หมายเหตุ
จดหมายส่วนตัวฉบับดังต่อไปนี้ เป็นเรื่องราวเหตุการณ์ในราชสำนักกรุงศรีอยุธยาในแผ่นดินพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษ ซึ่งเนื้อความทั้งหมดนั้นกล่าวถึง “ เจ้าฟ้ากุ้ง “ ก่อการกบฏและลอบเป็นชู้กับพระมเหสีและพระสนมของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษ
แปลโดย : อ. ด.ร. ธีรวัต ณ ป้อมเพชร
จดหมายส่วนตัว
เรื่องในเอกสาร VOC ที่เกี่ยวกับเจ้าฟ้ากุ้ง
๑. เมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. ๑๗๕๖
เกิดเหตุการณ์สำคัญขึ้นในราชสำนักไทย
๒. เป็นเวลาราวๆ 1 ปีที่ “ Kpoomprincs “ ( มกุฎราชกุมาร / อุปราช ) ประชวรด้วยโรค Morbus Gallicus กามโรคชนิดหนึ่งที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า “ French Pox “ เลยเข้าวังหลวงไม่ได้ทรงประทับอยู่แต่ในวังของพระองค์เอง ( วังหน้า )
๓. ในช่วงที่ทรงพระประชวร พระมหาอุปราชทรงสั่งลงโทษข้าหลวง ( แม้ข้าหลวงที่สำคัญ ) อย่างรุนแรง นอกจากนั้นแล้วยังทรงวิวาทกับพระราชโอรสของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษอีกพระองค์หนึ่ง
Tjauw Sakew ( ถอดเสียงออกเป็น “ เจ้าสระแก้ว “ น่าที่จะหมายถึง กรมหมื่นสุนทรเทพ ซึ่ง พระราชพงศาวดารว่าทรงประทับอยู่ ณ พระตำหนักสระแก้ว ) เจ้าฟ้ากุ้งได้สั่งให้ลูกน้องไปล้อมที่ประทับของ “ Tjauw Sakew “ แต่กรมหมื่นสุนทรเทพพร้อมบรรดาพระราชโอรสของพระองค์ทรงสามารถหลบหนีไปได้ แล้วเข้าไปที่พระราชวังหลวง เข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษและกราบบังคมทูลเรื่องราวทั้งหมด
๔. เมื่อพระมหาอุปราชทรงทราบว่า “ Tjauw Sakew “ หนีเข้าไปในพระราชวังหลวงแล้ว ก็ทรงนำบริวารบุกไปถึงพระทวารพระบรมหาราชวัง โดยตั้งพระทัยจะจับตัว “ Tjauw Sakew “ มาฆ่าเสีย แต่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษได้ทรงมีพระราชดำรัสว่าให้ปิดพระทวารพระบรมหาราชวังเสีย ไม่ให้ผู้ใดล่วงเข้าไปทั้งสิ้น ( ถ้าไม่ได้รับพระราชานุญาติจากพระองค์ ) พระมหาอุปราชเลยต้องเสด็จกลับไปยังวังหน้าของพระองค์
๕. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษทรงออกพระโอษฐ์เรียกพระมหาอุปราชเข้าเฝ้า ทีแรกนั้นพระมหาอุปราชหายอมไม่ แต่ในที่สุดพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษทรงขู่ว่า ถ้าไม่มาเข้าเฝ้าแล้วไซร้พระองค์จะทรงมาจับตัวไปเอง เจ้าฟ้ากุ้งจึงทรงยอมเข้าไปในพระบรมหาราชวัง พระมหาอุปราชทรงนำอาวุธ ( ดาบ ) ติดพระองค์ไปด้วย พร้อมทั้งบริวารก็ถืออาวุธจำนวนหนึ่ง ทรงเดินถือดาบเข้าไปในพระบรมหาราชวัง ( แต่บริวารของพระองค์ไม่สามารถเข้าไปได้ ) แต่ในที่สุดก็ทรงยอมยื่นดาบให้ “ เจ้านายพระองค์หนึ่ง “ ( ไม่กรมหมื่นจิตรสุนทร กรมหมื่นสุนทรเทพ กรมหมื่นเสพภักดี หรือไม่ก็ กรมหมื่นเทพพิพธ ) ก่อนเข้าเฝ้า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษทรงตรัสถามพระมหาอุปราชเรื่องการถืออาวุธเข้ามาในวังเพื่อที่จะฆ่า
“ Tjauw Sakew “ แต่พระมหาอุปราชไม่ทรงตอบคำถามดังกล่าว
6. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษทรงให้จับตัวพระมหาอุปราชไว้และล่ามโซ่ทั้งที่มือและเท้า ( การจองจำห้าประการ ) ทรงห้ามมิให้ผู้ใดเข้าไปหาถ้าไม่ได้รับพระราชานุญาติจากพระองค์ ให้เจ้าองค์หนึ่ง ( ไม่กรมหมื่นจิตรสุนทร กรมหมื่นสุนทรเทพ กรมหมื่นเสพภักดี หรือไม่ก็ กรมหมื่นเทพพิพธ ) ขุนนาง ๒ คน คอยเฝ้าคุมอยู่ระหว่างที่เสวยพระกระยาหาร เนื่องจากพระมหาอุปราชไม่อยากเสวยพระกระยาหารนัก พระองค์จึงทรงเสวยได้น้อยมากในเวลา ๓ วัน ที่พระมหาอุปราชติดคุกอยู่ก้ได้มีคนนำเอาเรื่องราวต่างๆที่เกี่ยวกับพระมหาอุปราชมากราบทูลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษหลายเรื่อง
๗. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษจึงมีพระราชดำรัสสั่งให้ “ Tjauw Sakew “ กับ “ Tjauw Cromme Kiesa Poon “ ( กรมหมื่นจิตรสุนทร ) พร้อมทั้งเจ้าพระยาจักรี , เจ้าพระยาพระคลัง เป็นผู้สอบสวนพระมหาอุปราช แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบอะไรเลย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษทรงลงพระอาญาให้โบยพระมหาอุปราช ๒๐ ที แต่ก็ไม่ได้ผล หลังจากนั้นพระมหาอุปราชทรงถูกโบยอีก ๒๐ ที และให้เผา “ ปลายพระบาท “ อีกด้วย ( นาบพระบาท ) ถึงกระนั้นก็ยังไม่ได้ผลนัก จึงมีพระราชดำรัสให้จับข้าหลวงสำคัญๆของพระมหาอุปราชเข้าคุกให้หมด เพื่อสอบสวนความต่างๆ ซึ่งได้มีการทรมานเฆี่ยนตีข้าหลวงเหล่านี้
๘. ได้ความว่า พระมหาอุปราชได้ทรงสั่งให้ทำกุญแจไขเข้าไปในพระบรมหาราชวัง ( ฝ่ายใน ) เพื่อที่จะได้ทรงเข้าไปหาพระมเหสีและพระสนมของของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษได้ในตอนกลางคืน นอกจากนั้นแล้วยังได้ความอีกว่า พระมหาอุปราชทรงรับสั่งให้ข้าหลวงซื้ออาวุธปืนไฟ ( ปืนยาว ) และดาบมาเก็บไว้
๙. และยังมีการกล่าหาพระมหาอุปราชอีกด้วยว่า ทรงรับสั่งให้ประหารชีวิตพระสงฆ์และคนอื่นๆอีกหลายาย ทรงรับสั่งให้ตัดมือตัดนิ้วมือของคนจำนวนหนึ่ง
๑๐. พอเจ้านาย ๒ องค์ เสนาบดี ๒ คนนี้ ( ดูข้อ ๗ ) รายงานเรื่องราวต่างๆนี้กราบบังคมทูลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษ พระองค์ก็ทรงมีพระราชดำรัสสั่งให้โบยพระมหาอุปราชอีก ๕๐ ที มีการซักถามพระมหาอุปราชอีกด้วยว่า ทรงรับสั่งให้ทำกุญแจเข้าไปในพระบรมหาราชวังเพื่อการอันใด ทรงตอบว่าเพื่อที่จะได้เข้าไปหา ( เป็นชู้ ) พระมเหสีและพระสนมถึง ๔ องค์ด้วยกัน
๑๑. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษทรงรับสั่งให้นำตัวเจ้าหญิงทั้ง ๔ องค์ ( Devier Princersen ) เข้ามาสอบสวน ที่แรกต่งทรงปฏิเสธ แต่เมื่อทรงถูกขู่มากๆเข้าก็ทรงยอมรับว่า พระมหาอุปราชมีแผนการที่จะลอบปลงพระชนม์ ( เวลาที่พระเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จเข้ามาหาพระมเหสี / พระสนม ) เพื่อที่จะได้ตั้งตนเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป ด้วยความร่วมมือของ เจ้านาย ( เจ้าฟ้าเอกทัศน์ ) และขุนนางจำนวนหนึ่ง พร้อมทั้งบริวารของพระมหาอุปราชเอง ซึ่งมีอาวุธพร้อมอยู่แล้วที่จะเข้ามายึดพระบรมหาราชวัง
๑๒. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษทรงตกพระทัยมาก พอได้ยินเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับพระมหาอุปราช จึงทรงมีรับสั่งให้เฆี่ยนตีพระมหาอุปราชอีก ๕๐ ที และให้เอาเหล็กร้อนๆมาจ่อที่หน้าผาก แขน และขา
๑๓. ส่วนพระมเหสีและพระสนมทั้งสี่องค์นั้นทรงถูกเฆี่ยนตีองค์ละ ๕๐ ที จนสิ้นพระชนม์ทั้งหมด บริวารของพระมหาอุปราชต่างถูกโบยทั้งสิ้นและมีที่เสียชีวิต ๒ ราย
๑๔. เมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ค.ศ. ๑๗๕๖ พวกชาวฮอลันดาได้ข่าวว่า
“ พระมหาอุปราชทรงสิ้นพระชนม์แล้ว “
ข้อมูลจาก
เอกสารในหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ( Algemeen Riyksarchief ) ณ กรุงเฮก เลขที่ VOC 2883, หน้า ๑–๓๒ เป็นจดหมายจากนาย Nicolaas Bang พ่อค้าใหญ่ของ VOC ประจำกรุงศรีอยุธยา ถึงข้าหลวงใหญ่ MOSSCL ณ กรุงปัตตาเวีย เขียนที่กรุงศรีอยุธยา ลงวันที่ ๘ มกราคม ๑๗๘๕
โดย : ขุนนางอยุธยา
ที่มา : Historical and Archaeological Webboard
วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551
เจ้าฟ้ากุ้งในเอกสารฮอลันดา
ผู้จัดเก็บบทความ
เจ้าน้อย ณ สยาม
ที่
2:51 ก่อนเที่ยง
0
ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: พงศาวดาร
วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551
ความเป็นมาของพงศาวดารแต่ละฉบับ
พระราชพงศาวดารกรุงเก่า
ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์
สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงอธิบายที่มาของพงศาวดารฉบับนี้ไว้อย่างน่าสนใจในหนังสือ "สาส์นสมเด็จ" ซึ่งเป็นลายพระหัตถ์สนทนาโต้ตอบกันระหว่างพระองค์กับสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ ความว่า
"พระยาปริยัติธรรมธาดา (แพ ตาลลักษณ์) เมื่อยังเป็นหลวงประเสริฐอักษรนิติช่วยเที่ยวหาหนังสือไทยฉบับเขียนของเก่าอันกระจัดกระจายอยู่ในพื้นเมือง ให้หอพระสมุดสำหรับพระนคร วันหนึ่งไปเห็นยายแก่ที่บ้านแห่งหนึ่งกำลังรวบรวมเอาสมุดไทยลงใส่กระชุ ถามว่าจะเอาไปไหน แกบอกว่าจะเอาไปเผาไฟทำสมุดบันทึกสำหรับลงรัก พระยาปริยัติธรรมธาดาขออ่านดูหนังสือสมุดเหล่านั้น เห็นเป็นหนังสือพงศาวดารอยู่เล่มหนึ่ง จึงขอยายแก่และส่งให้หม่อมฉันที่หอพระสมุดฯ หม่อมฉันจึงให้เรียกว่า "พระราชพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐ" เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ได้มา
นอกจากนี้ คำอธิบายประวัติความเป็นมาของพงศาวดารกรุงเก่าฉบับหลวงประเสริฐ ซึ่งตึพิมพ์ในหนังสือ "คำให้การชาวกรุงเก่า คำให้การขุนหลวงหาวัดและพระราชพงศาวดารกรุงเก่าฉบับหลวงประเสริฐ" โดยสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ยังมีข้อความน่าสนใจ ยกมาให้อ่านได้พิจารณาดังนี้
"พระยาปริยัติธรรมธาดาไปได้มาจากบ้านราษฎรแห่งหนึ่ง เอามาให้แก่หอพระสมุดวชิรญาณ เมื่อ ณ วันที่ ๑๙ มิถุนายน ร.ศ. ๑๒๖ (พ.ศ. ๒๔๕๐) จึงได้ชื่อว่า "พงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐ" ...หนังสือพงศาวดารฉบับนี้เป็นสมุดไทยเขียนตัวรงลายมือเขียนหนังสือดูเหมือนจะฝีมือครั้งกรุงเก่าตอนปลาย หรือครั้งตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ ของเดิมเห็นจะเป็น ๒ เล่มจบ แต่ได้มาแต่เล่มเดียว กรรมการหอสมุดวชิรญาณเห็นว่า หนังสือพงศาวดารฉบับนี้เมื่อได้ตรวจพิจารณาดูแล้ว ทั้งลายมือที่เขียนและโวหารที่แต่ง เห็นว่าเป็นหนังสือเก่า ไม่มีเหตุอย่างใดจะควรสงสัยว่าได้มีผู้แก้ไขแทรกแซงวิปลาศในชั้นหลังนี้ จึงได้สั่งให้ลงพิมพ์ไว้ให้ปรากฏป้องกันมิให้หนังสือเรื่องี้ต้องสาปสูญไปเสีย"
สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงวินิจฉัยว่าหนังสือพงศาวดารฉบับนี้เป็นฝืมือของคนสมัยอยุธยาตอนปลายหรือรัตนโกสินทร์ตอนต้น
พงศาวดารฉบับนี้เป็นพงศาวดารที่นักประวัติศาสตร์ผู้สนใจค้นคว้าประวัติศาสตร์สมัยอยุธยาต่างให้การยอมรับ เพราะเห็นว่าศักราชที่ปรากฏอยู่ในพงศาวดารนี้มีความแม่นยำ อีกทั้งเนื้อหาที่ปรากฏในพงศาวดารก็ตรงกันกับหลักฐานทางประวัติศาสตร์อีกหลายชิ้น
(แม้ว่าจะไม่มีนักประวัติศาสตร์ผู้ใดได้เคยพบเห็นพงศาวดารฉบับที่หลวงประเสริฐเอามาจากยายแก่เลยก็ตาม)
พระราชพงศาวดาร
ฉบับพระราชหัตถเลขา
ในปี พ.ศ. ๒๓๙๘ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) มีรับสั่งให้กรมหลวงวงศาธิราชสนิททรงชำระพงศาวดารใหม่ แก้ไขเพิ่มเติมของเก่าหลายแห่ง เมื่อกรมหลวงวงศาธิราชสนิททรงชำระแล้วก็นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตรวจแก้ไข จึงปรากฏ "พระราชหัตถเลขา" อยู่ในต้นฉบับหลวง
อย่างไรก็ดี ในพระราชหัตถเลขาฉบับภาษาอังกฤษของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานไปยัง เซอร์จอห์น เบาวริง ราชทูตอังกฤษ ลงวันที่ ๑๗ สิงหาคม ค.ศ. ๑๘๕๕ (พ.ศ. ๒๓๙๘) ทำให้ทราบว่าพระองค์ได้มีรับสั่งให้มีการ "ชำระพงศาวดารสยามใหม่" ความว่า
"....เพื่ออนุโลมตามคำขอของ ฯพณฯ ท่าน ข้าพเจ้ากับน้องชายของข้าพเจ้าคือกรมหลวงวงษาธิราชสนิท ผู้มีอำนาจเต็มฝ่ายเราคนหนึ่ง ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้ปรึกษากับ ฯพณฯ ท่านในพระนครนี้เมื่อเดือนเมษายนนั้น กำลังจะพยายามเตรียมแต่งพงศาวดารสยามอันถูกต้อง จำเดิมแต่ตั้งกรุงศรีอยุธยาโบราณราชธานีเมื่อปี ค.ศ. ๑๓๕๐ นั้น กับทั้งในเรื่องพระราชวงศ์ของเรานี้ ก็จะได้กล่าวโดยพิสดาร ยิ่งกว่าที่ข้าพเจ้าได้เรียบเรียงมาให้ ฯพณฯ ท่านทราบในคราวนี้ด้วย เราได้ลงมือแต่งแล้วเป็นภาษาไทยในชั้นต้น
เราเลือกสรรเอาเหตุการณ์บางอย่างอันเป็นที่เชื่อถือได้มาจากหนังสือโบราณว่าด้วยกฎหมายไทยและพงศาวดารเขมรหลายฉบับกับทั้งคำบอกเล่าของบุคคลผู้เฒ่า อันเป็นที่นับถือและเชื่อถือได้ ซึ่งได้เคยบอกเล่าให้เราฟังนั้น ด้วยหนังสือซึ่งเราได้ลงมือเตรียมแต่งและแก้ไขอยู่ในบัดนี้ ยังไม่มีข้อความเต็มบริบูรณ์เท่าที่เราจะพึงพอใจ เมื่อแต่งสำเร็จเสร็จสิ้นแล้วเราจะได้ขอล่ามภาษาอังกฤษคนหนึ่ง มาจากมิชชันนารีอเมริกันเพื่อให้แปลเป็นภาษาอังกฤษ และให้แก้ไขบรรดาชื่อสันสกฤตและชื่อไทยให้ถูกต้องตามแบบไวยากรณ์อังกฤษ ซึ่งได้ตีพิมพ์จำหน่าย ณ เบงกอล และลังกาเมื่อเร็ว ๆ นี้ และจะได้ส่งมาให้ ฯพณฯ ท่านเพื่อเป็นไปตามความประสงค์ของ ฯพณฯ ท่าน...."
พงศาวดารข้างต้นคือ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับพระราชหัตถเลขา ซึ่งสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงทำคำอธิบายไว้อย่างละเอียดในพระราชพงศาวดารฉบับนี้ ว่า
"ข้าพเจ้าจึงได้ลองทำตามความที่คิดเห็นไว้ คือได้แก้ไขตำนานหนังสือพระราชพงศาวดารให้บริบูรณ์ดีขึ้น พิมพ์ไว้ข้างต้นฉบับนี้ตอนหนึ่งได้ตรวจสอบหนังสือต่าง ๆ ทั้งในภาษาไทยและต่างประเทศ ที่เกี่ยวด้วยเรื่องพงศาวดารสยาม เลือกเก็บเนื้อความมาเรียบเรียงเป็นเรื่องพงศาวดารสยามประเทศตอนต้น ก่อนก่อสร้างกรุงศรีอยุธยาพิมพ์ไว้ข้างต้นอีกตอนหนึ่งและได้แต่งคำอธิบายเรื่องในรัชกาลต่าง ๆ ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ตามลำดับแผ่นดิน รวมพิมพ์ไว้ข้างท้ายอีกตอนหนึ่ง เอาเรื่องพระราชพงศาวดารของเดิมพิมพ์ไว้ระหว่างกลาง....
ขอให้บรรดาผู้อ่านหนังสือพระราชพงศาวดารฉบับนี้ จงเข้าใจความประสงค์ของข้าพเจ้าอย่างหนึ่ง ด้วยคำอธิบายที่ข้าพเจ้าเรียบเรียงในหนังสือเรื่องนี้กล่าวตามที่ได้ตรวจพบในหนังสืออื่นบ้าง กล่าวโดยความสันนิษฐานของข้าพเจ้าเองบ้าง
ข้าพเจ้าเป็นแต่ผู้ศึกษาพงศาวดารคนหนึ่ง จะรู้เรื่องถ้วนถี่รอบคอบหรือรู้ถูกต้องไปหมดไม่ได้ ข้าพเจ้าได้ระวังที่จะบอกไว้ในคำอธิบายทุก ๆ แห่งว่า ความตรงไหนข้าพเจ้าได้พบจากหนังสือเรื่องไหน และตรงไหนเป็นความสันนิษฐานของข้าพเจ้าเอง แต่ไม่ได้อธิบายเหตุการณ์ทุก ๆ อย่าง หรือเรื่องทุก ๆ เรื่องบรรดาที่ปรากฏอยู่ในหนังสือพระราชพงศาวดารฉบับเดิม เพราะเห็นว่าเรื่องที่ไม่จำเป็นจะต้องอธิบายก็มีมาก ที่ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรก็มี ข้อใดเรื่องใดที่ไม่มีคำอธิบาย ขอให้ผู้อ่านจงเข้าใจว่าเป็นด้วยเหตุดังว่ามานี้
อีกประการหนึ่ง ผู้ศึกษาพงศาวดารก็มีมากด้วยกัน แห่งใดใครจะเห็นชอบด้วยหรือแห่งใดใครจะคัดค้านด้วยมีหลักฐานซึ่งข้าพเจ้ายังไม่ทราบก็ดี หรือมีความคิดเห็นซึ่งดีกว่าความคิดเห็นของข้าพเจ้าก็ดี ถ้าได้ความรู้ความเห็นของผู้ศึกษาพงศาวดารหลาย ๆ คนด้วยกันมาประกอบ คงจะได้เรื่องราวที่เป็นหลักฐานใกล้ต่อความจริงยิ่งขึ้น เมื่อสำเร็จประโยชน์อย่างนั้นแล้วก็จะสามารถที่จะแต่ง "พงศาวดารสยาม" ขึ้นใหม่ ให้มีหนังสือพงศาวดารไทยที่ดีเทียบเทียมกับพงศาวดารอย่างดีของประเทศอื่นได้..."
คำอธิบายที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ที่ประทานเอาไว้ตอนต้นหนังสือพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับพระราชหัตถเลขานี้ สะท้อนให้เห็นวิธีการศึกษาพงศาวดารและการตรวจสอบหลักฐานที่ใช้แต่ง "พงศาวดารสยาม" ขึ้นใหม่ ที่สำคัญ แสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรง "เปิดกว้าง" ในทัศนะของนักวิชาการที่มีความเห็นต่างจากพระองค์อย่างเห็นได้ชัด
หมายเหตุ
แก้ไขปี พ.ศ. ใหม่เพราะมาอ่านย้อนหลังพบว่าคำนวณผิดเป็นร้อยปี
พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา
ฉบับวันวลิต
เอกสารฮอลันดาที่ชื่อ The Short History of the Kings of Siam เขียนขึ้นโดย Jeremias Van Vliet นายเยเรเมียส ฟานฟลีท ผู้จัดการสถานีการค้า VOC ประจำกรุงศรีอยุธยาในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง (พ.ศ. ๒๑๘๓) และได้อาศัยอยู่ในกรุงศรีอยุธยาเป็นเวลานานกว่า ๙ ปี สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเรียกนาย Jeremias Van Vliet ได้คุ้นปากคนไทยยิ่งนักว่า "วันวลิต" และเรียกเอกสารหรือจดหมายเหตุ หรือบันทึกที่นายวันวลิตจดตามคำบอกเล่าของชาวกรุงศรีอยุธยาในเวลานั้น (หลังจากเหตุการณ์สูญเสียพระสุริโยทัยประมาณ ๙๒ ปี และหลังจากเสียกรุงครั้งที่ ๑ ประมาณ ๗๐ ปี) ว่า "พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับวันวลิต"
พระราชพงศาวดารกรุงสยาม
ต้นฉบับของบริติช มิวเซียม
พระราชพงศาวดารฉบับนี้ ศาตราจารย์ ขจร สุขพานิช ได้ไปพบพระราชพงศาวดารฉบับนี้เข้าที่ "บริติช มิวเซียม" เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๑ และต่อมาได้ถูกตีพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๕๐๗ ซึ่งคำนำในการพิมพ์ครั้งแรกของพระราชพงศาวดารฉบับนี้มีว่า
"หนังสือพระราชพงศาวดารกรุงสยามฉบับนี้เป็นสมบัติของบริติชมิวเซียมที่กรุงลอนดอนประเทศอังกฤษ ปรากฏในประวัติว่า J. Hurst Hayes Esq. เป็นผู้มอบให้เมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ค.ศ. ๑๙๔๘ (พ.ศ. ๒๔๙๑) การที่จะพบหนังสือพระราชพงศาวดารเรื่องนี้ก็เนื่องจากนายขจร สุขพานิช ซึ่งได้รับทุนจากต่างประเทศให้ไปทำการค้นคว้าเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทย ณ ประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศอังกฤษ ได้พบหนังสือเรื่องนี้เข้าเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๑ จึงได้ถ่ายไมโครฟิล์มเล่มต้นและเล่มปลายส่งไปให้กรมศิลปากร กรมศิลปากรเห็นว่าพระราชพงศาวดารฉบับนี้ อาจมีประโยชน์ในการศึกษาประวัติศาสตร์ไทย จึงขอให้ถ่ายไมโครฟิล์มส่งเข้ามาให้ทั้ง ๓๐ เล่ม ต้นฉบับที่ขอถ่ายไมโครฟิล์มมานั้นเขียนด้วยหมึกดำในสมุดไทย เข้าใจว่าคงจะคัดลอกมาจากฉบับเดิมอีกชั้นหนึ่ง เพราะปรากฏว่า มีบอกจบเล่มในสมุดไทยไว้ด้วย คือเรียงลำดับตั้งแต่เล่ม ๑ เรื่อยไปจนถึงเล่ม ๓๐ ตัวลายมือเขียนในต้นฉบับ ได้นำมาตีพิมพ์ไว้ในหนังสือนี้ด้วยแล้ว"
ข้อความที่ปรากฏตอนต้นของพระราชพงศาวดารฉบับนี้ได้กล่าวถึงบานแพนกบอกไว้ว่า
"วันที่ ๕ ฯ ๒ ค่ำ จุลศักราช ๑๑๖๙ ปีเถาะ นพศก เพลาค่ำ เสด็จออก ณ พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ล้นเกล้าฯ กรมพระราชวังบวรฯ ทูลเกล้าถวายเล่ม ๑"
พระราชพงศาวดารฉบับนี้คงจะจัดทำขึ้น (เขียนหรือลอกใหม่) ในปี พ.ศ. ๒๓๕๐ และดูเหมือนว่าจะนำเอาเนื้อหาจากหนังสือฉบับต่าง ๆ มาบรรจุไว้ด้วย เช่น ตอนต้นของหนังสือฉบับนี้มีความคล้ายกับ "พงศาวดารเหนือ" บางตอน วันเดือนปีและข้อความในตอนที่เกี่ยวกับพระเจ้าอู่ทองสร้างกรุงศรีอยุธยาเกือบจะเหมือนพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับหอพระสมุดแห่งชาติ หรือ ฉบับกรมพระปรมานุชิตฯ นอกจากนี้ยังไปคล้ายพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) แต่ต่างกันเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น
คำให้การชาวกรุงเก่า
หนังสือ "คำให้การชาวกรุงเก่า" สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ประทานอรรถาธิบายว่า ได้ต้นฉบับมาจากเมืองพม่าเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๔ และเหตุที่ให้ชื่อเสียใหม่ว่า "คำให้การชาวกรุงเก่า" แทนที่จะเป็น "คำให้การขุนหลวงหาวัด" ก็ด้วยสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเห็นว่า หนังสือเล่มนี้ "รู้แน่ว่าเป็นคำให้การของคนหลายคน มิใช่แต่ขุนหลวงหาวัดพระองค์เดียว กรรมการหอพระสมุดฯ จึงได้ตกลงให้เรียกชื่อหนังสือเล่มนี้ว่า "คำให้การชาวกรุงเก่า" (รายละเอียดหาอ่านเพิ่มเติมได้จาก "อธิบายเรื่องคำให้การชาวกรุงเก่า" และ "คำอธิบาย", คำให้การขุนหลวงหาวัด (ฉบับหลวง) ซึ่งเป็นพระนิพนธ์ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ คำให้การชาวกรุงเก่า คำให้การขุนหลวงหาวัด และพระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ :กรุงเทพมหานคร : คลังวิทยา, ๒๕๑๕, หน้า ๑๐)
"คำให้การชาวกรุงเก่า" มีชื่อเดิมที่ปรากฏในหลักฐานที่จารไว้ในใบลาน คือ โยธยา ยาสะเวง (Yodaya Yazawin) แปลว่า "พงศาวดารอยุธยา" (ต้นฉบับตัวพิมพ์ด้วยใบลานได้รับความอนุเคราะห์จาก U Thaw Kaung อดีตหัวหน้าบรรณารักษ์หอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยย่างกุ้ง)
แต่ที่ปราชญ์ไทยโบราณเปลี่ยนชื่อเสียใหม่ก็ด้วยได้รับคำชี้แจงจากหอสมุดเมืองร่างกุ้งว่า "พงศาวดารสยามฉบับนี้ รัฐบาลอังกฤษพบในหอหลวง ในพระราชวังของพระเจ้าแผ่นดินพม่าที่เมืองมันดะเล ครั้งตีเมืองพม่าได้เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๙ และอธิบายต่อมาว่า หนังสือเรื่องนี้พวกขุนนางพม่าชี้แจงว่า พระเจ้าอังวะให้เรียบเรียงจากคำให้การของพวกไทยที่ได้ไปเมื่อครั้งตีกรุงศรีอยุธยา" (รายละเอียดหาอ่านเพิ่มเติมได้จาก "อธิบายเรื่องคำให้การชาวกรุงเก่า" และ "คำอธิบาย", คำให้การขุนหลวงหาวัด (ฉบับหลวง) ซึ่งเป็นพระนิพนธ์ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ คำให้การชาวกรุงเก่า คำให้การขุนหลวงหาวัด และพระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ :กรุงเทพมหานคร : คลังวิทยา, ๒๕๑๕, หน้า ๑)
คำให้การขุนหลวงหาวัด
"คำให้การขุนหลวงหาวัด" เล่มนี้ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ประทานอรรถาธิบายว่า ชื่อเรื่องเดิมมิได้เรียกว่า "คำให้การขุนหลวงหาวัด" แต่เรียกว่า "พระราชพงศาวดารแปลจากภาษามอญ" ด้วยแปลขึ้นจากต้นฉบับภาษารามัญ
สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่า หนังสือเล่มนี้เป็นต้นตอของหนังสือ "คำให้การชาวกรุงเก่า" ทั้งนี้เพราะเมื่อพม่าประสงค์จะใช้เชลยไทยที่ถูกกวาดต้อนไปให้ปากคำนั้น
"บางทีจะลำบากด้วยเรื่องล่าม หาพม่าที่รู้ชำนาญภาษาไทยไม่ได้ มีแต่มอญที่มาเกิดในเมืองไทยที่รู้ภาษาไทยชำนาญ จึงให้ถามคำให้การพวกไทย จดลงเป็นภาษามอญเสียชั้นหนึ่งก่อน แล้วจึงแปลเป็นภาษาพม่ารักษาไว้ในหอหลวง เห็นจะเป็นเพราะเหตุเช่นกล่าวมา หนังสือเรื่องคำให้การชาวกรุงเก่าจึงมีทั้งในภาษามอญและภาษาพม่า เห็นจะเป็นพวกพระมอญที่ออกไปธุดงค์ถึงเมืองมอญเมืองพม่าเมื่อในรัชกาลที่ ๔ ไปได้ฉบับภาษามอญเข้ามาถวายพระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว"
จึงโปรดให้กรมหลวงวงศาธิราชสนิท ทรงอำนวยการแปลออกเป็นภาษาไทย (รายละเอียดหาอ่านเพิ่มเติมได้จาก "อธิบายเรื่องคำให้การชาวกรุงเก่า" และ "คำอธิบาย", คำให้การขุนหลวงหาวัด (ฉบับหลวง) ซึ่งเป็นพระนิพนธ์ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ คำให้การชาวกรุงเก่า คำให้การขุนหลวงหาวัด และพระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ :กรุงเทพมหานคร : คลังวิทยา, ๒๕๑๕, หน้า ๖, ๗)
พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา
ฉบับสมเด็จพระพนรัตน์
พระราชพงศาวดารฉบับนี้ สมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพนเป็นผู้แต่งระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๓๘-๒๓๕๐ (ชำระเฉพาะตอนที่เกี่ยวกับอยุธยา) ในส่วนที่เกี่ยวกับกรุงธนบุรีนั้น ยังคงคัดลอกจากฉบับที่ชำระครั้ง ๒๓๓๘
พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา
ฉบับพระจักรพรรดิพงศ์ (จาด)
พงศาวดารฉบับนี้ ชำระในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ มีคำอธิบายว่า นายจิตร บุตรพระจักรพรรดิพงศ์ (จาด) เป็นผู้มอบให้หอพระสมุดวชิรญาณ เมื่อปีวอก พ.ศ. ๒๔๕๑ ต้นฉบับเป็นหนังสือคัมภีร์ใบลานรวม ๑๗ ผูก ความเริ่มต้นตั้งแต่สถาปนากรุงศรีอยุธยาจนถึงรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ
เนื้อหาโดยมากตรงกับหมอบรัดเล แต่ความจะมาต่างกันในผูกที่ ๑๗ ซึ่งเป็นเรื่องตั้งแต่รัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเป็นต้นไป (พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา เล่ม ๑ จักรพรรดิพงศ์ (จาด), ๒๕๓๓ : (๒)) สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงพระวินิจฉัยไว้ในคำนำหนังสือประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๘ ว่า
"....เรื่องตั้งแต่ในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์แปลกกับฉบับอื่น ๆ ไม่ใช่แปลกโดยมีผู้แทรกแซงเพิ่มเติมหรือแก้ไขของเดิม แปลกตรงตัวเนื้อเรื่องแต่แต่งมาทีเดียว อ่านตรวจดูเห็นได้ว่าผิดก็มีหลายแห่ง ที่จะถูกต้องแต่จะถูกต้องแต่ความแปลกออกไปกว่าฉบับอื่นก็มีหลายแห่ง"
อย่างไรก็ดี พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับพระจักรพรรดิพงศ์ เป็นพงศาวดารฉบับเดียวที่กล่าวถึงเหตุการณ์ในปลายสมัยพระนารายณ์อย่างค่อนข้างแม่นยำ ในขณะที่ฉบับอื่นคลาดเคลื่อนไม่ตรงกับหลักฐานชั้นต้น (นิธิ เอียวศรีวงศ์, การเมืองไทยสมัยพระนารายณ์," กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน, ๒๕๓๗, หน้า ๑๑)
พระราชพงศาวดาร
ฉบับสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตฯ
พระราชพงศาวดารฉบับนี้ทำขึ้นในรัชกาลที่ ๑ ข้อมูลมีน้อยมาก ในสาส์นสมเด็จ ซึ่งสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงอธิบายศัพท์ "พงศาวดาร" ได้ทรงกล่าวถึงเพียงเล็กน้อย ว่า เป็นการแต่งต่อจากหนังสือพงศาวดารฉบับหมอบรัดเล แต่ทรงนำมาแต่งเติมโดยใช้สำนวนโวหารไพเราะอลังการมาก
พระราชพงษาวดารกรุงเก่า
ตามต้นฉบับหลวง(ประชุมพงศาวดารภาค ๔)
เขียนครั้งกรุงธนบุรี เมื่อปีมเมียฉศก จุลศักราช ๑๑๓๖ พ.ศ. ๒๓๑๗ หรือที่เรียกกันในหอพระสมุด ฯ โดยย่อว่า “ ฉบับจุลศักราช ๑๑๓๖ ”
พระราชพงษาวดารฉบับจุลศักราช ๑๑๓๖ นายเสถียรรักษา (กองแก้ว มานิตยกุล) ต.จ. บุตรเจ้าพระยานรรัตนราชมานิต ให้แก่หอพระสมุด ฯ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๓ ได้มาแต่เล่ม ๓ เล่มสมุดไทยเดียว ซ้ำตัวหนังสือในเล่มสมุดนั้นลบเลือนก็หลายแห่ง ว่าโดยเรื่องพระราชพงษาวดาร ผิดกับฉบับอื่น มีฉบับพระราชหัตถเลขาเปนต้น แต่เล็กน้อย ข้อสำคัญของหนังสือฉบับนี้อยู่ที่สำนวนหนังสือเปนสำนวนแต่งครั้งกรุงเก่าเปนโครงเดิมของหนังสือพระราชพงษาวดาร ที่เราได้อ่านกันในชั้นหลัง
พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี
ฉบับพันจันทนุมาศ( เจิม )
เนื้อหาเกี่ยวกับ เรื่องที่ชำระเรียบเรียงไว้แต่ก่อนฉะเพาะตอนกรุงศรีอยุธยา สุดลงเพียงสิ้นรัชกาลสมเด็จพระเจ้าเสือแล้วมีพระบรมราชโองการให้ท่านเจ้าพระยาพิพิธพิชัย ร้อยกรองเพิ่ม เติมขึ้นอีก แต่มิได้เอาข้อความปรับปรุงเข้ากับที่แต่งไว้แต่ก่อนนั้น คงให้แยกอยู่ต่างหาก การทำเช่นนี้ ให้ความรู้ในทางตำนานการชำระ เรียบเรียงพระราชพงศาวดารเป็นอย่างดี จะได้ทราบถ่องแท้ว่า เรื่อง แต่ก่อนมีอยู่เพียงไหน แต่งเติมต่อมาอีกเท่าไร มิฉะนั้นจะหาทางสันนิษฐานให้ทราบใกล้ความจริงได้ยาก มีข้อความเป็นหลักฐานแตกต่างจากฉบับหมอบรัดเล และฉบับพระราชหัตถเลขาหลายแห่ง
พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับพันจันทนุมาศ ( เจิม ) (ประชุมพงศาวดารภาค ๖๔)มีจำนวนสมุดไทยตามลำดับเป็น ๒๒ เล่ม ขาดในระหว่างบ้างบางเล่มเริ่มต้นแต่แรกสถาปนากรุงเทพทวาราวดีศรีอยุธยา ต่อมาจนสุดรัชกาลสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี พอเริ่มความตอนต้นกรุงรัตนโกสินทรก็หมดฉบับ
ความเห็นของกรมพระยาดำรงฯ
เกี่ยวกับพระราชพงศาวดารฉบับต่างๆ
"ประวัติของหนังสือพระราชพงษาวดาร ข้าพเจ้าเคยได้กล่าวไว้ในคำนำหนังสือพระราชพงษาวดารฉบับพระราชหัดถเลขา เมื่อพิมพ์ครั้งแรกใน พ.ศ. ๒๔๕๕ แลเมื่อพิมพ์เล่ม ๑ ครั้งที่ ๒ เมื่อพ.ศ. ๒๔๕๗ ต่อมาข้าพเจ้าได้ตรวจสอบหนังสือพระราชพงษาวดารต่าง ๆ ที่มีอยู่ในหอพระสมุด ฯ เห็นความ ที่กล่าวไว้แต่ก่อนจะเคลื่อนคลาศอยู่บ้าง ตามการที่ได้สอบสวนมาจนเวลานี้ เข้าใจว่าเรื่องประวัติหนังสือพระราชพงษาวดารจะมีมาเปนชั้น ๆ ดังนี้ คือ :-
๑. หนังสือพระราชพงษาวดารฉบับแรก แต่งในแผ่นดินสมเด็จพระนารายน์มหาราชเมื่อปีวอกโทศก จุลศักราช ๑๐๔๒ พ.ศ. ๒๒๒๓ หนังสือพระราชพงษาวดารฉบับนี้ เรียกในหอพระสมุด ฯ ว่าฉบับหลวงประเสริฐ แลได้พิมพ์ไว้ในหนังสือประชุมพงษาวดารภาคที่ ๑ แล้ว
๒. ต่อมาในชั้นกรุงเก่านั้น เข้าใจว่าเห็นจะเปนในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าบรมโกษฐ มีรับสั่งให้แต่งหนังสือพระราชพงษาวดารขึ้นอิกฉบับ ๑ คือฉบับที่พิมพ์ในหนังสือประชุมพงษาวดารภาคที่ ๔ นี้ ที่รู้ได้ว่าเปนหนังสือแต่งครั้งกรุงเก่า เพราะสำนวนที่แต่งเปนสำนวนเก่า ใกล้เกือบจะถึงสำนวนที่แต่งพระราชพงษาวดารฉบับหลวงประเสริฐ แต่มิใช่ฉบับเดียวกัน ด้วยเรื่องซ้ำกัน แลความในฉบับหลังพิสดารกว่าฉบับหลวงประเสริฐ หนังสือพระราชพงษาวดาร ๒ ฉบับนี้ เปนหลักฐานให้เข้าใจว่า เมื่อครั้งกรุงเก่านั้น มีหนังสือพระราชพงษาวดาร ๒ ฉบับ ๆ ความย่อแต่งในแผ่นดินสมเด็จพระนารายน์มหาราชฉบับ ๑ ฉบับ ความพิศดาร แต่งเมื่อราวแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าบรมโกษฐฉบับ ๑ ฉบับความย่อตั้งต้นเรื่องตั้งแต่สร้างพระเจ้าพนัญเชิง ฉบับความพิศดารจะตั้งต้นเรื่องตรงไหนรู้ไม่ได้ แต่ฉบับที่มีอยู่ในหอพระสมุด ฯ เล่ม ๓ สมุดไทย ความกล่าวในตอนแผ่นดินสมเด็จพระมหาจักรพรรดิตอนปลาย เอาความข้อนี้เปนหลักสันนิฐานว่าฉบับพิศดารตั้งเรื่องตั้งแต่พระเจ้าอู่ทองสร้างกรุงศรีอยุทธยา เห็นจะไม่ผิด
๓. เมื่อกรุงเก่าเสียแก่พม่าข้าศึก บ้านเมืองเปนจลาจล หนังสือเปนอันตรายหายสูญเสียครั้งนั้นมาก ครั้นพระเจ้ากรุงธนบุรีกลับตั้งเปนอิศรได้ จึงให้รวบรวมหนังสือพระราชพงษาวดารครั้งกรุงเก่าทั้ง ๒ ฉบับ ที่กล่าวมาแล้ว ฉบับย่อที่แต่งในแผ่นดินสมเด็จพระนารายน์มหาราช หาฉบับได้ในครั้งกรุงธนบุรี สิ้นเรื่องเพียงสิ้นแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ความที่กล่าวข้อนี้มีหลักฐาน ด้วยหอพระสมุด ฯ ได้หนังสือพระราชพงษาวดารความย่อนั้นไว้ ๒ ฉบับฉบับ ๑ ฝีมือเขียนครั้งกรุงเก่าหลวงประเสริฐหามาได้ อิกฉบับ ๑ เปนตัวฉบับหลวงของพระเจ้ากรุงธนบุรี กรมพระสมมตอมรพันธุ์ประทาน เอาหนังสือ ๒ ฉบับนี้
สอบกันดู ความขึ้นต้นลงท้ายเท่ากัน จังรู้ได้เปนแน่ว่า ครั้งกรุงธนบุรีหาฉบับได้เพียงเท่านั้นเอง ส่วนฉบับความพิศดารนั้น จะหาได้ในครั้งกรุงธนบุรีกี่เล่มทราบไม่ได้ เพราะหอพระสมุด ฯ หาได้แต่ ๓ เล่ม แต่มีหลักฐานมั่นคง รู้ได้ว่าในครั้งกรุงธนบุรีรวบรวมหนังสือพระราช พงษาวดารครั้งกรุงเก่าไม่ได้ฉบับครบ แลเข้าใจว่าพระเจ้ากรุงธนบุรีเปนแต่ได้รวบรวมหนังสือพระราชพงษาวดารไว้ ถ้าจะได้แต่เพิ่มเติม ในครั้งกรุงธนบุรีบ้างก็แต่เล็กน้อย
๔. มาจนในรัชกาลที่ ๑ กรุงรัตนโกสินทร เมื่อปีเถาะสัปตศกจุลศักราช๑๑๕๗พ.ศ.๒๓๓๘พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก จึงได้ทรงชำระหนังสือพระราชพงษาวดารฉบับกรุงเก่า แลแต่งเติมที่ บกพร่อง มีหนังสือพระราชพงษาวดารสำหรับพระนครบริบูรณ์ ขึ้น ในครั้งนั้น หนังสือพระราชพงษาวดารชุดนี้มีบานแพนกบอกปีแลการที่ทรงชำระหนังสือพระราชพงษาวดารไว้เปนหลักฐาน การชำระหนังสือพระราชพงษาวดารครั้งรัชกาลที่ ๑ เอาฉบับครั้งกรุงเก่า ทั้งฉบับย่อ แลฉบับพิศดารเปนหลัก เห็นจะระวังรักษาเรื่องของเดิมมาก ในตอนข้างต้นที่ไม่มีฉบับพิศดารจึงคัดเอาฉบับย่อลงเต็มสำนวนโดยมาก ตอนที่มีฉบับพิศดาร ก็เปนแต่เอาฉบับเดิมมาแก้ไขถ้อยคำ เพื่อจะให้เปนสำนวนเดียวกับที่ต้องแต่งใหม่ แต่ประโยคต่อประโยคยังคงกันอยู่โดยมาก ความที่กล่าวนี้ถ้าผู้ใดเอาหนังสือพระราชพงษาวดารฉบับหลวงประเสริฐ แลฉบับที่พิมพ์ในประชุมพงษาวดารภาคที่ ๔ นี้ ไปสอบกับพระราชพงษาวดารความพิศดาร จะเปนฉบับที่หมอบรัดเลพิมพ์ก็ตาม ฉบับพระราชหัดถเลขาก็ตาม จะแลเห็นจริงได้ดังข้าพเจ้าว่า เพราะหนังสือพระราชพงษาวดารความพิศดารที่พิมพ์ทั้ง ๒ ฉบับนั้น ที่จริงเปนแต่แก้ไขหนังสือพระราชพงษาวดารฉบับรัชกาลที่ ๑ในที่บางแห่งเท่านั้น
ที่ข้าพเจ้ารู้สึกว่าข้าพเจ้าพลาดไป ในความวินิจฉัยแต่ก่อนนั้นคือที่ไปเข้าใจว่า ได้แต่งหนังสือพระราชพงษาวดารครั้งกรุงธนบุรี เมื่อมาพิจารณาหนังสือมากเข้า เห็นว่าครั้งกรุงธนบุรีเปนแต่ได้รวมฉบับหนังสือครั้งกรุงเก่าที่พลัดพรายเข้าไว้ในหอหลวง ที่ได้มาแต่งให้พระราชพงษาวดารมีขึ้นบริบูรณ์สำหรับพระนครดังแต่ก่อน เปนการในรัชกาล ที่ ๑ กรุงรัตนโกสินทร ควรเฉลิมเปนพระเกียรติยศในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ที่ได้ทรงรวบรวมแลชำระหนังสืออันเปนตำราสำหรับบ้านเมืองสำเร็จถึง ๓ อย่าง คือสังคายนาพระไตรปิฏกอย่าง ๑ ชำระพระราชกำหนดกฎหมายอย่าง ๑ชำระพระราชพงษาวดารอย่าง ๑ พระราชพงษาวดารที่ชำระในรัชกาลที่ ๑ นั้น ไม่ใช่แต่ซ่อมแซมของเก่าที่ฉบับขาดอย่างเดียว ได้แต่งเรื่องพระราชพงษาวดารต่อลงมาจนถึงเสียกรุงเก่าด้วยอิกตอน ๑
๕. ต่อมาถึงรัชกาลที่ ๓ จะเปนในปีใดยังไม่พบจดหมายเหตุ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงอาราธนาสมเด็จกรมพระ ปรมานุชิตชิโนรสแต่ยังดำรงพระยศเปนกรมหมื่นนุชิตชิโนรส ให้ทรงชำระเรื่องพระราชพงษาวดารอิกครั้ง ๑ พระราชพงษาวดารที่สมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรสทรงชำระสำเร็จรูปเปนฉบับที่หมอบรัดเลพิมพ์ สังเกตดูทางสำนวนในตอนข้างต้นที่แต่งมาแต่ในรัชกาลที่๑ แล้วนั้น เปนแต่แก้ไขเพิ่มเติมถ้อยคำให้เพราะขึ้น ส่วนตัวเรื่องพระราชพงษาวดารได้แต่งต่อมาอิกตอน ๑ เริ่มแต่พระเจ้ากรุงธนบุรีหนีออกจากกรุงเก่า จดไว้ในหนังสือฉบับหมอบรัดเลพิมพ์ ว่าแผ่นดินพระเจ้าตาก (สิน) แต่งเรื่องตลอดรัชกาลกรุงธนบุรีแลต่อมาในรัชกาลที่ ๑ กรุงรัตนโกสินทร จนถึงเจ้าพระยายมราชยกกองทัพออกไปเมืองทวาย เมื่อปีชวดจัตวาศกจุลศักราช ๑๑๕๔ พ.ศ. ๒๓๓๕ ความที่กล่าวตอนนี้ไม่ต้องอ้างหลักฐานด้วยบรรดาผู้ศึกษาโบราณคดีทราบอยู่ทั่วกันแล้ว
๖. ต่อมาถึงรัชกาลที่ ๔ ราวปีเถาะสัปตศก จุลศักราช ๑๒๑๗ พ.ศ. ๒๓๙๘ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับกรมหลวงวงษาธิราชสนิท ทรงช่วยกันชำระหนังสือพระราชพงษาวดารอิกครั้ง ๑ ความข้อนี้มีปรากฏในพระราชหัดถเลขาถึง เซอ ยอนเบาริง ในปีนั้น มีสำเนาพิมพ์ไว้ในหนังสือเรื่องเมืองไทยที่เขาแต่งเล่ม ๒ น่า ๔๔๔ การชำระครั้งรัชกาลที่ ๔ แก้ไขถ้อยคำเรียบร้อยดีขึ้นกว่าแต่ก่อน ส่วนตัวเรื่องก็ได้ทรงแก้ไขเพิ่มเติมในตอนที่แต่งมาแล้วหลายแห่ง แต่ไม่ได้ทรงแต่งเรื่องต่อ สำเร็จรูปเปนหนังสือพระราชพงษาวดารฉบับพระราชหัดถเลขา ซึ่งสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุวงษ์วรเดชทรงพิมพ์เปนครั้งแรก เมื่อปีชวดจัตวาศก จุลศักราช ๑๒๔๗ พ.ศ. ๒๔๕๕
๗. ต่อมาถึงรัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จผ่านพิภพเมื่อปีมโรงสัมฤทธิศกจุลศักราช๑๒๓๐ พ.ศ. ๒๔๑๑ ในปีนั้นเอง มีรับสั่งให้เจ้าพระยาทิพากรวงษ์ (ขำ บุนนาค) แต่งหนังสือพระราชพงษาวดารกรุงรัตนโกสินทร ต่อจากที่สมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรสได้ทรงแต่งค้างไว้ เจ้าพระยาทิพากรวงษ์ท่านเก็บรวบรวมจดหมายเหตุต่าง ๆ เปนต้นว่า หมายรับสั่ง แลท้องตรา ใบบอกหัวเมือง ซึ่งมีอยู่ตามต่างกระทรวงไปรวบรวมแต่งพระราชพงษาวดารกรุงรัตนโกสินทรขึ้นทั้ง ๔ รัชกาล แต่งแล้วถวายสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาบำราบปรปักษ์ทรงตรวจอิกชั้น ๑ แล้วจึงนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย หนังสือพระราชพงษาวดารที่เจ้าพระยาทิพากรวงษ์แต่ง ทำเร็วเปนอัศจรรย์หนังสือราว ๑๐๐ เล่มสมุดไทย แต่งแล้วได้ถวายภายใน ๒ ปี ต่อมาถึงปีฉลูตรีศกจุลศักราช ๑๒๖๓ พ.ศ.๒๔๔๔ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชประสงค์จะให้พิมพ์หนังสือพระราชพงษาวดารกรุงรัตนโกสินทร ทรงพระราชดำริห์ว่าหนังสือที่เจ้าพระยาทิพากรวงษ์แต่งไว้ เปนด้วยรีบทำ ยังไม่เรียบร้อยควรแก่การพิมพ์ ทีเดียว จึงมีรับสั่งให้ข้าพเจ้ารับน่าที่ตรวจชำระหนังสือพระราชพงษาวดารกรุงรัตนโกสินทร สำหรับการที่จะพิมพ์ตามพระราชประสงค์ ข้าพเจ้าได้ตรวจชำระส่วนรัชกาลที่ ๑ สำเร็จ แลได้พิมพ์แต่ในปีนั้นรัชกาลที่ ๑ ครั้นตรวจมาถึงรัชกาลที่ ๒ เห็นฉบับเดิมบกพร่องมากนัก เรื่องราวเหตุการณ์ในรัชกาลที่ ๒ ยังมีอยู่ในหนังสืออื่น เปนหนังสือต่างประเทศโดยมาก ควรจะรวบรวมเรื่องตรวจเสียใหม่ แล้วจึงค่อยพิมพ์จึงจะดี ด้วยเหตุนี้ประการ ๑ ประกอบกับที่ ข้าพเจ้าติดธุระในตำแหน่งราชการมาก ด้วยอิกประการ ๑ การที่จะตรวจชำระหนังสือพระราชพงษาวดารรัชกาลที่ ๒ จึงได้ค้างมา แต่ก็มิได้เสียเวลาเปล่า ด้วยในระหว่างนั้น ข้าพเจ้าได้เอาเปนธุระเสาะแสวงหา แลรวบรวมหนังสือต่าง ๆ ซึ่งเนื่องด้วยพระราชพงษาวดารรัชกาลที่ ๒ มาโดยลำดับ พึ่งมาได้ลงมือแต่งเมื่อปีฉลูเบญจศกจุลศักราช ๑๒๗๕ พ.ศ. ๒๔๕๖ เดี๋ยวนี้หนังสือนั้นกำลังพิมพ์อยู่ ท่านทั้งหลายคงจะได้อ่านในไม่ช้านัก ประวัติของหนังสือพระราชพงษาวดาร เท่าที่ข้าพเจ้าทราบความมีดังอธิบายมานี้
ดำรงราชานุภาพ
หอพระสมุดวชิรญาณ วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๕๘ "
หมายเหตุ
ความเป็นมาของพงศาวดารแต่ละฉบับ ในส่วนที่มาของ..
พงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐ
พงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา
พงศาวดารกรุงเก่า ฉบับ วันวลิต
พงศาวดารกรุงเก่า ฉบับบริติชมิวเซียม
พงศาวดารกรุงเก่า ฉบับคำให้การชาวกรุงเก่า
พงศาวดารกรุงเก่า ฉบับคำให้การขุนหลวงหาวัด
พงศาวดารกรุงเก่า ฉบับพระพนรัตน์
พงศาวดารกรุงเก่า ฉบับพระจักรพรรดิ์
พงศ์พงศาวดารกรุงเก่า ฉบับกรมพระปรมานุชิตชิโนรส
ให้ข้อมูลโดย วศินสุข
และ
ความเป็นมาของพงศาวดารแต่ละฉบับ ในส่วน..
พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรีฉบับพันจันทนุมาศ
พระราชพงษาวดารกรุงเก่าตามต้นฉบับหลวง “ ฉบับจุลศักราช ๑๑๓๖ ”
ความเห็นของกรมพระยาดำรงฯ
ให้ข้อมูลโดย Jack (ไม้ทั่วไป)
ที่มา : http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2007/01/K5092408/K5092408.html
ผู้จัดเก็บบทความ
เจ้าน้อย ณ สยาม
ที่
9:22 หลังเที่ยง
0
ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: พงศาวดาร
วันพฤหัสบดีที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2551
เกร็ดนอกพงศาวดาร "การ์ตูนต้องห้าม" ชุดแรกและชุดเดียว วาดสมัยพระจอมเกล้าฯ รัชกาลที่ ๔
ราชสำนักสยามเป็นที่รู้จักกันว่าคือ "เมืองต้องห้าม" ในสายตาของชาวต่างประเทศ เช่นเดียวกับเมืองต้องห้ามในราชสำนักแมนจู และราชสำนักโมกุล ซึ่งต่างก็ตัดขาดออกจากสังคมเมืองและโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง ที่เรียกต้องห้ามเพราะมีกฎมณเฑียรบาลอันเคร่งครัดรัดกุมบังคับใช้อยู่ เพื่อความมั่นคงปลอดภัยของพระบรมวงศานุวงศ์และเพื่อพิทักษ์รักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่คนธรรมดามิอาจล่วงละเมิดได้แม้เพียงการเมียงมองด้วยสายตา ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในราชสำนักในอดีตกาล จึงเป็นของต้องห้ามที่คนภายนอกไม่มีโอกาสล่วงรู้ เช่นภาพความเป็นไปต่างๆ ซึ่งจะถูกเปิดเผยในเรื่องนี้
ผู้เขียนไม่ได้ตั้งใจจะค้นลึกลงไปถึงความเร้นลับเหล่านั้น แต่ในขณะที่ค้นคว้าสอบสวนเหตุการณ์สำคัญตอนหนึ่งในพงศาวดารรัชกาลที่ ๔ อยู่นั้น พบว่าช่วงปลายรัชสมัยประมาณปี พ.ศ. ๒๔๐๙ (ค.ศ. ๑๘๖๖) ขณะที่ทุกสิ่งทุกอย่างดูราบรื่นเรียบร้อยดีอยู่แล้ว เกิดมีความระหองระแหงบางอย่าง เป็นเรื่องอื้อฉาวทางการทูตระหว่างองค์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับทูตฝรั่งเศสคนหนึ่ง ชื่อ "โอบาเรต์" (Aubaret) ผู้วางอำนาจบาตรใหญ่เกินตำแหน่งหน้าที่ ประพฤติตนเป็นอันธพาลหันมาใช้อำนาจในทางมิชอบ จนเกิดความขุ่นข้องมัวหมองพระราชหฤทัย เป็นเหตุให้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระพิโรธ ไม่ทรงอนุญาตให้เข้าเฝ้าอีกต่อไป
ความเฉาโฉดของโอบาเรต์ไม่เพียงแต่สร้างความเข้าใจผิดทางพระราชไมตรี ที่ทรงมีอยู่กับพระจักรพรรดินโปเลียนที่ ๓ เท่านั้น ทูตฝรั่งพิเรนคนนี้ยังบังอาจยับยั้งหน่วงเหนี่ยว "เครื่องมงคลราชบรรณาการ" อันมีความหมายยิ่งจากราชสำนักฟองเตนโบล คือ "พระแสงดาบนโปเลียน" ที่พระจักรพรรดิพระราชทานเข้ามาถวายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือข่มขู่ต่อรองข้อเรียกร้องทางการเมืองที่โอบาเรต์ดำเนินอยู่ในขณะนั้น ทำให้เกิดความชะงักงันทางการทูตกับทางการฝรั่งเศสนับจากนั้น
แต่ก็มีเหตุบังเอิญอีกเช่นกันที่ในระหว่างนั้นมีเจ้าชายชาวฝรั่งเศส ๓ พระองค์ ที่เป็นนักผจญภัยขนานแท้ เดินทางท่องเที่ยวรอบโลกอยู่ และกำลังผ่านเข้ามาเยือนกรุงสยาม พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ทรงเห็นเป็นโอกาสเหมาะที่จะเปิดเผยเรื่องฉ้อฉลในพฤติกรรมของทูตฝรั่งเศส จึงมีพระบรมราชานุญาตเป็นกรณีพิเศษ ให้เจ้าชายผู้สูงศักดิ์เหล่านั้น ซึ่งประกอบด้วยดุ๊กแห่งอลองซอง (le duc d" Alencon) เจ้าชายเดอ กองเด (le prince de Conde) และดุ๊กแห่งปองติแอฟรึ (le duc de Penthievre) พร้อมด้วยเคานต์โบวัวร์ (le comte de Beauvoir) พระสหาย โดยการนำของคุณพ่อโลนาร์ดี (Pere Lonardi) บาทหลวงชาวฝรั่งเศสผู้ที่ทรงคุ้นเคยและโปรดปรานมาก่อน เป็นผู้นำเข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิด(๑)
ความประจวบเหมาะนี้จะอำนวยให้คนแปลกหน้ากลุ่มนี้ได้เข้าไปเยี่ยมเมืองต้องห้ามโดยไม่คาดฝัน!
โอกาสพิเศษนี้เกิดขึ้นถึง ๒ ครั้ง ระหว่างการพำนักอยู่ในกรุงเทพมหานครนาน ๙ วัน ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๙ มกราคม พ.ศ. ๒๔๐๙
การเข้าเฝ้าพระเจ้ากรุงสยามของชาวยุโรปชุดนี้ ได้รับการเปิดเผยโดยเคานต์โบวัวร์ นักท่องเที่ยวธรรมดาๆ ผู้ไม่เคยคาดหวังโอกาสนั้นมาก่อน เขาเพียงแต่ตั้งใจไว้แต่ต้นว่าจะจดบันทึกช่วยจำสิ่งต่างๆ ที่จะได้พบเห็นไว้เรียบเรียงให้บิดามารดาทางบ้านได้อ่านเท่านั้น(๑) เหตุผลทั้งหมดจึงเป็นพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ เพื่อทรงวิสาสะคุ้นเคยกับเชื้อพระวงศ์จากฝรั่งเศสในโอกาสที่หาได้ยาก จึงโปรดให้มีขึ้นในที่รโหฐานจริงๆ พระบุคลิกลักษณะและพระราชอัธยาศัยที่แท้จริง ตลอดจนเหตุการณ์บ้านเมืองที่ดำเนินอยู่ จึงถูกนำออกมาจากเมืองต้องห้าม ปรากฏในรูปร้อยแก้วที่ให้รายละเอียดและภาพสเก๊ตช์อย่างรวดเร็ว ที่ถูกวาดเก็บไว้ได้ทันท่วงทีในทัศนะของชาวต่างประเทศ ล้วนเป็นข้อมูลทางประวัติศาสตร์นอกพงศาวดารที่แปลกที่สุดชุดหนึ่งในรัชกาลนี้ที่เคยพบมา
เพียง ๑๒ เดือนก่อนการมาถึงของคณะเจ้าชายฝรั่งเศส พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือกษัตริย์องค์ที่ ๒ เสด็จสวรรคต คณะชาวฝรั่งเศสได้รับเชิญให้เข้าไปถวายบังคมพระบรมศพ ซึ่งประดิษฐานอยู่ในพระที่นั่งอิศราวินิจฉัยในพระบวรราชวัง เคานต์โบวัวร์ได้ถ่ายทอดภาพจำลองของพระบรมศพที่บรรจุอยู่ในพระบรมโกศ ในมุมมองที่ชาวตะวันตกนึกไม่ถึงมาก่อน คำบอกเล่าทั้งหมดจึงเป็นสีสันของเมืองไทยที่ผู้บันทึกพบเห็น ชีวิตฝ่ายในของราชสำนักที่ผู้คนอยากรู้อยากเห็นอยู่ตลอดเวลา
สิ่งที่ติดออกมาด้วยคือพระราชปฏิพัทธ์และพระราชนิยมในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และที่เป็นข่าวใหญ่อยู่ในเวลานั้น คือประเด็นที่เกี่ยวกับนโยบายขยายอาณานิคมของฝรั่งเศส และพฤติกรรมฉาวที่ทูตฝรั่งเศสผู้โอหังแสดงอยู่
เรื่องมีอยู่ว่าในเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๔๐๖ เขมรตกเป็นรัฐในอารักขาของฝรั่งเศส ด้วยสนธิสัญญาที่พระนโรดมลงพระนาม ณ เมืองอุดงมีชัย แต่ด้วยความอาลัยหวงแหนในพระราชอาณาเขตเก่าแก่นี้ รัฐบาลไทยได้ทำ "สัญญาลับ" ขึ้นฉบับหนึ่งกับเขมรในเดือนธันวาคมศกนั้น(๒) เพื่อยืนยันรับรองว่าเขมรยังเป็นประเทศราชของไทยอยู่ และเพื่อเป็นการผูกมัดเขมรไว้กับไทยตลอดไป
สัญญาลับฉบับดังกล่าวก่อให้เกิด "สงครามเย็น" ระหว่างไทยกับฝรั่งเศส
โอบาเรต์ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นกงสุลฝรั่งเศสคนใหม่ ใช้ความพยายามที่จะทำให้สัญญาลับระหว่างเขมรกับไทย "เป็นโมฆะ" และบีบบังคับให้ไทยรับรองว่าจะสละสิทธิ์เหนือเขมรตลอดไป ฝ่ายไทยปฏิเสธโดยสิ้นเชิง โอบาเรต์เริ่มใช้เล่ห์เพทุบายอาศัยการนำเรือรบติดอาวุธที่ทันสมัยที่สุด ชื่อเรือปืน "มิตราย" เข้ามาในลำแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อข่มขู่รัฐบาลไทยให้ปฏิบัติตามโดยปราศจากข้อแม้ใดๆ
ในที่สุดก็ทำได้สำเร็จ ฝ่ายไทยยอมจำนนโดยดุษฎีในเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๔๐๘ นับเป็นการใช้กำลังทหารต่างชาติเป็นครั้งแรกกลางเมืองบางกอก ตั้งแต่กรุงรัตนโกสินทร์ตั้งมา
ความเป็นปฏิปักษ์อย่างพร้อมเพรียงกันต่อฝรั่งเศส ซึ่งมีโอบาเรต์เป็นตัวแทนจึงระเบิดขึ้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ แม้ว่าปกติจะเข้าเฝ้าได้ง่ายมาก และคุ้นเคยกับโอบาเรต์เป็นพิเศษอยู่แล้ว กลับให้การต้อนรับเขาอย่างเย็นชาและชิงชัง เพื่อเป็นการตอบโต้
โอบาเรต์จึงแสดงปฏิกิริยาหน่วงเหนี่ยวไม่ยอมมอบ "ของขวัญ" (เป็นพระแสงดาบ ๒ เล่ม ซึ่งมีความหมายอย่างยิ่ง เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของผู้นำโลกที่สนับสนุนให้เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ขึ้นสืบทอดราชบัลลังก์ในสมัยต่อมา-ผู้เขียน) ของจักรพรรดินโปเลียนที่ ๓ ซึ่งมีมาทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เมื่อการเจรจากับตัวแทนฝรั่งเศสดูไม่เป็นผลอีกต่อไป ในที่สุดจึงมีพระบรมราชโองการในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้จัดส่งคณะทูตพิเศษไปเจรจาความถึงในกรุงปารีส เพื่อทูลเสนอต่อพระจักรพรรดิโดยตรง เรื่องการปักปันเขตแดนเขมร และเพื่อประณามความประพฤติของโอบาเรต์
ราชทูตไทยชุดนี้นำโดยพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) บุตรชายคนโตของเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ และทูตอื่นๆ อีก ๓ ท่าน ส่วนล่ามภาษาฝรั่งเศสคือบาทหลวงโลนาร์ดีคนเดิม จะสังเกตได้ว่าคุณพ่อโลนาร์ดีเป็นสาธุคุณชาวฝรั่งเศสที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ไว้วางพระราชหฤทัยที่สุดในขณะนั้น คณะทูตชุดนี้จึงเป็นชุดที่ ๒ ที่ได้ไปถึงฝรั่งเศสในรัชกาลที่ ๔ ซึ่งมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าคณะราชทูตชุดแรกในปี พ.ศ. ๒๔๐๔ แต่กลับมีการกล่าวถึงน้อยมาก แม้ในหน้าประวัติศาสตร์ไทยก็ตาม(๓)
ต่อไปนี้เป็นรายละเอียดในที่เกิดเหตุบางตอนของเคานต์โบวัวร์ ที่ผู้เขียนสามารถเรียบเรียงและจับภาพไว้ได้จาก "ต้นฉบับ" จริง...
"๑๓ มกราคม ๑๘๖๖...
เวลาที่รอคอยก็มาถึง พวกเราถูกนำมาหน้าพระที่นั่ง ทำให้สามารถมองเห็นคิงมงกุฎเสด็จผ่านเจ้าหญิงและเจ้าชายน้อยๆ หลายองค์ พวกเขารีบหมอบลงทันที และไม่กล้าแม้แต่จะสบตาผู้ซึ่งเป็นที่รักของพวกเขา พระโอรสธิดาจำนวนกว่า ๑๐ องค์ช่างน่ารักน่าเอ็นดู พวกเขามีเศียรที่โกนจนเตียนโดยรอบ เหลือพระเกศาไว้เป็นจุกตรงกลางโดยล้อมด้วยพวงมาลัยสีขาว ปักติดไว้ด้วยหมุดทองคำที่หัวเป็นพลอยเม็ดใหญ่ พวกเขาปล่อยท่อนบนลำตัวไว้เปลือยเปล่า แต่คล้องพระศอไว้ด้วยสายสร้อยขนาดใหญ่หลายเส้น ประดับอยู่ด้วยเพชรนิลจินดาหลายขนาด สวมผ้าผืนใหญ่ที่ขมวดไว้เบื้องหลัง และมีกำไลขนาดใหญ่ประดับเพชรพลอยสวมอยู่ที่ข้อเท้าทั้งสอง แต่ละองค์มีนางกำนัลประจำตัว
เบื้องหลังเป็นแถวนางกำนัลในของกษัตริย์ นางสนมจำนวนหลายสิบคนถือหีบหมากประดับเพชร บ้างประคองหีบบุหรี่ บ้างถือพระแสงประจำพระองค์ บ้างก็ถือถาดและกระโถนทองคำ เดินนวยนาดออกมาเป็นขบวน พวกนางส่งยิ้มอันสง่างามมายังพวกเรา ช่างไม่มีความสมดุลกันเลยระหว่างกษัตริย์ผู้ชราภาพ ที่ห้อมล้อมอยู่ด้วยนางสนมรุ่นสาวหลายสิบคน กษัตริย์ทรงเป็นศูนย์กลางในที่ชุมนุมนั้น ทรงสวมพระมหามงกุฎเป็นรูปพีระมิดทองคำ สวมฉลองพระองค์เสื้อคลุมยาวที่ประดับตกแต่งไปด้วยเพชรนิลจินดานับร้อยเม็ด ทรงพระชนมายุประมาณ ๖๓ พรรษา มีสภาพเหมือนคนเมื่อยล้าจากการทำงานหนักมาหลายสิบปี
สามารถตรัสภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว แต่ก็มีคำภาษาละตินและคำไทยปนออกมาตลอดเวลา การสนทนาของเราก็เริ่มต้นขึ้น ทรงกล่าวถึงพระราชกรณียกิจของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ แห่งฝรั่งเศส และความสัมพันธ์กับกรุงสยามมาแต่โบราณกาล แล้วทรงหันพระพักตร์ไปคายหมากจากพระโอษฐ์ ๒-๓ ครั้งทุกๆ ๑ นาที ทรงเปลี่ยนเป็นหมากคำใหม่จากกล่องทองคำฝังเพชรที่วางอยู่ใกล้ๆ
ท้องพระโรงกลางเป็นตึกแบบตะวันตก แต่มีเครื่องตกแต่งแบบตะวันออกปนอยู่มาก นอกจากนั้นเห็นได้ว่ามีของบรรณาการจากกษัตริย์ในยุโรปวางอยู่ทั่วไปหมด ของบางอย่างที่พวกเรามองข้ามไปในยุโรปกลับมีความหมายที่นี่ พระราชดำรัสดูเคร่งขรึมเป็นพิธีรีตอง แต่ก็ทรงพระสรวลอยู่ตลอดเวลา เรามองเห็นขวดน้ำอัดลม ขวดน้ำหอมโอ เดอ โคโลญจ์ และถ้วยกาแฟชุด อยู่ในตู้ต่างๆ ทำให้มองดูคล้ายบ้านผู้ดีอังกฤษกลายๆ ได้ยินมาว่ามักจะมีพ่อค้าหัวใสจากยุโรปนำของมาเสนอขายพระองค์อยู่เสมอ บ้างก็โฆษณาว่าของแบบนั้นแบบนี้ใช้ในราชสำนักยุโรป
ก่อนได้เวลาถวายบังคมลา กษัตริย์หันไปตรัส ๒-๓ คำกับนางกำนัลที่นั่งเหนียมอายอยู่ใกล้ๆ พวกเธอหันไปหยิบขวดเหล้าซึ่งวางอยู่ในตู้ ภายใต้ภาพวาดขนาดใหญ่ฝีมือเจโรม จิตรกรผู้โด่งดังของพวกเรา (คือภาพวาดทูตไทยถวายสาส์น ที่พระราชวังฟองเตนโบล-ผู้เขียน)
หนึ่งในดรุณีแรกรุ่นที่งดงามที่สุดรินน้ำจัณฑ์ตามกระแสรับสั่ง ในขณะที่กษัตริย์ต้องการให้พวกเราชนแก้วด้วย หลังจากนั้นมีพระราชดำรัสให้นางกำนัลนำบัตรพระนามาภิไธยมาแจกให้พวกเราคนละใบ ทรงให้ความเป็นกันเองกับพวกเรามาก เราถวายบังคมลา ก็ยังทรงพระกรุณาตรัสสั่งให้ขุนนางในที่นั่นพาพวกเราไปชมในเมือง
วันรุ่งขึ้นคณะของเราและข้าพเจ้าได้ไปเยี่ยมคารวะที่สถานกงสุลฝรั่งเศสประจำกรุงสยาม ได้พบปะกับเมอสิเออโอบาเรต์ และกัปตันเรือผู้ต้อนรับเราอย่างอบอุ่น ก่อนที่เราจะถามท่านกงสุลถึงข่าววิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ ที่ได้ยินมา ท่านกลับเป็นฝ่ายเริ่มในทันที และขอความเห็นใจในเรื่องดังกล่าว ท่านเล่าว่าคิงมงกุฎทรงรู้เห็นเป็นใจกับพระเจ้านโรดมทำสัญญาลับขึ้นมาฉบับหนึ่ง เพื่อยกเลิกสัญญาที่ถูกกฎหมายของฝ่ายฝรั่งเศส โดยสัญญาลับนี้เพิ่งมาถึงบางกอกอย่างมิดชิด มีสายของฝรั่งเศสแจ้งว่าทั้งหมดนี้เป็นความจริง แม้แต่กงสุลอังกฤษเองก็ให้ท้ายสยามในทำนองแบบมีพิรุธ เพื่อยับยั้งการเป็นผู้นำของฝรั่งเศสในภูมิภาคนี้
ท่านกงสุลบอกพวกเราว่าเขมรต้องอยู่ในอาณัติของฝรั่งเศส มิฉะนั้นเขาคงต้องถูกปลดออกไป ในที่สุดอินโดจีนก็คือเค้กก้อนโตที่ฝรั่งเศสและอังกฤษไม่มีวันพบได้อีกในยุโรป พวกเรายังไม่ลืมส่วนที่เสียไปในแอฟริกาและดินแดนอาหรับ แต่ก็ยังโชคดีที่มียูนนานและเมืองจีนเหลืออยู่ ข้าพเจ้าคิดว่าถ้าจำเป็นต้องอยู่ในภูมิภาคนี้ต่อไปก็อาจจะต้องเคารพกติกาที่ทำไว้กับสยามอย่างจริงใจ และเราควรจะประนีประนอมคู่แข่งของเรา (อังกฤษ) ให้มีความจริงใจเช่นกัน
กงสุลของเราได้ "ตัดสินใจ" เองด้วยเหตุผลส่วนตัว ที่จะไม่ทูลเกล้าฯ ถวายพระแสงดาบของจักรพรรดินโปเลียนที่ ๓ แด่คิงมงกุฎ โดยบอกว่าท่านจะทูลเกล้าฯ ถวายสิ่งของทั้งหมดนี้ก็ต่อเมื่อเรื่องเมืองเขมรได้รับการจัดแจงให้เป็นที่เรียบร้อยเสียก่อน
ในคืนนั้นเองพวกเราได้ยินมาว่าคิงมงกุฎมีพระราชวินิจฉัยให้ส่งราชทูตไปกรุงปารีส เพื่อเจรจาเรื่องดินแดนในฝันที่ทุกคนต้องการกันนักหนา
บ่ายวันหนึ่งขุนนางได้นำพวกเราไปชมละครกลางแจ้ง (เข้าใจว่าเป็นเรื่องรามเกียรติ์-ผู้เขียน) นักแสดงโดยมากแต่งตัวคล้ายคนในวังนั่นเอง เห็นมีตัวละครที่เล่นเป็นกษัตริย์รวมอยู่ด้วย การแสดงโอเปร่าของชาวสยามนี้ช่างเหมือนชีวิตในวังจริงๆ
วันหนึ่งเราได้ยินมาว่าเวลานี้เป็นช่วงที่คิงมงกุฎทรงวิตกกังวลที่สุด ทรงอยู่ในระหว่างการร่างพระราชสาส์นสำคัญที่จะพระราชทานไปกับราชทูตสำหรับถวายพระจักรพรรดิของเราในปารีส ทรงนัดประชุมขุนนางชั้นผู้ใหญ่หลายคืน แต่พอถึงตอนเช้าก็ทรงฉีกพระราชสาส์นนั้นทิ้งเสีย เพราะยังไม่เป็นที่ถูกพระทัย แล้วก็ทรงเริ่มเขียนใหม่อีกในวันรุ่งขึ้น ใครจะคิดว่าเป็นเวลาเจ็ดวันเจ็ดคืนที่ทุกคนต้องทนทุกข์ทรมาน เพื่อพระราชสาส์นเพียงฉบับเดียวเท่านั้น ที่ทุกฝ่ายเฝ้ารอคอยจนกว่าจะสำเร็จ
พวกเราเชื่อว่าฝรั่งเศสได้ค้นพบขุมทรัพย์ถูกที่แล้ว ในส่วนตัวข้าพเจ้าคิดว่าศักดิ์ศรีในชัยชนะของเราคือผลกำไรจากการค้าขายในดินแดนที่อุดมสมบูรณ์นี้ ประชาชนที่นี่เทิดทูนบูชากษัตริย์มากเกินไปจนไม่มีทางที่พวกเขาจะทรยศพระองค์ได้ แต่หากว่ามีหนทางยึดครองดินแดนที่ขึ้นอยู่กับสยามเพื่อผลประโยชน์อื่นๆ ก็อาจจะเป็นสิ่งที่น่าทำที่สุด
บาทหลวงโลนาร์ดีเป็นบุคคลที่ทำให้ชาวสยามรู้จักการถ่ายรูป แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด เพราะท่านยังเป็นผู้นำไฟฟ้าไปสู่ราชสำนัก พรุ่งนี้แล้วที่เราจะออกเดินทางกลับไปสิงคโปร์โดยเรือชื่อเจ้าพระยา เมื่อกษัตริย์ทรงทราบว่าเราจะไปเข้าจริง ก็มีพระราชดำริให้นำคณะเจ้าชายทั้ง ๓ เข้าเฝ้าเพื่ออำลา
๑๗ มกราคม ๑๘๖๖...
พวกเราถูกนำไปสู่ท้องพระโรงใหญ่ในพระที่นั่งชื่อ "อนันตสมาคม" ขุนนางกระซิบบอกเราว่า การที่คิงมงกุฎทรงเชิญมาในวันนี้เป็นกรณีพิเศษที่ไม่มีใครมีวาสนาบ่อยนัก บัดนี้ทรงมีความคุ้นเคยกับพวกเรามากขึ้น ตรัสว่า "ฉันพอใจพวกเธอมาก จะให้รูปไว้เป็นที่ระลึก" เรามารู้ตอนหลังว่าทรงส่งพระรูปไปให้พระประมุของค์สำคัญๆ ในต่างประเทศเท่านั้น การพระราชทานพระรูปของพระองค์ให้พวกเราจึงเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างสูงที่สุด ทรงนำคณะเราเข้าไปในห้องๆ หนึ่งทางด้านหลัง อันเป็นจุดเริ่มต้นของ "ราชสำนักฝ่ายใน" ของพระบรมมหาราชวังที่แท้จริง พระโอรสธิดาและเจ้านายฝ่ายในเป็นจำนวนมากอยู่ในที่นั้น ทุกพระองค์มีความตื่นเต้นตกใจที่เห็นคนแปลกหน้าอย่างเราโผล่เข้ามา กลุ่มผู้หญิงราว ๒๐ คนขวัญหายในการมาเยือนอย่างกะทันหันของเรา ทั้งหมดทิ้งตัวลงหมอบกระแตอยู่กับพื้น ข้าพเจ้าคาดคะเนดูว่ามีจำนวนไม่ต่ำกว่า ๑๖๐ คน เป็นผู้หญิงทั้งสิ้น พวกที่หมอบไม่ทันก็หนีไปหลบอยู่หลังบันได และมีอีกหลายสิบคนวิ่งขึ้นบันไดไปเหมือนผึ้งแตกรัง สักพักหนึ่งก็โผล่แต่นัยน์ตาแหวกม่านออกมาจ้องดูเราเหมือนดวงตากวางป่าในยามวิกาล กล่าวได้ว่าคณะของเราและพวกผู้หญิงมีความตกใจพอๆ กัน
มีอยู่นางเดียวที่ไม่หนีไปไหน เธอเป็นหญิงวัยกลางคนท่าทางสง่างาม ตกแต่งเรือนร่างด้วยเพชรพลอยงามระยิบ กษัตริย์เดินตรงไปยังกลุ่มเจ้าจอมรุ่นใหญ่ แล้วจูงมือเจ้าจอมคนหนึ่งออกมายืนเคียงข้างพระองค์ จากนั้นจึงอนุญาตให้พวกเราสัมผัสมือ (เช็กแฮนด์) กับนางด้วย พวกเราทำตามเพื่อแสดงความเคารพในคำสั่ง ทรงปรบมือให้ทุกคนหลบเข้าไปข้างในทันที ตรัสว่า "เจ้าจอมมารดาผู้นี้ให้ลูกแก่ฉัน ๓ คน และนางเป็นภรรยาที่ดีคนหนึ่ง" พอตรัสเสร็จก็ปลีกพระองค์ไปจูงมืออีกคนออกมาให้พวกเรารู้จัก ตรัสอีกว่า "เจ้าจอมมารดาคนนี้ให้ลูกฉันถึง ๑๐ คน เธอเป็นคนที่ดีที่สุด" ขณะที่มีพระราชดำรัสในเรื่องอื่นๆ กับพวกเรา เจ้านายฝ่ายใน พระโอรสธิดา และนางกำนัลเป็นจำนวนมากก็ทยอยออกมาห้อมล้อมพระองค์ ดูคล้ายกับเทพธิดาที่ห้อมล้อมเทพเจ้าอยู่ในสรวงสวรรค์
ข้าพเจ้าจำได้ว่าพวกเราคำนับทุกคนในที่นั้น และตั้งใจกับตัวเองว่าทันทีที่มีโอกาสจะจดบันทึกประสบการณ์อันน่าตื่นเต้นทั้งหมดไว้บนแผ่นกระดาษ เพื่อมิให้ตกหล่นหลงลืมไป สำหรับข้าพเจ้าแล้วรู้สึกว่าราชสำนักสยามที่ได้เห็นเป็นเมืองที่ไม่ได้อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง มันช่างเหมือนดินแดนในเทพนิยาย ที่ชาวยุโรปเราอ่านกันในหนังสือนิทานอาหรับราตรีมากกว่า
๒๐ มกราคม ๑๘๖๖...
คณะของเราพร้อมกันบนเรือเมล์เจ้าพระยา เพื่อเดินทางสู่สิงคโปร์ บนเรือวันนี้เราถูกแนะนำให้รู้จักคณะราชทูตสยามที่กำลังจะอาศัยเรือลำเดียวกัน เพื่อเดินทางไปต่อเรือเมล์ที่ท่าเมืองสิงคโปร์สำหรับการเดินทางสู่ประเทศฝรั่งเศส ไม่น่าเชื่อว่าราชทูตท่านนี้กำลังจะนำพระราชสาส์นสำคัญที่สุดของคิงมงกุฎ และคำประณามกงสุลฝรั่งเศสที่เราเพิ่งอำลา ไปสู่พระจักรพรรดิของเราในเวลาไม่ช้านี้ ก่อนที่เรือจะยกสมอออกจากท่า ได้มีเรือบดหลายลำนำหมู่ภรรยาทั้งหลายของท่านราชทูตสยาม คะเนว่าจำนวนประมาณ ๓๐-๓๕ คนขึ้นมาล่ำลาท่านอย่างอาลัยอาวรณ์ เป็นภาพสุดท้ายที่ทำให้เราตื้นตันมากกับเมืองที่เรากำลังจะจากไปนี้"
เมษายน ค.ศ. ๑๘๖๖ (พ.ศ. ๒๔๐๙) คณะราชทูตไทยเดินทางถึงกรุงปารีส พระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ได้เข้าเฝ้าพระจักรพรรดินโปเลียนที่ ๓ ในทันที เพื่อถวายฎีกา พร้อมกับกราบบังคมทูลเรื่องราวอันยืดยาวในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คำร้องขอทำให้พระจักรพรรดิได้ทรงสดับด้วยพระองค์เองถึงสถานการณ์ และความไม่พอใจของไทยในเรื่องสนธิสัญญาฝรั่งเศส-เขมร ค.ศ. ๑๘๖๓ (พ.ศ. ๒๔๐๖)
อีก ๓ เดือนต่อมานายโอบาเรต์ทูตฝรั่งเศสก็ถูกปลดออกจากตำแหน่ง และเดินทางกลับกรุงปารีส ต่อมาได้กลายเป็นคนวิกลจริต เป็นที่รังเกียจของสังคมในปั้นปลายชีวิต
อีก ๖ เดือนต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็เสด็จสวรรคต ภาพลักษณ์ของเมืองไทยและเหตุการณ์ร่วมสมัยในครั้งนั้นถูกตีพิมพ์เผยแพร่ทันเวลา ในปีที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ สิ้นพระชนม์นั่นเอง
บันทึกการเดินทางของเคานต์โบวัวร์ได้รับการยกย่องโดยนักโบราณคดียุโรป ว่าเป็นแหล่งข้อมูล "แบบไม่เป็นทางการ" ที่น่าเชื่อถือที่สุดชิ้นหนึ่งจากยุคนั้นตราบจนทุกวันนี้
หนังสืออ้างอิง
(๑) le Comte de Beauvoir. Voyage Autour du Monde (เรื่องสยาม หน้า ๔๕๙-๕๓๖). Paris, 1868
(๒) ศ.ดร.เพ็ญศรี ดุ๊ก. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับฝรั่งเศสในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙. ราชบัณฑิตยสถาน, ๒๕๓๙
(๓) ศ.ดร.เพ็ญศรี ดุ๊ก. การต่างประเทศกับเอกราชและอธิปไตยของไทย. ราชบัณฑิตยสถาน, ๒๕๔๒
ไกรฤกษ์ นานา
นิตยาสารศิลปวัฒนธรรม
วันที่ 01 มกราคม พุทธศักราช 2547
ที่มา : ศิลปวัฒนธรรม : บทความ
หมายเหตุ
การเน้นข้อความทำโดยผู้จัดเก็บบทความ เพื่อให้ง่ายต่อการศึกษาเพิ่มเติม ผู้อ่านสามารถดูบทความเดิมได้จาก ลิงค์ที่มาของบทความตามที่ได้อ้างอิง
ผู้จัดเก็บบทความ
เจ้าน้อย ณ สยาม
ที่
9:38 หลังเที่ยง
0
ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: พงศาวดาร
วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2550
พระเจ้าปราสาททอง : พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับวันวลิต พ.ศ. 2182
หมายเหตุ
ข้อมูลที่ข้าพเจ้าจะนำเสนอต่อไปนี้เป็นพระราชประวัติของ พระเจ้าปราสาททอง โดยรายละเอียดทั้งหมดจะเริ่มตั้งแต่รัชกาล สมเด็จพระเชษฐาธิราช - พระเจ้าปราสาททอง
พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับวันวลิต พ.ศ. 2182 :
วันวลิต, แต่ง :
เลียวนาร์ด แอนดายา, แปลเป็นภาษาอังกฤษจากภาษาฮอลันดา :
มิเรียม เจ. แวน เดนเบอร์ก, คัดลอกจากต้นฉบับเดิม :
เดวิด เค. วัยอาจ, บรรณาธิการ :
วนาศรีื สามนเสน, แปลเป็นภาษาไทยจากภาษาอังกฤษ :
ประเสริฐ ณ นคร, ตรวจ :
ภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร, 2523.
...................................
พระองค์เชษฐราชา
( Prae Ongh Tsit Terrae Tsiae )
พระเจ้าแผ่นดินองค์ที่ ๒๓ แห่งสยาม
เสวยราชย์อยู่ ๘ เดือน
พระองค์ทรงเป็นพระราชโอรสของพระอินทราชา ขึ้นเสวยราชย์ ( ขัดต่อกฎมณเฑียรบาล ) เมื่อพระชนม์มายุได้ ๑๕ พรรษา ทรงพระนามว่า พระองค์เชษฐราชา ทรงเป็นเจ้าชายที่มีอารมณ์รุนแรง และเอาพระทัยยาก จึงเป็นที่หวั่นเกรงกันว่าพระองค์จะปกครองประเทศอย่างเข้มงวด ทรงไม่สนใจกิจการใด ๆ ทั้งสิ้น ตัณหาจัด ไร้ความคิด ทรงอุทิศพระองค์เพื่อความสำราญมากกว่าจะปกครองบ้านเมือง
พระอนุชาของพระอินทราชา ( หรือพระปิตุลาของพระองค์ ) ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิในราชบัลลังก์ แต่ถูกปฎิเสธ ก็ทรงสละทางโลกหันเข้าหาร่มกาสาวพัสตร์ ทรงทำเช่นนี้ก็เพื่อจะรักษาชีวิตของพระองค์เองไว้ เนื่องจากพระองค์ทรงถูกขู่คุกคาม อย่างไรก็ดี พระองค์ก็ทรงเฝ้าดูความประพฤติ และพระราชกรณียกิจของพระเจ้าแผ่นดินผู้ทรงพระเยาว์อย่างใกล้ชิด ทรงเข้าพระทัยดีว่าทำไมขุนนางและประชาชนจึงเกลียดชังพระเจ้าแผ่นดิน เมื่อประสบโอกาสจึงลาผนวช เสด็จไปบางกอก ( กรุงเทพฯ ) ซ่องสุมผู้คนอย่างลับ ๆ เท่าที่จะทำได้ เพื่อต่อต้านพระเจ้าแผ่นดิน
เมื่อพระเจ้าแผ่นดินทรงทราบเรื่อง ก็ทรงรวบรวมกองทัพ ประกอบด้วยกองทัพญี่ปุ่น แกละส่งออกญากลาโหม และออกญาดุน ( Oya Thun ) ซึ่งเป็นพันโททหารญี่ปุ่นไปต่อสู้กับพระปิตุลา เมื่อทราบข่าวกองทัพพระเจ้าแผ่นดินยกมา ตีผู้คนของพระปิตุลาแตกพ่ายไป และจับพระองค์เป็นเชลย
พระเจ้าแผ่นดินทรงปีติโสมนัสมาก เมื่อทราบข่าวว่ารบชนะ และพระปิตุลาถูกจับเป็นเชลย อย่างไรก็ดี หลังจากทรงไตร่ตรองแล้ว พระองค์ก็ทรงตัดสินพระทัยไม่ฆ่าพระปิตุลา แต่ปล่อยให้สิ้นพระชนม์โดยการลดจำนวนอาหารลงทุก ๆ วัน ณ เมืองเพชรบุรี เพื่อให้เป็นไปตามกระแสรับสั่งลงโทษ จึงมีการขุดบ่อลึกเพื่อขังพระปิตุลา ทรงได้รับอาหารลดจำนวนลงทุก ๆ วัน จนกระทั่งทรงหมดพระกำลัง ได้แต่ทรงรอความตาย
แต่พวกพระสงฆ์รักพระปิตุลา เนื่องจากทรงมีคุณงามความดี พวกเขาจึงขุดหลุมห่างจากบ่อที่พระปิตุลาถูกขังอยู่หลายฟุต และทำทางคล้ายอุโมงค์ใต้ดิน เมื่อถึงเวลาค่ำก็พากันมาช่วยพระปิตุลา เอาศพมาวางแทนที่และแต่งตัวศพด้วยฉลองพระองค์ของพระปิตุลา
รุ่งเช้า เมื่อทหารมาส่องดูที่ปากบ่อ ก็นึกว่าพระอนุชาสิ้นพระชนม์ ในเวลาเย็นด้วยความหิวโหย จึงช่วยกันถมบ่อ และเดินทางไปกรุงศรีอยุธยาเพื่อกราบทูลเรื่องราวแก่พระเจ้าแผ่นดิน พระสงฆ์ก็ช่วยกันปฐมพยาบาลพระปิตุลา จนกระทั่งมีพระอนามัยดีเหมือนเดิม ทรงให้กระจายข่าวไปว่าพระองค์ยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ และได้รับความช่วยเหลือรอดชีวิตมาอย่างปาฎิหารย์ ทรงรู้สึกว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่พระองค์ทรงรอดชีวิตในครั้งนี้ และเป็นโอกาสเหมาะที่พระองค์จะทรงซ่องสุมพวกพ้อง
แต่ความหวังของพระองค์ก็สูญสิ้นชั่วพริบตาเดียว เมื่อพระเจ้าแผ่นดินทรงทราบข่าวว่าพระปิตุลายังมีพระชนม์ชีพอยู่ กำลังซ่องสุมผู้คน จึงให้ออกญากลาโหมและออกญาดุน ยกกองทหารไทยและญี่ปุ่นมาที่เพชรบุรีกองทหารดังกล่าวก็ได้ชัยชนะ จับตัวพระปิตุลาลงไปกรุงศรีอยุธยา และพระเจ้าแผ่นดินได้มีกระแสรับสั่งให้ลงโทษประหารชีวิต
พระปิตุลาทรงขออนุญาต ตรัสแก่พระเจ้าแผ่นดินสักครั้งก่อนถูกประหารชีวิต ซึ่งก็ได้รับอนุญาต เมื่อได้เข้าเฝ้า ก็ทรงทูลข้อเตือนใจและคำแนะนำที่เป็นแก่นสาร ในตอนท้าย ได้ตรัสว่าพระเจ้าแผ่นดินไม่ควรทรงไว้ใจออกญากลาโหมมากนัก หรือให้ออกญากลาโหมมีอำนาจมากเกินไป ทรงเพิ่มเติมว่า “ออกญากลาโหมเป็นสุนัขจิ้งจอกที่แยบยล จะแยกมงกุฎจากพระเศียรของพระองค์ จะฆ่าพระองค์ และทำลายทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งเป็นของราชวงศ์พระบิดา และจะปกครองอาณาจักรดุจราชสีห์”
อย่างไรก็ดี พระเจ้าแผ่นดินก็ไม่ใส่ใจคำเตือนนี้ ทรงมีกระแสรับสั่งให้ประหารชีวิต พระปิตุลาถูกนำไปยังป่าช้าที่เงียบเหงา ซึ่งพระองค์ถูกบังคับให้นอนบนพรมสีแดง จากนั้นถูกทุบด้วยท่อนจันทน์ที่พระอุระ ทั้งพระองค์ ท่อนจันทน์ และพรมสีแดง ก็ถูกเหวี่ยงลงบ่อน้ำไป ทรงสิ้นพระชนม์เมื่อพระชนมายุได้ ๒๖ พรรษา ทรงเป็นเจ้าชายที่เข้มแข็งมาก ถ้าหากพระองค์ทรงได้ครองราชสมบัติตั้งแต่เริ่มแรกแล้ว พระองค์จะทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินซึ่งมีคุณงามความดีเหนือพระเชษฐาหลายประการ
เมื่อทรงได้รับชัยชนะ และประหารชีวิตเจ้าชายที่น่าสรรเสริญและเป็นพระปิตุลาที่ถูกต้องตามกฎหมายของพระองค์แล้ว พระเจ้าแผ่นดินก็ยิ่งเพิ่มความประมาท หยิ่งผยอง และกดขี่บรรดาขุนนางทั้งหลาย ดังนั้น พระองค์จึงเป็นที่รังเกียจของขุนนาง ตรงกันข้ามกับออกญากลาโหม ซึ่งเป็นมิตรกับทุก ๆ คน เมื่อน้องชายออกญากลาโหมตาย และเพื่อที่จะทำพิธีเผาศพอย่างใหญ่โต ออกญากลาโหมก็เชิญขุนนางหลายคนเดินทางไปกับตนเป็นเวลาหลายวัน เพื่อทำพิธีเผาศพให้สมบูรณ์
วันหนึ่ง ขณะที่ออกขุนนาง พระเจ้าแผ่นดินทรงมีรับสั่งถามว่า “ขุนนางหายกันไปไหนหมด ทำไมถึงไม่มาเข้าเฝ้าเป็นเวลาหลายวันแล้ว” เมื่อทรงทราบ ว่าพวกขุนนางติดตามออกญากลาโหมไปในพิธีเผาศพ ก็ทรงพระพิโรธ ตรัสว่า “ข้าตั้งใจไว้แล้วว่าแผ่นดินสยามนั้นจะต้องมีพระเจ้าแผ่นดินองค์เดียว และพระเจ้าแผ่นดินองค์นั้นก็คือข้า ออกญากลาโหมเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่สองหรือ ข้าไม่ยักรู้ เอาเถิดปล่อยให้มันและพวกพ้องกลับมาถึงราชสำนักก่อน แล้วข้าจะให้รางวัลในการกระทำของพวกมันอย่างเต็มที่”
ขุนนางคนหนึ่งซึ่งเฝ้าอยู่ในขณะนั้น ก็แอบลอบออกจากพระราชวัง ไปเตือนออกญากลาโหมถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นแก่ออกญาและพวกขุนนางอื่นๆ ออกญากลาโหมมีทีท่าวุ่นวายใจเมื่อทราบข่าว และกล่าวว่าเขายินดีที่จะตายถ้าหากเลือดเนื้อของเขาจะทำให้พระเจ้าแผ่นดินหายโกรธได้ แต่ได้กล่าวเพิ่มเติม ว่า “ถ้าหากข้าซึ่งเป็นคนมีชื่อเสียงที่สุดในบรรดาพวกเรา จะต้องสิ้นชีวิตลงแล้ว พวกเจ้าจะเป็นอย่างไร”
หลังจากนั้น พวกขุนนางก็เสนอความเห็นหลายประการ และสาบานว่าจะสนับสนุนออกญากลาโหมทุกประการ และลงมติว่าออกญากลาโหมจะได้รับการสนับสนุนจากกองทัพของพระเจ้าแผ่นดิน ( ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในมือของออกญากลาโหม ) และขุนนางแต่ละคนจะเกณฑ์สมัครพรรคพวกและข้าทาสเข้าร่วมด้วย เมื่อตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ต่างก็แยกย้ายกันกลับที่พักของตนพร้อมกับเริ่มดำเนินการตามแผน เย็นวันนั้น ออกญากลาโหมพร้อมกับทหารจำนวนหนึ่ง ก็ปรากฎตัว ณ ประตูกวาง พวกขุนนางก็เข้ารวมพวกด้วย และบุกเข้าไปในพระราชวังและสามารถยึดได้
เมื่อพระเจ้าแผ่นดินทราบข่าว ก็กระโดดขึ้นช้างตีนเร็ว ( fleet-footed-elephant ) หนีไปแต่ผู้เดียว ให้ว่ายน้ำข้ามแม่น้ำ และหนีต่อไปทางเหนือเมืองเจ็ดไมล์ เสด็จไปซ่อนพระองค์อยู่ในวัดร้างแห่งหนึ่ง เมื่อออกญากลาโหม ทราบข่าวว่าพระเจ้าแผ่นดินหลบซ่อนอยู่ในที่ใดแล้ว ก็ส่งทหารของตนออกไปจับพระองค์เป็นเชลย นำกลับมายังกรุงศรีอยุธยา
เมื่อมาถึง พวกขุนนางก็พิจารณาลงโทษประหารชีวิตพระองค์ ตามข้อแนะนำของออกญากลาโหม ผู้ซึ่งกล่าวว่า “เนื่องจากพระองค์ได้เสด็จหนีไปจากพระราชวังของพระองค์เอง ทรงละทิ้งมงกุฎและเกียรติยศของกษัตริย์ พระองค์ไม่สมควรที่จะปกครองพวกเราสืบไป” ทันใดนั้น พระองค์ก็ถูกคุมตัวไปยังป่าช้า สถานที่เดียวกับที่พระปิตุลาถูกประหาร และพระองค์ก็สิ้นพระชนม์แบบเดียวกันกับพระปิตุลา เสวยราชย์อยู่ ๘ เดือน
ในต้นรัชสมัยของพระองค์ มีช้างเผือกเชือกหนึ่ง เกิดในกรุงศรีอยุธยา ซึ่งโหรได้ทำนายไปต่าง ๆ นานา แต่ปรากฎว่าคำทำนายนั้นผิด เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นผิดไปจากคำทำนายอย่างสิ้นเชิง
พระองค์อาทิตยสุรวงศ์
( Prae Ongh Athit Soerae Wongh )
พระเจ้าแผ่นดินองค์ที่ ๒๔ แห่งสยาม
เสวยราชย์อยู่ ๓๘ วัน
ด้วยการเสนอแนะของออกญากลาโหม พระอนุชาของพระองค์เชษฐราชาซึ่งถูกประหารชีวิต ขึ้นเสวยราชสมบัติด้วยความเห็นชอบของขุนนาง ขณะที่ทรงมีพระชนมายุได้ ๑๐ พรรษา ทรงพระนามว่า พระองค์อาทิตยสุรวงศ์
ออกญากลาโหมได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ปกครองและผู้สำเร็จราชการ เนื่องจากพระเจ้าแผ่นดินทรงพระเยาว์ แต่ออกญากลาโหมไม่ต้องการที่จะรับหน้าที่ดังกล่าว อย่างไรก็ดี ออกญากลาโหมก็รับเป็นผู้สำเร็จราชการตามคำวิงวอนของขุนนาง ซึ่งกล่าวว่าออกญากลาโหม เป็นผู้สืบเชื้อสายโดยตรงจากพระเจ้าแผ่นดินที่ยิ่งใหญ่และยุติธรรม และเป็นลูกพี่ลูกน้องของพระเจ้าแผ่นดินองค์ปัจจุบัน ในที่สุดหลังจากที่ได้คัดค้าน ออกญากลาโหมก็ยอมรับเป็นผู้ปกครอง และได้มีการรับรู้ และประกาศให้ทราบทั่วกันโดยพระราชวงศ์
หลังจากพระเจ้าแผ่นดินขึ้นครองราชย์ได้หลายวัน ออกญากลาโหมต้องการจะสละตำแหน่งหน้าที่ โดยกล่าวว่า “เมื่อพระเจ้าแผ่นดินทรงบรรลุนิติภาวะแล้ว ไม่ว่าชีวิตหรือตำแหน่งหน้าที่การงานของข้าก็จะต้องไม่มั่นคง เพราะว่าย่อมจะมีทางเป็นไปได้ ที่บุคคลซึ่งไม่ใช่เพื่อนแท้ และพวกปากหอยปากปู ย่อมจะกล่าวร้ายป้ายสีการกระทำของข้า ทำให้ข้ามีมลทิน ซึ่งย่อมจะทำให้พระเจ้าแผ่นดินพิโรธ” และกล่าวเพิ่มเติมว่า ไม่เป็นการถูกต้องนัก ที่อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่นี้จะปกครองโดยพระเจ้าแผ่นดินที่เยาว์วัย ด้วยเหตุผลต่าง ๆ จึงพิจารณาว่า ควรจะมีพระเจ้าแผ่นดินปกครองเป็นการชั่วคราวก่อนที่เจ้าชายองค์น้อยนี้จะบรรลุนิติภาวะ และทรงสามารถปกครองได้ด้วยพระองค์เอง เมื่อถึงเวลานั้น พระเจ้าแผ่นดินชั่วคราวจะต้องถวายราชสมบัติคืนแก่รัชทายาทที่ถูกต้อง ในตอนนี้เจ้าชายจะต้องอยู่ในความดูแลของพระสงฆ์เพื่อจะได้เรียนรู้หลักธรรม
หลังจากได้พิจารณาข้อเสนอของออกญากลาโหมแล้ว ก็ไม่สามารถจะตกลงให้สละตำแหน่งหน้าที่ได้ แต่ต้องสถาปนาออกญากลาโหมขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ตามเงื่อนใขที่ออกญาวางไว้เอง แต่อย่างไรก็ดี ออกญากลาโหมก็ไม่ต้องการรับมงกุฎ แต่ในที่สุดก็ยินยอมรับตามคำอ้อนวอนและขอร้องของบุคคลทุกชั้น
สองสามวันหลังจากที่ได้สถาปนาเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ออกญากลาโหมก็ทรงเสนอต่อขุนนาง ว่าที่จะให้เจ้าชายปกครองพระราชอาณาจักรร่วม ไม่สามารถจะยอมได้ การจำกัดอำนาจดังกล่าวจะเกิดผลอันตรายเพราะว่าเมื่อเจ้าชายมีพระราชอำนาจเต็มที่แล้ว อาจจะไม่ไว้ใจออกญากลาโหมโดยการยุยงของผู้อื่น และจะคอยจับผิดเพื่อติเตียนออกญากลาโหมในด้านการปกครอง และดังนั้นจะเป็นอันตรายต่อออกญากลาโหมเป็นอย่างมาก ดังนั้น ออกญากลาโหมจึงไม่ขอรับมงกุฏ หรือภาระหน้าที่การปกครอง
คณะขุนนางไม่สามารถจะปล่อยให้เป็นไปดังกล่าวได้ แต่เพื่อรักษาชีวิต และตำแหน่งของพวกเขาเหล่านั้น และเพื่อให้อาณาจักรมีการปกครองที่ถูกต้อง คือมีพระเจ้าแผ่นดินองค์เดียว ไม่ใช่สององค์ ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดคือกำจัดเจ้าชายองค์น้อยเสีย แต่พระเจ้าแผ่นดินชั่วคราวไม่ทรงปรารถนาให้ทำเช่นนั้น มีดำรัสว่าเจ้าชายเป็นผู้บริสุทธิ์ มิได้ทรงทำผิดอะไร ก็ไม่สมควรที่จะต้องเสียเลือดเนื้อ
แต่พวกขุนนางคะยั้นคะยอให้ทำ
ในที่สุดก็ทรงยินยอมที่จะให้ประหารชีวิตเจ้าชาย ด้วยวิธีเดียวกับพระเชษฐาและพระปิตุลา ซึ่งเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ถูกต้องตามกฎหมาย ทรงมีกระแสรับสั่งให้นำเจ้าชายไปจากโรงเรียน แล้วนำไปสู่ป่าช้าที่เงียบเหงา ซึ่งเจ้าชายองค์น้อยก็ถูกทุบด้วยท่อนจันทน์ที่พระอุระ และโยนลงบ่อดังเช่นพระเชษฐาและพระปิตุลา พระองค์เสวยราชย์อยู่ ๓๘ วัน
พระองค์ศรีธรรมราชาธิราช /
พระเจ้าปราสาททอง
( Prae Onghsrij d’Harmae Roateial Thieraija )
พระเจ้าแผ่นดินองค์ที่ ๒๕ แห่งสยาม
เสวยราชย์อยู่ ๑๑ ปี
เมื่อเจ้าชายองค์น้อยสิ้นพระชนม์ ออกญากลาโหมพระเจ้าแผ่นดินชั่วคราว ( ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว ) ก็ได้ประกาศตนเป็นพระเจ้าแผ่นดินแต่ผู้เดียวในอาณาจักรสยาม ทรงครองราชย์เมื่อพระชนมายุได้ ๓๐ พรรษา ทรงพระนามว่า พระองค์ศรีธรรมราชาธิราช
พระเจ้าแผ่นดินองค์นี้ทรงเกี่ยวดองเป็นญาติที่ใกล้ชิดกับพระเจ้าแผ่นดินสองพระองค์ซึ่งถูกสำเร็จโทษ เนื่องจากพระราชบิดาของพระเจ้าแผ่นดินซึ่งถูกสำเร็จโทษ และพระองค์เอง เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน พระราชมารดาของพระอินทราชาและพระราชบิดาของพระองค์ เป็นพี่น้องร่วมท้องกัน
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าสายเลือดจะเข้มข้นหรือไม่ ผู้ที่รู้ดีเท่านั้นที่อาจจะตัดสินได้ พระเจ้าแผ่นดินองค์ปัจจุบัน ทรงเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งทศพิธราชธรรมเมื่อเริ่มปกครอง และทรงมีเมตตากรุณาต่อขุนนางและข้าราชบริพาร พระองค์ทรงมีวิจารณญษณ ถ้าหากมีผู้มาร้องทุกข์ต่อพระองค์ จะไม่ทรงลงโทษ หรือ ตัดสินผู้ถูกกล่าวหาอย่างทันทีทันใด แต่จะแต่งตั้งคณะเจ้าหน้าที่ผู้เป็นกลางสอบสวนข้อพิพาทเหล่านั้น พร้อมทั้งมีกระแสรับสั่ง ว่าผู้สอบสวนจะต้องไม่เอนเอียงในการสอบสวนไปข้างบุคคลหนึ่งบุคคลใด แต่ให้เป็นไปตามเทพยดา พระเจ้าแผ่นดิน และความยุติธรรม
เป็นที่น่าเสียดาย ว่าความประพฤติผิดในกาม และความหยิ่งยโสของพระองค์ ทำลายธรรมชาติที่ดี และความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นของพระองค์ ยิ่งพระองค์มีอำนาจมากเท่าไร พระองค์ยิ่งตัดสินพระทัยเร็วขึ้นมากเท่านั้น
ในต้นรัชสมัยของพระองค์ ทรงทำสงครามกับลำปาง ( เมืองชายแดนระหว่างล้านช้างและนครศรีธรรมราช ) ซึ่งแข็งเมืองเมื่อมีเรื่องยุ่งในเมืองหลวง อย่างไรก็ตาม ทรงรบชนะลำปางและรวมเข้าอยู่ในอาณาจักรได้อีกครั้งหนึ่ง ทรงขับไล่ชาวญี่ปุ่น ซึ่งอาศัยอยู่ในสยาม และเคยช่วยเหลือพระองค์ในระหว่างล้มล้างราชบัลลังก์ แต่ก็ทรงเรียกกลับต่อมาไม่ช้า
ทรงปฎิบัติต่อชาวโปรตุเกสอย่างศัตรู เหมือนดังว่าพวกเขาเป็นเชลย อย่างไรก็ดี หลังจากนั้นก็ทรงส่งคณะฑูตไปยังมะละกา มีราชสาส์นไปยังมะนิลา ทรงเสนอสัญญาไมตรีต่อโปรตุเกสและสเปน ทรงปรองดองกับโปรตุเกสอีกครั้งหนึ่ง แต่ไม่ได้รับคำตอบจากมะนิลา ทรงส่งคณะฑูตไปเฝ้าพระเจ้าแผ่นดินเมืองอัตเจ และยะไข่ เพื่อเสริมพระราชไมตรีให้แน่นแฟ้น พระเจ้าแผ่นดินเหล่านี้ โดยเฉพาะพระเจ้าแผ่นดินอัตเจ ไม่ได้ตัดพระราชไมตรีแต่ต่อมาก็พิสูจน์ได้ว่าสัมพันธไมตรีนั้นเป็นเพียงแค่คำพูด ไม่ได้มีไมตรีจริงจังเลย
อาณาจักรปัตตานีปฎิเสธที่จะส่งเครื่องราชบรรณาการ ดังนั้นในปีที่ห้าแห่งรัชกาล ทรงส่งแสนยานุภาพไปที่นั่น แต่กลับถูกตีแตกมา พระองค์จึงทรงให้ซ่อมแซมเรือรบ และสร้างใหม่อีกหลายลำ เพื่อไปโจมตีปัตตานีอีกครั้งหนึ่งแต่ด้วยการไกล่เกลี่ยของผู้ครองรัฐเคดาห์และพระสงฆ์ชาวสยาม ในที่สุดก็มีสัญญาทางพระราชไมตรี และยุติสงคราม
ในปีที่สามแห่งรัชกาล ทรงประหารชีวิตเจ้าชายสองพระองค์ องค์หนึ่งพระชนมายุ ๗ พรรษา อีกองค์หนึ่ง ๕ พรรษา ทั้งสองพระองค์เป็นโอรสของพระอินทราและอนุชาของพระเจ้าแผ่นดินซึ่งถูกปลงพระชนม์ บรรดาขุนนางที่คัดค้านการกระทำนี้ ถูกทำร้ายด้วยน้ำมือของพระองค์เอง และที่พักอาศัยรวมทั้งทรัพย์สมบัติต่าง ๆ ก็ถูกริบราชบาตร
ในปีที่สามแห่งรัชกาลนี่เอง ที่ยอดปราสาททองนพธาตุหักลงมาโดยปราศจากลมพายุพัดหรือถูกฟ้าผ่า ทรงให้ปฎิสังขรณ์ให้ตั้งตรงดังเดิมทันที แต่ก่อนที่งานบูรณะจะสำเร็จ นั่งร้าน ( ซึ่งทำด้วยไม้ไผ่อย่างแข็งแรงและทนทาน ) ก็พังลงมาอย่างไม่คาดฝันระหว่างที่เกิดพายุใหญ่ การนี้เป็นลางบอกเหตุ ซึ่งพวกโหรต่างก็เก็บคำทำนายไว้เป็นความลับ
ปีที่สีแห่งรัชกาล ช้างเผือกซึ่งเกิดในสมัยพระเจ้าแผ่นดินผู้ทรงพระเยาว์ได้ล้มลง ในปีเดียวกันช้างซึ่งมีหางเป็นวงได้เกิดที่บริเวณนอกกรุงศรีอยุธยา มีนิยายมากมายเกี่ยวกับการล้มของช้างเผือกและการเกิดช้างหางกลม แต่ก็เป็นเรื่องเกินความจริงทั้งนั้น ดังนั้นข้าพเจ้าจึงไม่ขอกล่าวถึง
ในปีที่เจ็ดแห่งรัชกาล ทรงสั่งประหารชีวิตออกญาพิษณุโลกด้วยสาเหตุที่ทรงสร้างขึ้นเอง ถึงแม้ว่าออกญาพิษณุโลกเป็นผู้ช่วยเหลือพระองค์ให้ได้ขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าแผ่นดิน
ทรงมีพระชนมายุอยู่จนถึง จุลศักราช ๑๐๐๐ ซึ่งถือว่าเป็นปีที่นำโชคชัยมาให้มหาศาล ทรงจัดให้มีพิธีฉลองแบบเก่า ซึ่งนำเข้ามาในกรุงศรีอยุธยาโดยพระเจ้ารามาธิบดีพระเจ้าแผ่นดินผู้ประสบแต่โชคชัย พิธีนี้เป็นที่เคารพนับถือของบรรดาขุนนางและพระสงฆ์อย่างมาก พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์องค์แรกที่ปฎิบัติต่อขุนนางเยี่ยงทาส ขุนนางจะต้องเข้าเฝ้าทุกวัน และอนุญาตให้ไปเยี่ยมเยียนซึ่งกันและกันตามบ้านหรือที่รโหฐานได้ แต่ไม่อนุญาตให้พูดกัน เว้นแต่ในที่สาธารณะ
กล่าวกันว่าพระองค์ให้สร้างกำแพงเมืองใหม่ทั้งหมด รวมทั้งพระราชวังและเมืองก็ได้รับการแก้ไขอย่างมากมาย ทรงสร้างและปฎิสังขรณ์วัด หอคอย และเจดีย์หลายแห่ง มากกว่าพระเจ้าแผ่นดินทุกพระองค์ ก่อนที่จะยุติเรื่องราวของพระองค์ ข้าพเจ้าขอกล่าวเรื่องราวส่วนพระองค์อย่างสั้น ๆ
พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินนักรบแบบชาวสยาม มีโวหารที่ผูกไมตรี เคร่งศาสนา และอุทิศพระองค์ให้แก่การศาสนา ทรงนิยมพระสงฆ์และนักปราชญ์เป็นอันมาก ทรงนิยมชาวต่างประเทศ และเพื่อทำให้ชาวต่างประเทศประทับใจในพระองค์ ทรงแบ่งเบาภาระชาวต่างประเทศหลายประการ และทรงปรับปรุงแก้ไขระเบียบที่พระเจ้าแผ่นดินองค์ที่สิบเอ็ดนำมาใช้ และใช้ต่อมาในรัชสมัยพระเจ้าแผ่นดินองค์ที่ยี่สิบเอ็ด แต่ทรงหยิ่งผยอง มีชื่อเสียงขจรไกล ทรงฉลองพระองค์สวยงาม มีสีฉูดฉาด และถึงแม้จะทรงตัดสินพระทัยอย่างรวดเร็ว แต่ก็ทรงสามารถเปลี่ยนความโกรธเป็นความเมตตาได้รวดเร็วเหมือนกัน ดังนั้นจึงมีบุคคลเพียงสองสามคนเท่านั้นที่ถูกประหารชีวิตตามกฎหมาย
พระองค์ทรงเสวยน้ำจัณฑ์มากเกินไป เมื่อขึ้นครองราชย์แล้วพระองค์ได้พระมารดาและพระขนิษฐาของพระมเหสีเป็นพระสนม พระองค์ทรงมีพระราชโอรสและธิดากับพระมเหสีพระสนมทั้งสามพระองค์ พระองค์เป็นที่เกรงกลัวของบุคคลทั่วไปมากกว่าพระเจ้าแผ่นดินองค์ก่อน ๆ เสมอ พระองค์ทรงโลภมากกว่าพระเจ้าแผ่นดินองค์อื่น ๆ ทรงให้รื้อฐานวัดเพื่อจะขุดหาของและเงินที่ฝังไว้
พระเจ้าแผ่นดินองค์ที่ทรงพระนามว่าหน่อพุทธากูร ( Noophout Thae Coun ) ได้นำวิธีปฎิบัติที่ว่าเมื่อขุนนางสิ้นชีวิตลง จะต้องจ่ายทองหนักหนึ่งบาทต่อที่ดินทุก ๆ สิบไร่ และพระอนุชาธิราชพระราเมศวร ก็ได้ใช้วิธีที่ว่าเมื่อขุนนางสิ้นชีวิตลง หนึ่งในสามของสมบัติส่วนตัว จะต้องตกเป็นของพระเจ้าแผ่นดิน แต่พระเจ้าแผ่นดินองค์นี้ทรงต้องการทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าหากขุนนางสิ้นชีวิตลง ภรรยาจะถูกควบคุมตัว
ขุนนางจะลอบสังเกตซึ่งกันและกันว่าใครซ่อนสมบัติไว้บ้าง หญิงหม้ายและเด็กกำพร้าจะแสดงความรู้สึกสำนึกบุญคุณอย่างล้นพ้นเมื่อพระเจ้าแผ่นดินทรงหยิบยื่นพระทรัพย์สมบัติซึ่งเป็นของตนเองให้บ้างเพียงเล็กน้อย ปรากฎว่าพระเจ้าแผ่นดินไม่ทรงคิดเลยว่าพระองค์มีฐานะร่ำรวยจนกว่าพระองค์จะสามารถรวบรวมทรัพย์สมบัติเข้าท้องพระคลังได้หมด และรีดเงินจากชุมนุมชนได้ทั้งหมดด้วย
ข้าพเจ้าได้กล่าวเมื่อเร็ว ๆ นี้ ว่าพระชัยราชา พระเจ้าแผ่นดินองค์ที่สิบสี่แห่งสยามได้สร้างวัดพระชีเชียง ซึ่งมีเหตุมหัศจรรย์ปรากฎขึ้นเสมอ ๆ เนื่องจากเป็นเรื่องนิยายเกินไป ข้าพเจ้าจึงไม่ขอกล่าว ณ ที่นี้
ครั้งหนึ่ง วัดแห่งนี้เป็นวัดที่ใหญ่ที่สุดในพระราชอาณาจักร แต่ได้ถูกฟ้าผ่า และพายุพัดหักลงมาตลอดเวลา พระเจ้าแผ่นดินหลายพระองค์ได้ทรงปฎิสังขรณ์วัดแห่งนี้ แต่เมื่อไรก็ตามที่เร่งงานก็ต้องล้มเลิกไปกลางคัน เพราะว่าผู้ควบคุมและคนงานเกิดเจ็บป่วยและสิ้นชีวิตอย่างน่าสังเวช
กล่าวกันว่าพราหมณ์และพระสงฆ์ได้ทำนายไว้ ว่าผู้ที่จะบูรณะวัดนี้ได้ ต้องเป็นพระเจ้าแผ่นดินซึ่งสืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์เก่าอย่างบริสุทธิ์ เมื่อสองสามเดือนที่แล้ว พระองค์ศรีธรรมราชาธิราชได้ทรงให้รื้อวัดจนถึงฐาน และทรงย้ายรูปหล่อทองแดงซึ่งประดิษฐานอยู่ ณ ที่นั้นออกไปไกลหลายวา เพื่อว่าจะสร้างวัดใหม่ ณ ที่ประดิษฐรูปหล่อทองแดง
ประชาชนต่างมีความเห็นในการสร้างวัดนี้ต่าง ๆ กัน มีหลายคนที่เห็นว่าพระเจ้าแผ่นดินจะทรงสามารถทำงานนี้ได้สำเร็จ ด้วยเหตุที่ว่าพระองค์ทรงเหมือนพระเจ้าแผ่นดินผู้แรกสร้างกรุงศรีอยุธยาหลายด้าน ซึ่งเหตุผลนี้ก็เป็นที่ยอมรับกัน แต่ชาวสยามก็ไม่ได้มีความเห็นเช่นนั้นทั้งหมด เนื่องจากผู้สร้างวัดนี้เป็นคนแรกที่ฆ่าพระเจ้าแผ่นดินซึ่งมีพระชนม์พรรษาเพียง ๕ ปี ( หลังจากได้ครองราชย์อยู่ ๕ เดือน ) และชิงราชบัลลังก์
อย่างไรก็ดี พวกพราหมณ์กล่าวว่าได้เห็นปรากฎการณ์บนสวรรค์ ซึ่งระบุว่าพระเจ้าแผ่นดินจะสร้างวัดใหม่ไม่สำเร็จ และจะทรงสวรรคตก่อนที่งานจะสำเร็จ เนื่องจากสาเหตุที่พระเจ้าแผ่นดินไม่ทรงสร้างวัดด้วยเจตนาบริสุทธิ์ แต่พระองค์ทรงหวังว่าจะได้พบทรัพย์สมบัติล้ำค่าในการทำลายรื้อวัดเก่า แต่ใครเล่าจะสามารถบอกความจริงได้นอกจากกาลเวลา
ในขณะนี้ พระเจ้าแผ่นดินทรงครองราชย์ได้ ๑๐ ปี ๗ เดือนแล้วแต่รัชสมัยของพระองค์ไม่เจริญรุ่งเรือง กลับมีแต่ความยุ่งยากตลอดเวลาแลโหรกล่าวว่าเหตุการณ์จะดำเนินต่อไปเช่นนี้จนกว่าพระองค์จะสิ้นพระชนม์
ข้าแต่ ฯพณฯ ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่จะเขียนพรรณาเช่นการเจ็บป่วยของพระเจ้าแผ่นดินผู้ยิ่งใหญ่ ( พระอินทราชา ) การเนรเทศเจ้าชายพระอนุชาของพระเจ้าแผ่นดิน การสืบสันตติวงศ์ และการสิ้นพระชนม์ของพระเจ้าแผ่นดินผู้ทรงพระเยาว์ รวมทั้งการชิงราชบัลลังก์
ระหว่างที่ข้าพเจ้าอยู่ ณ ที่นี้ ก็ได้สืบสวนเกือบทุก ๆ ด้าน และได้บันทึกลงในกระดาษ แต่เมื่อพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว ก็ทำให้ข้าพเจ้าไม่สามารถเขียนเรื่องราวให้สำเร็จสมบูรณ์ได้
อย่างไรก็ตาม ขอให้ข้าพเจ้าได้ประทานเสนอบันทึกนี้ ซึ่งถือว่าเป็นบทนำฉบับนี้แก่ ฯณฯ ถ้าหากข้าพเจ้าผู้ต่ำต้อยจะสามารถทำให้ ฯณฯ พอใจกับผลงานที่ไร้ค่านี้แล้ว ข้าพเจ้าจะฉลองพระกรุณาธิคุณเขียนบันทึกประมวลเหตุการณ์ต่าง ๆ ให้สั้นเข้า และถูกต้องตามความเป็นจริงทีสุด แต่ในระหว่างนี้ข้าพเจ้าขอความกรุณา ฯพณฯ ให้รับบันทึกฉบับนี้จากข้าฯ ผู้รับใช้ไว้พจารณาก่อน
กรุงศรีอยุธยาราชอาณาจักรสยาม วันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๑๘๒ ( ค.ศ. ๑๖๔๐ )
จากผู้รับใช้
เยเรเมียส วันวลิต
ที่มา : พระเจ้าปราสาททองในเอกสารวันวลิต โดย.ขุนนางอยุธยา
ปล.การเน้นข้อความเปนการทำไปตามความเห็นของผู้จัดเก็บบทความ
เพิ่มเติม : ข้อมูลของ นายวัน วลิต
"นายวัน วลิต" นั้น แกมีชื่อตามเอกสารฮอลันดาว่า "Jeremias Van Vliet" (เยเรเมียส ฟอน ฟลีต แต่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเรียกให้คุ้นหูคนไทยว่า "วัน วลิต") เป็นเจ้าหน้าที่ของห้างค้าขายของฮอลันดาชื่อ บริษัท อีสต์ อินเดีย เคยถูกส่งตัวไปทำงานที่ชวา และญี่ปุ่น แล้วจึงได้เข้ามาทำงานของห้างที่กรุงศรีอยุธยาใน พ.ศ. ๒๑๗๖ ในแผ่นดินพระเจ้าปราสาททอง
วัน วลิต อยู่ ณ กรุงศรีอยุธยาจนถึง พ.ศ. ๒๑๘๕ เป็นเวลานานพอสมควรที่จะรู้หนังสือไทยและพูดภาษาไทยได้คล่อง เพราะฝรั่งสมัยนั้นมักจะมีเมียไทย
วัน วลิต ออกจากกรุงศรีอยุธยาไปรับตำแหน่งที่สูงกว่าเดิม คือไปเป็นผู้ว่าราชการเมืองมะละกา ซึ่งสมัยนั้นเป็นอาณานิคมของฮอลันดา ก่อนไป วัน วลิต ได้ถวายเด็กฮอลันดาไว้เป็นมหาดเล็กพระเจ้าปราสาททอง ๔ คน เด็ก ๔ คนนี้ต่อมาจะเป็นตายร้ายดีประการใดไม่ปรากฏ
ในขณะที่อยู่เมืองไทยนั้น วัน วลิตได้เขียนหนังสือไว้หลายเรื่อง เรื่องแรกที่เขียนนั้นได้เขียนในปีที่มาถึงกรุงศรีอยุธยา คือ Description of the Kingdom of Siam (การพรรณนาเรื่องราชอาณาจักรสยาม)
เรื่องที่สองคือเรื่อง The Short History of the Kings of Siam (พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาโดยสังเขป) ซึ่งเขียนขึ้นในต้นปี พ.ศ. ๒๑๘๓
และในปลายปีเดียวกันนั้น ก็ได้เขียนหนังสือขึ้นอีกเล่มหนึ่งชื่อ The Historical Account of the War of Succession following the death of King Pra Interajatsia, 22nd King of Ayuthian Dynasty (รายงานทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับสงครามสืบราชสมบัติหลังจากสมเด็จพระอินทรราชา พระเจ้าแผ่นดินองค์ที่ ๒๒ แห่งกรุงศรีอยุธยา
หนังสือเล่มแรกได้แปลเป็นภาษาไทยนานแล้ว ส่วนหนังสือเล่มหลัง อาจารย์นันทา วรเนติวงศ์ ศ.บ. (โบราณคดี) แห่งแผนกแปลและเรียบเรียง กองวรรณคดีและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร ได้แปลขึ้นใน พ.ศ. ๒๕๐๗ และจัดพิมพ์เผยแพร่แล้วในประชุมพงศาวดารภาคที่ ๗๙
สำหรับเล่มที่คุณหงสาวดีอ่านนั้นน่าจะเป็นเล่มที่สอง ซึ่งสยามสมาคมได้เคยจัดพิมพ์ขึ้นเป็นครั้งแรกสองภาษา คือภาษาฮอลันดา (ต้นฉบับเดิม) กับภาษาอังกฤษ (ซึ่งเป็นคำแปล) โดยมีผู้แปลเป็นภาษาไทยคือ "วนาศรี สามเสน" โดยมี ศาสตราจารย์ ดร. ประเสริฐ ณ นคร เป็นผู้ตรวจ สำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้พิมพ์จำหน่าย ก่อนหน้านี้มีผู้แปลคือ ม.ร.ว. ศุภวัธน์ เกษมศรี แต่ได้พิมพ์ในจำนวนจำกัด
พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาโดยสังเขปนี้เขียนขึ้นใน พ.ศ. ๒๑๘๓ ก่อนพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ถึง ๔๐ ปี จึงนับเป็นพระราชพงศาวดารที่เก่าที่สุดที่เราค้นพบถึงปัจจุบันนี้
โดยการเขียนพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาของวัน วลิต ได้อ้างว่าได้ค้นจากจดหมายเหตุเก่า ๆ บ้าง และได้สอบถามเรื่องราวจากคนไทยบ้าง มีลักษณะเหมือนพระราชพงศาวดารฉบับอื่น ๆ อยู่อย่างหนึ่ง คือ เหตุการณ์ต่าง ๆ ตั้งแต่สร้างกรุงลงมาได้จดบันทึกไว้แต่สั้น ๆ โดยสังเขปทุกรัชกาล แต่มาเริ่มมีรายละเอียดพิสดารตั้งแต่แผ่นดินสมเด็จพระมหาจักรพรรดิลงมา น่าสังเกตุว่า เรื่องของ "สมเด็จพระสุริโยทัย" ที่พระราชพงศาวดารฉบับ วัน วลิต ไม่มี คงมีแต่ "พระสุวัฒน์" (Prae Souwat) ที่ทรงเป็น "แม่ยาย" ของสมเด็จพระมหาธรรมราชา หรือขุนพิเรนทรเทพ
การสอบถามเรื่องราวจากคนไทยนั้น วัน วลิต คงจะถามจากคนที่มีอายุ และพระสงฆ์ที่รู้เหตุการณ์ และที่สำคัญก็คือ วัน วลิต ได้เขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นหลังสมเด็จพระนเรศ (Phra Naresr ลงพิมพ์ในสมุดไทยว่า Phas Narit) เสด็จสวรรคตแล้วเพียง ๔๕ ถึง ๕๐ ปีเท่านั้น ดังนั้น เหตุการณ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับพระนเรศราชาธิราชจึงคงจะอยู่ในความทรงจำของคนทั่วไปอยู่
ด้วยเหตุนี้ นักวิชาการประวัติศาสตร์ในปัจจุบันจึงได้ยกย่องพระราชพงศาวดารฯ ของวัน วลิต ว่าเป็น "เอกสารชั้นต้น" เนื่องจากเป็นการจดบันทึกที่ใกล้เคียงกับเหตุการณ์มากที่สุด (เท่าที่ค้นได้ในขณะนี้) และตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องในรัชสมัยสมเด็จพระนเรศยังคงมีชีวิตอยู่จนวัน วลิต สามารถบันทึกเรื่องราวจากปากคำได้อย่างมีเหตุผล ส่วนพระราชพงศาวดารที่มีการชำระในภายหลังจัดเป็น "เอกสารชั้นรอง" ซึ่งนักวิชาการประวัติศาสตร์ปัจจุบันถือว่ามีความน่าเชื่อถือในหลักวิชาการของข้อมูลน้อยกว่า
ข้อมูลอ้างอิง
๑. หนังสือ "กฤษฎาภินิหาร อันบดบังมิได้" โดย ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช, กรุงเทพฯ, ๒๕๑๙.
๒. หนังสือ "การเมืองเรื่อง พระสุริโยทัย" โดย อาจารย์เทพมนตรี ลิมปพยอม, นนทบุรี, ๒๕๔๔.
โดย.วศินสุข
ที่มา : pantip.com : ห้องสมุด
ผู้จัดเก็บบทความ
เจ้าน้อย ณ สยาม
ที่
1:08 ก่อนเที่ยง
0
ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: พงศาวดาร