์ย่อมทำให้เรื่องต่างๆยิ่งเลวร้ายลง
วิกฤติดังกล่าวมีผลเนื่องมาจากประชาธิปไตย ประเทศไทยได้เริ่มเป็นประเทศกึ่งพัฒนา นับตั้งแต่กษัตริย์ภูมิพลขี้นครองราชย์ รายได้ถัวเฉลี่ยของประชาชนได้เพิ่มขึ้นสี่สิบเท่า แต่ประชาชนส่วนใหญ่ยังคงอาศัยในชนบทและค่อนข้างยากจน คะแนนเสียงของพวกเขาได้ถูกซื้อโดยนักการเมืองท้องถิ่นที่มีอิทธิพล และส่งผ่านต่อไปยังพรรคการเมืองใดๆก็ตามที่มีพื้นฐานเป็นชาวกรุงที่จ่ายเงินให้มากที่สุด แต่มิได้เป็นเช่นนั้นอีกต่อไป
นับตั้งแต่ประชาชนชาวชนบทจำนวนมากทางภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้รับความรู้และมีความเข้าใจมากขึ้น พวกเขาเริ่มใช้คะแนนเสียงสนับสนุนนักการเมืองต่างๆที่สัญญาว่า จะรักษาผลประโยชน์ของพวกเขา ไม่ใช่เอาแต่ไปปรนเปรอให้กับพวกศักดินาที่มีฐานะในกรุงเทพ ในปี ๒๕๔๔ พวกเขาได้เลือกนักการเมืองอันเป็นที่นิยม และมีพื้นฐานที่ถ่อมตน และเขาคนนั้นคือ ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี
ทักษิณสร้างฐานะขึ้นมาจากธุรกิจโทรคมนาคม และถ้าเขาไม่ร่ำรวย เขาอาจจะไม่ชนะการเลือกตั้งก็ได้ แต่เขาได้บริหารประเทศเพื่อผลประโยชน์ของคนยากจน ในปี ๒๕๔๘ เขาได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งอีกครั้งด้วยคะแนนเสียงข้างมากที่เพิ่มขี้นกว่าครั้งแรก ซึ่งเป็นสิ่งที่เราปรารถนาในเรื่องของความเป็นประชาธิปไตย สำหรับคนยากจนที่มีจำนวนมากกว่าคนร่ำรวย
แต่เป็นเรื่องที่คาดหมายได้ว่า จะต้องมีปฏิกิริยาตอบโต้อย่างรุนแรงจากศักดินาอำมาตย์หัวโบราณ ซึ่งมาในแนวของพวกพันธมิตร อันเป็นกลุ่มเคลื่อนไหวของเสื้อเหลืองมีเป้าหมายเพื่อจะล้มเลิกความเป็นประชาธิปไตย พวกเขาสร้างความยั่วยุเมื่อประจันหน้าบนท้องถนนกับฝ่ายสนับสนุนทักษิณ (ซึ่งแต่งสีแดง) พันธมิตรสร้างข้อแก้ตัวให้กับกองทัพเพื่อเข้ายึดอำนาจโดยการทำรัฐประหารในปี ๒๕๔๙ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ประเทศไทยตกอยู่ในสภาวะวิกฤติอย่างถาวร
ผู้สนับสนุนพันธมิตรซึ่งเป็นคนกรุง และชนชั้นกลางเข้ายึดท้องถนนในเมืองเหลวง แม้กระทั่งกระทำการล้มรัฐบาลที่พวกเขาไม่ต้องการ แต่พันธมิตรไม่สามารถบังคับให้ชาวชนบทส่วนใหญ่เลิกความภักดีที่เขามีอยู่ได้ ประเทศถูกแบ่งแยกอย่างน่าอันตราย และการเมืองกลายเป็นอัมพาต และคนไทยหลายคนเชื่อว่า มีแต่กษัตริย์ภูมิพลพระองค์เดียวเท่านั้นที่จะทรงยึดเหนี่ยวประเทศไว้ได้
อาจจะใช่ แม้ว่าจะมีความสงสัยว่าพระองค์ทรงสนับสนุนให้ทำรัฐประหารในปี ๒๔๔๙ ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่ทรงยอมรับเท่านั้น (ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล อดีตนักข่าวที่มีชื่อเสียง ได้ถูกตัดสินจำคุกถึง ๑๘ ปีหลังจากที่เธอได้ทำการปราศรัยเป็นนัยว่า กษัตริย์ทรงสนับสนุนการทำรัฐประหาร) อย่างไรก็ดี การสิ้นรัชกาลนั้นย่อมทำให้วิกฤติยิ่งตกหนักมากขึ้น เนื่องจากองค์รัชทายาทที่ดูเหมือนจะสืบสันตติวงศ์นั้นไม่ทรงเป็นที่รัก
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณทรงมีชีวิตส่วนพระองค์ที่โลดโผน รวมถึงการอภิเษกสมรสถึงสามครั้ง แทบจะไม่ได้เปลี่ยนการวางพระองค์ในระยะเวลา ๕๗ ปีที่ทรงอยู่ภายใต้เงาของพระราชบิดา ในเวลาที่ปกติ พระองค์อาจจะเป็นกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญซึ่งทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจได้อย่างสมบูรณ์ แต่คนไทยได้ตัดสินใจแล้ว จะยุติธรรมหรือไม่ก็ตามที่ว่า ความภักดีที่จะมอบให้พระองค์นั้นมีไม่มากนัก
เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณทรงไม่ได้รับความเคารพเยี่ยงพระราชบิดา ซึ่งทรงมีบทบาทในการสมานความร้าวฉานและสร้างความสงบ และได้มีการเสนออย่างเงียบๆว่าพระขนิษฐา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร อาจจะทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจได้ดีกว่า ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เนื่องจากแม้ว่ากฎหมายไทยได้เปลี่ยนให้ผู้หญิงขี้นครองราชบัลลังก์ได้ และรัฐธรรมนูญได้บัญญัติให้สิทธิการตัดสินใจการสืบสันตติวงศ์ตกในมือขององคมนตรีทั้ง ๑๙ คน
พวกเขาคงไม่เปลี่ยนแปลงในเรื่ององค์รัชทายาท แต่จากความจริงแท้ที่ว่า อาจจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นก็ได้ ซึ่งยิ่งสร้างความไม่แน่นอนและโอกาสที่จะเกิดปฏิกิริยาต่อความขัดแย้ง
การออกแถลงการณ์พระอาการของกษัตริย์ของสำนักพระราชวังเกือบจะทุกวัน ล้วนแล้วแต่สร้างความหวัง แต่การอ้างถึงแต่เรื่อง “พระปับผาสะ (ปอด) อักเสบ” อันเป็นคำพูดที่สวยหรูสำหรับการเรียกโรคนิวมอเนีย ซึ่งเป็นโรคที่มีโอกาสจะคร่าชีวิตคนในวัยชรา จึงเป็นการสมควรแล้วที่พสกนิกรชาวไทยจะมีความวิตกกังวล ขอทรงพระเจริญ
Gwynne Dyer
October 25, 2009
ที่มา : liberalthai : หลังรัชสมัยองค์กษัตริย์ภูมิพล
วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2553
หลังรัชสมัยองค์กษัตริย์ภูมิพล
ผู้จัดเก็บบทความ
เจ้าน้อย ณ สยาม
ที่
3:16 ก่อนเที่ยง
10
ความคิดเห็น
วันเสาร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2553
ความจริงเรื่อง “ล้มเจ้า” : จักรภพ เพ็ญแข
ขณะนี้การประโคมข่าว “ล้มเจ้า” ดังจนผิดปกติ เครือข่ายอำมาตย์ในขั้วตรงข้ามกับประชาธิปไตยนั้นไม่ต้องห่วง รัวเสียราวกับวงโยธวาทิต แถมยังมีเสียงแว่วมาจาก “เวทีประชาธิปไตย” ร่วมสนุกกล่าวหาตามแห่ไปกับเขาด้วยว่ากลุ่มนั้นกลุ่มนี้คิด “ล้มเจ้า” เหมือนมุ่งจะเอาใจใครบางคน
เวลาเหมือนจะหมุนกลับไปไม่ต่ำกว่า ๔๐ ปี
เสมือนเราทุกคนยังอยู่ในยุคปลุกผีคอมมิวนิสต์ เพียงคราวนี้ใช้มาตรา ๑๑๒ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๕๐ ที่ว่าด้วยการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มาแทนที่ พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ในยุคสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งเป็นกฎหมายเผด็จการโบราณที่ทำลายชีวิตและอนาคตของคนบริสุทธิ์ไปมากมายเหลือคณานับ
แถมใช้อย่างถี่ยิบไม่เลือกหน้าอินทร์หน้าพรหม เพราะไปหลงเชื่อคนที่คอยเสี้ยมให้เล่นงานคนนั้นคนนี้ และให้ข้อมูลผิดๆ ว่ามีอยู่ไม่กี่คน ฟันลงไปเถิด
ในที่สุดก็เกิดเป็นกระแส
ความจริงการ “ล้มเจ้า” อย่างจริงจังในประวัติศาสตร์ไทยเคยเกิดขึ้นเพียง ๒ ครั้ง นั่นคือเมื่อคราว “กบฏ ร.ศ.๑๓๐” ซึ่งล้มเหลวเพราะถูกหักหลัง และการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๕ หรือ “การอภิวัฒน์” ที่เริ่มต้นด้วยท่าทีเด็ดขาด แต่แล้วค่อยๆ ผ่อนท่าทีลงจนกลายเป็นการหารือร่างรัฐธรรมนูญระหว่างกัน หลังจากนั้นก็เกิดกระบวนการฟื้นฟูอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์มาเรื่อย โดยเฉพาะหลังการรัฐประหารของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จนกระทั่งทุกวันนี้
รัฐธรรมนูญถาวรกลายเป็นของพระราชทาน แทนที่จะเป็นคณะราษฎร์เสี่ยงชีวิตเพื่อให้ได้มา
ท่าทีสมานฉันท์ อย่างการตั้งรัฐบาลร่วมกันโดยเอาฝ่ายอำมาตย์แท้ๆ อย่างพระยามโนปกรณ์นิติธาดามาเป็นตัวประธานกรรมการราษฎร (นายกรัฐมนตรี) ก็กลายเป็นเปิดทางให้ฝ่ายอำนาจเก่าเขามาเอาอำนาจคืนอย่างดิบๆ ถึงขั้นเนรเทศหัวหน้าคณะราษฎร์สายพลเรือนไปต่างประเทศ ท่านที่เหลือต้องรวมกำลังกันยึดอำนาจซ้ำอีกครั้งเพื่อเอาประชาธิปไตยกลับคืนมา แต่ก็ถูกทำลายซ้ำแล้วซ้ำอีกจนแทบไม่เหลือซาก
ความจริงเมื่อวันชาติยุคหลังๆ ถูกเปลี่ยนจาก ๒๔ มิถุนายนมาเป็นวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ชัดแล้วในเรื่องระบอบ
ทวนความจำเพื่อจะบอกว่า จากนั้นไม่มีความพยายามใดๆ อีกเลย ที่จะพรากสังคมนี้จากสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งนอกจากจะปลูกฝังกันอย่างเข้มข้นเกือบทุกวันทุกเวลาแล้ว กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพยังตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้นด้วย ปัจจัยใดๆ จากภายนอกจะเข้ามาโยกหรือสั่นคลอนได้เล่า
เพียงดำรงพระสถานะเดิมและใช้พระราชอำนาจอย่างสมควรแก่เหตุ สถาบันนี้จะอยู่คู่สังคมไทยโดยไม่มีใครวิพากษ์วิจารณ์ลับหลัง
ผมถึงได้สงสัยว่าคนที่เจตนาพูดคำว่า “ล้มเจ้า” นั้น เขากำลังคิดอะไรอยู่ กำลังดูแคลนศักยภาพของสถาบันจนหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเสียเองหรือไม่
หรือกำลังระดมฉายไฟเข้าไปยังสถาบัน
ทำให้สถาบันกลายเป็นจุดสนใจโดยไม่จำเป็น?
ความจริงพฤติกรรมแกล้งโง่เหล่านี้ เราก็พอรู้อยู่หรอกครับ แต่ผู้ที่อยู่ในสถาบันควรทราบว่า คนที่ชิงเล่นบทจงรักภักดีโดยไม่ทำอะไรที่เป็นคุณประโยชน์ให้ ได้แต่กล่าวประณามคนอื่นว่าจงรักภักดีไม่เท่าตน หรือสาดคดีหมิ่นฯ เข้าใส่ จนสุดท้ายสถาบันต้องเป็นผู้รับผิดชอบทางสังคมแทนนั้น สุดท้ายคือผู้ที่ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์มากที่สุด
รวมทั้งคนที่อ้างตัวว่าเป็นประชาธิปไตย แล้วทำลายคนอื่นด้วยข้อหา “ล้มเจ้า” อย่างสามานย์นั่นด้วย
การรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเหมาะสมคือการอนุวัตรไปตามโลก โดยรักษาแก่นไว้ให้มั่นคง ไม่ใช่ลืมตาตื่นขึ้นก็มองหาว่าใครจะเป็นเหยื่อในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพได้บ้าง
ความจริงก็คือ มีคนเป็นจำนวนไม่น้อยในขณะนี้ที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับบทบาทของสถาบัน โดยไม่ได้มุ่งหมายจะโค่นล้มหรือทำอันตรายใดๆ เพราะสามปีที่ผ่านมานี้มีการกล่าวอ้างสถาบันเพื่อการเมืองจนสังคมสับสน หากเปิดโอกาสให้ถามและตอบอย่างวิญญูชน แทนที่จะอ้างกฎหมายหมิ่นฯ มาฟาดฟันกันอย่างที่เป็นอยู่ ว่าเราจะประคองสถาบันให้ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้อย่างไร ผมเชื่อว่าจะเป็นคุณกับประเทศชาติมากกว่า
สั่งให้หยุดพฤติกรรมผลักฝ่ายเดียวกันให้เป็นศัตรูเถิดครับ
มองให้เห็นว่าคนที่จะ “ล้มเจ้า” ตัวจริง ก็คือคนที่อวดอ้างความ “รักเจ้า” จนเกินกว่าเหตุและสร้างผลลัพธ์ในทางกลับกันเถิดครับ
เลิกสนุกสนานกับบทบาท “ผู้เล่น” กลับขึ้นไปเป็น “กรรมการผู้ทรงเกียรติ” ดังเดิมเถิดครับ
ใช้ตัวแทนวัฒนธรรมใหม่อย่างคุณทักษิณให้เป็น เพื่อบริหารบ้านเมืองในระยะเปลี่ยนผ่านที่ต้องใช้ทั้งภูมิปัญญาเดิมและภูมิปัญญาใหม่ผสมผสานกัน อย่าคิดกำจัดเพียงเพราะคุมโมหะจริตไม่อยู่เลยครับ
ชมคนที่ควรชม ข่มคนที่ควรข่ม
และทำในสิ่งที่ควรทำ
ผมขอตราไว้ตรงนี้ว่า คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพไม่ได้ช่วยอะไรสถาบันพระมหากษัตริย์ได้เลย ความเข้าใจถูกหรือผิดต่อสถาบัน กระทำได้อย่างยั่งยืนไม่ใช่ด้วยลมปากของใคร แต่ด้วยสิ่งที่คนไทยทั่วประเทศและทั่วโลกเขามองเห็นอยู่จริง
ถ้าตั้งมั่นอยู่ในธรรมแล้ว อย่าได้หวั่นกลัวสิ่งใด เว้นแต่เงาของตนเอง
เพราะในบ้านนี้เมืองนี้ ผลกระทบใดๆ ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ย่อมมาจากสถาบันพระมหากษัตริย์เองเท่านั้น.
จักรภพ เพ็ญแข
คอลัมน์ “ผมเป็นข้าราษฎร”
Thai Red News ฉบับที่ 45
ที่มา : Thai E-News : ความจริงเรื่อง “ล้มเจ้า”
ผู้จัดเก็บบทความ
เจ้าน้อย ณ สยาม
ที่
12:37 ก่อนเที่ยง
0
ความคิดเห็น
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)