วันศุกร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2552

ถึงบรรดาผู้จงรักภักดี เวลาคุณพูดว่า "ในหลวงทรงทำดี" (คนไทยจึงเคารพ) ถ้าผมถามว่า "คุณรู้ได้อย่างไร?" พวกคุณตอบไม่ได้หรอก



คำชี้แจง: ข้อเขียนนี้ ผมเขียนเสร็จตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน 2550 แต่ไม่นำออกเผยแพร่ เพราะความกลัวการถูกเล่นงานจากอำนาจมืด หรือจากผู้ไม่มีสติปัญญา อย่างไรก็ตาม หลังจากเวลาผ่านไป และผมได้คิดทบทวนอย่างหนักแล้ว ผมยังเห็นว่า ประเด็นที่นำเสนอ มีความสำคัญ และเชื่อว่า การนำเสนอนี้ ไม่ผิดกฎหมาย และที่สำคัญ ไม่ผิดหลักประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นหลักการสำคัญของโลกปัจจุบัน ที่ทุกคนอ้างว่ายอมรับ ผมจึงขอนำเสนอในทีนี้ เพื่อให้พิจารณาถกเถียงกัน ผมขอยืนยันว่า ผู้ที่มั่นใจในความถูกต้องของความเชื่อของตน ต้องพร้อมที่จะโต้แย้ง หักล้าง ด้วยเหตุผล กับความเห็นที่ไม่ตรงกับความเชื่อของตน ไม่ใช่อ้าง หรือ คุกคาม ด้วยกำลัง หรือการบังคับ ซึ่งเพียงแต่แสดงให้เห็นว่า ความเชื่อของตน ไม่มีความมั่นคงในความถูกต้องอย่างแท้จริงเท่านั้น



เอาคำ "ในหลวงทรงทำดี"
มาจาก กระทู้หนึ่งของบรรดาผู้จงรักภักดี
"คนไทยส่วนใหญ่เคารพในหลวงเพราะความดี ไม่ใช่เพราะเป็นเจ้า"

ถ้าผมถามว่า "คุณรู้ได้อย่างไร" ว่า "ในหลวงทรงทำดี"ผมรับรองว่า คุณตอบไม่ได้หรอกคือ อย่างมากที่สุด ที่คุณจะทำได้ คือ ยกข้อความประชาสัมพันธ์ เกี่ยวกับ การ "ทำความดี" ของในหลวง ที่ราชการเผยแพร่ มาพูดซ้ำ (ผมพยายามหลีกเลี่ยง คำที่จะถูกหาว่า "มีอคติ" อย่าง "ข้อความโฆษณาชวนเชื่อ")ที่ผมบอกว่า คุณตอบไม่ได้ ก็เพราะ ในการยก "ข้อความประชาสัมพันธ์" เหล่านั้นมา คุณไม่มีทาง แสดงให้เห็น ว่า ข้อความเหล่านั้น จริง ไม่จริง เพียงใด

เพราะอะไร?

เช่นเดียวกับ "ข้อความประชาสัมพันธ์" ทุกอย่าง ของหน่วยราชการ, ของบริษัทเอกชน ของบุคคล การจะรู้ว่า จริง ไม่จริง เพียงใด ต้องมีการ ตรวจสอบ ประเมิน อย่างเป็นอิสระ อย่างเสรี อย่างไม่ถูกบังคับให้สรุปล่วงหน้า ต้องมีการวิพากษ์วิจารณ์ วิเคราะห์ ในวงกว้าง ชี้ถูกชี้ผิดได้ ฯลฯ ผ่านกระบวนการเหล่านี้ จึงจะได้ข้อสรุปออกมาว่า "ข้อความประชาสัมพันธ์" ต่างๆนั้น จริง ไม่จริง เพียงใด

แต่ในประเทศไทย ไม่อนุญาตให้ทำสิ่งนี้ ต่อเรื่องที่เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ดังนั้น ที่คุณทำได้ คือ ยก "ข้อความประชาสัมพันธ์" เกี่ยวกับ "ในหลวงทรงทำดี" มาพูดซ้ำ

และคนฟัง ก็ได้แต่ ต้องยอมรับ เท่านั้น

แต่จะพิสูจน์ แสดงให้เห็นจริงๆ ทำไม่ได้หรอก


ให้ผมยกตัวอย่างจริงๆ ตัวอย่างหนึ่ง

ไม่นานมานี้ ผมอ่านเจอที่เว็บบอร์ดแห่งหนึ่ง มีคนหนึ่งมาแสดงความจงรักภักดี แล้วยืนยันว่า ที่เขารู้สึกเช่นนั้น เพราะเขา "เห็นมาด้วยตาตัวเอง" แล้วก็ยกตัวอย่าง "โครงการพระราชดำริ" โครงการหนึ่ง ซึ่งเขากล่าวว่า ทำให้หมู่บ้านของญาติเขาในเขตชนบท มีน้ำใช้

ขอให้ผมลอง ยอมรับ แต่ต้นว่า ประโยคที่ว่า "หมู่บ้าน ก. มีน้ำใช้ เพราะโครงการพระราชดำริ โครงการหนึ่ง" เป็นความจริง คือ ไม่ต้องตรวจสอบเรื่องนี้ ก็ได้ ข้ามเรื่องนี้ไป

แต่เพียงเท่านี้ แปลว่า "โครงการพระราชดำริ ที่ทำให้ หมู่บ้าน ก. มีน้ำใช้ เป็นโครงการที่ดี" (ดังนั้น "ในหลวงทรงทำดี" ซตพ.) ได้หรือไม่? ยังไม่ได้หรอกครับ

เพราะอะไร?


ทุกคนที่รู้จักการทำงานอะไรที่มีลักษณะของชีวิตจริง (แม้แต่ในชีวิตแคบๆส่วนตัว) และรู้จักคิดอย่างกว้างออกไปหน่อย ควรรู้ว่า ในการประเมินอะไร ไม่ใช่ดูที่จุดหนึ่ง จุดใด แคบๆ ไม่ใช่ดูที่ "ผลลัพท์" ลอยๆ แต่ต้องดูเรื่องอื่นๆประกอบด้วย

อย่างในกรณีตัวอย่างที่เพิ่งยกมา


สมมุติว่า การที่ "หมู่บ้าน ก. มีน้ำใช้ เพราะโครงการพระราชดำริ" ต่อให้เป็นจริงก็ตาม แต่ต้อง ทุ่มเงิน 100 ล้านบาท เพื่อให้ได้ผลลัพท์ "ที่ดี" นี้ (สร้างทางระบายน้ำไปให้ ปรับพื้นที่ สร้างทาง สร้างถนน ฯลฯ)

ในขณะที่ หมู่บ้าน ก. มีประชากรเพียง 10 หลังคาเรือน คือ ประมาณ 40-50 คน เท่านั้นแต่ขณะเดียวกัน มีความต้องการน้ำ หรือความต้องการอย่างอื่น (ไฟฟ้า, ถนน, โรงเรียน ฯลฯ) ในหมู่บ้านอื่น ในอำเภออื่น ในจังหวัด อื่น เป็นต้นและในหมู่บ้านเหล่านั้น ล้วนแต่มีประชากรอยู่มากกว่า หมู่บ้าน ก. หลาย 10 เท่าด้วยเงินลงทุนอย่างเดียวกัน อาจจะทำให้ ประชากร ในที่อื่น มีสิ่งอำนวยความสะดวก อย่างเดียวกัน หรือมากกว่า หมู่บ้าน ก. ได้และมองในระดับทั่วประเทศ เงินงบประมาณ มีจำกัดในปีหนึ่งๆ ที่ไม่สามารถ ทำให้ทุกๆหมู่บ้าน ทุกๆแห่งได้คนที่รู้จักโลกที่เป็นจริง ไม่ต้องเรียนเศรษฐศาสตร์มา ก็ย่อมทราบวาการประเมิน การใช้จ่ายเงิน ไม่สามารถมองที่ "ผลลัพท์" โดดๆ ได้ต้องมองปัจจัยแวดล้อม หลายอย่าง ว่า จะใช้จ่าย อะไรก่อน อะไรหลัง ที่ไหน ก่อน ที่ไหน หลังจึงจะมีประโยชน์สูงสุด มีความ "แฟร์" สูงสุด จริง


ดังนั้น การเปิดโอกาส ให้ตรวจสอบ วิพากษ์วิจารณ์ จึงเป็นสิ่งจำเป็น สำหรับการ ได้ประโยชน์สูงสุด ได้ความ "แฟร์" สูงสุดนี้

แต่ทุกอย่างที่เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ รวมทั้ง โครงการพระราชดำริ ต่างๆ ไม่อนุญาติ ให้ทำเช่นนี้ได้ ไม่อนุญาตให้ตรวจสอบ วิพากษ์วิจารณ์ ประเมิน วิเคราะห์เปรียบเทียบได้


ดังนั้น การยก "ข้อเท็จจริง" เพียงแค่ว่า "หมู่บ้าน ก. มีน้ำใช้ เพราะโครงการพระราชดำริ โครงการพระราชดำรินั้นจึงเป็นโครงการที่ดี" จึงไม่เพียงพอ


"ข้อมูลประชาสัมพันธ์"
ทั้งหมด เกี่ยวกับ สถาบันกษัตริย์ ล้วนมีลักษณะนี้ทั้งนั้น


ความจริง ยิ่งกว่านี้ด้วยซ้ำ เพราะในตัวอย่างนี้ ผมยกประโยชน์ ด้วยการสมมุติล่วงหน้าว่า "หมู่บ้าน ก. มีน้ำใช้ .." เป็นจริง คือ มี "ผลลัพท์" จริงแต่แม้แต่เรื่องนี้ ก็ไม่มีทางรู้ได้เช่นกัน เพราะไม่อนุญาติให้ประเมิน ให้ศึกษาอย่างเปิดกว้าง หรือวิพากษ์วิจารณ์ได้อย่างที่มีคนยกกรณี "ปากพนัง" มาแบบระมัดระวัง ก็พอจะเห็นว่า โครงการพระราชดำริ อาจจะไม่เพียง ไม่ได้ประโยชน์เท่านั้น อาจจะนำมาซึ่งผลเสียหายใหญ่โตก็ได้

อย่างที่มีคนยกกรณี "ปากพนัง" มาแบบระมัดระวัง ก็พอจะเห็นว่า โครงการพระราชดำริ อาจจะไม่เพียง ไม่ได้ประโยชน์เท่านั้น
อาจจะนำมาซึ่งผลเสียหายใหญ่โตก็ได้

ดูตัวอย่างข้อมูลบางส่วนได้จาก ที่นี่, ที่นี่, ที่นี่ และ ที่นี่

แต่เรื่องนี้ ก็ไม่สามารถยกขึ้นมาโฆษณา แข่งกับ "ข้อมูลประชาสัมพันธ์" เรือ่ง "ในหลวงทรงทำดี" ได้สมมุติว่า เรื่องแบบ "ปากพนัง" สามารถยกขึ้นมาพูดได้ ทุกๆกรณี อย่างเปิดกว้าง อย่างเต็มที่และตรวจสอบ กับทุกๆพระราชกรณียกิจจริงๆ

คุณจะรู้ได้อย่างไรว่า ผลจะออกมาอย่างไร?

พระราชกรณียกิจ ประเภท "ทรงเยี่ยมราษฎร" ฯลฯ ก็เช่นเดียวกับ กรณี "หมู่บ้าน ก." ที่ยกมา


นอกจากนั้น ในสังคมสมัยใหม่ ที่ความคิดเห็นของต่างคน ต่างกลุ่ม ต่างชุมชน มีความไม่ตรงกัน กระทั่งขัดแย้งกันอย่างมาก การจัดสรรทรัพยากรและงบประมาณของรัฐ ยังต้องเป็นเรื่องของการถกเถียง โต้แย้ง หาข้อสรุปว่า ควรจะให้ความสำคัญแก่เรื่องใด มากน้อยเพียงใด ในท่ามกลางความเห็นและผลประโยชน์ที่ไม่ตรงกันของกลุ่มคนและชุมชนต่างๆ ซึ่งในสังคมสมัยใหม่ ก็เป็นที่ยอมรับกันว่า ในที่สุดแล้ว ต้องออกมาในรูปของการนำเสนอทางเลือกที่ต่างๆกัน ในเชิงนโยบาย แล้วให้ประชาชนเลือกตั้งตัดสินเอาซึ่งก็ต้องยอมให้มีกระบวนการของการตรวจสอบข้อมูล ประเมินข้อดี ข้อเสีย กระทั่งวิพากษ์วิจารณ์โจมตีซึ่งกันและกันได้ เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถชั่งน้ำหนักตัดสินใจได้ ว่าจะเลือกข้อเสนอใด หรือพรรคการเมืองที่นำเสนอข้อเสนอใด

ดังนั้น ในสังคมสมัยใหม่จึงถือกันว่า การพัฒนาหรือการใช้ทรัพยากรของรัฐที่ดีที่ถูกต้อง ก็คือการพัฒนาที่ได้รับความเห็นชอบจากประชาชน โดยผ่านกระบวนการตรวจสอบ ถกเถียง วิพากษ์วิจารณ์ และในที่สุด ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง เช่นนี้เท่านั้น

แต่ "โครงการพระราชดำริ" เป็นสิ่งที่ไม่อนุญาตให้กระทำเช่นนี้ได้

และด้วยเหตุนี้ โดยบรรทัดฐานของสังคมสมัยใหม่ จึงไม่อาจถือว่า เป็นโครงการที่ดีที่ถูกต้องได้อย่างแท้จริง


ลองถามตัวเองดีๆทำไมเวลาได้ยิน "ข้อมูลประชาสัมพันธ์" จาก นักการเมือง รัฐบาล เอกชน ฯลฯคนจึงไม่ค่อยยอมเชื่อ ก็เพราะในการตรวจสอบ ในการประเมิน วิเคราะห์แล้ว บ่อยครั้ง พบว่า ไม่ตรงกับ "ข้อมูลประชาสัมพันธ์" นั้น

ในกรณีสถาบันกษัตริย์ ในเมื่อ ตรวจสอบไม่ได้ วิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ ประเมิน วิเคราะห์ ไม่ได้จะได้ข้อสรุปได้อย่างไรว่า "ในหลวงทรงทำดี"?? ยกเว้นแต่คุณต้องบังคับให้เชื่อ แบบที่ฝรั่งเรียกว่า blind faith (ศรัทธาอย่างมืดบอด) เท่านั้น


ตามกฎหมาย บังคับว่า ทุกคน ต้อง "เคารพสักกาะ" ในหลวงในแง่นี้ ผมก็ต้อง "เคารพสักการะ" ในหลวง ตามกฎหมายเหมือนกัน แต่ถ้าคุณต้องการพูดยืนกราน ในแง่ที่จะให้เชื่อ "ข้อมูลประชาสัมพันธ์" เรื่อง "ในหลวงทรงทำดี"ว่าเป็นความจริงแน่นอน

คุณทำไม่ได้หรอกครับ


เพราะคุณเอง ก็ตอบไม่ได้หรอกว่า "คุณรู้ได้อย่างไร"


หมายเหตุ: ผมตระหนักดีว่า โดยรูปแบบทางการนั้น “โครงการพระราชดำริ” จำนวนหนี่ง สิ่งที่ “รัฐบาล” ดูแลดำเนินการ หรือ ทำในนามรัฐบาลในทางนิตินัย (จำนวนหนี่ง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด มีโครงการประเภทที่ไม่ใช่เลยก็มี เช่นที่เรียกว่า “โครงการหลวง”) แต่ในทางปฏิบัติเป็นอีกเรื่องหนีง คือการมีบทบาทสำคัญชี้ขาดของราชสำนัก ที่สำคัญ หากถือเป็นการกระทำหรือผลงานของรัฐบาลจริง ก็ย่อมไม่สามารถนำมา “ประชาสัมพันธ๋” ในลักษณะที่ว่า “ในหลวงทรงทำดี” โดยยกตัวอย่างโครงการเหล่านี้ในลักษณะเป็น “ผลงาน” ของพระองค์ได้ อย่างที่ทำกันอยู่ และเป็นประเด็นที่ยกมาวิจารณ์ในบทความข้างต้น


สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล



คำชี้แจงเพิ่มเติม (1 มกราคม 2552): บทความสั้นๆนี้ – ดังที่ได้กล่าวไว้ใน “คำชี้แจง” ข้างล่าง ตอนต้นของตัวบทความ – เขียนขึ้นตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2550 คือประมาณปีเศษมาแล้ว ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ ผมคิดจะเผยแพร่บทความนี้หลายครั้งหลายหน มีครั้งหนี่ง ได้ส่งไปให้เว็บไซต์แห่งหนี่ง แต่ยังไม่ทันข้ามวัน ผมก็ส่งอีเมล์ขอ “ถอนคืน” อีกครั้งหนึ่ง ช่วงฤดูร้อนปี 2551 ผมคิดจะเผยแพร่บทความนี้อีก จึงลองส่งให้สมาชิกบอร์ดฟ้าเดียวกัน 4-5 คนอ่านก่อน ทุกคนมีความเห็นว่า เป็นการเสี่ยงเกินไปที่จะเผยแพร่ และเมือ่ไม่กี่เดือนมานี้เอง ผมได้ส่งไปให้เว็บไซต์แห่งหนี่งพิจารณาอีก – คราวนี้ ไม่ “ถอนคืน” – แต่ทางเว็บไซต์ก็เห็นว่า เป็นการเสี่ยงเกินไป ไม่สามารถเผยแพร่ได้ (ตัว “คำชี้แจง” ที่อยู่ตอนต้นบทความ เขียนขึ้นในระหว่างการคิดจะเผยแพร่ หลายครั้งหลายหนนี้ จำไม่ได้เสียแล้วว่า เมื่อไร)

ความจริง ถ้าใช้บรรทัดฐานแบบในประเทศประชาธิปไตยทั่วไป การอภิปรายที่ทำในบทความนี้ ต้องจัดว่า “ไม่เห็นมีอะไรมากมายเลย” แต่ความยากลำบากในการแม้แต่จะคิดจะเผยแพร่บทความทำนองนี้ในประเทศไทย โดยตัวเองสะท้อนให้เห็นประเด็นสำคัญที่ตัวบทความต้องการเสนอ นั่นคือ การพูดเรื่อง “พระมหากษัตริย์ทรงทำดี” หรือ “พระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทย” หรือ “ประชาชนไทยจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์” ต่างๆนั้น ล้วนตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่า ห้ามใครโต้แย้งหรือพูดเป็นอย่างอื่น ถ้าจะทำ ก็ต้องทำด้วยความเสี่ยงต่อปัญหาที่ตามมาอย่างยิ่ง จนไม่มีใครอยากจะทำ พูดอีกอย่างคือ “ความจงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์” ที่พูดกันราวกับว่าเป็นเรื่องที่ “มอบให้ด้วยใจรัก/ด้วยใจสมัคร” ล้วนๆนั้น แท้จริงแล้วตั้งอยู่บนพื้นฐานของการบังคับ, การทำให้กลัวว่า ถ้าไม่จงรักภักดีแล้ว จะมีเรื่องยุ่งยากเดือดร้อน บวกกับความเชื่อแบบ blind faith ที่พิสูจน์-แสดง ไม่ได้ ดังที่อภิปรายในบทความ

บทความนี้ จงใจเขียนขึ้นเพื่อ โต้แย้ง หรือ dialogue กับ “ผู้จงรักภักดี” (royalists) ที่คิดว่า ตัวเองเป็นคนมีเหตุมีผล และเชี่อว่า ความจงรักภักดีของตนนั้น สามารถยืนอยู่ได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้การบังคับ หรือความรุนแรงทางกฎหมายมาจัดการกับคนที่ไม่เห็นด้วยกับตน เป็นการ “ท้าทาย” (challenge) ให้คนเหล่านี้ ให้เหตุผล (justify) ความจงรักภักดีของตน ที่ไม่ใช่เพียงการอ้าง “การประชาสัมพันธ์ด้านเดียว” อย่างที่ทำกันอยู่

ช่วงหนี่ง ในระหว่างปีทีผ่านมา ที่มีผู้ใช้ชื่อว่า “guaycheng” มาโพสต์กระทู้ที่เว็บบอร์ดฟ้าเดียวกัน ผมเคยคิดว่า คนเช่นนี้แหละที่บทความนี้ต้องการจะ dialogue ด้วย และคิดจะเผยแพร่บทความนี้ ถึงกับได้เขียนเชิง “คำนำ” สั้นๆ “ถึง guaycheng” โดยเฉพาะ (นี่คือหนี่งในหลายครั้งที่คิดจะเผยแพร่บทความ แต่สุดท้าย ไม่กล้าทำ ดังกล่าวข้างต้น) แต่ขณะนี้ ดูเหมือนผมจะทำ “คำนำ” ดังกล่าวหายไปเสียแล้ว ผมเชือ่ว่านอกจากคุณ guaycheng แล้ว ยังมีอีกหลายคน ที่มีลักษณะเช่นนี้ ที่สามารถจะ dialogue ด้วยเหตุด้วยผลได้ จึงเขียนบทความเช่นนี้ขึ้น และสำหรับท่านที่ติดตามอ่านกระทู้ที่ผมโพสต์ที่บอร์ดฟ้าเดียวกัน อาจจะรู้สึก “คุ้นๆ” กับประเด็นหลัก (argument) ที่ผมใช้ในบทความนี้ ทั้งนี้ก็เพราะ เมื่อไม่นานมานี้ ผมได้ “ทดลอง” นำเอาประเด็นนี้ มาดัดแปลงโพสต์เป็นกระทู้เพื่อตอบโต้ผู้ใช้นามว่า Modern Monarchy (ดูกระทู้นั้น ทีนี่ และกระทู้ต่อเนื่อง ทีนี่ )


สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล
1 มกราคม 2552


ที่มา : เวบบอร์ด"ฟ้าเดียวกัน : ถึงบรรดาผู้จงรักภักดี เวลาคุณพูดว่า "ในหลวงทรงทำดี" (คนไทยจึงเคารพ), ถ้าผมถามว่า "คุณรู้ได้อย่างไร?" พวกคุณตอบไม่ได้หรอก

กษัตริย์



ระเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย สิ่งที่ขาดไม่ได้อย่างเด็ดขาดนั่นก็คือประชาชนต้องมีสิทธิและเสรีภาพ ถ้าหากประเทศใดก็ตามสิทธิและเสรีภาพของประชาชนถูกจำกัด หรือได้รับการปฏิบัติจากผู้มีอำนาจโดยขาดความเสมอภาคและไม่เป็นธรรมประเทศนั้นๆก็อย่าได้หวังว่าจะมีความสงบสุข ปัญหาความไม่สงบสุขที่เกิดขึ้นในประ เทศไทย ก็มีสาเหตุมาจากสังคมไทยเราในเวลานี้ ปราศจากความเสมอภาคและความเป็นธรรม นั่นก็เป็นเพราะว่าอำนาจตุลาการในบ้านเราได้ถูกอิทธิพลของกลุ่มคนที่เรียกว่า "ชนชั้นสูง" ยึดครองจนไม่อาจที่จะขับเคลื่อนตามหลักนิติธรรมได้ หากแต่ต้องปฏิบัติหน้าที่สนองความต้องการผู้นำชนชั้นสูงที่เป็นเจ้าของอำนาจแท้จริงของประเทศนั่นก็คือ "สถาบันพระมหากษัตริย์"

สถาบันกษัตริย์ ยังใช้กองทัพเป็นเครื่องมือในการโค่นล้มรัฐบาลด้วยการทำรัฐประหาร แล้วรุกคืบใช้องค์กรอำนาจตุลาการร่วมมือกับกองทัพแต่งตั้งคณะบุคคลขึ้นมาเขียนกฏหมายเพื่อเอื้อประโยชน์ให้คนของตนเข้าไปยึดครองอำนาจนิติบัญญัติด้วยการดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาโดยไม่ต้องผ่านการเลือกตั้ง (ที่เรียกว่าสว.ลากตั้ง) นอกจากนี้แล้ว ยังได้ร่วมกันแต่งตั้งพวกพ้องตนเองเข้าไปดำรงตำแหน่งในองค์อิสระต่างๆทำหน้าที่ทำลายพรรคการเมืองและนักการเมืองที่มีคุณภาพ ทั้งนี้เพื่อให้พรรคการเมืองอ่อนแอ เป้าหมายก็คือไม่ต้องการให้พรรคการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่งชนะการเลือกตั้งครองเสียงข้างมากจนสามารถจัดตั้งรัฐบาลโดยลำพังเพียงพรรคเดียวอย่างเช่นพรรคไทยรักไทยในอดีต สรุปรวมความเวลานี้อำนาจสำคัญทั้งสามองค์กรคือบริหาร,นิติบัญญัติและตุลาการตกอยู่ในกำมือของกษัตริย์แต่เพียงผู้เดียว

ดังนั้นการที่พี่น้องประชาชนคนไทยออกมาเรียกร้องให้ประเทศไทยมีการปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยจึงยังห่างไกลจากความเป็นจริงชนิดสุดเอื้อม เพราะตราบเท่าที่เรายังยินยอมให้กษัตริย์เป็นประมุข อย่าว่าแต่ประชาธิปไตยเลยครับ สิทธิและเสรีภาพยังยากที่จะเกิดขึ้นได้ในสังคมไทย เพราะเพียงแค่กฏหมายหมิ่นฯเพียงฉบับเดียวก็สามารถสกดให้คนไทยทั้งประเทศหกสิบกว่าล้านคนกลายเป็นใบ้พร้อมๆกันได้ แล้วอะไรละครับคือสิทธิและเสรีภาพสำหรับพี่น้องคนไทย ส่วนความเสมอภาคนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยครับ เอาเพียงแค่สลัดให้หลุดพ้นจาก "ความเป็นไพร่ความเป็นข้า" ก็ยากที่จะเป็นไปได้แล้วครับ เพราะพวกเราถูกสอนแกมบังคับให้ยอมรับว่าทุกคนเกิดมาต้องเป็น "ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินทุกคน"

ประเทศไทยเรานับเป็นประเทศเดียวในโลกที่ปกครองโดยพระเจ้า และก็ไม่ใช่พระเจ้าธรรมดานะครับ หากแต่เป็นพระเจ้าอยู่หัวเลยทีเดียว แล้วก็สืบทอดความเป็นพระเจ้าชนิดผูกขาดมากว่าสองร้อยปีแล้ว เริ่มตั้งแต่พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯโน่นเลย (ใหญ่ไม่ใหญ่ดูเอาเองแล้วกัน) แล้วก็ไล่ดะมา พระพุทธเลิศหล้านภาลัย ฯ(ใหญ่คับฟ้าอีกเช่นกัน) ตาม ลำดับมาจน พระพุทธเจ้าหลวง ทุกคนที่กล่าวมาจะดูยิ่งใหญ่อลังการกว่าพระพุทธเจ้าของชาวโลกเสียอีก แล้วก็เพราะยิ่งใหญ่ขนาดที่ว่านี้นี่แหละไอ้พวกขุนนางขี้ประจบทั้งหลายก็เลยคิดค้นวิธีการประจบจนแม้ภาษาพูดก็ยังต้องแตกต่างไปจากคนทั่วไป จนเป็นเรื่องที่ยากต่อการเรียนรู้และเข้าใจ อย่างเช่น "ข้าใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท" ที่ได้ยินกันอยู่บ่อยๆ ผมไม่รู้จริงๆนะครับมันแปลว่าอะไร แต่ถ้าจะให้เดาด้วยสติปัญญาระดับนักธรรมตรีอย่างผม อาจเข้าใจได้ว่า "ขี้ข้าอย่างผมเปรียบเสมือนเพียงแค่ขี้ฝุ่นใต้อุ้งตีนกษัตริย์" อย่างงั้นเลยหรือ ผมคงไม่เอาด้วยแน่ เพราะลำพังการเป็นไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินอย่างเช่นทุกวันนี้มันก็มากเกินกว่าที่จะรับได้แล้วครับ

อุปสรรค์ของการปกครองภายใต้ระบอบประชาธิปไตยก็คือ สังคมขาดความเสมอภาคและเสรีภาพ เสรีภาพจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องมีความเสมอภาคโดยไม่มีชนชั้นมาเป็นเส้นแบ่ง และศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์จะมีได้ ก็ต่อเมื่อ ประเทศนั้นๆมีการปกครองด้วยระ บอบประชา ธิปไตยโดยสมบูรณ์เท่านั้น และถ้าหากว่าประเทศใดก็ตาม ที่มีการปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย แล้วยังปล่อยให้ใครบางคน "ทรงเป็นประมุข" มีอำนาจเหนือรัฐบาลด้วยความยินยอมพร้อมใจ นั่นก็หมายความว่าประชาชนคนส่วนใหญ่ของประ เทศนั้น ปราศจากแล้วซึ่งศักดิ์ศรี และยินดีที่จะดำรงสถานะของความเป็นคนได้แค่ "ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน" ตามพวกที่เรียกตัวเองว่า "เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน" หยิบยื่นให้

สังคมของประเทศใดก็ตามหากยังมีการแบ่งแยกชนชั้นเกิดขึ้น ก็อย่าได้หวังเลยว่าความเป็นธรรมจะเกิดขึ้นได้กับสังคมนั้น เพราะความแตกต่างกันระหว่างชนชั้นนั้นมันเป็นที่มาแห่งการเอารัดเอาเปรียบ ชนชั้นนี่แหละที่ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำจนขาดความเสมอภาคทางสังคม เพื่อให้เกิดความเข้าใจและเห็นเป็นภาพชัดเจน ต้องมองชนชั้นผ่านคำว่าฐานันดร ฐานันดรตามความหมายของพจนานุกรม แปลว่า ลำดับในการกำหนดชั้นของบุคคล ดังเช่นยศ บรรดาศักดิ์ (กลับไปอ่านบทความเรื่องพระมหาอุปราชเปรม) การจัดอันดับฐานันดรนั้น กษัตริย์และราชวงค์คือฐานันดรที่ ๑ กลุ่มอำมาตย์และพวกใกล้ชิดกษัตริย์ จัดเป็นฐานันดรที่ ๒ และฐานันดรที่๓ ซึ่งเป็นอันดับท้ายสุดก็คือพวก "ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน" อันหมายถึงประชาชนอย่างพวกเรา

ประเทศไทยขณะนี้ปกครองด้วย "ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข" ระบอบนี้ได้ถูกกลุ่มขุนนางขี้ประจบสถาปนาขึ้นมาเพื่อสมประโยชน์กันระ หว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับพวกมันเอง โดยมีพัฒนาการผ่านช่องทางของกฏหมาย (กลับไปอ่านบทความเรื่อง "หุ่นกระบอกการเมือง ตอนที่ ๒) และโฆษณาชวนเชื่อมาอย่างยาวนานโดยที่ไม่มีใครกล้าต่อต้านและคัดค้านหรือแม้กระทั่งวิจารณ์ เพราะเป็นเรื่องต้องห้ามที่ผิดกฏหมาย สถาบันพระมหากษัตริย์ก็เลยได้ใจ ทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เปิดโอกาสให้กลุ่มอำมาตย์พัฒนาระบอบกษัตริย์ขึ้นมาจนกลายเป็นยอดมนุษย์หรืออภิสิทธิ์ชนอย่างที่เห็นและเป็นอยู่ในเวลานี้

การโฆษณาชวนเชื่ออย่างมีประสิทธิภาพ นั่นก็คือการโฆษณาที่ไม่ต้องมีค่าใช้จ่าย อันสืบเนื่องจากความเป็นอภิสิทธิ์ชนไม่ว่าจะเป็นสถานีโทรทัศน์, วิทยุ, หนังสือพิมพ์และหน่วย งานแห่งรัฐ ตลอดจนองค์กรเอกชน บริษัทห้างร้านต้องมีถาพในหลวง-ราชินี ติดหลาทั่วประเทศจนกลายเป็นกระแสนิยมของสังคม การถ่ายทอดข่าวสำนักราชวังทั้งเช้า สาย บ่าย เย็นและกลางคืน หนังสือพิมพ์ทุกฉบับ หน้าข่าวสังคมจะขาดไม่ได้อย่างเด็ดขาด และถ้าหากท่านผู้อ่านจะสังเกตสักนิด ก็จะพบว่าราชวงค์ทุกพระองค์เมื่ออยู่ในวัยเรียนจะผูกขาดกับคำว่า "เกียรตินิยม" ทุกพระองค์ให้พระสหายร่วมชั้นได้แอบนินทากันมาโดยตลอด หรือแม้แต่การออกไปกินอาหารนอกวังสักมื้อก็จะต้องเป็นภาระของตำรวจในหลายท้องที่ทำหน้าที่อำนวยความสดวกตลอดเส้นทาง ส่งผลให้การจารจรมีอันต้องติดขัดจนเป็นอัมพาต ภาพต่างๆเหล่านี้ฉายให้เห็นชัดถึงความเป็นอภิสิทธ์ชน ที่ผูกขาดตั้งแต่เรื่องเล็กน้อยไปจนถึงผลประโยชน์ระดับชาติ

การโหมโฆษณาดังกล่าวข้างต้นยังไม่รวมถึงงานมโหรสพและโรงภาพยนต์จะต้องมีเพลงสรรเสริญพระบารมี ให้ต้องลุกขึ้นทำความเคารพจะด้วยความเต็มใจหรือไม่ก็ตาม หรือแม้แต่งานเลี้ยงสมรสบางแห่งที่เจ้าภาพเรียนเชิญผู้ที่ตัวเองให้ความนับถือขึ้นกล่าวคำอวยพรให้คู่บ่าวสาว ไอ้บุคคลผู้น่านับถือแทนที่จะกล่าวให้โอวาทหรือคำอวยพรแก่คู่บ่าวสาว กลับชวนแขกผู้มีเกียรติ์ลุกขึ้นแล้วกล่าว ให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาท ทรงพระเจริญไชโย...ไชโย...
ด้วยวิธีการเช่นนี้อย่าว่าแต่คนเลยครับต่อให้เป็นเสาไฟฟ้าถ้าได้รับการโฆษณาอย่างบ้าระห่ำอย่างที่เห็นและเป็นอยู่นี้ ผมเชื่อเหลือเกินว่ามันก็คงต้องศักดิ์สิทธิ์ไปด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย

ความศักดิ์สิทธิ์นี้บันดาลให้เกิดเป็นอำนาจอันยิ่งใหญ่ ส่งผลให้มีอิทธิพลแผ่ไพศาล ไม่เพียงแต่จะขยายปกคลุมไปถึงลูกหลานและกลุ่มบุคคลรับใช้ใกล้ชิดเท่านั้น หากแต่พวกที่กระทำผิดกฎหมายร้ายแรงก็ได้รับอานิสงส์ให้มีการยกเว้นโดยไม่ต้องถูกดำเนินการตามกฏหมาย หรือแม้แต่หมาข้างถนนอย่างไอ้ทองแดงที่ถูกกษัตริย์นำมาชุบเลี้ยง ก็ได้รับการเลื่อนชั้นให้มีสถานะเหนือมนุษย์ ซึ่งกลุ่มคนขี้ประจบและสื่อมวลชนก็ยอมรับและเรียกมันว่า "คุณทองแดง" ด้วยความยินดี การให้ความสำคัญกับหมาอันเป็นสัตว์เดียรัจฉานให้อยู่เหนือประชาชน เพียงแต่หมาป่วยกษัตริย์ต้องถึงกับลงทุนเสด็จไปนอนเฝ้าไข้หมาที่มหาวิทยาลัยเกษตร แต่การเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯด้วยปลุกระดมและบุกยึดสถานที่ต่างๆ มีการทำร้ายท้าทายยั่วยุเพื่อให้เกิดการนองเลือด ไม่เคยอยู่ในกระแสพระราชดำรัสในวาระใดที่จะปรามหรือให้สติเพื่อความสงบสุข ในทางตรงข้ามกลับให้สนับสนุนอย่างเปิดเผยโดยไม่สนใจกับความตายที่จะเกิดขึ้นกับคนในชาติ

ประวัติศาสตร์การปฏิวัติฝรั่งเศสที่เกิดขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1789 ก็มีสาเหตุมาจากเรื่องของชนชั้นและความไม่เป็นธรรม เฉกเช่นเดียวกันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยของเราเวลานี้ ประเทศฝรั่งเศสได้มีการรวมตัวกันชุมนุมและประกาศสิทธิแห่งมนุษย์ชนและพลเมือง ซึ่งประกอบด้วยหลักการสำคัญ 3 ข้อที่เป็นอุดมการณ์ของการปฏิวัติฝรั่งเศส คือ เสรีภาพ (liberty) เสมอภาค (equality) และภราดรภาพ (fraternity) ประกาศดังกล่าวย้ำข้อเรียกร้องฐานันดรที่ 3 (ฐานันดรที่ ๓ คือประชาชน) เช่น มนุษย์เกิดมาเป็นอิสระ และมีสิทธิเท่าเทียมกัน การจับกุมกล่าวหาและหน่วงเหนียวบุคคลใดๆจะกระทำได้เฉพาะตามที่กฎหมายกำหนด และทุกคนต้องเสียภาษีตามสัดส่วนของรายได้ที่ได้รับ คำประกาศทำให้กลุ่มฐานันดรที่ ๑ (ฐานันดรที่ ๑ คือกษัตริย์และราชวงค์) เกิดความไม่พอใจและมีข่าวว่า กษัตริย์จะใช้กำลังทหารเข้าสลายกลุ่มผู้ชุมนุม

ในวันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ. 1789 กลุ่มผู้ชุมนุมจึงยกขบวนประมาณ 800 คนไปที่คุกบาสตีย์ (Bastille) ซึ่งใช้เป็นที่ขังนักโทษการเมือง เหตุการณ์การทลายคุกบาสตีย์ (Fall of the Bastille) นี้ซึ่งต่อมาถือเป็นวันเริ่มต้นเหตุการณ์ปฏิวัติฝรั่งเศสและเป็นวันชาติฝรั่งเศสในปัจจุบัน เหตุการณ์ครั้งนั้นมีการต่อสู้จนผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก และมีการพิจารณาไต่สวนความผิดของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ในเวลาต่อมา โดยพวกซองกูลอตถือว่าพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ต้องรับผิดชอบต่อการเสียชีวิตจำนวนมากของชาวฝรั่งเศสที่พระราชวังตุยเลอรี พระเจ้าหลุยส์สที่ 16 และพระนางแมรี อังตวนเนตจึงถูกประหารด้วยกิโยตีนเมื่อวันที่ 21 ม.ค. 1793 (การปฏิวัติฝรั่งเศส เป็นการปฏิวัติที่โค่นล้มสถาบันกษัตริย์ฝรั่ง เศส และสถาปนาสาธารณรัฐขึ้น การปฏิวัตินี้มีความสำคัญเพราะเป็นจุดหักเหในประวัติศาสตร์การปกครองของยุโรป)

การยกกษัตริย์ขึ้นสูงเหนือพระเจ้าของกลุ่มคนขี้ประจบนั้น เป็นการแสดงถึงความไม่เข้าใจชนิดโง่เขลาเบาปัญญาของทั้งพวกขี้ประจบและผู้ที่เป็นกษัตริย์ เพราะกษัตริย์เป็น ตำแหน่งที่สูงสุดในระดับประเทศเท่านั้น แต่พระเจ้าเป็นตำแหน่งสูงสุดในระดับสากลที่ไร้ขอบเขตจำกัด (กลับไปอ่านบทความเรื่องหุ่นกระบอกการเมือง ตอนที่ ๒) ความยิ่ง ใหญ่จึงห่างไกลกันอย่างชนิดเทียบกันไม่ได้เลย ที่บุคคลใดก็ตามอย่าได้ "สะเออะ" เรียกตัวเองว่าเป็นพระเจ้าเป็นอันขาด (สะเออะตามความหมายของพจนานุกรมแปลว่า เสนอหน้าเข้าไปโดยที่เขาไม่ต้องการ) ไม่มีประเทศไหนในโลกสถาปนากษัตริย์ขึ้นเป็นพระเจ้า อินเดียเรียกกษัตริย์ว่าราชา จีนเรียกว่าหวังตี้ (ฮ่องเต้) ส่วนฝรั่งเรียกว่าคิง นอกจากนี้แล้วตำแหน่งกษัตริย์และพระเจ้าก็มีที่มาที่ แตกต่างกันราวฟ้ากับดินเลยอีกต่างหาก

การที่จะเป็นพระเจ้าได้นั้นต้องผ่านการบำเพ็ญภาวนา สร้างคุณงามความดีปราศจากความมัวหมองทั้งปวงจนเป็นผู้บริสุทธิ์ และได้รับการเคารพนับถือ ยกย่องให้เป็นผู้ที่อยู่เหนือมนุษย์ทั้งปวงด้วยความศรัทธาอย่างพร้อมอกพร้อมใจโดยปราศจากข้อโต้แย้ง ซึ่งห่างไกลเกินกว่าใครก็ตามที่บังอาจอ้างตัวเองว่าเป็นพระเจ้า หรือแอบอ้างว่าตัวเองบรรลุโสดาบันเป็นพระอริยบุคคลไปแล้วอย่างเช่น นายรัก รักพงษ์ เป็นต้น ดังนั้นขอให้ท่านผู้อ่านจำไว้เลยนะครับว่า ผู้ใดก็ตามที่เอาพระเจ้ามาอ้างหรือแอบอ้างเพื่อการข่มขู่ให้ดูน่ากลัวหรือเพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือและศรัทธาโดยมีผลประโยชน์หรือเป้าหมายอื่นใดแอบแฝงก็ตาม คนพวกนี้เป็นได้แค่
"ไอ้จอมลวงโลก" เท่านั้น

ตำแหน่งกษัตริย์ ถ้าหากท่านผู้อ่านได้ศึกษาและค้นคว้าประวัติศาสตร์ดูก็จะพบความจริงอย่างหนึ่งว่า ตำแหน่งกษัตริย์นั้น จากอดีตถึงปัจจุบันล้วนมีที่มาจากความรุนแรงทั้งสิ้น การแก่งแย่งช่วงชิงมีมาโดยตลอด มีการเสียเลือดเสียเนื้อ มากบ้างน้อยบ้างเพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่งกษัตริย์ โดยมีบัลลังก์และความตายเป็นเดิมพัน และเมื่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดชนะได้ตำแหน่งกษัตริย์มาครอบครองสมใจ ก็ยังจะต้องผองถ่ายอำนาจและกำลังพลเพื่อความปลอดภัยและมั่นคงให้กับตัวเอง ช่วงเปลี่ยนอำนาจนี้ก็ยังจะต้องมีความสูญ เสียชีวิตของผู้คนในบางครั้ง เนื่องจากความไม่ไว้วางใจ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้ที่ขึ้นมาดำรงตำแหน่งกษัตริย์และพลพรรคที่มีหน้าที่ด้านความมั่นคง จะมีหลักในการพิจารณาอย่างไร และก็ขึ้นอยู่กับความโชคร้ายของแต่ละคนที่เคยทำงานรับใช้ใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจในช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่างกษัตริย์คนก่อนและคนใหม่มีความใกล้ชิดสนิทสนมระดับไหน โทษจึงมีตั้งแต่ถูกกำจัดในทางลับ,ประหารชีวิตและจองจำ หรือโทษสถานเบาก็คือชีวิตราช การจะไม่ได้รับความก้าวหน้าอีกต่อไป

ถ้าหากเราจะศึกษาพัฒนาการของคำว่ากษัตริย์โดยมองให้ไกลออกไปถึงยุคก่อนประวัติศาสตร์ เราก็จะพบความจริงอย่างหนึ่งว่า ธรรมชาติของมนุษย์นั้นไม่ใช่สัตว์ชนิดมีเขี้ยวเล็บเป็นอาวุธจึงไม่มีสิ่งป้องกันตนเอง การดำรงชีพจึงจำเป็นต้องเกาะกุมกันเป็นกลุ่มก้อนเพื่อให้รอดพ้นจากการถูกไล่ล่าของสัตว์อื่นหรือชนต่างเผ่าพันธ์ที่แข็งแรงกว่า การใช้ชีวิตร่วมกันเป็นจำนวนมาก ก็ย่อมต้องมีผู้ที่แข็งแรงและผู้ที่อ่อนแอรวมอยู่ด้วยกัน และก็เป็นธรรมดาอันเป็นสัจจธรรมที่ว่าผู้ที่แข็งแรงย่อมต้องเอารัดเอาเปรียบและรังแกผู้ที่อ่อนด้อยกว่า แต่การดำเนินชีวิตก็ยังคงต้องอยู่อาศัยร่วมกันโดยไม่อาจจะแยกจากกันได้ด้วยเหตุผลในเรื่องความปลอดภัย ลักษณะการอยู่ร่วมกันของมนุษย์และยิน ยอมให้เอารัดเอาเปรียบจากผู้ที่แข็งแรงกว่านี้ ยังคงความเป็นเอกลักษณ์แห่งความเป็นมนุษย์ให้เราได้เห็นแม้จนกระทั่งทุกวันนี้

ชีวิตมนุษย์มีพัฒนาการตามกาลเวลาจากการอยู่ร่วมกันตามธรรมชาติดังกล่าวข้างต้น ก็มีการขยับขยายมาเป็นหมู่เหล่าที่ต่างเผ่าพันธ์ มนุษย์ก็เหมือนสัตว์ทั่วๆไปจะต่างกันก็ตรงที่มนุษย์มีความคิดและความจำ ในขณะที่สัตว์อื่นๆมีแต่ความจำเพียงอย่างเดียว ดังนั้นมนุษย์จึงมีพัฒนาการที่รวดเร็วจนสัตว์อื่นๆตามไม่ทัน และเอกลักษณ์ของมนุษย์ที่ว่ายินยอมให้ผู้ที่แข็งแรงกว่าเอารัดเอาเปรียบในยุคสมัยหนึ่ง ก็ค่อยๆมีการเปลี่ยนแปลงมาเป็นปรนนิบัติเอาใจผู้ที่แข็งแรงกว่า ในขณะเดียวกันผู้ที่แข็งแรงก็ทำหน้าที่ปกป้องคุ้ม ครองและพาสมัครพรรคพวกออกหาอาหารมาเลี้ยงดู แล้วพัฒนายกระดับขึ้นเป็นชนเผ่าที่มีภาษาเป็นของตัวเองที่แตกต่างไปจากมนุษย์เผ่าอื่น และมีผู้นำ(ที่พัฒนากลายมาเป็นชนชั้นปกครอง) ที่เรียกว่าหัวหน้าเผ่า

มนุษย์ชนเผ่าต่างๆมีการเคลื่อนย้ายถิ่นหากินไปตามสถาพแวดล้อมหรือถูกรุกรานโดยชนเผ่าอื่นที่เข้มแข็งกว่า การโยกย้ายจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งจึงเป็นเรื่องปรกติของยุคสมัยนั้น เพราะไม่มีการยึดครองพื้นที่เป็นการถาวรและก็ยังไม่มีการแบ่งเขตแดนชัดเจนอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เรียกว่าที่ไหนอุดมสมบูรณ์ก็ปักหลักอาศัยกันอยู่ตรงนั้นเลยตราบเท่าที่ไม่ถูกรุกราน จนกระทั่งการเติบโตของชนเผ่ายากต่อการโยกย้าย การตั้งถิ่นฐานอยู่อาศัยถาวรจึงเกิดขึ้น แล้วค่อยๆพัฒนามาเป็นเมืองโดยมีเจ้าเมืองเป็นผู้ปกครอง(เจ้าแปลว่าผู้เป็นใหญ่หรือผู้เป็นหัวหน้า)

การที่จะยกระดับขึ้นเป็นเมืองนี่ต้องประกอบด้วยคนเป็นจำนวนมากนะครับ และการที่ผู้คนมารวมตัวกันอยู่เป็นจำนวนมากก็ต้องมีกฏระเบียบในการปกครอง นี่ก็เป็นอีกหนึ่งพัฒนาการของมนุษย์ แต่ปัญหาการปกครองที่แก้ยากที่สุดก็ยังเป็นเรื่องของปากท้อง ดังนั้นจึงยังคงเป็นหน้าที่โดยตรงของผู้เป็นใหญ่เพราะแข็งแรงกว่าเพื่อนนั่นก็คือเจ้าเมือง ยุคสมัยนั้นยังไม่มีครับเรื่องการค้าการขาย ดังนั้นการดำรงชีพจึงเป็นไปในลักษณะช่วย กันทำแบ่งกันกิน และต้องพึ่งฟ้าดินเป็นหลักสิ่งที่กลัวที่สุดก็คือความแห้งแล้ง เพราะเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความอุดมสมบูรณ์ ในขณะที่เจ้าเมืองก็ต้องมีบทบาทสำคัญในด้านความมั่นคงที่นอกจากไม่ให้ใครมารุกรานแล้ว ยังต้องดูแลผู้ใต้การปกครองต้องมีเครื่องอาศัยยังชีพ(ปัจจัย)เพียงพอต่อการบริโภค นั่นก็คือการแผ่ขยายอิทธิพลไปยังเมืองที่เล็กและอ่อนแอกว่า (วิธีการก็คือแย่งชิงหรือปล้นสะดมนั่นแหละ)

การแผ่อิทธิพลของเจ้าเมือง ทำให้เมืองเล็กเมืองน้อยที่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลต้องจัดส่งเครื่องบรรณาการ (ส่วย) ไปให้ ตรงนี้ก็เป็นอีกพัฒนาการหนึ่งที่เจ้าเมืองใหญ่สถาปนาตัวเองขึ้นเป็นกษัตริย์ โดยมีเมืองเล็กเมืองน้อยอยู่ภายใต้การปกครองจนกลายเป็นประ เทศ แล้วก็ไม่มีวันสิ้นสุดละครับท่านผู้อ่าน ประเทศที่ใหญ่กว่าแข็งแรงกว่าก็ไล่ล่าเอาประเทศที่เล็กกว่าเป็นเมืองขึ้น จนกระทั่งหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ นี่แหละครับจึงมีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนั่นก็คือ การแบ่งฝ่ายของประเทศมหาอำนาจเป็น ๒ ลัทธิคือ โลกเสรีและคอมมิวนิส แต่มีสามขั้วอำนาจด้วยกันคือประเทศอเมริกา,จีนและรัสเซีย นับได้ว่าเป็นการสิ้นสุดยุคล่าอาณานิคม แล้วเข้าสู่ยุคหาพวกที่ประเทศเล็กต้องเลือกคบหากับประเทศมหาอำนาจไว้เป็นเกาะป้องกันในการถูกรุกราน หรือที่เรียกว่าพันธมิตร ประเทศไทยเป็นพันธมิตรถาวรกับประเทศอเมริกา

ผมพาท่านผู้อ่านมาถึงตรงนี้คงไม่ต้องยาวไปถึงยุคโลกาภิวัฒน์อย่างเช่นเวลานี้ เพราะคิดว่าเพียงพอที่จะถามไอ้พวกขี้ประจบที่จงรักภักดีทั้งหลายว่าที่มาของกษัตริย์มีเส้นทางไหนบ้างครับที่เชื่อมโยงไปถึงพระเจ้า แล้วพอหมดยุคแผ่อิทธิพลจนแม้การล่าเมืองขึ้นมันก็หมดยุคไปแล้ว ดังนั้นบทบาทของเจ้าเมืองหรือกษัตริย์ที่จะยกทัพไปปล้นสะ ดมหรือตีเมืองขึ้นจึงไม่มี สถาบันกษัตริย์ในหลายประเทศเขาจึงได้ตระหนักในความจริงข้อนี้ กษัตริย์ของเขาจึงยินยอมถอยห่างเปิดโอกาสให้มีการเลือกคนที่มีความสามารถขึ้นมาจัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศแทน ที่เรียกว่าระบอบประชาธิปไตยอย่างเช่นประเทศอังกฤษและญี่ปุ่นเป็นต้น แล้วรัฐบาลก็จัดสรรงบประมาณเลี้ยงดูกษัตริย์และราชวงค์ให้อยู่ดีมีสุขเป็นการตอบแทน ความเป็นมาของกษัตริย์ก็มีเพียงเท่านี้เอง ไม่มีหรอกครับที่จะเป็นผู้วิเศษเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นที่สักการะบูชา มันตอเเหลทั้งเพ


ผมเขียนบทความชิ้นนี้ขึ้นมาด้วยความปรารถนาดี (ไม่ใช่จงรักภักดี) โดยไม่ได้มีเจตนาแม้กระทั่งมีความคิดที่จะล้มล้างสถาบันกษัตริย์ เพราะพ่อ-แม่,ปู่-ย่า,ตา-ยายกระทั่งตัวผมมีความผูกพันกับสถาบันกษัตริย์มาอย่างยาวนานจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ผมไม่อาจบอกได้ว่าจงรักภักดีดังเช่นพวกขุนนางขี้ประจบทั้งหลายที่เกาะติดสถาบันเพื่อหาผลประโยชน์ และเพราะความจงรักภักดีอันจอมปลอมนี่แหละ พวกมันถึงได้ใช้คำว่าความจงรักภักดีนี้ทำลายทุกคนที่มีความคิดต่าง ด้วยการยัดเยียดข้อกล่าวหาว่าไม่จงรักภักดี ควบคู่ไปกับข้อหาหมิ่นฯ ในเวลาเดียวกันก็ใช้คำคำเดียวกันนี้เอื้อประโยชน์ต่อพวกมันเอง จนความอยุติธรรมได้เกิดขึ้นไปทั่วผืนแผ่นดินไทยอย่างที่เห็น ส่งผลให้เกิดความมัวหมองจนทำให้สถาบันกษัตริย์มีอันต้องเสื่อมโทรมอย่างรวดเร็ว ทั้งหมดก็มีที่มาจากกลุ่มขุนนางขี้ประจบที่หวังโตทางลัดและ ต้องการอยู่บนอำนาจอย่างต่อเนื่องยาวนานนั่นเอง


สถาบันกษัตริย์อยู่คู่ประเทศไทยมายาวนานนับพันปี ผมเชื่อเหลือเกินครับว่าบุคคลที่ได้ชื่อว่าคนไทยทุกคนไม่มีใครต้องการโค่นล้มให้สิ้นไปจากแผ่นดินอย่างแน่นอน เพียงแต่ต้องหาจุดร่วมที่เหมาะสม และอย่าให้พวกมักง่ายอยากโตทางลัดนำไปใช้ประโยชน์ในการทำลายล้างคนดีคนเก่ง เพียงแค่ต้องการให้พ้นเส้นทางเพื่อพวกมันจะได้ไม่มีคู่แข่งทั้งหมดที่ผมเขียนมานี้เป็นอีกหนึ่งความคิดเห็นที่เสนอมายังพี่-น้องคนไทย ได้โปรดพิจารณาและช่วยกันต่อต้าน พวกอำมาตย์ที่เกาะบัลลังก์หากินมาอย่างยาวนานให้สิ้นไปจากแผ่นดินไทย

พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๔ ธันวาคม ๒๕๔๘..

"แต่ว่าความจริง ก็จะต้องวิจารณ์บ้างเหมือนกัน แล้วก็ไม่กลัวถ้าใครจะวิจารณ์ว่าทำไม่ดีตรงนั้น ๆ จะได้รู้ เพราะว่าถ้าบอกว่าพระเจ้าอยู่หัวไปวิจารณ์ท่านไม่ได้ ก็หมายความว่าพระเจ้าอยู่หัวไม่เป็นคน"

ไปเปิดอ่านได้ที่ ..พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๔ ธันวาคม ๒๕๔๘..

ก่อนจากกันวันนี้ผมขอถือโอกาสอวยพรปีใหม่ให้พี่น้องชาวไทยทุกคน (ยกเว้นเปรมและใครก็ตามที่เป็นพวกเดียวกับกลุ่มพันธมิตรฯ) จงมีแต่ความสุข,ความเจริญก้าวหน้า, สมหวังและพบเห็นแต่สิ่งอันพึงปรารถนาจงทุกประการ


อาคม ซิดนี่ย์

๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๑


arkomsydney@yahoo.com.au

Copyright : 169 : 2008 arkomsydney

อ่านแล้วกรุณาส่งต่อ

ติดตามบทความย้อนหลังได้ที่
บทความโดยอาคม ซิดนีย์


สำเนาโดย : คุณป้าปากเกร็ด

ที่มา : ประชาไทเวบบอร์ด : ฝากบทความของคุณอาคม ซิดนีย์ มาให้อ่านกันค่ะ

หมายเหตุ
การเน้นข้อความทำโดยความเห็นของผู้จัดเก็บบทความ