วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

Break Down The Wall ( 2 )


มาทุบกำแพงทิ้งกันเถอะ

กำแพง ที่ถูกก่อขึ้นด้วยอิฐ หิน ทราย ปูน ในแง่ของการ “ป้องกัน” สะระตะคิดแล้ว น่าจะมีประโยชน์มากกว่า ป้องกันผู้ไม่หวังดี ผู้มีกิเลสในการรุกราน หรือกษัตริย์ผู้กระหายดินแดนมีลมหายใจแห่งสงครามเข้าออก กำแพงเมืองจีนถูกสร้างขึ้นมาด้วยเหตุผลของสงคราม มองในแง่ของการรักผืนแผ่นดินแดนมาตุภูมิ เป็นความหัศจรรย์ของการก่อสร้าง ซึ่งคงไม่เพียงแต่กำแพงเท่านั้น ปิรามิด ของอียิปต์ ปราสาทในยุโรป สโตนเฮสจ์หินประหลาดของอังกฤษ ก็ล้วนเป็นความมหัศจรรย์ของคนยุคนั้น และ ฯลฯ

ยกเว้นกำแพง “เบอร์ลิน” ที่กั้นระหว่างเยอรมันตะวันออกกับเยอรมันตะวันตก ที่ถูกสร้างขึ้นมาบนความเกลียดชัง ระหว่างสองลัทธิคือสังคมนิยมคอมมิวนิสท์กับเสรีประชาธิปไตย ยุคนั้นลัทธิคอมมิวนิสท์เหมือนโรคระบาด ในเยอรมันเต็มไปด้วยปราชญ์นักคิดแนวคิดคอมมิวนิสท์มากมาย คาร์ล มาร์กซ์ นี่เจ้าพ่อหมายเลขหนึ่ง เฟดเดอริค เฮเกล และตามมาด้วยเผด็จการทหารนักฆ่าระดับ Megadeth อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ซึ่งผมอ่านประวัติของนาซีหฤโหดคนนี้ตั้งแต่เรียน ป. 7 โหย อ่านแล้วก็หลงไหลศรัทธาในความเป็นชาตินิยม ผมว่านะ ถ้าหากภาคใต้ของไทยมีคนอย่างฮิตเลอร์ ไม่มีการฆ่ารายวันสังเวยศาสนาแบบนี้หรอก และยิ่งได้ดูหนังเกี่ยวกับสงครามเยอรมัน สมัยเรียนมัธยมก็เอาปากกาสีแดงมาวาดรูปเครื่องหมายสวัสดิกะลงบนของกางเกง เครื่องหมายนาซีสี่เหลี่ยม เลื่อยจากไม้อัดเอามาห้อยคอให้เหมือนพวกทหารที่ใส่เครื่องแบบแล้วแม่งโคตรเท่ แต่ครูใหญ่โรงเรียนบ้านหนองแมงกุดจี่ไม่เท่กับแก็งค์พวกผม เรียกไปหวดด้วยไม้เรียวหน้าเสาธงคนละครึ่งโหล!!

โทษฐานแต่งตัวนักเรียนเลอะเทอะ และมีจิตใจฝักใฝ่กับคอมมิวนิสท์!!

แต่โลกนี้แม่งก็บัดซบและเข้าใจยากบรรลัย ลัทธิหนึ่งที่ผู้คนเห็นว่า เหมาะสำหรับปกครองคนในยุคหนึ่ง และทำให้โลกถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย จับปืนเข้าห้ำหั่นทำสงครามกันยาวนาน ผมเกิดทันยุคนั้นพอดีนะครับ ข่าวคราวการสู้รบของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองกับนักรบในป่า ในนามพรรคคอมมิวนิสท์แห่งประเทศไทย เป็นไปอย่างดุเดือดเลือดพล่าน โดยเฉพาะที่จังหวัดน่าน เพชรบูรณ์ ทั้งสองฝ่ายล้มตายกันเป็นเบือ สกลนคร นครพนม โดยเฉพาะที่อำเภอนาแก เป็นสมรภูมิเลือดหลายครั้ง ผมในอายุแรกรุ่น ไม่รู้หรอกครับว่า ใครผิดใครถูก รู้แต่ว่า คอมมิวนิสท์เป็นพวกผีร้าย เป็นลัทธิที่น่ากลัว เป็นลัทธิที่นำคนมาใช้งานไถนา เป็นลัทธิที่พ่อบอกว่า ถ้ามันเข้ามาถึงประเทศไทย จะทำให้ทุกคนไม่มีสิทธิในทรัพย์สิน ทุกอย่างตกเป็นของรัฐบาล รัฐเป็นผู้แบ่งปันให้ทุกอย่าง คนในเมืองต้องถูกต้อนให้ออกไปทำนา ชาวนาเป็นใหญ่ ไม่มีระบบเจ้าขุนมูลนาย ทุกคนมีสถานะภาพทางสังคมเท่าเทียมกันหมด

ไหนๆก็เล่าแล้ว ขอต่ออีกหน่อยละกัน

ตอนผมเรียน ป.4 ที่บ้านเกิดโคกอีแหลว ผมจำได้ว่า กลัวคอมมิวนิสท์ขี้หดตดหาย ผมจำได้แม่นยำว่า เคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ “อยู่เหมือนตาย เฒ่าหวั่งในโลกกว้าง” เป็นหนังสือมีภาพสีกระดาษปอนด์ขาวอย่างดี มีคำบรรยายใต้ภาพเรื่องราวของชายชราชาวจีนชื่อเฒ่าหวั่ง เรื่องราวเกิดขึ้นบนผืนแผ่นดินใหญ่จีน ในยุคที่เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบศักดินามาสู่ระบอบคอมมิวนิสท์โดยท่านประธานเหมา เจ๋อ ตุง

เป็นการล้างระบอบการปกครองแบบเก่าที่เน่าเฟะไปด้วยการโกงกินคอรัปชั่นของเหล่าขุนนางในราชสำนัก และแต่ละราชวงศ์ก็แย่งชิงความเป็นใหญ่ (ประวัติศาสตร์จีน อ่านเมามันส์มาก ขอบอก!!) และด้วยความฟุ่มเฟือย กดขี่ข่มเหง เอารัดเอาเปรียบ จนสังคมเดินทางมาถึงจุดสุกงอม การล้มล้างระบอบกษัตริย์ของจีนจึงเกิดขึ้น ซึ่งในยุคนั้น จีนเรียกว่า การปฏิวัติวัฒนธรรม โดยกองทัพแดงที่มีเยาวชนคนรุ่นใหม่เข้าร่วมขบวนการ

ช่วงนั้น โลกปั่นป่วนไปเลยนะครับ บรรยากาศตกอยู่ในความหวาดกลัว หวาดระแวง ซึ่งภายหลังเรียกกันว่า “สงครามเย็น” โลกถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่ายอย่างชัดเจน จีนพยายามส่งกองทัพเข้าไปรุกรานประเทศอื่น เพื่อประกาศว่า ลัทธิสังคมนิยมที่ไม่มีการแบ่งชนชั้นวรรณะเป็นลัทธิสุดยอดของโลก ลัทธิเสรีนิยมที่มีอเมริกาเป็นหัวโจก เป็นลัทธิที่ทำให้เกิดการแบ่งชนชั้น คนรวยกดขี่คนจน คนมีอำนาจในสังคมเป็นพวกที่ได้เปรียบ แม้แต่ระบอบกษัตริย์ คอมมิวนิสท์ก็เห็นว่า เป็นความไม่เท่าเทียม คนพวกหนึ่งเสวยสุขอยู่ในปราสาทราชมณเฑียร แต่ชาวนา เกษตกรผู้ยากจนกำลังจะตาย พวกเขาต้องเป็นผู้ปลูกข้าวให้คนชั้นสูงเหล่านั้นกิน เป้าหมายของระบอบคอมมิวนิสท์คือทำให้สังคมโลกไม่มีคนยากดีมีจน ทุกคนเท่าเทียมกันหมด ตอนเรียนรัฐศาสตร์เรื่องนี้ มันส์หยดติ๋งๆเลยนะครับ อ่านแล้วก็เคลิบเคลิ้ม ตอนนั้นผมมีหนังสือเกี่ยวกับลัทธิคอมมิวนิสท์เต็มบ้าน อ่านแล้วก็เกิดอาการหัวรุนแรง เห็นความเหลื่อมล้ำต่ำสูงในสังคมทุกหย่อมหญ้า

เรื่องราวของเฒ่าหวั่ง เป็นการชี้ให้เห็นถึงความน่ากลัวของภัยคอมมิวนิสท์ ผ่านสายตาเฒ่าหวั่ง ซึ่งในยุคที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงการปกครอง แกมีชีวิตที่สุขสบาย แต่พอเปลี่ยนแปลงแ ล้ว ลูกเต้า ญาติโกโหติกา ถูกบังคับให้แยกจากกัน ผู้ชายต้องไปเป็นทหาร ผู้หญิงต้องไปเป็นแม่ครัว ลูกเต้าที่กำลังเติบโต ต้องเอาไปฝากไว้ให้รัฐส่วนกลางเลี้ยง (ผมอยากได้หนังสือเล่มนี้จัง ไม่รู้หน่วยงานทหารหรือรัฐบาลเก็บกันไว้หรือเปล่า)

บางภาพก็เห็นประชาชนในบางพื้นที่หลบหนีออกจากประเทศ เพราะทนระบบการปกครองแบบใหม่ไม่ไหว บางภาพก็เห็นเอาคนไปไถนา เพราะควายไม่พอ บางภาพก็เห็นทหารหนุ่มทำร้ายคนแก่ เพราะคนแก่คือพวกที่ไม่มีประโยชน์ต่อสังคมคอมมิวนิสท์ ต้องถูกต้อนไปรวมกัน รอวันตาย ชีวิตของเฒ่าหวั่งจึง “อยู่เหมือนตาย” ต้องพรัดพรากจากลูกหลาน วันๆเห็นแต่ทหารหนุ่ม ต้อนคนออกไปทำนา

เป็นหนังสือที่ผมฝังใจมาก และพออ่านแล้วก็เกิดความกลัวคอมมิวนิสท์ขึ้นมาจับใจ อีกเรื่องหนึ่งที่จำฝังใจเหมือนกันเกี่ยวกับความน่ากลัวของคอมมิวนิสท์ในวัยเด็ก คือตามโรงเรียนก็จะมีหนังสือนิยายภาพที่ทางราชการเอามาแจก ก็เป็นหนังสือแนวนี้แหละ ผมจำได้ขึ้นใจเรื่องหนึ่งชื่อ “เหตุเกิดที่บ้านพังโพน” (ผมอยากได้อีกเหมือนกัน หมู๋นี้เป็นโรคถวิลความหลังบ่อยว่ะ ฮิ ฮิ อ้อ อีกเล่มหนึ่งเป็นแบบเรียนไม่เกี่ยวกับคอมมิวนิสท์ชื่อ เด็กชายปัญญา เด็กหญิงเรณู ใครช่วยบอกผมทีว่า จะไปหาที่ไหน) เป็นนิยายเกี่ยวกับการรุกรานของลัทธิคอมมิวนิสท์ ที่เข้ามาในประเทศไทย โดยมีคนแปลกหน้าเข้ามาในหมู่บ้านพังโพน (ผมคิดว่าเรื่องราวเกิดขึ้นที่จังหวัดสกลนคร) แล้วหลอหล่อว่า ถ้าอยากพ้นจากความยากจน ต้องไปเรียนหนังสือที่เมืองจีน โดยต้องเดินเท้าไปฮานอย เวียดนามก่อน อ้อ พระเอกในเรื่องผมก็จำได้แม่นยำ ชื่อ “แทน ธงชัย” ถ้าไปเรียนที่จีนแล้วกลับมาจะได้เป็นทหาร เป็นหมอ เป็นครู ชาวบ้านพังโพนหลงเชื่อถูกหลอกเดินทางไปจนถึงฮานอย

พวกเขาได้เรียนหนังสืออย่างที่หวัง แต่เป็นการเรียนที่ไม่ต่อเนื่อง เรียนไปสักหกเดือนก็ต้องออกไปฝึกการเป็นทหารและกลับมาสู้รบกับเจ้าหน้าที่บ้านเมืองในเขตบ้านพังโพน ในที่สุดพวกเขาก็รู้ว่า ถูกหลอก และได้กำลังทหารเจ้าหน้าที่มาช่วยเหลือ ต่อสู้กับ “ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสท์” เรื่องนี้จบแบบแฮ็ปปี้ เอ็นดิ้ง เจ้าหน้าที่บ้านเมืองเข้าใจราษฏร บ อกว่า ทุกข์ยากอย่างไรก็อยู่บ้านเราดีกว่า และชี้เห็นถึงภัยอันน่ากลัวงของคอมมิวนิสท์

ไม่เพียงแต่หนังสือนะครับ พวกโปสเตอร์ใบใหญ่ๆกระดาษอาร์ตหนาๆ ก็พิมพ์ออกมาแจกจ่ายกันมากมาย มีคำเตือนคล้ายๆกับโปสเตอร์หนังเช่น “อย่าไว้ใจคนแปลกหน้า” “อย่ายอมให้ลัทธิอุบาทว์เข้ามาในบ้านเรา” “พบเห็นคนแปลกปลอมช่วยแจ้งเจ้าหน้าที่บ้านเมือง” “ถ้าคอมมิวนิสท์รุกราน เราจะเป็นทาสตลอดไป” คำเตือนจะออกแนวนี้แหละ ผมชอบกระดาษ เพราะมันหนา เอามาใช้ประโยชน์ในบ้านได้ ปูรองกินข้าว ใช้ด้านหลังที่เป็นสีขาวเอาไว้วาดรูป ประดิษฐ์ประดอยตัวหนังสือ

ในความรู้สึกของเด็ก ป.3-4 บรรยากาศการรับรู้เรื่องคอมมิวนิสท์ มันน่ากลัวจริงๆครับ อีกอย่างหนึ่งก็คือ ตอนกลางคืน ผมกับพี่สาวชอบเปิดวิทยุฟังละคร แต่บางคืนคลื่นวิทยุก็ดันไปติด “สถานีวิทยุพรรคคอมมิวนิสท์แห่งประเทศไทย” เรียกกันว่า สถานีคลื่นสั้น ผมจำได้ดีอีกนั่นแหละว่า ตอนที่โฆษกพูด เขาประกาศว่าอย่างไร และขอโทษนะครับ เป็นเสียงภาษาอีสาน สำเนียงออกไปทางเหน่อแบบนครพนม ซึ่งก็คือออกอากาศมาจากประเทศลาว “ที่นี่ สถานีวิทยุกระจายเสียงพรรคคอมมิวนิสท์แห่งประเทศไทย ส่งคลื่นยาวมาจากปรุงปักกิ่ง ส่งคลื่นสั้นมาจากฮานอยและประเทศลาว คลื่นต่อต้านจักรวรรดินิยมอเมริกา” แล้วก็จะตามด้วยหัวข้อข่าว เช่น “เยาวชนเรด การ์ด ชื่นชมท่านประธานเหมา ที่นำพวกเขามาสู่ชีวิตใหม่” “กองทัพแดง สังหารเจ้าหน้าที่ผู้ต่อต้านในเขตปลดปล่อยมณฑลฉ่านสี” “จักรวรรดินิยมอเมริกา ขายอาวุธครั้งใหญ่ให้กับประเทศอาฟริกา”

ผู้ประกาศเสียงเป็นผู้หญิงนะครับ สำนวนข่าวฟังแล้วโคตรกินใจ ได้อารมณ์ เป็นเสียงเล็กแหลม แต่ทรงพลังในการอ่าน ผมกับพี่สาว ฟังไปก็กลัวไปนะครับ เพราะใครก็ตาม ถ้าถูกจับได้ว่า ฟังคลื่นนี้ จะถูกเจ้าหน้าที่จับไปดำเนินการสอบสวนทันทีในเช้าวันรุ่งขึ้น (อาจมีคนไปแจ้งหรือมีคนแอบดักฟัง) ถือว่ามีใจฝักใฝ่ลัทธิคอมมิวนิสท์


พอโตขึ้นมาถึงรู้ว่า วิธีการทั้งหลายแหล่ คือการโฆษณาชวนเชื่อของฝ่ายรัฐบาล เป็นส่วนหนึ่งของการทำ “สงครามเย็น” ร่วมกับพี่เบิ้ม สหรัฐอเมริกา เพื่อต่อต้าน ป้องกัน ลัทธิคอมมิวนิสท์ ที่จะเข้ามาแทรกแซงเอเซีย และนำมาซึ่งการเข้ามาตั้งฐานทัพในประเทศไทย ป้องกันการแพร่ขยายลัทธิคอมมิวนิสท์ทางเอเซียไว้ก่อน แล้วเราก็เดินตามก้นอเมริกามาตั้งแต่บัดนั้น แต่อเมริกาก็พ่ายแพ้สงครามกองโจรทั้งหมดในเอเซีย ลาว เวียดนาม

แท้ที่จริงแล้ว ลัทธิคอมมิวนิสท์ สูญสลายไปเองตามกฏเกณฑ์ธรรมชาติของมนุษย์ อเมริกาก็คงแค้นอยู่เหมือนกันครับที่ ลงทุนมหาศาลทำสงครามในเอเซีย ทหารล้มตายหลายแสนคน แต่บทคอมมิวนิสท์จะสูญสลาย ใช้เวลาเพียงไม่กี่ปี รัสเซีย โปแลนด์ ยุโรปตะวันออกหลายประเทศ ที่คงเหลือไว้อย่างจีนหรือรัสเซีย ก็ถูกปรับเปลี่ยนให้ยืดหยุ่นลงตามสถานการณ์โลก

สงครามเย็นสงบแล้ว แต่สงครามร้อนกำลังร้อนแรงขึ้นทุกวินาที

นักวิเคราะห์สถานการณ์โลกบอกว่า การระเบิดตึกเวิร์ลเทรดเมื่อวันที่ 11 กันยายน เป็นการเริ่มประกาศสงครามครั้งใหม่ ซึ่งไม่ใช่สงครามลัทธิ แต่เป็นสงครามศาสนา ซึ่งอันตรายร้ายแรง และเหี้ยมเกรียมกว่าสงครามลัทธิหลายสิบเท่า และรูปแบบการสู้รบจะไม่ใช่อยู่ในสมรภูมิ แต่จะอยู่กลางใจเมือง!!

ซึ่ง ณ วันนี้ก็เริ่มเปิดฉากอย่างเป็นทางการแล้ว

ที่ต้องท้าวความยาว ก็เพราะจะปูพื้นให้เห็นครับว่า ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ พยายามที่จะแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำของชนชั้น ชนชาติ ผิวสี ฐานันดรทางสังคมกันมาโดยตลอด ด้วยวิธีสู้รบด้วยอาวุธปืน ด้วยวิธีการทางการฑูต ด้วยรูปแบบการโฆษณา รุกรานทางวัฒนธรรมที่แยบยลของชาติที่มีอำนาจเหนือกว่า

การพ่ายแพ้ของสังคมนิยมคอมมิวนิสท์ ดูเหมือนจะเป็นการประกาศไปในตัวด้วยนะครับว่า ในที่สุด “ทุนนิยม” ก็ได้รับชัยชนะ ทุนนิยม ซึ่งยังเต็มไปด้วยปัญหาความเหลื่อมล้ำ ช่องว่างระหว่างความจนกับความรวย ระหว่างเมืองกับชนบท

ทั้งหลายของช่องว่างและความเหลื่อมล้ำ คือปฐมบทที่มาของการ “ก่อกำแพง” กำแพงชนชั้น กำแพงการศึกษา กำแพงการเมือง กำแพงอำนาจ และกำแพงที่ก่อขึ้นล้อมรอบตัวเองอย่างไม่รู้ตัว หรือเคยชินกับขนบธรรมเนียมเดิมๆ จนกลายเป็นปัญหาการพัฒนาสังคม

โดยเฉพาะกำแพงการศึกษา ซึ่งบทความชิ้นนี้จะเน้นให้เห็นประเด็นแห่งปัญหาทั้งหลายทั้งปวง เปล่า ไม่ได้โยนความผิดไปให้การศึกษาทั้งหมด

ค่านิยมทางสังคม ทัศนคติต่อสิ่งแวดล้อมการศึกษา เป็นองค์ประกอบที่เกี่ยวพันร้อยรัดกันอย่างแยกไม่ออก มาถึงวินาทีนี้ มันกลายเป็นกำแพงมหึมาที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา รัฐธรรมนูญน่ะ เขียนไปเหอะ เขียนให้ดีเลิศประเสริฐศรีอย่างไร แต่การศึกษาของคนในชาติยังไม่กระเตื้องไปถึงไหน ประเทศชาติก็จะเต็มไปด้วยปัญหารุงรังร้อยแปดแบบนี้ไม่สิ้นสุด ตอนหน้าว่ากันใหม่


พายุหินกูรู

ที่มา : rockonlinebysingha : Break Down The Wall (2)

หมายเหตุ
การเน้นข้อความทำโดยความเห็นของผู้จัดเก็บบทความ

ไม่มีความคิดเห็น: