แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ บทสัมภาษณ์ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ บทสัมภาษณ์ แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

ขบวนการ 14 ตุลา กับ พคท.


หมายเหตุ:
ข้างล่างนี้ เป็นบทสัมภาษณ์ของผมเกี่ยวกับขบวนการ 14 ตุลา โดยเฉพาะในประเด็นความสัมพันธ์กับ พคท. บทสัมภาษณ์นี้ตีพิมพ์ครั้งแรก ใน เนชั่นสุดสัปดาห์ ปีที่ 9 ฉบับ 437 วันที่ 16-22 ตุลาคม 2543 (4 ปีก่อน) ในการตีพิมพ์ครั้งนั้น ผู้สัมภาษณ์ คือ คุณ ชูวัส ฤกษ์ศิริสุข ได้เรียบเรียงใหม่ ในลักษณะกึ่งรายงาน-บทความ (คือ บางตอนเป็น direct quotations บางตอน ก็เป็นการเขียนสรุปของ คุณชูวัส เอง) แล้วตั้งชื่อว่า “แลไปข้างหลัง 2516-2619 ขบวนการนักศึกษากับซ้ายไทย” เนื่องจากผมไม่มีโอกาสตรวจทานก่อนตีพิมพ์ (ซึ่งเป็นปกติของการสัมภาษณ์แบบนี้) จึงมีบางตอน ที่ข้อความ คาดเคลื่อนไป ผมได้แก้ไขและนำมาเผยแพร่ซ้ำในที่นี้ ก็เพราะเห็นว่า อาจจะมีความน่าสนใจ นอกจากนี้ สำหรับผู้ที่สนใจในเชิง “ประวัติศาสตร์นิพนธ์” ของการอธิบาย 14 ตุลา ในการสัมภาษณ์นี้ ผมได้เสนอไอเดีย 2 อย่าง

(1) การอธิบาย 14 ตุลา เราต้องมองว่า มีกระแสความคิดหลายกระแส (ที่บางส่วนขัดแย้งกัน) ในขบวนการนักศึกษาก่อน 14 ตุลา (ไม่ใช่เพียงมองว่า แบ่งเป็น “ศูนย์นิสิต” กับ “กลุ่มอิสระ” อย่างที่เคยพูดกันก่อนหน้านั้น) เหตุการณ์ 14 ตุลา เป็นการบรรจบร่วมกันของกระแสความคิดเหล่านี้ ไอเดียนี้ ผมสรุปขึ้นในช่วงระหว่างที่ทำวิทยานิพนธ์ (ปลายทศวรรษ 2520) และได้นำเสนอบางส่วนในบทนำของวิทยานิพนธ์นั้น (2535) หลังจากนั้น ก็ได้นำเสนอในการบรรยายในที่ต่าง ๆ เรื่อยมา โดยเฉพาะในระหว่างการสอนที่ธรรมศาสตร์ตั้งแต่ปี 2536 เป็นต้นมา บทสัมภาษณ์ในปี 2543 ชิ้นนี้ เพิ่งเป็นครั้งเดียวที่ผมมีโอกาสนำเสนอในลักษณะเป็นสาธารณะ ผมได้แต่หวังว่าในอนาคต อันใกล้จะมีเวลามากพอจะเรียบเรียง เรื่องนี้ขึ้นเป็นงานเขียนขนาดยาวได้

(2) ความเปลี่ยนแปลงของปัญญาชนไทยที่เติบโตขึ้นจาก 14 ตุลา ในระยะตั้งแต่ปลายทศวรรษ 2530 เป็นต้นมา โดยเฉพาะในการหันไปยอมรับ สถาบันกษัตริย์ ผมคิดเรื่องนี้อย่างจริงจังประมาณ 2-3 ปีก่อนหน้าการสัมภาษณ์นี้ คือ ในช่วงประมาณปี 2540 ความจริง ตอนให้สัมภาษณ์ ผมได้ขอให้เป็นการ "คุยให้ฟังเฉย ๆ ไม่ต้องไปตีพิมพ์" เพราะในปี 2543 นั้นการพูดถึงสถาบันกษัตริย์ตรง ๆ ยังไม่ใช่เรื่องที่ทำกันบ่อยนัก (แม้ผมจะได้บรรยายในห้องเรียนและในวงอภิปรายต่าง ๆ เป็นประจำ) แต่คุณชูวัส คงจำที่ขอไม่ได้ จึงนำไปเรียบเรียงลงพิมพ์สั้น ๆ ในตอนท้ายรายงาน (ผมพูดจริง ๆ ยาวกว่านี้) ซึ่งเมื่อมองย้อนหลังไป ผมก็ได้แต่ต้องขอบคุณ (สำหรับเรื่องนี้ ผมได้เขียนเพิ่มเติมไว้ใน "ชัยชนะของปัญญาชน 14 ตุลา" ที่เคยเผยแพร่ไปก่อนหน้านี้)


............................................


เศรษฐกิจสังคมไทยจะฟื้นหรือไม่ฟื้น ยังเป็นเรื่องถกเถียงกันอยู่ ทว่า ความเคลื่อนไหวของกลุ่มองค์กรภาคประชาชนที่คึกคักกันอยู่ในเวลานี้บ่งบอกอะไรไม่น้อยต่อกระบวนการฟื้นฟูเศรษฐกิจ จนมีบางคนบอกว่า สังคมนิยมจะกลับมา และนั่นทำให้เราแสวงหาโอกาสพูดคุยกับ ดร.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์ประจำสาขาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หนึ่งในผู้นำนักศึกษาเดือนตุลาเพื่อค้นหารากและที่มาของความคิดที่กำลังเบ่งบานหลากหลายในสังคมไทยขณะนี้ รวมทั้งเพื่อร่วมชำระประวัติศาสตร์ 6 ตุลาคม 2519 อีกทางด้วย

เราเริ่มคำถามแรกจากคำกล่าวว่า เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เป็นอุบัติเหตุ เพื่อหารอยความคิดรอยต่างๆ ก่อนที่ อ.สมศักดิ์ จะอธิบายว่า "ที่ว่าเหตุการณ์ 14 ตุลาคม เป็นอุบัติเหตุนี่มองได้หลายแง่มุม เนื่องจากฝ่ายนักศึกษาไม่ได้วางแผน ไม่ได้ต้องการอำนาจรัฐ คนอื่นเลยได้ประโยชน์ไป นี่ก็เป็นอุบัติเหตุ วันที่ 14 ตอนเช้าที่ปะทะ นั่นก็คืออุบัติเหตุ เมื่อจอมพลถนอมต้องถูกไล่ออกไป ทำไมจอมพลถนอมจึงออกอาจจะเป็นปัญหาเรื่องการต่อรอง นั่นก็เป็นอุบัติเหตุ"

"กลุ่มคุณธีรยุทธ บุญมี ที่เคลื่อนไหวเรื่องรัฐธรรมนูญและกลุ่มในธรรมศาสตร์อย่างองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (อมธ.)หรือกลุ่มอิสระทั้งหลายก็เป็นคนละกลุ่ม คนละกระแสกัน นั่นคือ ก่อน 14 ตุลาฯ ขบวนการนักศึกษาไม่ได้มีความเป็นเอกภาพอะไรเลย มองในแง่นี้เหตุการณ์ 14 ตุลาก็เป็นอุบัติเหตุ ไม่เหมือนในช่วงหลังในปี 2518-2519 ที่การเคลื่อนไหวแต่ละครั้งจะมีการคุยกันมีการกำหนดจังหวะก้าว"


5 กระแส แต่ 1 เป้าหมาย ...

"กลุ่มเรียกร้องรัฐธรรมนูญของธีรยุทธ บุญมี โดนจับขึ้นมา แรกทีเดียวศูนย์นิสิตฯ จะไม่ทำอะไร เพียงแต่เสนอประเด็นเรียกร้องให้ขึ้นศาล โดยเร็วเพื่อสู้คดีกันในศาลเพราะวิธีคิดของเขาตอนนั้นคิดแบบเป็นทางการ ในขณะที่กลุ่มนักศึกษาจำนวนหนึ่ง บอกว่า อย่างนี้ไม่ได้ต้องประท้วง ก็เลยมีการหยุดเรียน หยุดสอบ ในแต่ละขั้นตอนเหล่านี้จึงต้องเรียกว่าเป็นไปเอง ไปจนกระทั่ง เหตุการณ์วันที่ 12-13 จนถึงเช้าวันที่ 14 แล้วก็เกิดการปะทะ" ต่อจากนั้น อ.สมศักดิ์ก็จำแนกกลุ่มและกระแสความคิดในช่วงนั้นว่า

"ความแตกต่างในขบวนการนักศึกษานั้น เราเคยแบ่งคร่าว ๆ ออกเป็นฝ่ายศูนย์นิสิตฯ กับกลุ่มอิสระ แต่ถ้าดูแล้วอาจจะแบ่งได้ถึง 5 กระแส ที่ผมเรียกว่าเป็นกระแสไม่ใช่เป็นกลุ่มเพราะถ้ามองเป็นกลุ่มก็ต้องคิดว่าคนนี้อยู่กลุ่มนี้ ไม่อยู่กลุ่มอื่นซึ่งไม่ใช่ แม้กระทั่งที่ผมพูดว่ามีความขัดแย้งระหว่างศูนย์ฯ กับกลุ่มอื่นๆ แต่ถึงที่สุด ก็คือ เพื่อนกัน เห็นหน้าเห็นตากันแต่วิธีคิดท่วงทำนองไม่เหมือนกันซึ่งคนหนึ่งอาจจะอยู่ในกระแสความคิด คือ ได้รับอิทธิพลด้านกระแสความคิด มากกว่าหนึ่งกระแสก็ได้ในความเห็นผมอาจจะนับได้ถึง 5 กระแส


"หนึ่ง ผมเรียกเองว่า กระแสวรรณกรรม-แสวงหา ไล่ตั้งแต่พระจันทร์เสี้ยวของสุชาติ สวัสดิ์ศรี วิทยากร เชียงกูล สุรชัย จันทิมาธร นิคม รายวา จรัล ดิษฐาอภิชัย กลุ่มสภาหน้าโดมยุคแรก (เสกสรรค์ มีพื้นฐานมาจากกระแสนี้) พวกนี้เขาโตขึ้นมาเอง ส่วนมากจะได้รับอิทธิพลจากฝรั่ง กระแสพวกฮิปปี้อะไรพวกนี้ เพราะพวกนี้ส่วนใหญ่จะอ่านภาษาอังกฤษกันได้"

"สอง คือ กระแสหลัก พวกนี้ไอเดีย ก็คือ เล่นการเมืองแบบเป็นทางการ แรก ๆ อาจจะคิดเรื่องการสังเกตการเลือกตั้ง ไปร่วมกับพรรคการเมือง อาจจะคิดในเชิงลงสมัครรับเลือกตั้ง คือ วิธีคิดแบบนี้กระแสแบบนี้ตอนหลังมันพัฒนาเป็นศูนย์นิสิตฯ สืบมาถึงธีรยุทธ บุญมี ถึง สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ ก็จัดอยู่ในกระแสนี้ แม้หลัง ๆ ธีรยุทธหรือสมบัติ อาจจะไม่ได้คิดเล่นการเมืองในลักษณะนั้น แต่หมายความว่า วิธีคิดมันเป็นวิธีคิดที่ทำอะไรเป็นทางการ ทำอะไรตามกรอบ ตามลู่ทาง"

"จุดที่สำคัญที่ผมคิดว่าเป็นจุดเปลี่ยน ก็คือ ตอนที่ธีรยุทธขึ้นมาเป็นเลขาศูนย์ กลางปี 15-16 ในแง่วิธีคิด ธีรยุทธอาจจะเป็นกระแสหลักจริง แต่ถ้าจะเทียบไปแล้ว ถ้าใช้ภาษาในยุคหลัง เขาซ้ายที่สุดในหมู่พวกกระแสหลัก และเขามีวิธีคิดที่มีความยืดหยุ่นที่สุดถ้าพูดอีกอย่าง ก็คือ เขาฉลาด เขา intelligent ที่สุดในพวกกระแสหลัก พอเขาขึ้นมาจับงานศูนย์นิสิตฯ เขาเลยทำให้ศูนย์ฯกลายมาเป็นกลุ่มต่อรองทางการเมืองทันทีด้วยการจับเรื่องการต่อต้านสินค้าญี่ปุ่น ก่อนหน้านี้ ศูนย์นิสิต ไม่มีอะไร ความจริงการต่อต้านสินค้าญี่ปุ่นนี่เริ่มจากที่มหาวิทยาลัยเกษตรฯ แต่อย่างที่บอกว่าธีรยุทธเป็นคนที่ฉลาดและจับสถานการณ์เก่ง เขาเลยมาจับเรื่องนี้ (ปัจจุบันก็อาจจะเห็นได้ในเรื่องโพลล์ เรื่องการออกมาให้สัมภาษณ์เป็นครั้ง ๆ ซึ่งเขาเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว คือ จับสถานการณ์เก่ง)"

"กระแสที่สาม เป็น กระแสกลุ่มอิสระ คือพวก "กลุ่มอิสระ" ที่เราเรียกกัน ได้แก่ สภาหน้าโดม กลุ่มโซตัสใหม่ นี่อยู่ในกระแสนี้ สภาหน้าโดมนี่มีสองระยะ ระยะแรกเป็นระยะแสวงหา (กระแสแรกสุดของผมข้างต้น) แต่ระยะหลังที่มี สมชาย หอมละออ เทียนชัย วงศ์ชัยสุวรรณ เข้ามา นี่จะเป็นอีกพวกหนึ่งแล้ว เป็นกระแสที่สามนี้ เพราะพวกนี้ทิศทางมันออกมาเป็นแบบซ้าย ๆ กว่าเพื่อน ซ้ายในลักษณะคนที่ไม่ชอบจะเรียกพวกนี้ว่าเป็นพวกสังคมนิยม แต่พวกนี้ก็ไม่ใช่สังคมนิยมแบบที่มีการจัดตั้งหรืออะไร"

"ถ้าเปรียบเทียบ กับพวกกระแสวรรณกรรมข้างต้นหลายคนจะมาทางซ้ายเหมือนกัน (เช่น เสกสรรค์) แต่มีความแตกต่างกันอยู่ พูดง่าย ๆ กระแสกลุ่มอิสระนี้เหมือนพวกนักปฏิบัติมากกว่า ถ้าดูตัวบุคคล ก็อย่างเช่น เกรียงกมล เลาหะไพโรจน์ ยุค ศรีอาริยะ (เทียนชัย วงศ์ชัยสุวรรณ) พวกนี้เป็นนักกิจกรรม ขณะที่พวกแรกจะเป็นพวกปัญญาชน นักคิด เป็นพวกนักอ่านหนังสือ"

"กระแสที่สี่ พวกเขาเรียกกันเองว่าเป็น กระแสเสรีนิยม คือ พวกที่คำนูณ สิทธิสมาน เล่าไว้ในหนังสือ "ประวัติศาสตร์ 14 ตุลา ฉบับสามัญชน" ในลักษณะเป็นตำนานว่า พวกนี้เป็นพวกที่ไปอุดรูกุญแจประตูหรือพวกที่ขึงผ้า "เอาประชาชนคืนมา" ตอนเริ่มชุมนุม 14 ตุลา คำนูญเขาหมายถึงกลุ่มนี้ เขาไม่ได้หมายถึงกลุ่มอิสระ คนที่อาจจะพอรู้จักชื่อก็เช่น วิจิตร ศรีสังข์ ผมเข้าใจว่าอาจารย์สังศิต พิริยะรังสรรค์ ก็อาจจะคลุกคลีอยู่กับกลุ่มนี้"

"กระแสสุดท้าย ที่ผมจัดไว้ก็คือกระแสพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย(พคท.) มีความเข้าใจผิดว่าพคท.นั้นมาทีหลังความจริง กระแสพคท.มีนักกิจกรรมร่วมอยู่ในขบวนการนักศึกษา ตั้งแต่ต้น อย่างเช่น กลุ่มสังเกตการณ์การเลือกตั้งปี 12 ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวครั้งแรกของนักศึกษา คนที่มีบทบาทมาก ๆ ในนั้น 1-2 คนเป็นคนของพคท. เป็นลูกหลานพคท. แล้วก็ทำหนังสือออกมาในนามกลุ่มสังเกตการณ์การเลือกตั้ง แล้วใส่พวกบทกวีซ้าย ๆ สมัยปี 2490 ลงไป หรือแม้กระทั่งกลุ่มอิสระต่าง ๆ ก่อน 14 ตุลา ก็มีแอคติวิสต์ของพคท.เข้าไปมีบทบาท กลุ่มผู้หญิง กลุ่มอะไรต่าง ๆ ในธรรมศาสตร์ที่ร่วมกันก่อตั้งพรรคพลังธรรม (พรรคนักศึกษา) นั้น ก็มีกระแส พคท.มาตั้งแต่ต้น เป็น 1 ใน 5 กระแสที่ว่า ซึ่งคนมักเข้าใจผิดว่า พคท.มาฉวยโอกาสทีหลัง"


เหตุการณ์ 14 ตุลา ก็เกิดขึ้น เพราะกระแสที่ซ้อนๆ กันอยู่นี้ ทั้งหมดมีจุดร่วมประการหนึ่งตรงที่ ต่อต้านทหาร เกลียดรัฐบาลทหาร มองในแง่นี้ เหตุการณ์ 14 ตุลา จึงเกิดขึ้นและชนะโดยขบวนการนักศึกษา ทั้ง ๆ ที่ไม่มีความเป็นเอกภาพมาก่อน หรือแม้หลังจากนั้น ชัยชนะก็ใช่จะนำมาซึ่งเอกภาพไม่

"อย่างที่รู้กันอยู่ว่า มีความขัดแย้งในช่วงการเดินขบวน (วันที่ 13 ตุลาคม 2516) หลัง 14 ตุลาเสร็จ ก็เริ่มทะเลาะกันว่า ทำไมจึงเดินขบวน ทำไมจึงเคลื่อนไปหน้าสวนจิตรลดา? พวกที่เข้าไปเจรจากับรัฐบาล มีการตกลงกับทรราชหรือเปล่า? ทำไมมากล่าว หาผู้นำขบวน (เสกสรรค์) ว่าเป็นคอมมิวนิสต์? ก็ทะเลาะกัน แล้วก็ออกมาในรูปที่สมบัติ เลขาธิการศูนย์นิสิตฯขณะนั้นต้องแสดงสปิริตลาออก มีการเลือกตั้งใหม่แต่สมบัติก็ได้รับเลือกใหม่ ซึ่งแสดงว่า วิธีคิดแบบสมบัติ (กระแสหลัก) ยังครอบงำขบวนอยู่ คนที่ลงแข่งกับเขาที่เป็นตัวแทนกลุ่มอิสระหรือว่าไปทางซ้ายหน่อยก็คือ ธเนศวร์ เจริญเมือง แต่ธเนศวร์ก็แพ้ไป...

หลังจากนั้นไม่นาน สมบัติก็ลาออกหรือหมดวาระไป แต่ช่วงประมาณ 1 ปี เศษ จากเดือนปลายปี 2516 หรือต้นปี 2517 จนกระทั่งถึงปลายปี 2517 ก็หาเลขาศูนย์ฯคนใหม่แทนสมบัติไม่ได้ ได้แต่ รักษาการณ์ ซึ่งสะท้อนความไม่เป็นเอกภาพของขบวนการนักศึกษา คือ เลือกได้แต่ รักษาการณ์เลขาฯศูนย์ หาเลขาฯตัวจริงไม่ได้ คนที่เคยเป็นรักษาการณ์ ก็เช่น ชั่งทอง โอภาสศิริวิทย์ และ วิรัช ศักดิ์จิระภาพงศ์"

"ช่วงปี 2517 เป็นช่วงที่กระแส 4-5 กระแสในขบวนนักศึกษาที่กล่าวข้างต้น ต่อสู้ทางความคิดกัน กระแสหลักแบบพวกสมบัติก็เริ่มอ่อนลง ธีรยุทธเองก็หันมาทางซ้าย ๆ พอจบแล้วก็ตั้งกลุ่มของเขาเองชื่อ ปช.ปช. (ประชาชนเพื่อประชาธิปไตย) ก็ออกมาในทางซ้าย ๆ ปลายปี 2517 ต่อ ต้นปี 2518 กระแสฝ่ายซ้ายที่ได้รับอิทธิพลจาก พคท. เริ่มเข้ายึดกุมองค์การนักศึกษาในมหาวิทยาลัยหลัก ๆ ได้ ทำให้หนุนส่งเกรียงกมล เลาหะไพโรจน์ เป็นเลขาธิการศูนย์ฯได้ในเดือนมิถุนายน 2518 จากนั้นเอกภาพในขบวนนักศึกษาจึงเริ่มเกิดขึ้น พูดง่าย ๆ เอกภาพของขบวนการนักศึกษาเกิดขึ้นประมาณปีเศษก่อน 6 ตุลาเท่านั้นเอง"

การเข้ามาของ พคท. 1 ปีเศษ ๆ ภายใต้อิทธิพลความคิดของ พคท. องค์กรภาคประชาชนที่เข้มแข็งและทรงพลังมากที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย อาจจะสร้างเอกภาพในขบวนการนักศึกษาได้ แต่อะไรที่ทำให้ พคท.มีผลงานในเมืองชนิดก้าวกระโดดจนกระทั่งยึดกุมขบวนการนักศึกษาอันทรงพลังที่สุดได้รวดเร็วขนาดนั้น อ.สมศักดิ์ อธิบายว่า

"เรื่องนี้มีการพูดกันบ่อย ตอนที่ผมทำวิทยานิพนธ์ ก็ได้ถามความเห็นหลายคนว่าพคท.ครอบงำศูนย์นิสิตได้ เพราะอะไร ซึ่งก็แล้วแต่ แต่ละคนจะอธิบาย บางคนจะบอกว่าเป็นเพราะเรื่องจัดตั้งเขา(พคท.)แข็งกว่า โดยส่วนตัวผมคิดว่านี่ไม่ใช่เหตุผลชี้ขาด ผมเห็นว่าที่พคท.ครอบงำจริง ๆ เป็นเรื่องความคิด เอาเข้าจริง ๆ จนกระทั่งถึง 6 ตุลา คนที่อยู่ในจัดตั้ง พคท. ในแง่จำนวน เป็นตัวเลขจริง ๆ อาจจะไม่สูงแต่ทางความคิดนี่สูงมาก คนที่ไม่รู้เรื่องพรรค ไม่รู้จักจัดตั้ง ไม่รู้จักพรรคเลย แต่เชื่อวิธีคิดแบบพรรค อ่านหนังสือแล้วเชื่อ ฟังเพลงแล้วเชื่อ หรือเจอสถานการณ์การเเมืองแล้วเชื่อ ผมว่ามีลักษณะเป็นอย่างนี้ เป็นเรื่องความคิด มากกว่า เรื่องจัดตั้งในความหมายที่ว่า มี ย. (สมาชิกสันนิบาตเยาวชนแห่งประเทศไทย) มี ส. (สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย) ผมว่าไม่ใช่ประเด็นหลัก อาจจะมี ย. มี ส.ที่มีบทบาทสำคัญ เป็นที่ยอมรับในขบวนการนั้นใช่ แต่ถ้าไม่มีกระแสความคิดบางอย่างที่คนในขบวนสมัยนั้นเชื่อถือ ผมว่าพรรคครอบงำไม่ได้"

"บางครั้งเวลาผมถามเรื่องนี้ คำตอบบางคน ฟังแล้วอาจจะดูตลก คือ บอกว่า พคท. ครอบงำขบวนการนักศึกษาได้เพราะศูนย์นักเรียน กับยุวชนสยาม ผมเองเคยเป็นสมาชิกยุวชนสยาม และเคยทำงานกับศูนย์นักเรียน แต่ไม่ได้อยู่ในสายจัดตั้ง ตอนทำวิทยานิพนธ์ ผมก็มาถามคนที่เป็นสายจัดตั้งจาก พคท.ว่ามันจริงหรือเปล่าที่ศูนย์นักเรียนและยุวชนสยามทำให้ขบวนการนักศึกษาเป็น พคท. เขาบอกว่า มีส่วนจริง แต่ไม่จริงทั้งหมด จริงตรงที่ว่า ตอนที่เกิด 14 ตุลา หรือก่อนและหลังจากนั้นใหม่ ๆ มีพวกนักเรียนที่ยังไม่ทันได้เข้ามหาวิทยาลัยหันมาสนใจทำกิจกรรมแล้ว พวกนี้จะได้กระแสของ พคท.ตั้งแต่แรก ๆ และ พคท.สามารถจัดตั้งกลุ่มนักเรียนบางส่วนได้ ถึงขนาดที่สมาชิกพรรคบางคนบอกว่า เราจัดตั้งระดับนักเรียนแข็งกว่าระดับนักศึกษา"

"พอพวกนี้เข้าไปในมหาวิทยาลัย เลยกลายเป็นกำลังหลักของกิจกรรมในมหาวิทยาลัยไป ที่เด่นที่สุดคือที่รามคำแหง รุ่นที่ดังๆ อย่าง บุญส่ง ชเลธร พินิจ จารุสมบัติ วิสา คัญทัพ ตอนเกิด 14 ตุลา พวกนี้บางคนอาจจะยังไม่จบ เพราะเรียนนาน แต่พวกนี้เป็นนักกิจกรรมรุ่นเก่า ไม่มีไอเดียเรื่องการจัดตั้ง มีแต่การเคลื่อนไหวแต่พอมีนักกิจกรรมที่มาจากนักเรียนจำนวนหนึ่งเข้าไปในปี 17-18 พวกนี้เริ่มรับกระแส พคท. ตั้งแต่เป็นนักเรียน พอเข้าไปถึงก็เข้าไป takeover พรรคสัจธรรม แล้วก็กลายเป็นกำลังหลักของพรรคสัจธรรมไป เป็นต้น ธรรมศาสตร์เองก็เช่นกัน พร้อมๆ กันนั้นพวกนี้ (อดีตนักเรียนที่ได้อิทธิพล พคท.) ก็มีส่วนกระตุ้นทำให้นักศึกษาที่ทำกิจกรรม รุ่นที่เพิ่งเข้ามหาวิทยาลัยในช่วงนั้นพร้อมพวกเขา กลายเป็นซ้ายแบบพคท. (ซึ่งต่างจากรุ่นเก่าก่อน 14 ตุลา) ไปด้วย"

"ที่ผมว่าพคท.เข้ามา เป็นเรื่องความคิดมากกว่าเรื่องการจัดตั้งนั้น ถ้าเราเริ่มมองจากกรณีนิทรรศการจีนแดงในต้นปี 2517 ตอนที่จัดนิทรรศการจีนแดงนั้น คนของพคท.ไม่ได้เป็นคนจัดนะ คนที่จัดนั้นมาทางซ้าย แต่มาทางกลุ่มอิสระ (กระแสที่ 3 ข้างต้น) มากกว่า คือ ความสนใจเรื่องจีนแดงนั้นมาจากกระแสในขบวนการนักศึกษาที่ไม่ใช่กระแสหลัก ในปีนั้น กระแส พคท.ก็ยังไม่ครอบงำ นิทรรศการนั้นประสบความสำเร็จมาก คนดูล้นหลาม เป็นการระเบิดของความอยากรู้ที่โดนกดก่อนมานานก่อนหน้า 14 ตุลา คนที่ทำนั้นไปทางซ้าย ๆ จริง แต่ไม่ได้ซ้าย แบบ พคท. อาจจะมีการแปลหนังสือกันเอง ยกตัวอย่างเช่น อมธ. แปล The Communist Manifesto เอง แปลจากภาษาอังกฤษ สมัยหลังนี่ไม่ต้องแปลจากภาษาอังกฤษแล้ว เพราะ พคท.มีฉบับที่แปลจากภาษาจีนออกมาพิมพ์ให้ แต่สมัยนั้นเป็นประเภทซ้ายแบบเป็นไปกันเองเลยต้องแปลจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย"

"ไม่เฉพาะเรื่องนิทรรศการจีนแดง อย่างเรื่องนาทราย ต้นปี 2517 ธีรยุทธก็ทำไปเอง เรื่อง 4 กรกฎา 2517 แอนตี้อเมริกา แล้วก็เกิดกรณีจลาจลพลับพลาชัย เรื่องเหล่านี้นักศึกษาทำไปเองทั้งนั้น พอถึงกลางปี 2517 นักศึกษาก็เริ่มโดนโจมตี ศูนย์ฯเริ่มป่วน ไม่มีการนำระดับกว้าง เคลื่อนไหวไม่เป็นทิศเป็นทาง หาเลขาฯก็ไม่ได้ เริ่มมีคนด่าแล้ว ตอนที่เริ่มโดนโจมตีตอนนั้นกระแส พคท.ก็ยังไม่ได้ครอบงำ แต่ช่วงนี้เองที่คุณผิน บัวอ่อน อดีตกรมการเมือง พคท. ที่โดนจับและถูกปล่อยตัว แต่ด้วยเหตุผลอะไรไม่แน่ชัด แกไม่กลับเข้าไปในพรรค ไม่กลับเข้าป่า ก็เสนอบทความออกมา 3-4 ชิ้น หนึ่งในนั้น คือ "สถานการณ์ปัจจุบันและภาระหน้าที่ของขบวนการนักเรียน นิสิตนักศึกษา" ใช้นามปากกา "อำนาจ ยุทธวิวัฒน์" บทความออกมาวิจารณ์ขบวนการนักศึกษาว่า ซ้ายเกินไป ผมยังจำได้ ตอนที่เอกสารออกใหม่ ๆ คนในขบวนการนักศึกษาบางคนยังเข้าใจว่านี่เป็นเอกสาร พคท. เพราะสำนวนการเขียนเหมือน พคท.มาก"


ผิน บัวอ่อน-เช กูวารา-จิตร ภูมิศักดิ์ ...

จุดกระตุ้นให้ พคท. ครอบงำขบวนการนักศึกษาทางความคิด

"ในความเห็นส่วนตัวของผม นี่เองที่เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ พคท.เข้ามาครอบงำขบวนการนักศึกษาได้ซึ่งคนอื่นอาจจะไม่เห็นด้วยในจุดนี้ ผมคิดว่าก็เพราะคุณผินนี่แหละที่เป็นตัวกระตุ้น พอคุณผินออกเอกสาร พคท.ก็ออกเอกสารมาโต้ แล้วพอ พคท.ออกเอกสารมาโต้ ขบวนการนักศึกษาซึ่งก่อนหน้านี้รู้จักแนวทาง พคท. แบบไม่ชัดเจน พออ่านการโต้กันก็เลยสว่าง ชัดเจนในแนวทาง กลายเป็นปัจจัยหนึ่งที่กระตุ้นให้กระแส พคท.ครอบงำ นี่คือการตีความของผม"

"จุดหลัก ๆ ที่คุณผินเสนอ ก็คือ อย่าซ้ายเกินไป อะไรทำนองนี้ แต่ พคท.โต้ว่า การวิจารณ์ของคุณผินว่าไม่ควรซ้ายเกินไป ก็เพื่อต้องการจะหลอกนักศึกษาว่า ต้องให้เดินแนวทางรัฐสภา พคท.บอกว่า ถึงที่สุดแล้ว สังคมไทยมันต้องปฏิวัติด้วยชนบทล้อมเมือง ทีนี้ในสถานการณ์ตอนนั้นถ้าให้เลือกระหว่าง 2 อันนี้ - - ผมคิดว่าถ้าจะแฟร์ต่อคุณผิน แกไม่ได้เขียนว่าต้องชูระบบรัฐสภาเสียทีเดียว แต่ขณะเดียวกัน แกก็ไม่ได้เขียนในทำนองว่าต้องปฏิวัติด้วยชนบทล้อมเมืองเสียทีเดียวเหมือนกัน งานของแกนั้นกำกวม มองในแง่ร้ายก็อาจจะบอกว่า แกเขียนกำกวมเพื่อให้นักศึกษาหันไปในแนวทางปฏิรูป ผมเคยคุยกับแก แกเองก็บอกว่า แกเป็นนักปฏิวัติ แต่ที่แกเขียนแบบนี้ เพราะว่าแกเองก็อยู่ในเมือง เขียนให้ซ้ายมากไม่ได้ - - ทีนี้ถ้าให้เลือกระหว่าง 2 อัน ระหว่างคุณผินที่เสนอไม่ให้ซ้ายเกินไป กับ พคท.ที่เสนอตูมลงมาเลยว่า ต้องปฏิวัติด้วยชนบทล้อมเมือง กระแสส่วนใหญ่มันก็ไปทาง พคท."

"ปัจจัยที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ การยอมรับ จิตร ภูมิศักดิ์ การยอมรับจิตรนั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ผู้นำ พคท.ในเมืองบางคนที่รู้จักคุณจิตร ด้วยเหตุผลทั้งในแง่ส่วนตัวที่สะเทือนใจที่คุณจิตรเสียชีวิต กับทั้งเหตุผลในแง่ต้องการส่งอิทธิพลต่อเยาวชน ที่เติบโตขึ้นมาในช่วง 14 ตุลา(ซึ่ง พคท.เรียกว่าเป็นพวก "ซ้ายใหม่")ผู้นำพคท.คนนี้ เขาก็มีความคิดว่า วิธีที่ดีที่สุดที่จะส่งผลสะเทือนต่อพวกเยาวชน ("ซ้ายใหม่") เหล่านี้ ก็คือ การสร้างฮีโร่ให้พวกเขา ครั้งแรกเขาก็พยายามปล่อย เช กูวารา ออกมา มีการโฆษณาเรื่อง เช กูวารา ก็ได้รับการต้อนรับกันเยอะ คนที่ไม่รู้จัก พคท. ก็รับเช พอเชที่เหมือนเป็นกระแสที่ปูพื้นได้รับการยอมรับแล้ว เขา (ผู้นำพคท.ในเมือง)ก็ปล่อยจิตร ภูมิศักดิ์ตามออกมา พิมพ์หนังสือจิตร ออกมาผ่านมาทาง "ชมรมหนังสือแสงตะวัน" ที่เป็นหน่วยงานของ พคท. แรก ๆ หนังสือจิตรที่พิมพ์นั้นมาจากสายงาน พคท.ทั้งนั้น บางเล่มนักศึกษาเอาไปพิมพ์โดยบังเอิญเองก็ใช่ แต่เล่มที่มาจาก พคท. ซึ่งเป็นชิ้นที่สำคัญ เช่น "โฉมหน้าศักดินาไทย", "ทีปกร ศิลปินนักรบของประชาชน" การที่นักศึกษานิยมจิตร ที่เป็นตัวแทนของปัญญาชนที่จับอาวุธ โดยปริยาย คือ เป็นการยอมรับว่า นี่เป็นหนทางที่ถูกนะ หนทางชนบทล้อมเมืองเป็นทางเลือกที่ถูก ปัจจัยเหล่านี้ก็รวมๆ กันเข้า (การถกเถียงกับผิน-เช-จิตร) ความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ที่ทำกิจกรรมสมัยนั้น ก็เริ่มยอมรับว่าต้องปฏิวัติด้วยชนบทล้อมเมือง"

"แม้ช่วงหลัง เช จะหายไป เพราะมีการทะเลาะกันในสายงาน พคท. บางสายว่า เช นี่มันไม่ถูกนะ เป็น "ลัทธิเสือจร" คือ ตอนนั้นสายงาน พคท.ในเมือง มีอยู่ใหญ่ ๆ 2 สาย สายหนึ่งเป็นสายหลัก อีกสายเขาเรียกว่า สายลุงประโยชน์ (มาโนช เมธางกูร) ซึ่งเป็นคนที่ปล่อยเรื่อง เช ออกมา มีการพูดกันว่า เช ไม่ถูก อะไรประเภทนี้ แต่ถึงที่สุดแล้วที่ เช หายไป ผมคิดว่าเพราะเรื่องจิตรได้เข้ามากลบไปหมด เช ก็ไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป จิตร เองไม่ได้เขียนงานเกี่ยวกับทฤษฎีปฏิวัติอะไรไว้ แต่ว่าจิตร คืออะไร จิตรคือปัญญาชนที่เลือกการต่อสู้ด้วยอาวุธ และบทกวีของจิตรจำนวนมาก รวมทั้งพวกเพลงพวกอะไรก็ออกมาในทำนองนั้น- -เช่น "วีรชนปฏิวัติ", "ภูพานปฏิวัติ" จิตรจึงเป็นสัญลักษณ์ อย่างที่บอกว่า เรื่องความนิยมมาทางหนทางต่อสู้ด้วยอาวุธในชนบท เริ่มมาตั้งแต่ เช แล้ว ตอนนั้นประวัติ เช พิมพ์ซ้ำ 7-8 ครั้ง ขายได้เป็นหมื่นเล่ม "เช นายแพทย์นักปฏิวัติผู้ยิ่งใหญ่" เป็นหมอที่ลุกขึ้นจับอาวุธ เรื่องจิตรก็สอดขึ้นมากับกระแสนี้พอดี คือ ปัญญาชนต้องเลือกทางนี้ ทางที่ต่อสู้ด้วยอาวุธ ตอนนั้นเป็นเรื่องของความคิด คุณจะเข้าป่า หรือไม่ ยังไม่ใช่ประเด็นสำคัญ แต่คือ การยอมรับต้องการปฏิวัติด้วยการต่อสู้ด้วยอาวุธในชนบท"

"ปี 2516 ขบวนการนักศึกษายังไม่เป็นเอกภาพ ตีกันหลายกระแส พอปี 2517 นี่เหมือนกับเป็นช่วงเปลี่ยน ช่วงที่กระแสทั้งหลายมาตีกัน เสกสรรค์เองก็พยายามเสนอแนวทางของเขาออกมา แล้วก็มีผิน บัวอ่อน มีพคท. พอขึ้นปี 2518 พคท.ก็ชนะหมด แต่จุดที่ชนะจริงไม่ใช่มาจากการจัดตั้งเรื่องคนหรืออะไร แต่มาจากความคิด คือ ถ้าให้เลือกในความรู้สึกของคนตอนนั้นว่าอะไรคือทางออกต่อไป คือ ทุกคนยอมรับว่า 14 ตุลา ไม่ได้แก้ปัญหาให้หมดไป ทุกคนยอมรับเหมือนกัน แม้กระทั่งนักวิชาการก็ยอมรับ แต่ถ้าเช่นนั้น แล้วจะแก้ด้วยอะไร จะทำยังไงต่อไป ข้อเสนอแบบ พคท.นั้น มันดึงดูดใจที่สุด”

“คนที่เติบโตในสมัยนี้อาจจะไม่เข้าใจว่า ทำไมพวกเราในขบวนการนักศึกษาถึงเลือกแบบนี้ (แบบพคท.) แต่ถ้าเราลองไล่เรียงงานนักวิชาการในปัจจุบันตั้งแต่นิธิ เอียวศรีวงศ์ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ชัยอนันต์ สมุทวณิช ไปจนถึงคนอื่นๆ ในช่วง 2517-18 พวกนี้ยังไม่ผลิตงาน เพราะฉะนั้นในแง่หนึ่ง ผมว่าไม่เป็นการเกินเลยที่จะพูดว่า งานเชิงที่เสนอไอเดีย พคท.นี่ถือว่า แข็งที่สุดในช่วงนั้น ไม่ว่าจะวัดจากบรรทัดฐานอะไรก็แล้วแต่ นิธิเองเพิ่งจะเริ่มเขียนหลังปี 2522 เพราะฉะนั้น บรรยากาศทั้งหมดตอนนั้นมันไม่มีอะไรที่เข้าท่าไปกว่า พคท.อีกแล้ว ในความรู้สึกของคนรุ่นนั้น คือ คุณต้องปฏิวัติ ทำกิจกรรมเฉยๆ ด้วยการลงเลือกตั้ง อย่างนั้นไม่ได้ ไม่เรียกปฏิวัติ แต่ต้องสนับสนุนการต่อสู้ด้วยอาวุธ มันโรแมนติก ภาพที่ว่าขึ้นเขาภูพาน ประกอบกับที่คนรู้ว่าจิตรไปตายที่ภูพาน นายผีอยู่ในป่า สมัยนั้นพอมีงานเขียนหลุดออกมาจากป่าเมื่อไร เป็นเรื่องฮือฮามากเลย มันอาจจะเป็นวัยของคนรุ่นนั้น เป็นความโรแมนติก นักปฏิวัติที่เป็นตำนานอย่างนายผี เปลื้อง วรรณศรี ยังสู้นะ อุตสาห์ไปสู้ในป่า เรื่องจิตร เรื่องคุณภาพงาน พคท.ทั้งหมดมันผสมผสานกัน"

จากคำบอกเล่าของ อ.สมศักดิ์ บรรยากาศใน พ.ศ.นั้น จึงอบอุ่นอยู่ภายใต้ตะวันสีแดงอย่างไม่ต้องสงสัย ก่อนจะถูกทำลายลงด้วยการล้อมปราบในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 กระนั้นก็ตามขนาดอันใหญ่โตของประวัติศาสตร์หน้านี้ย่อมไม่อาจจะปิดบังลงได้ด้วยมือของใคร โดยเฉพาะเมื่อ อ.สมศักดิ์ ให้สถานะกับ พคท.ว่าเป็นขบวนการฝ่ายซ้ายไทยขบวนการเดียวตลอดประวัติศาสตร์ไทย


14 ตุลา: ฝ่ายซ้ายไทยที่ไม่ใช่ พคท.?

"ถ้าถามผม ตลอดประวัติศาสตร์ของขบวนการฝ่ายซ้ายไทย มันมีแต่ พคท.ที่เป็นกำลังฝ่ายซ้ายจริง ๆ ไม่มีกระแสอื่น ๆ ซึ่งอาจจะมีกระแสอื่นหลัง 2475 ใหม่ ๆ ถ้านับปรีดี พนมยงค์ แต่มาสมัยหลัง ภาพปรีดีก็ไม่ใช่ซ้ายแล้ว แต่ถ้ามองซ้ายจริง ๆ ในสังคมไทย ผมไม่คิดว่ามีกระแสอื่นนอกจาก พคท. ถ้าจะมีก็อาจจะเป็นปัจเจกบุคคลไป น้อยมาก แต่การเคลื่อนไหวใหญ่ ๆ อย่างกบฏสันติภาพ ก็เป็นของ พคท.ทั้งนั้น ถ้าจะมีข้อยกเว้น ก็คือ 14 ตุลา นี่แหละ กลุ่มนักศึกษาซ้ายก่อน 14 ตุลา คือ ตัวอย่างซ้ายที่ไม่ใช่ พคท. แต่หลังจากนั้นเพียงสั้น ๆ ก็ถูกกลืนเข้าไปอยู่ในกระแส พคท. แต่ก็ยังอาจจะมองได้ว่า กลุ่มนักศึกษาซ้ายก่อน 14 ตุลา คือ กระแสซ้ายนอก พคท.กระแสแรกในประวัติศาสตร์ไทย (แต่ก็ไม่ใช่ "นอก พคท." ทั้งหมด เพราะได้อิทธิพลความคิด พคท. ผ่านงานสมัยทศวรรษ 2490 ที่นักศึกษาซ้ายก่อน 14 ตุลาอ่านกัน) แต่ถ้าคิดว่าเป็นซ้ายอิสระ ที่แยกต่างหากจากพรรคคอมมิวนิสต์ แบบที่ฝรั่งมี คือ เป็นคอมมิวนิสต์พวกหนึ่ง กับสังคมนิยมประชาธิปไตยอีกพวกหนึ่งนั้น ไม่มี สังคมไทยไม่เคยมี"

การพูดคุยเรื่องฝ่ายซ้ายของเราวันนั้นจบลง แต่มีของแถมเมื่อเราถามถึงฝ่ายซ้ายในปัจจุบัน ใครจะไปเชื่อ แม้วันนี้ไม่มีขบวนการฝ่ายซ้ายแล้ว แต่ร่องรอยนั้นยังปรากฏ ดังที่ อ.สมศักดิ์วิเคราะห์ไว้เป็นการทิ้งท้ายว่า "มาดูในปัจจุบันที่ไม่มีฝ่ายซ้าย ระยะประมาณ 10 ปีหลัง ในหมู่ปัญญาชนไทยที่เป็นผลผลิตจากช่วง 14 ตุลา 6 ตุลา มันเกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่ ๆ ที่เป็นแก่นหลักเลย 3 อัน อันแรก คือ การหันมายอมรับสถาบันพระมหากษัติริย์ อันที่สองคือ การแอนตี้นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง อันที่สาม เป็นเรื่องความเป็นไทยกับเรื่องภูมิปัญญาชาวบ้าน"

"ทั้ง 3 เรื่องนี้ เรื่องที่ 2-3 มันเป็นร่องรอยส่วนหนึ่งของ พคท.เหมือนกันโดยไม่รู้ตัว เรื่องที่ 2-3 มันไปด้วยกันได้กับเรื่องที่ 1 ดังนั้น เมื่อมีพระราชดำรัสออกมา (เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง) เลยกลายเป็นฉันทามติในหมู่ปัญญาชนไทยไป จะเห็นได้ชัดเลยในเศรษฐกิจพอเพียง หรือในการปฏิรูปการเมือง อันที่เปลี่ยนจริงๆ คือ เรื่องที่ 1 แต่ 2 และ 3 นั้นสามารถดูร่องรอยได้ว่ามาจาก พคท."



สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล
6 ต.ค. 47


ที่มา : ThaiNGO.org : ขบวนการ 14 ตุลา กับ พคท.

วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

สัมภาษณ์พอล แฮนด์ลีย์ ใน New Mandala โดย นิโคลาส ฟาร์เรลลี


นิว แมนดาลา (New Mandala) คือชื่อเว็บไซต์ที่ติดตามประเด็นการเคลื่อนไหวทางวิชาการในภูมิภาคอุษาคเนย์ ที่สำคัญซึ่งมีทั้งข่าวคราวความเคลื่อนไหวทางวิชาการที่สำคัญ, กระดานสนทนาที่มีนักวิชาการจากทั่วโลกมาแลกเปลี่ยนกันแล้ว บทสัมภาษณ์ในนิว แมนดาลา (NM Interviews) คือคอลัมน์ที่ผู้สนใจติดตามความเคลื่อนไหวในภูมิภาคแห่งนี้ติดตามอย่างใกล้ชิด

ฟ้าเดียวกันออนไลน์ อาสาเป็นสะพานเชื่อมต่อความเคลื่อนไหวทางวิชาการด้านภูมิภาคอุษาคเนย์มาสู่โลกภาษาไทย ด้วยบทสัมภาษณ์นักเขียนที่ “ร้อน” ที่สุดของวงการไทยศึกษา Paul Handley


สัมภาษณ์พอล แฮนด์ลีย์
19 กันยายน 2550 โดย นิโคลาส ฟาร์เรลลี


นิโคลาส ฟาร์เรลลี: ผู้อ่านส่วนใหญ่ของ New Mandala รู้จักคุณในฐานะคนเขียน The King Never Smiles แต่ว่าคุณเขียนเรื่องเมืองไทยมานานหลายปีก่อนที่หนังสือเล่มนี้จะตีพิมพ์ คุณไปเมืองไทยได้ยังไงทีแรก? ทำไมถึงไป?


พอล แฮนด์ลีย์: ผมไปเอเชียทีแรกหลังจากจบมหาวิทยาลัย (International Studies, มหาวิทยาลัยอเมริกันในวอชิงตันดีซี) ไปเรียนภาษาจีนที่ไต้หวันสามปี แล้วก็ได้งานทำกับนิตยสารธุรกิจน้ำมันที่ฮ่องกง ผมถูกส่งไปอินโดนีเซีย มันกลายเป็นจังหวะก้าวที่สำคัญทีเดียว หลังจากอยู่ที่นั่นสองสามปี ผมมีโอกาสได้ทำงานให้กับ Far Eastern Economic Review พอรัฐบาลซูฮาร์โตไล่ผมออกมาในปี 2529 เพราะไปเขียนเกี่ยวกับธุรกิจของลูกชายของเขา

FEER ก็ให้ผมทำงานเต็มเวลาที่ฮ่องกงหลังจากนั้นสักพัก ผมก็ขอไปประจำที่ไต้หวันหรือไม่ก็เกาหลี แต่เขาส่งผมมากรุงเทพฯ เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ผมไม่ได้เลือก แต่กลายเป็นโอกาสที่ดี วันที่สองที่ไปถึงกรุงเทพฯ ผมเดินลุยน้ำท่วม 1-2 ฟุตจากถนนวิทยุไปสุขุมวิท 49 ก็รักเมืองไทยตั้งแต่นั้นมา


นิโคลาส: ผู้อ่านของเราคงจะอยากรู้ว่าคุณเขียนอะไรบ้างตอนอยู่เมืองไทยช่วงแรกๆ มีอะไรที่เด่นๆ บ้าง?


พอล: ผมไปถึงเมืองไทยเดือนกันยายน 2530 จังหวะที่เศรษฐกิจของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเริ่มรุ่งพอดี และไทยก็เป็นหัวหอก มันเป็นบทเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์ที่ดีมาก และยิ่งดีกว่านั้นอีกเมื่อเศรษฐกิจพังในอีกสิบปีต่อมาผมเขียนหลายเรื่อง เกี่ยวกับธุรกิจใหม่ๆ เกี่ยวกับผลจากการเติบโตที่มีต่อการบริหารจัดการเศรษฐกิจและกระบวนการประชาธิปไตยด้วย

ปัญหาความขัดแย้งประเภทสนามกอล์ฟกับสิ่งแวดล้อม บริโภคนิยมที่แพร่ไปต่างจังหวัด ความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองกับทุน ความขัดแย้งต่างๆ ผมเขียนเกี่ยวกับเมกะโปรเจ็คท์ต่างๆ จำได้มั้ยเรื่องการจราจรก่อนหน้าที่จะมีรถไฟลอยฟ้า? การดำเนินโครงการต่างๆ ยุ่งเหยิงมากในประชาธิปไตยแบบไทยๆ ผมคิดว่าบทความชิ้นแรกๆ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการห้ำหั่นกันระหว่างบรรหารกับสมัคร สองคนนี้เป็นคนคดอย่างที่สุดเท่าที่คุณจะจินตนาการได้เลยทีเดียว

ผมเขียนเรื่องโครงการต่างๆ เป็นบทความชิ้นใหญ่ให้กับนิตยสาร Institutional Investor และอีกชิ้นหนึ่งให้ Asia Research Center at Murdoch University ทั้งสองชิ้นใช้ตัวอย่างการแปรรูปโครงสร้างพื้นฐานในปากีสถาน อินเดียจนถึงจีนเพื่อแสดงให้เห็นว่าทำไมโครงการต่างๆ จึงไม่ประสบความสำเร็จและก็จะต้องล้มไปในที่สุด ซึ่งก็ล้มจริงๆ ผมยังคิดว่ามันเป็นลักษณะที่สำคัญอย่างหนึ่ง แต่ไม่ค่อยมีใครเข้าใจนัก ของการเมืองและเศรษฐกิจที่หวือหวาของเอเชียในตอนนั้นเรื่องอื่นๆ ที่เข้มข้นก็มีเรื่องรสช.ในปี 2534 กับพฤษภาทมิฬ 2535 เนื่องจากว่ามีเรื่องราวมากมายอยู่เบื้องหลังการถ่ายทำ ที่ผมไม่เข้าใจ ผมจึงเริ่มมีความคิดจะเขียนหนังสือขึ้นมา


นิโคลาส: แล้วเมื่อไหร่ที่คุณตัดสินใจจะเขียนจริงๆ ? หลายปีที่อยู่เมืองไทยมีอิทธิพลต่อหนังสือยังไงบ้าง?


พอล: ผมลาออกจาก FEER ในปี 2537 และกำลังคิดจะไปจากประเทศไทย ผมคิดว่าผมอยากจะเขียนบทความขนาดยาวเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ ซึ่งผมตระหนักมากขึ้นเกี่ยวกับบทบาททางการเมืองและวัฒนธรรมไทย หลังจากที่อยู่มาหลายปี ผมเริ่มค้นคว้า เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ต่างๆ ในฐานะที่เป็นสถาบันทางการเมืองในยุคสมัยใหม่ ยิ่งค้นคว้าก็พบว่ายิ่งน่าสนใจ จนถลำลึกเสียจนถอนตัวไม่ขึ้น มันจึงใช้เวลานานและต้องเริ่มใหม่อยู่สองสามครั้งเพื่อเรียบเรียงเรื่องทั้งหมด


นิโคลาส: ตั้งแต่พิมพ์ออกมาในปี 2549 หนังสือเล่มนี้ได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม หลายคนสนับสนุนประเด็นของคุณ ที่ New Mandala ที่เดียว มีความเห็นเป็นร้อยๆ ความเห็นเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ แน่นอนว่าหลายคนวิจารณ์งานค้นคว้าของคุณและพยายามชี้ให้เห็นว่าคุณมี “วาระ” อะไร แรงจูงใจของคุณคืออะไร? ตอนที่คุณเริ่มเขียน คุณได้นึกมั้ยว่าจะได้รับปฏิกริยาแบบนี้?


พอล: ผมถูกตั้งคำถามจากผู้คนทุกประเภท ตั้งแต่นักการทูตชั้นนำที่เฉลียวฉลาดของไทยไปจนถึงนักวิชาการที่ใครๆ ก็นึกว่าน่าจะรู้ดีกว่า

ทำไมคุณถึงเขียนหนังสือเล่มนี้?

คำตอบคือ จริงๆ แล้ว ทำไมถึงไม่มีใครเขียนก่อนผม? คุณมีประมุขของประเทศที่ครองตำแหน่งมายาวนานที่สุดในโลกและยังมีชีวิตอยู่ เป็นกษัตริย์ที่ประชาชนเทิดทูนเหนือกว่าใคร

เป็นสถาบันกษัตริย์ที่อิงอยู่กับระบบความเชื่อแบบพุทธ ฯลฯ แล้วไม่เคยมีใครนั่งลงแล้วเขียนถึงเคล็ดลับในความสำเร็จของพระองค์ ปรัชญาของพระองค์ วิธีการทำงานของพระองค์ ผลงานที่พระองค์ทำประโยชน์แก่โลก เป็นพระมหากษัตริย์ที่ได้รับความนิยมและเทิดทูนมาเป็นเวลาหกทศวรรษ มีอะไรที่จะน่าเขียนถึงมากไปกว่านี้อีกไหม?

ผมยอมรับว่าผมไม่เคยหลงใหลได้ปลื้มไปกับเรื่องอะไรแบบนี้ แต่ก็ไม่มี “วาระ” อะไร และผมก็เปลี่ยนทัศนะของผมที่มีต่อพระองค์หลายครั้งหลายหนในกระบวนการค้นคว้าเพื่อเขียนหนังสือเล่มนี้สำหรับปฏิกริยา แทบไม่มีอะไรนอกเหนือความคาดหมาย มีแปลกใจอยู่เรื่องเดียวเท่านั้นคือความบังเอิญประจวบเหมาะของเหตุการณ์ หนังสือเสร็จสมบูรณ์พร้อมตีพิมพ์ในช่วงเวลาเดียวกับที่ทักษิณกำลังถูกมวลชนเสื้อเหลืองไล่ลงจากอำนาจ ในวาระการครองราชย์ 60 ปีของพระองค์


นิโคลาส: จากคำบรรยายของสำนักพิมพ์ เป็นหนังสือที่ “มีการค้นคว้าอย่างละเอียดกว้างขวาง รวบรวมข้อเท็จจริงตั้งแต่ยังทรงเยาว์และพัฒนาการของพระองค์ การเสด็จขึ้นครองราชย์ การจัดการทางการเมืองที่มีทักษะ และความพยายามทำให้ไทยเป็นราชอาณาจักรพุทธ” อยากให้คุณเล่าถึงการค้นคว้าของคุณว่าทำยังไง ใช้วิธีการ (methodology) อะไร?


พอล: ผมเป็นนักหนังสือพิมพ์ ไม่ใช่นักประวัติศาสตร์ ของผมจะนอกตำราอยู่สักหน่อย ก็อ่านประวัติศาสตร์กับเรื่องราวต่างๆ ที่แพร่หลายก่อน แล้วค่อยอ่านเอกสารหนังสือหนักๆ บางอันเพิ่งจะเขียนในตอนนั้นโดยนักประวัติศาสตร์จริงๆ ผมอ่านหนังสือกับนิตยสารเก่าๆ เยอะ ทั้งไทยและอังกฤษ เอกสารที่เป็นทางการต่างๆ จำนวนมาก หนังสือรำลึกในวาระต่างๆ

ทุกอย่างที่หาได้ที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับราชวงศ์ ในห้องสมุด ตามแผงขายหนังสือเก่าที่จตุจักร ในบ้านคนอื่น ผมศึกษาภาพถ่ายและวันเวลา ทำเส้นเวลาลำดับเหตุการณ์ขึ้นมา แล้วก็เห็นว่าไม่ได้ตรงกับเรื่องราวฉบับที่เป็นทางการเสมอไป อย่างเช่น มีเอกสารทางการจำนวนมากที่บอกว่าพระองค์ทรงเริ่มสร้างเขื่อน หรือเริ่มเลี้ยงปลานิลในเวลาเท่านั้นเท่านี้

แต่คุณก็มาเห็นรูปภาพและคำบรรยายในนิตยสารที่แสดงว่ามันมีมาห้าปีก่อนหน้านั้นแล้ว บางอย่างก็ไม่มีนัยยะอะไร แต่บางอย่างก็มีความหมาย ด้วยเหตุผลนี้ ก็เลยอาจจจะมีการเน้นเรื่องวันเวลาต่างๆ มากสักหน่อยในหนังสือที่ผมเขียน แต่ก็เป็นประเด็น ภาพของพระองค์ท่านคือมักทรงงานอยู่ตลอดเวลา การเสด็จไปเยือนอเมริกากับยุโรปในปี 2503 ก็เป็นเรื่องงานทั้งหมด ไม่มีอะไรผิดในเรื่องนี้

แค่ว่าในฉบับที่เป็นทางการพระองค์ทรงไม่เคยพักผ่อนเลยกระบวนการถอดรื้อ-ประกอบใหม่ (deconstruction-reconstruction) นี้ทำให้ผมใช้เวลานานมาก แล้วผมก็ศึกษาบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่ละเอียดมากขึ้น แล้วก็ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไทยและสถาบันกษัตริย์ที่ช่วยก่อรูปมุมมอง และแน่นอนคุยกับทุกคนที่คุยได้ในเมืองไทย

หลายครั้งก็ถามเรื่องนี้ตอนสัมภาษณ์ในเรื่องอื่นอยู่ ผมบอกใครต่อใครไม่ได้ว่ากำลังเขียนหนังสือเรื่องนี้และผมก็ไปสัมผัสบรรยากาศพระราชพิธีต่างๆ เมื่อมีโอกาส ฟังเพลงพระราชนิพนธ์ ชมผลงานภาพวาดฝีพระหัตถ์ เพื่อจะได้ซึมซับความรู้สึก ผมยังสามารถทำอย่างนั้นไปได้อีกเรื่อยๆ แต่สุดท้ายก็ต้องหยุดและลงมือเขียน


นิโคลาส: คุณพยายามยังไงบ้างในการที่จะขอพระราชทานสัมภาษณ์กับพระองค์และบุคคลอื่นในพระราชสำนัก? มีการตอบสนองอยางไร?


พอล: นี่คือจุดอ่อนที่ชัดเจนของหนังสือเล่มนี้ พอเห็นปฏิกริยาตื่นตกใจจากคนไทยที่มีต่อโครงการนี้ของผม ซึ่งรวมนักวิชาการสองสามคนที่ผู้อ่านของคุณก็รู้จัก ทำให้ผมสรุปว่าผมไม่สามารถติดต่อใครในพระราชสำนักจนกว่าจะถึงตอนท้ายสุด แต่พอถึงตอนที่ผมได้ร่างเป็นรูปเป็นร่างและได้ผู้ตีพิมพ์แล้ว ผมตัดสินใจว่าคงไม่มีประโยชน์และอาจจะมีผลยุ่งยากต่อการตีพิมพ์

พระราชสำนักไม่ใคร่จะให้สัมภาษณ์แก่ใคร และอาจจะขอดูต้นฉบับเป็นเงื่อนไขก่อนที่จะพิจารณาว่าจะให้ผมพบหรือไม่เสียด้วยซ้ำ หลังจากปรึกษาสำนักพิมพ์กับผู้เชี่ยวชาญเรื่องไทยหลายคนแล้ว ผมตัดสินใจว่าไม่มีโอกาสสำเร็จ และเป็นไปได้มากว่ารัฐบาลอาจจะขัดขวางไม่ให้หนังสือได้รับการตีพิมพ์ ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ


นิโคลาส: ข้อวิจารณ์หลักประการหนึ่งต่อหนังสือเล่มนี้คือ มันอ้าง “ข่าวซุบซิบ” กับ “ข่าวลือ” คุณว่ายังไง?


พอล: ข่าวลือซุบซิบบางอย่างก็เป็นประโยชน์แก่พระราชสำนัก ยกตัวอย่าง ในช่วงต้นทศวรรษ 1990 มีคำเล่าลือแพร่หลายว่าในหลวงทรงขับรถในกรุงเทพฯ โดยปกปิดพระองค์เพื่อทรงสัมผัสรสชาติของการจราจรที่ติดขัด ทุกคนได้ยินเรื่องนี้ ทุกคนเชื่อในเรื่องนี้ ว่าพระองค์ก็ทรงลำบากลำบนเหมือนอย่างที่พวกเขาประสบ ไม่มีใครที่ผมรู้จักจะได้ประสบเรื่องนี้ด้วยตัวเองเลย มันเป็นข่าวลือ

ข่าวลือในแง่ดีคนวิจารณ์จะเน้นเฉพาะข่าวลือในแง่ลบที่ผมนำมารวบรวมไว้ ส่วนใหญ่เป็นข่าวลือที่มีทั้งที่ผมเชื่อว่าจริงและอาจจะไม่จริงแต่ถึงยังไงก็มีผลสำคัญต่อภาพพจน์ที่ประชาชนมองสถาบันกษัตริย์และพระราชวงศ์ จะบวกหรือลบก็ตาม สิ่งที่ประชาชนเชื่อเกี่ยวกับพระองค์ที่เป็นที่เคารพเทิดทูนมาก และเกี่ยวกับพระราชวงศ์ที่อาจจะเป็นที่เคารพเทิดทูนน้อยกว่า มีความสำคัญต่อความสำเร็จและปัญหาในรัชสมัยของพระองค์


นิโคลาส: ตั้งแต่หนังสือออกมา คุณสามารถกลับไปเมืองไทยได้ไหม? คุณอยากกลับไปไหม? คุณเคยได้รับการเตือนหรือกล่าวโทษอย่างเป็นทางการจากทางการไทยไหม? หรือโดยใครอื่น?


พอล: แน่นอน ผมอยากกลับไป เมืองไทยมีเสน่ห์ ผมมีเพื่อนที่นั่น มันเป็นส่วนสำคัญในชีวิตของผม 13 ปีประมาณนั้น คุณจะหาอาหารไทยอร่อยๆ ได้ที่ไหนนอกเมืองไทย? แต่ผมเข้าใจว่าการเขียนหนังสือเล่มนี้คงทำให้ผมไม่ได้กลับไปอีก ผมไม่ได้รับคำเตือนหรือคำขู่อะไร ผมไม่ได้ตรวจสอบว่าพวกเขาขึ้นบัญชีดำผมไว้หรือเปล่า ผมไม่ได้ยินว่ามีการตั้งข้อกล่าวหาอะไรต่อตัวผม

คือว่า ทัศนะทางการที่มีต่อหนังสือของผมคือ ไม่มีหนังสือเล่มนี้อยู่ในโลก ดังนั้นการตั้งข้อหากล่าวโทษผมจะเท่ากับเป็นการยอมรับว่ามีหนังสือเล่มนี้อยู่ ยังไม่มีใครมาข่มขู่ผม ผมคิดว่าใครๆ ก็พากันโทษทักษิณกันหมด เขาแย่งซีนไปหมดเลย


นิโคลาส: คุณมีแผนการอะไรต่อจากนี้? ผมเข้าใจว่าการเกษียณตัวเองไปอยู่เงียบๆ ในรีสอร์ทริมหาดในไทยคงเป็นไปไม่ได้แล้ว คุณมีโครงการอะไรอีกบ้างไหม?


พอล: ผมมีงานที่ไม่น่าตื่นเต้นในสำนักข่าวที่วอชิงตันดีซี ผมกำลังฝันว่าจะได้ไปประจำที่อื่น กลับมาเอเชียได้ก็จะเยี่ยมมาก
หนังสือเล่มเดียวก็พอเพียงแล้วสำหรับในตอนนี้…



ที่มา : ฟ้าเดียวกันออนไลน์

หมายเหตุ
การเน้นข้อความทำไปตามความเห็นของผู้จัดเก็บบทความ(บทสัมภาษณ์)

วันพุธที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ดับเครื่องชนสังคม : Close and Uncritical


นิตยสาร GM
ฉบับเดือนสิงหาคม 2001

บทสัมภาษณ์ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล


ประวัติโดยสังเขป

สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล เกิดปี 2501 เป็นลูกคนจีน จบชั้นมัธยมจากสวนกุหลาบ แล้วมาต่อที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เลือกเรียนวิชาประวัติศาสตร์ด้วยความรักและคิดว่าจะได้ใกล้ชิดข้อมูลประเทศไทย โดย ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อาจารย์หัวก้าวหน้าในยุคนั้นคือบุคคลหนึ่งที่เป็นเรี่ยวแรงบันดาลใจ ตุลาคม 2516 เป็นหนึ่งในนักศึกษาที่ขึ้นเวทีไฮด์ปาร์คและถูกจับขังคุก สมศักดิ์อยู่ในคุกบางเขน 2 ปี ก่อนจะออกมาเรียนต่อจบแล้วได้ทุนจากมหาวิทยาลัยในเมลเบิร์น จึงบินไปเรียนที่ออสเตรเลียจนจบปริญญาเอก กลับมาเป็นอาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


ผลงาน

บทความในหน้าหนังสือพิมพ์ อาทิ ร.7 สละราชย์, ความผิดพลาดทางประวัติศาสตร์ของปรีดี พนมยงค์, จาก 2475 ถึง 6 ตุลาคม, เหมา เจ๋อ ตง กับขบวนการนักศึกษา, ใครเป็นใครใน 6 ตุลา, ป๋วย อึ๊งภากรณ์ สล้าง บุนนาค ธานินทร์ กรัยวิเชียร


ข่าวลือ

มีคนบอกว่าเขาเป็น ผี ท่าพระจันทร์ ผู้เสนอทรรศนะแรงกล้าว่าอย่านำเอาจิตวิญญาณมาค้าน กรณีย้าย-ไม่ย้ายมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เขาปฏิเสธเชิงแบ่งรับแบ่งสู้ บอกว่าไม่สนใจตัวบุคคล สนเพียงแต่เนื้อหา และเห็นด้วยอย่างยิ่งกับ ผี ท่าพระจันทร์


ที่เห็นและเป็นไป

ตั้งคำถาม เสนอแนวคิดร้อนแรง ซึ่งนำไปสู่วิถีชีวิตแบบโดดเดี่ยว


อุดมคติ

critical open and free


ประเด็น

2 เรื่องหลักที่มีการพูดถึงอย่างกว้างขวางในรอบเดือนที่ผ่านมาคือกระแสหนังย้อนยุค และจิตวิญญาณธรรมศาสตร์

GM จึงดิ่งตรงไปพบ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ด้วยสนใจวิธีคิดที่แตกต่าง เพื่อพูดคุย และรับฟังทรรศนะในเรื่องของคนไทยกับข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ บางถ้อยคำของเขาในบทสัมภาษณ์ถัดจากนี้

“จิตวิญญาณธรรมศาสตร์ตายไปนานแล้ว”

“ผมไม่ยอมรับรัฐธรรมนูญฉบับนี้”

“พ่อผมตายไปนานแล้ว ปรีดีไม่ใช่พ่อผม”

“ถ้าอานันท์ไม่รับเป็นนายกฯ อาจะไม่เกิดพฤษภาทมิฬ”

“ระหว่าง พคท. กับ ป๋วย ผมว่ามีเหตุผลกว่าที่เราจะเลือก พคท.”

“เรื่อง ป๋วย อึ๊งภากรณ์ รับใช้สฤษดิ์ จะอธิบายยังไง”

“จะสร้างไปทำไม อนุสาวรีย์คน ผมไม่เห็นความจำเป็น”

“สังคมไทยเน้นจริยธรรม ไม่เน้นความคิด”


การเริ่มต้น

มีหลายเรื่องที่เขาล้วนแต่แสดงวิธีคิดที่แตกต่างและน่าสนใจรับฟัง
เราเริ่มต้นเรื่องกระแสหนังย้อนยุคกันก่อน


GM : ระยะนี้วงการหนังไทยสร้างหนังอิงประวัติศาสตร์หลายเรื่อง ทั้งฟอร์มใหญ่ๆ อย่าง “สุริโยไท” เรื่องที่เป็นปัญหาอยู่อย่าง “ท้าวสุรนารี” และโครงการสร้างอีกร่วมสิบเรื่องที่เชื่อมโยงกับเรื่องราวในอดีต อาจารย์มองความเป็นไปเหล่านี้อย่างไร คิดว่าเป็นโอกาสดีไหมที่เราจะมาชำระล้างประวัติศาสตร์


สมศักดิ์ : ผมว่าหนังเน้นที่ความบันเทิงมากกว่า ไม่ค่อยแตะเรื่องที่เป็นประวัติศาสตร์จริงๆ อย่าง “คนล่าจันทร์” ที่ได้ยินว่าจะนำเสนอบางแง่มุมของขบวนการนักศึกษาช่วง 14 ตุลาฯ ผมก็รอดูอยู่ แต่ดูเพื่อความบันเทิงอย่างว่า เพราะหนังก็คือหนัง มันไม่มีการมาถกเรื่องประวัติศาสตร์อย่างซีเรียสอยู่แล้ว เหมือนกับการสร้างมายาภาพของอดีตมากกว่า ตั้งแต่ 2499 อันธพาลครองเมือง นางนาก มาถึง บางระจัน เป็นการสร้างมายาภาพทั้งนั้น แต่การแห่มาสร้างหนังย้อนยุคอย่างที่ปรากฎก็มองได้หลายแง่มุม อาจจะเป็นการตลาดด้วย เพราะทำแล้วขายได้ หรืออีกแง่หนึ่งคือศิลปะและวรรณกรรมไทยเราอยู่ในช่วงที่ดีลกับปัจจุบันไม่ประสพความสำเร็จ แม่แต่ดราม่าฟองสบู่ในรูปละครทีวีเท่านั้นที่เป็นเรื่องปัจจุบัน แต่งานศิลปะบันเทิงยุคปัจจุบันที่เป็นแนวซีเรียสโดดเด่น เอาเข้าจริงกลับไม่มี เป็นไปได้ว่าเราล้มเหลวที่จะจัดการชีวิตปัจจุบัน ไม่ใช่แง่คนเขียนอย่างเดียว

แต่สังคมโดยรวมต้องกล้าที่เผชิญกับปัญหาที่เป็นจริงในปัจจุบันด้วย ไม่เช่นนั้นก็หันหาอดีตท่าเดียว เพราะอดีตมันเซฟ ตายไปแล้ว ไม่รู้รายละเอียด ก็แค่เลือกพรีเซ้นต์ภาพส่วนหนึ่งออกมาเท่านั้นเอง ถ้ามองไกลกว่านั้น ผมว่าความเป็นคนไทยก็เป็นสิ่งใหม่มาก ก่อนหน้านั้นมีการแบ่งแยกทั้งด้านเชื้อชาติ การงาน ค่อนข้างชัดเจน ชาวนา ชนชั้นกลาง นักธุรกิจ ทุกคนแยกกันโดยสิ้นเชิง แทบไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน ความเป็นคนไทยจึงใหม่มาก ผมว่าเพิ่งเกิดเมื่อ 20-30 ปีนี้เอง เนื่องจากการพัฒนาทุนนิยมอุตสาหกรรม

เป็นครั้งแรกที่ทุนมันดึงคนจากทุกมุมสังคมให้มาสัมพันธ์กันหมดโดยระบบตลาด การผลิต ไปสัมพันธ์กับสังคมโลกด้วย อย่างรัฐไทย 10 ปีหลัง เริ่มมีเอกภาพ อำนาจมารวมศูนย์อยู่ที่รัฐบาลโดยผ่านการเลือกตั้ง ก่อนนี้มันเหมือนกับอยู่กันเป็นกลุ่มๆ ใครคุมทหารกลุ่มนี้ ตำรวจ นักการเมือง แยกย่อยตามศูนย์ต่างๆ ตอนนี้เป็นเอกภาพ รัฐบาลคุมส่วนอื่นได้จริง

สมัยคึกฤทธิ์โดนตำรวจบึ้มบ้านเกือบพัง เพราะคุมตำรวจไม่ได้ คุมทหารบางส่วนไม่ได้ แตกกันหมด ปัจจุบันคุมได้จริง แม้ว่ามีทะเลาะกันบ้าง นี่ผมพูดในความหมายที่เหมือนกับเป็นอะไรบางอย่างที่ทุกคนสามารถแชร์กันได้ เพราะอำนาจทางสังคมและเศรษฐกิจของคนชั้นล่างสูงขึ้น ผมมองว่าหนังก็เหมือนสร้างเอกลักษณ์อย่างหนึ่ง สร้าง identity ขึ้นมาเพื่อบอกว่าตัวเองเป็นใคร มาอยู่จุดนี้ได้ยังไง


GM : มองแง่การศึกษาประวัติศาสตร์ผ่านหนังแล้ว อาจารย์คิดว่าไม่ค่อยมีแง่มุมอะไรน่าสนใจ?


สมศักดิ์ : ใช่, ฝรั่งมีคำหนึ่งคือ invent tradition เป็นการสร้างสิ่งเก่าขึ้นมาใหม่ พวกประเพณีความเชื่อเก่าๆ หลายอย่าง ไม่มีหรอก แม้กระทั่งไอเดียเรื่องเกาะรัตรโกสินทร์ มันไม่มี เราสร้างภาพขึ้นมาใหม่ทั้งนั้น ผมถึงบอกว่าความเป็นคนไทยเป็นสิ่งใหม่ แม้กระทั่งชื่อพวกเราเมื่อก่อนชื่อวิลิศมาหราอย่างที่เห็นๆ อยู่ทุกวันนี้เสียที่ไหน ขณะที่ชื่อฝรั่งอย่างปีเตอร์ พอล และอื่นๆ เขาสามารถย้อนไปถึงไบเบิลอะไรได้ ของเราไม่มี เพราะเมื่อก่อนแบ่งเชื้อชาติชัดมาก ลูกหลานคนจีนกลุ่มหนึ่ง ชาวนากลุ่มหนึ่ง ไม่มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แยกกันอยู่ แยกอาชีพกันด้วย

สมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม พยายามจะสร้างความเป็นไทย ก็พิลึกพิลั่น เช่น บังคับให้คนเลิกกินหมาก ซึ่งจะว่าไปก็ไม่ใช่ไทยอีก แต่ยังหาอะไรที่แชร์ร่วมกันไม่ได้ จนกระทั่ง 10-20 ปีมานี้ การพัฒนาอุตสาหกรรมและการเป็นส่วนหนึ่งของสังคมโลกมากขึ้น เริ่มทำให้คนไทยกลมกลืน เริ่มเกิดความรู้สึกเป็นคนไทย ไม่ว่ามาจากลูกหลานเจ๊ก ชาวนา ข้าราชการ เกิดความรู้สึกว่าพยายามมองหาอดีตของตัวเองซึ่งจริงๆ ไม่มีหรอก เพราะแต่ละแบคกราวนด์มีอดีตของมันคนละอย่าง พ่อแม่ผมก็มาจากเมืองจีน อาจารย์มหาวิทยาลัยหลายคนก็มีหน้าตี๋ หน้าหมวย ไม่มีใครมีอดีตจากบางระจันเท่าไร


GM : แล้วในระยะที่มีหนังย้อนยุคออกมามากมายอย่างที่ว่า อาจารย์คิดว่าคนไทยควรจะมีท่าทีอย่างไรกับมัน


สมศักดิ์ : ผมไม่เห็นอะไรอื่น นอกจากความบันเทิง หนังพวกนี้มาจากลูกหลานคนชั้นกลาง ก็พวกตี๋พวกหมวยที่จบไปจากมหาวิทยาลัยนี่แหละ พยายามสร้างความเก่าให้ตัวเอง เหมือนตัวเองมีอดีต มีพระเอก ผู้ร้าย มีอิจฉาริษยา ก็แค่นั้น ส่วนที่เถียงกันว่าอะไรเกิดขึ้นหรือไม่เกิดจริง ผมไม่ซีเรียสนัก แม้แต่ สุริโยไท บางเรื่องก็น่าสนใจว่าเกิดหรือไม่เกิดขึ้น แต่ผมไม่ถือเป็นเรื่องซีเรียส


GM : อาจารย์กำลังจะบอกว่าหนังก็คือหนังก็คือหนัง ไม่ได้แสดงนัยทางประวัติศาสตร์อะไรนักหนา


สมศักดิ์ : ใช่, ไม่ได้แปลว่าไม่ดี มันคือศิลปะบันเทิง แต่แง่หนึ่ง ผมคิดว่างานประวัติศาสตร์ก็ไม่ต่างจากงานวรรณกรรม คือคุณก็เขียนขึ้นมาใหม่ คนที่เขียนประวัติศาสตร์ก็เขียนจากจุดของตัวเอง นี่เป็นเรื่องที่ผมเคยนั่งคิดเล่นๆ คือเรามักพูดกันว่าเรามีปัจจุบันเพราะเรามีอดีต แต่ผมว่าเรามีอดีตเพราะเรามีปัจจุบัน อดีตทั้งหลายที่สร้าง ไม่ว่างานวิชาการหรือหนังละคร เราสร้างจากปัจจุบันทั้งสิ้น เรา invent มันขึ้นมา แม้กระทั่งนักวิชาการทางประวัติศาสตร์เอง มานั่งเถียงกัน ศึกษาค้นคว้า

แต่ที่สุดแล้ว เราบอกไม่ได้หมดว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะไม่มีใครสามารถจำลองอดีตขึ้นมาไว้ในงานได้ทั้งหมดอยู่แล้ว เราจึงเลือกเขียนในบางมุม เพียงแต่งานวิชาการก็มีวิธีของมัน มีพิสูจน์หลักฐานอะไรไป หนังก็มีวิธีการของมัน แต่คือเราเถียงกันได้ นี่คือประเด็นที่สำคัญที่สุด คนทำหนังเขาตีความยังไง ผมก็ฟัง ถ้าผมไม่เห็นด้วยและมีข้อมูลอีกอย่าง ผมก็แย้งไป

ผมว่าที่หนังออกมามากก็เพราะกลไลตลาดเห็นว่าประสพความสำเร็จก็เลยทำตามๆ กัน แต่ประเด็นที่น่าคิดอีกอย่างก็คืองานวรรณกรรมไทยในระยะหลายปีมานี้ตกต่ำมาก พูดง่ายๆ ว่าหลังจาก คำพิพากษา ของ ชาติ กอบจิตติ แล้ว ผมยังไม่เห็นงานที่ครุ่นคิดกับปัญหาในระดับซีเรียสอีกเลย ในด้านหนึ่งจึงน่าเป็นห่วงว่าเรากำลังล้มเหลวกับปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นแง่สัมพันธภาพ ชีวิตคนสมัยใหม่ มันไม่มีการคิดและนำเสนออย่างสร้างสรรค์


GM : อาจารย์มองเรื่องประเทศเพื่อนบ้านยังไง ในแง่ว่าเราสร้างหนังออกมา พม่าก็โกรธ หรือพอมีข่าวจะสร้างเรื่อง “ท้าวสุรนารี” ลาวก็โกรธอีก โดยทางฝ่ายเราก็อยากสร้าง เพราะหนังมันทำเงิน ขณะเดียวกันการค้าขายและชีวิตความเป็นอยู่ด้านชายแดนก็มีปัญหาแน่ๆ ถ้าเขาประท้วงกับเรื่องเหล่านี้ เราควรจะวางตัวยังไง


สมศักดิ์ : เรื่องหนัง ผมไม่ซีเรียส ยกเว้นอยู่อย่างเดียว คือผู้สร้างบอกว่ากำลังสร้างสิ่งที่เป็นจริง อันนี้ผมรับไม่ได้ เท่าที่อ่านข่าวเรืองการสร้างหนังย่าโม รู้สึกผู้สร้างจะเคลมว่าเขาคือของจริง คนที่เขียนก่อนหน้านั้น และนักวิชาการอื่นๆ เป็นพวกไม่รู้เรื่อง แบบนี้ไม่ดี เป็นวิธีอวดอ้างที่ silly

ในความเห็นผม คุณจะสร้างยังไงก็ได้ เหมือนเขียนนวนิยายน่ะ ปัญหาคือถ้าคุณสร้างแล้ว คุณเคลมให้คนเชื่อว่านี่คือสิ่งที่ถูกต้อง เฮ้ย! ไม่ใช่ ผมไม่ได้หมายความว่างานวิชาการต้องดีกว่างานศิลปะและวรรณกรรม แต่ข้อมูลหรือความคิดทุกอย่างที่คุณเสนอมา มันต้องแย้งได้ ยิ่งหนังควรเปิดกว้างมากๆ


GM : แล้วกรณี “ท้าวสุรนารี” ที่บางกระแสบอกว่าไม่มีจริง ส่วนผู้สร้างหนังและชาวโคราชเขาก็เชื่อของเขา ในแง่ประวัติศาสตร์แล้ว ข้อเท็จจริงเรื่องนี้เป็นยังไง


สมศักดิ์ : ผมไม่อยากพูดในเชิงว่ามีหรือไม่มี แต่ผมติดใจคนสร้างหนังที่บอกว่าเขารู้ดีกว่านักวิชาการ มันแย่มากๆ ผมไม่ได้พูดว่านักวิชาการรู้ดีกว่า แต่ที่สำคัญเราต้องเปิดให้สังคมมันเปิดและยอมรับทรรศนะซึ่งกันและกัน ไอ้ครั้งที่มีนักวิชาการเขียนหนังสือเรื่องนี้ออกมา แล้วถูกประท้วงถึงขั้นจะเผาอะไรกันนั้น แย่มากๆ แทนที่จะมาถกเถียงว่าไม่เห็นด้วยยังไง แต่กลายเป็นการข่มขู่ ขนาดว่าจะอยู่ในจังหวัดนั้นไม่ได้

ถึงที่สุดแล้ว อุดมคิตของผมคือสังคมต้อง open and free มีใครมาเสนออะไร ฟัง ถกเถียงกัน อย่าข่มขู่ว่าใครถูก ผิด เพราะมนุษย์มีสิทธิ์ที่จะเชื่อและไม่เชื่ออไรก็ได้ อย่างหนัง pearl harbor แง่วิชาการถือว่าห่วยแตกมาก แต่คุณทำออกมาสิ ผมเป็นนักประวัติศาสตร์ ถ้าผมไม่เห็นด้วย ผมก็จะเขียนวิจารณ์ ด่าคุณเละเทะ ใช่มั๊ย ตราบใดที่สังคม open ต้องให้โอกาส รับฟัง ถกเถียวกัน น่าจะถูก อย่าพูดว่าของเขาเท่านั้นที่ถูกต้องเป็นจริง คนต้องเชื่อแบบนี้ อันนี้น่ากลัวมาก

ผมเชื่อว่าถ้าเรา open จริงๆ จะไม่มีปัญหา ไม่ว่ากับคนไทยด้วยกันเองหรือกับประเทศเพื่อนบ้าน เพราะเราพูดกันด้วยข้อมูล พูดด้วยทรรศนะ และรัฐไม่ควรระบุว่าเวอร์ชั่นไหนของอดีตเป็นเรื่องที่ต้องเชื่อ แต่จริงๆ ที่เราทำกันมา ไทยก็ทำเป็นประจำ ผมถูกให้ท่องตั้งแต่เด็กๆ แล้ว เราเรียนว่าเกิดเหตุการณ์แบบนั้นๆ เป็นวีรกรรม ใครทำอะไรไว้ รัฐบอกเราในทำนอง official version ซึ่งแย่ ควรจะเปิดกว้าง อย่างกรณีกับประเทศเพื่อนบ้าน มันไม่ใช่ปัญหาว่าเราควรจะแคร์หรือไม่แคร์ แต่เป็นเรื่องของความคิด

ถ้าลาวไม่เห็นด้วยก็เถียงมา เอาหลักฐานมาคุยกัน หรืออยากสร้างหนังขึ้นมาบ้าง ก็เอาเลย แต่ละแห่งควร open and free ในเรื่องความคิด ความเชื่อ เราด่าเขา เขาด่าเรา ผมว่านี่เป็นเรื่องปกติ จัดประชุมสัมมนาระหว่างประเทศยังได้ แต่ของเรามันไม่ใช่แบบนั้น แค่ความคิดความเชื่อไม่ตรงกันก็มีแต่จะใช้อำนาจแก้ปัญหา ซึ่งไม่เข้าท่า


GM : อาจารย์คิดว่าหนังประวัติศาสตร์ทั้งหลายจะสามารถปลุกกระแสชาตินิยมได้ไหม


สมศักดิ์ : ก็ไม่แน่ แต่โดยความเป็นหนัง ไม่ว่า ย่าโม สุริโยไท ควรจะพูดแค่เป็นการนำเสนอดราม่า เป็นการตีความเหตุการณ์ในอดีตอย่างหนึ่ง และให้ดูตีความกันไป แต่ผมสงสัยมากเลยว่ากองทัพบกเอา บางระจัน ไปฉายให้ทหารดูทำไม ผมว่าตลก เขาอยากดูก็ให้ตีตั๋วไปดูเองสิ ไปพยายามทำให้เป็น official version ทำไม เอาหนังไปใช้ประโยชน์ ปลุกจิตสำนึก ผมว่าไม่ถูก เพราะคนสร้างก็เป็นเอกชน แต่ผมดูข่าวแล้วพบว่ากองทัพเอาไปให้ทหารดู มันพิลึกมาก ฉายทำไม ไม่จำเป็นเลย ทำเหมือนว่าหนังนั้นคือข้อเท็จจริง เป็นสิ่งถูกต้อง นี่กำลังดูอยู่ว่า สุริโยไท จะเกณฑ์นักเรียนไปดูอีกหรือเปล่า ผมว่าแบบนี้ไม่ถูก


GM : อาจารย์กำลังจะบอกว่าความจริงมันหมุนไปตลอดเวลา ทุกอย่างเปลี่ยนไปตามการศึกษาค้นคว้า ฉะนั้น ไม่ควรจะยึดติดอะไร


สมศักดิ์ : แน่นอน ผมคิดว่าเรื่องประวัติศาสตร์และความคิดต่างๆ ไม่ควรมี official version อยู่แล้ว งานศิลปะยิ่งไม่ควรมี คุณจะเสนอแบบไหน เขียนแบบไหน ลองคิดดูถ้าสปอนเซอร์ของหนังเหล่านี้ หรือคนที่ชอบหนังแบบนี้เผอิญว่าเป็นคนมี authority ในสังคม แล้วเขาอาศัยหนังเป็นประโยชน์ต่อการโปรโมตไอเดียตัวเอง มันน่ากลัว อย่างเอกชนสร้างมา ควรปล่อยให้ตลาดตัดสิน ชอบก็ไปดู ไม่ชอบก็แล้วไป นักวิชาการไม่ชอบก็เขียนวิจารณ์ให้เละเทะยังไงก็ได้

ทุกฝ่ายควรจะเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องเสรี เรามีสิทธิ์ที่จะเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ไม่ใช้กลไกอำนาจรัฐทั้งทางตรงทางอ้อมไปโปรโมตว่าคุณต้องเชื่อ นี่คือปัญหา อย่างย่าโม พอใครไม่เชื่อขึ้นมา กลายเป็นเรื่องใหญ่โต นักการเมืองท้องถิ่น หัวคะแนนช่วยกันประท้วงใหญ่ ข่มขู่ชนิดจะเอาให้ตาย สังคมไทยไม่มีประเพณีของการเปิดกว้าง และให้เสรีในการคุยกันเรื่องอดีต ใครคิดไม่ตรงกับ official version มีปัญหาทันที

สังคมไทยยังมีแนวโน้มด้วยว่าเราควรจะต้องเชื่อเหมือนๆ กัน รู้สึกว่าถ้าเชื่อไม่เหมือนกันแล้วความมั่นคงน้อยลงไป เราถูกสอนมาตั้งแต่เด็กว่าเกิดวีรกรรมต่างๆ ในอดีตนั้น เราไม่เชื่อไม่ได้ ถูกบังคับทั้งทางตรงทางอ้อม


GM : เกิดอะไรขึ้น ทำไมเราจึงไม่ค่อยรู้เลยว่าข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์เป็นยังไง ไม่ว่าเรื่องพระสุริโยไท ท้าวสุรนารี พระเจ้าตากสิน


สมศักดิ์ : ไม่มีวันรู้ ตราบใดที่เรายังไม่ฟรีความคิดทางประวัติศาสตร์กันจริงๆ คนที่อยากเขียนประวัติศาสตร์โดยใช้ชาติ หรือพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์กลางก็โอเค ตราบใดที่ไม่มี official version ทำไป ไม่มีการใช้อำนาจทางตรงทางอ้อม มาทำให้สิ่งนี้เป็นที่ยอมรับของคน เอาเลย ตราบใดที่เราปล่อยให้การเขียนประวัติศาสตร์เหมือนการทำงานทางความคิดอื่นๆ เป็นเรื่องที่มีเสรีภาพ ถ้าทำแบบนี้ได้ ใครอยากเขียน หรือคิดจะเอาใครเป็นศูนย์กลางก็ได้

ถ้าจะถามแบบเจาะเป็นรายบุคคล ผมไม่ค่อยได้ติดตามนัก สุพรรณกัลยา พระเจ้าตาก สุริโยไท สิ่งที่น่าสนใจ ผมมองเป็นเรื่องปัจจุบันมากกว่าเรื่องอดีต เช่น การที่คนไปเชื่อบางอย่างแล้ว แหม! นำโชคลาภ นี่เรื่องปัจจุบันมากกว่า เรื่องเสด็จพ่อ ร.5 เป็นมายาอย่างหนึ่ง เอาตัวเองผูกกับฟิกเกอร์บางอย่างในอดีต เพื่อได้โชค หรือแก้ปัญหาในปัจจุบัน

ผมไม่เห็นด้วย มันไม่มีอันตรายอะไรที่ไม่บังคับให้ใครเชื่อตาม สำหรับผม คิดว่าเป็นมายา เป็นความหลงมากกว่า แม้กระทั่งเรื่อง บางระจัน มีคนพูดว่าเราต้องเป็นแบบชาวบ้านบางระจัน มันจะเป็นได้ยังไง ในเมื่อมันห่างกันตั้งกี่ร้อยปี เราไม่มีทางรู้มากมายว่าชาวบ้านเขาเป็นยังไง


GM : ถ้าโฟกัสมาที่ประวัติศาสตร์เหตุการณ์เดือนตุลาคม อาจารย์สนใจอะไร


สมศักดิ์ : ผมหาแง่มุมบางอย่างของ 14 ตุลาคม 2516 พยายามย้อนคิดเรื่องเหตุการณ์ว่ามีรายละเอียดเป็นยังไง เกิดอะไรขึ้น เพราะอะไร จะตีความยังไง ส่วน 6 ตุลาคม 2519 ก็คิดอยู่ว่าจะตีความยังไง ว่าไปแล้วเรื่องนี้ยังใหม่มาก เพราะที่ผ่านมายังไม่มีการคุยหรือทำงานเรื่องนี้อย่างจริงจัง มีบ้าง แต่ส่วนมากสรุปไปที่ประเด็นการต่อสู้เพื่ประชาธิปไตย ผมว่ามันกว้างไป ทำไมนักศึกษาหันไปเป็นฝ่ายซ้าย เรื่องพวกนี้น่าคิด น่าค้น เสนอการตีความได้อีกเยอะ ตอนนี้เพิ่งเริ่มต้น ผมก็เริ่มต้นคิดอย่างซีเรียสไม่กี่ปี


GM : อาจารย์คิดอะไรบ้าง ได้คำตอบหรือยัง


สมศักดิ์ : ผมทบทวนใหม่ว้ามันเกิดการปะทะได้ยังไง ในเช้าวันนั้น จริงๆ แล้ว เกิดยังไง ฝ่ายไหนทำให้เกิดการปะทะ เราจะอธิบายยังไง ทำไมหลัง 14 ตุลาฯ นักศึกษาไปเป็นสังคมนิยม แล้ว 6 ตุลาฯ เป็นอุบัติเหตุหรือเปล่า มีละครแล้วยังไงต่อ เป็นการวางแผนของใครไหม หรือเป็นอุบัติเหตุ มีเหตุการณ์รุนแรงยังไง หนังสือพิมพ์อะไรออกมาบ้าง

ผมมานั่งคิดใหม่เยอะ เริ่มคิดเบสิกเลย โฟกัสเฉพาะรูปธรรมก่อน เบสิกเหล่านี้ยังไม่เคลียร์เพราะข้อมูลบางอย่างเราเข้าถึงไม่ได้ แง่ความทรงจำ หลายคนก็ไม่อยากพูดถึง แต่มีเรื่องใหญ่กว่านั้น การตีความด้วย ข้อมูลด้วย การคิด ศึกษาเรื่องนี้อย่างซีเรียส เราจะหาไดไหมว่าใครน่าจะรับผิดชอบที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ปะทะ รวมทั้งเรื่องใหญ่กว่านั้น ในเชิงปัญหาสภาพสังคมและชนชั้น


GM : รู้สึกว่าที่ผ่านมา มันจะเป็นไปแบบต่างคนต่างคิดไปเอง ไม่มีข้อมูล


สมศักดิ์ : เรากล้าเผชิญความจริงอย่างซีเรียสหรือเปล่า คนในรัฐบาลทักษิณตอนนี้เป็นอดีตแอคติวิสต์เยอะ น่าจะทำได้ เปิดหลักฐานของสำนักเลขาฯ รัฐมนตรี น่าเข้าไปดู บันทึกการประชุม เขาคุยยังไง เช้าวันที่ 6 ตุลาฯ เรายังไม่รู้ บันทึกการประชุมต้องมี ถ้าซีเรียสจริง รัฐบาลทักษิณควรจะทำ แต่แน่นอนว่าต้องไม่ใช่การทำ official version ถ้าทำ ต้องทำแบบเปิด ทำให้หลักฐานที่มีในมือรัฐ open โชว์บันทึกเรื่องการสั่งการ ใครสั่ง ตำรวจยกกำลังมาบุกธรรมศาสตร์ด้วยจำนวนขนาดนั้น รายงานต้องมีเก็บไว้ตามหน่วยงานราชการ ถ้าราชการอยากทำ ทำได้ ตั้งกรรมการขึ้นมา ทำให้เอกสารทั้งหมดเปิดเผยออกมาให้คนวิพากษ์วิจารณ์กัน ให้คนคิด

แต่เขาไม่ทำหรอก ขี้เกียจรื้อฟื้นเรื่องเก่า โดยส่วนตัว หลังๆ ผมเชื่อว่ารูปธรรมจริงๆ ของวันที่ 6 เป็นอุบัติเหตุ คือเราไม่ได้ตั้งใจแสดงละคร ละครมันฟลุค รูปที่ถ่ายออกไปก็ฟลุค เผอิญวันรุ่งขึ้นอีกวันมีคนไปชุมนุมหน้าทำเนียบ เขาไม่ค่อยชอบนักศึกษาอยู่แล้วก็เลยพากันมองภาพนั้นไปอีกทาง แต่เซตติ้งไม่ฟลุค เป็นการเรียกร้อง การชุมนุม ถึงเวลาฟลุคปุ๊บ เขาระดมได้ทันที เซตติ้งมีอยู่แล้ว

แม้แต่คนรัฐประหาร เขาหาจังหวะมานาน ไม่ลงตัวสักที จังหวะนั้นมันเป็นเรื่องฟลุคในเซ้นส์นี้ แง่หนึ่งผมว่า irony เหมือนกันที่มาฟลุคในเรื่องง่ายๆ แบบนี้ เล่นละคร เราไม่รู้เรื่อง คนถ่ายรูป ถ่ายไป ไม่มีอะไร ลงกรอบบ่ายวันที่ 4 ก็ไม่มีอะไร จนเช้าวันที่ 5 บางกอกโพสต์ ลงไป บังเอิญมีคนตาหาเรื่อง รวมๆ แล้วผมว่าเป็นอุบัติเหตุ แต่มีเซตติ้งอยู่ มีรัฐบาลทหารอยู่ มีกลุ่มอื่นๆ อยู่ที่จะคอยฉวยโอกาส


GM : แล้วในยุคที่ข้อมูลข่าวสารเปิดกว้างจนแทบจะเรียกได้ว่าไร้ขีดจำกัดอย่างนี้ อาจารย์คิดว่าเราใจกว้างกันแค่ไหนแล้วในเรื่องข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์


สมศักดิ์ : ผมว่าไม่ต่างจากเมื่อก่อนสักเท่าไร เป็นไปได้ว่าคนไทยไม่ซีเรียสเรื่องอดีตว่ามันเกิดอะไรขึ้น ผมว่าคนของเราแคร์เรื่องปัจจุบันมากกว่า แม้กระทั่งกรณีพฤษภาทมิฬ เอาเข้าจริง รายละเอียดเป็นยังไง ที่มาที่ไป เรายังไม่รู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น ส่วน 14 ตุลาฯ ยังไม่ต้องพูดเลย ผ่านมาตั้ง 20 กว่าปี ยังไม่มีอะไรชัดเจน ถึงตอนนี้ก็ยังตกลงไม่ได้ว่าจะเขียนตำราออกมาไหม เพราะไม่รู้จะเขียนยังไง ผมจึงรู้สึกว่ามันไม่ต่างกันนักจากยุคก่อน

ดูเหมือนว่ายุคนี้ทุกอย่างเปิดกว้าง แต่ไม่จริงหรอก ยังมีข้อจำกัดเต็มไปหมด โอเค มันอาจจะเปิดมากขึ้นบ้างในเชิงวัฒนธรรมหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะเรื่องเซ็กซ์ เรื่องส่วนตัวในมิติต่างๆ แต่เรื่องทางประวัติศาสตร์ที่มีผลกระทบทางการเมือง สังคม ยังไม่เปลี่ยน คนไทยส่วนใหญ่อาจจะรู้สึกว่าถ้าผ่านไปแล้วก็ให้ผ่านไป ไม่ต้องมารื้อฟื้นใหม่


GM : สะท้อนออกมาชัดๆ ในคำว่า “คนไทยลืมง่าย” อย่างนั้นหรือเปล่า ทำไมเราจึงเป็นคนพวกผ่านแล้วผ่านเลย อาจารย์พอจะวิเคราะห์ได้ไหมว่า ทำไมเราไม่ค่อยให้ความสำคัญกับอดีต


สมศักดิ์ : ผมว่าไม่เฉพาะคนไทย แต่คนตะวันออกมีลักษณะอย่างหนึ่งคือไม่ซีเรียสเรื่องประวัติศาสตร์ ประเทศใหญ่ๆ มีวัฒนธรรมยาวนาน อย่างจีนและอินเดียก็เป็นอย่างนี้ ขณะที่พวกฝรั่งซีเรียส เหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 และหลายๆ เหตุการณ์ซึ่งจะว่าไปก็เกิดขึ้นก่อน 14 ตุลาฯ เป็นสิบๆ ปี แต่เขายังจับคนที่เป็นนาซีล้างเผ่าพันธุ์ขึ้นมาสืบสวน ขณะที่ทางเอเชียมักปล่อยผ่าน วัฒนธรรมดึกดำบรรพ์ของเราไม่เน้นที่ประวัติศาสตร์ ที่สำคัญมากๆ

ผมว่าอำนาจต่อรองของคนระดับล่างในสังคมเหล่านี้อ่อนมากเมื่อเทียบกับสังคมตะวันตก สังคมพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับคนมือเปื้อนเลือดหรือเปล่า พร้อมที่จะจัดการปัญหาค้างคาไหม เอามาลงโทษไหม ซึ่งที่ผ่านมา เราไม่เคยเห็นภาพนั้น ไปๆ มาๆ มันจะกลายเป็นเรื่องอำนาจในการต่อรอง ถ้าคนระดับล่างไม่มีอำนาจในการต่อรอง ไม่มีเพาเวอร์พอ มันก็เงียบ เพราะคนเสียประโยชน์มีเพาเวอร์มากกว่า

อย่างจีนกับญี่ปุ่นในความจริงตอนนี้ จีนต้องพึ่งญี่ปุ่นมาก ก็ไม่อยากจะรื้อฟื้นเรื่องนานกิงขึ้นมา แม้ว่าคนที่เสียประโยชน์ คนที่พ่อแม่ของเขาถูกฆ่า และพวกที่ถูกเอาไปเป็นที่ระบายความใคร่ให้ทหารญี่ปุ่น แต่คนพวกนี้ไมมีพลังพอจะต่อรอง อำนาจไม่มีม่กมายพอจะไปฟัดเหวี่ยงกับรัฐ ผมว่าของเราก็คล้ายๆ กัน


GM : กลายเป็นว่าที่เงียบๆ หายไปนั้น เพราะขาดอำนาจต่อรอง?


สมศักดิ์ : ใช่, คือนอกจากประเด็นทางวิธีคิดและมุมมองแล้ว อำนาจของคนระดับล่างในเอเชียยังอ่อนมาก ประวัติศาสตร์แทบทุกเรื่องจึงยังมืดดำ เป็นปัญหาที่ไม่ค่อยมีคนรู้ อย่างคุณอยากจะสะสางเรื่อง 14 ตุลาฯ มันก็ต้องมีอำนาจต่อรองเพียงพอที่จะบังคับให้คนทำผิดขณะนั้นมารับผิด ถามว่าเป็นไปได้ไหม พูด ณ ขณะนี้ ผมยังมองไม่เห็นอนาคต เพราะในประเทศตะวันออกทั่วไป รัฐและผู้มีอิทธิพลมีอำนาจสูงกว่าคนระดับล่างมาก เมื่อเป็นอย่างนี้บ่อยครั้งคนระดับล่างก็ต้องปลงๆ กันไป

คุณจะให้ทำยังไงล่ะ เกิดผมเป็นญาติคนตาย ก็ไม่รู้จะฟ้องร้องยังไง เพราะทั้งระบบไม่เอื้อให้คุณฟ้องร้องค่าเสียหายอะไรได้ เหมือนกับว่าเรื่องมันจบไปแล้วด้วยเพราะคณะกรรมการกฤษฎีกาเรกคอมเมนด์ว่าเอาผิดเขาไม่ได้เพราะเขาออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้ตัวเองแล้ว ถ้าเราจะเอาผิด มันเท่ากับเป็นการกระทำย้อนหลัง ซึ่งจริงๆ มันไม่ใช่การย้อนหลัง เพราะไอ้กฎหมายนิรโทษกรรมนี่แหละ ความจริงมันเป็นตัวย้อนหลังต่างหาก คนที่ออกกฎหมายนิรโทษกรรมตัวเอง มันกระทำย้อนหลังอยู่เห็นๆ

โดยความจริง ถ้าเขาทำผิด เช่น ใช้อำนาจเกินกว่าเหตุ เขาก็ควรจะถูกตัดสินจากกฎหมายของตอนนั้น ไม่ใช่มาออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้ตัวเอง บ้านเรามันเป็นแบบนี้ตลอดและพอกฤษฎีกาเรกคอมเมนด์แบบนี้ รัฐบาลก็บอกว่า โอเค ยุติ พวกญาติๆ จะทำอะไรได้ล่ะคราวนี้ เพราะทั้ง establishment ไม่อยากรื้อฟื้น ทั้งชนชั้นผู้นำที่อยู่ในอำนาจทั้งหมด กองทัพ ปัญญาชนในเครือข่ายกฎหมาย รัฐบาล พลเรือน ทุกคนไม่อยากรื้อฟื้น คนที่เสียประโยชน์ไม่มีอำนาจ เขาจะทำอะไรได้ มันจึงเกิดภาวะอย่างนี้อยู่เรื่อย ไม่ใช่ว่าคนไม่อยากพูดถึงประวัติศาสตร์ แต่เพาเวอร์ในสังคมไม่สมดุล

คุณดูแค่เหตุการณ์ 17 พฤษภาฯ นี่มันใกล้กับปัจจุบันมากเลยนะ และเป็นยุคที่มีสื่อมวลชนแข็งแรงมาก สังคมก็เปิดกว้าง แต่กลับยังลี้ลับเพราะเรื่องอย่างนี้ไม่ใช่แค่คนสองคนเห็นด้วยก็สามารถรื้อฟื้นได้ แต่ที่ผมใช้คำว่า establishment คือทั้งระบบ คนในวงการ กฎหมาย ศาล ต้องตีความไปในทางเดียวกันว่ากฎหมายนิรโทษกรรมมันใช้ไม่ได้ ต้องใช้กฎหมายตอนที่เกิดเหตุการณ์สิ 14 ตุลาฯ 6 ตุลาฯ และรัฐประหารต่างๆ พวกนี้ออกกฎหมายย้อนหลังทั้งนั้น เอาเข้าจริงๆ คนก่อการรัฐประหารก็ผิด

คุณรัฐประหารก็คือคุณทำผิดกฎหมาย แต่พอรัฐประหารเสร็จ คุณก็ออกกฎหมายนิรโทษกรรมตัวเอง นั่นเท่ากับเป็นการออกกฎหมายย้อนหลัง ซึ่งถ้าทั้งระบบเห็นว่าวิธีการแบบนี้ไม่ถูก ก็ต้องแก้กันอย่างตรงไปตรงมา แต่ความที่มันเป็นเรื่องใหญ่ จะรื้อขึ้นมาไม่ใช่ง่าย ต้องอาศัยคนทั้ง establishment เห็นด้วย และอำนาจต่อรองชาวบ้านต้องสูงกว่านี้


GM : แปลว่าทางฝั่งประชาชนจะรอหรือหวังพึ่งพลังของนักคิด ปัญญาชน คงไม่พอ แต่จะต้องรวมพลังกันลุกขึ้นต่อสู้ด้วยตัวเองด้วย


สมศักดิ์ : รอไม่ได้แน่นอน ทุกคนต้องเอาด้วย แง่หนึ่ง ผมชอบคำว่า irony และรู้สึกปลงไปหรือเปล่าไม่รู้ คือถ้าเราไม่คิดอะไรมาก บ้านเราก็เป็นสังคมที่มีความสุขดี (หัวเราะ) หมายความว่าถ้าเราไม่คิดว่าคนเสียประโยชน์จะปัญหา มองข้ามตรงนั้นไป เราก็ไม่ต้องตั้งคำถามกับตัวเอง อย่างที่ฝรั่งชอบทำ self questioning ทำไมๆๆ ถามตัวเองตลอดเวลากับเรื่องที่มันเกิดขึ้นไปแล้วตั้ง 2-3 เจเนอเรชั่น อย่างพวกเยอรมนีที่ครุ่นคิดเรื่องนาซี เรื่องสงครามโลก ขณะที่ของเราลืมไปหมด และอยู่กันอย่างสงบสุข ผมไม่แน่ใจเหมือนกันในแง่หนึ่ง การเป็นอย่างนี้อาจจะดีกว่าฝรั่งก็ได้ ดีกว่าคือมีความสุขกว่า ปล่อยวาง และปลงกับชีวิต

ชีวิตคนตะวันออกมีความสุขมากกว่าคนตะวันตก เพราะผู้คนไม่ค่อยตั้งคำถามกับตัวเองตลอดเวลา เราปล่อยวาง อะไรผ่านแล้วก็ให้ผ่านไป เพราะถ้าตั้งคำถามกับตัวเองบ่อยๆ จะมากจะน้อยปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเจ็บปวด อย่างเรื่อง 6 ตุลาฯ มีคนส่วนหนึ่งเหมือนกันที่ออกมาเชียร์ให้จัดการนักศึกษา ถ้าคุณเก็บมาคิด มันต้องเจ็บปวดขึ้นมาอีก ตรงกันข้าม ถ้าปล่อยวาง ก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ ยกเว้นญาติของคนตาย นั่นเขาคงสุขไม่ได้อยู่แล้ว แต่จะทำยังไง ในเมื่อทั้งระบบของเราเป็นแบบนี้


GM : โดยส่วนตัว อาจารย์เลือกข้างไหน หรือชอบอะไรมากกว่า ระหว่างการรื้อฟื้น กับปล่อยให้มันผ่านไป


สมศักดิ์ : ผมอยากให้เปิดความจริงทั้งหมด เพราะผมเรียลิสติกพอ แต่ผมก็โตพอที่จะรู้ว่าสังคมไทยไม่สามารถเปลี่ยนความคิด ความเชื่อ และประเพณีทั้งหมดได้ในชั่วข้ามคืน แต่ถ้าเราพร้อมใจกันรื้อฟื้นทุกเรื่องในอดีต ผมว่าจะสามารถพลิกสังคมเยอะมากๆ ผมไม่มองว่ามันดีนักหรอกที่เรามีความสุขในการลืมเรื่องเก่า ผมเปิดกว้างพอที่จะรับความจริง แต่อย่างที่ว่า ผมมองไม่เห็นอนาคตที่จะทำได้ในระยะอันใกล้นี้ เพราะเป็นเรื่องใหญ่มาก มีราคาที่ต้องจ่าย ต้องตั้งคำถามกับตัวเองมากมาย


GM : อาจารย์คิดว่าการละเลยประวัติศาสตร์ก็ดี การไม่สนใจอดีตก็ดี สิ่งเหล่านี้ทำให้ประเทศไทยเสียโอกาสอะไรไปบ้างหรือเปล่า


สมศักดิ์ : พูดยาก แต่โดยทั่วไปทุกวันนี้ จีนกับญี่ปุ่นก็ทำการค้ากันไป โดยฝ่ายจีนไม่เคยรื้อฟื้นด้วยซ้ำ เพราะความสัมพันธ์เชิงเศรษฐกิจกับญี่ปุ่นมันแน่นมาก จะมีพูดคุยเสวนาอะไรกันบ้างก็ตอนวันสำคัญๆ แต่ไม่มีอะไรมากมาย หรือถ้าญี่ปุ่นทำอะไรเวอร์เกินไป เช่น ออกหนังสือแบบเรียนมาว่าตนเองไม่เคยทำอะไรเสียหายต่อจีน จีนก็อาจประท้วงกันสักครั้ง

ถ้าถามว่าเสียโอกาสไหม มันพูดยาก เพราะถ้ายกคำว่า “ชีวิตเป็นสุข” มาพูด ก็โอเคนะขืนถ้าคนลงมือรื้อฟื้นทุกเรื่อง ทำกันอย่างซีเรียส แน่นอนมันจะเกิดความปั่นป่วนทางสังคมได้ ทั้งนี้ ผมก็ไม่เห็นด้วยที่เราจะเลี่ยงความปั่นป่วนด้วยการอยู่เฉยๆ ผมว่าไม่ใช่ ผมอยากให้สังคมเราเปิดมากกว่านี้ open and free เพราะจะทำให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้น สังคมมีเสรีมากขึ้น ถ้าถามว่าจะได้อะไรจากการเปิด ผมว่าไม่มีรูปธรรมหรอก ตีเป็นเงิน ตีเป็นเศรษฐกิจ ตีเป็นโอกาส ไม่ได้

แต่จะได้ในแง่ว่าทำให้สังคมเปิดมากขึ้น จริงใจต่อกันและมีเสรีภาพมากขึ้น เป็นการปลดปล่อยพลังสร้างสรรค์ของคนให้มากขึ้น และผมชอบแบบนี้มากกว่า ขณะเดียวกันผมก็เข้าใจความจริงว่ามันลำบากที่จะทำ มองไม่เห็นอนาคตว่ามันจะเป็นไปได้กับการเอาผู้กระทำผิดมาลงโทษ คนจะรับภาพได้ไหม ไม่ง่ายนะ กรณีนานกิงอธิบายได้ชัดมาก ญี่ป่นไปฆ่าคนจีนตั้งหลายหมื่นคน จนป่านนี้ยังไม่มีการเปิดเผย ไม่มีการชดใช่ค้าเสียหาย นี่ไง คนตะวันออกอยู่ด้วยภาวะแบบนี้


GM : ในแวดวงวิชาการประวัติศาสตร์บ้านเราตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง อาจารย์รู้สึกว่ามันแห้งแล้งไหม


สมศักดิ์ : เงียบเหงาพอสมควร พูดตรงๆ 7-8ปีมานี้ ผมไม่เชื่อว่ามีชุมชนวิชาการอยู่จริง ไม่มี journal ที่ออกประจำ ไม่มีการถกเถียง เสวนา และที่ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งคือเรื่องทุน สกว. (สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการวิจัย) ผมว่านี่เป็นการสะท้อนการเติบโตของชนชั้นกลางไทย มันเป็นการเปลี่ยนยุคสมัยทีเดียว สมัยก่อนนักวิชาการจะทำวิจัยสักครั้ง หาทุนแทบเป็นแทบตายกว่าจะได้

แม้กระทั่งงานที่สร้างชื่อให้ อ.นิธิ เอียวศรีวงศ์ นั่นก็ได้ทุนไม่กี่บาท แต่ระยะหลัง ทุน สกว. สะพัดมาก สะพัดจนผมคิดว่าเกิดภาวะตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ เช่นให้ทุน 10 ล้านต่อโปรเจ็กต์ มีนักวิชาการรับผิดชอบเป็นสิบคน แบ่งกันคนละล้าน แต่ละคนยังไปแตกไลน์ แต่งานออกมาก็งั้นๆ นี่พูดแบบนี้ก็ลำบากอีก เพราะคนที่ทำก็เพื่อนฝูงทั้งนั้น


GM : มันแย่ถึงขนาดใช้คำว่าตำน้ำพริกละลายแม่น้ำได้เลยจริงๆ หรือ


สมศักดิ์ : ใช่, ไม่มีการเถียงกันอย่างซีเรียส ทุกวันนี้มีแต่เงิน ตอนนี้งานวิจัยเกือบจะกลายเป็นภาวะ mass product อย่างหนึ่ง เพราะมีตลาดมีเงินให้ทำ ไม่ใช่ผลิตเพราะลงลึกจริงๆ เหนืออื่นใด งานวิจัย สกว. ที่โดดเด่นจริงๆ ผมนึกไม่ค่อยออกนะ พูดกันตรงๆ ก็คือเพื่อนฝูงทำ เพราะมันมีปัญหาในหมู่นักวิชาการ คือเงินเดือนอาจารย์น้อยมาก ต้องยอมรับว่าการวิจัยเป็นรายได้อย่างหนึ่ง

พูดไปเขาก็หาว่าผมไม่เดือดร้อนเรื่องเงิน แล้วมาวิจารณ์คนอื่น ซึ่งจริงๆ ไม่เกี่ยว คุณลองดูงานที่ทำอยู่ทุกวันนี้ว่าน่าสนใจหรือเปล่า หรือเกิดภาวะละลายแม่น้ำจริงๆ เป็นไปได้ยังไง วงวิชาการไม่มี journal ไม่มีเวทีมาถกเถียงปัญหาอย่างซีเรียส ผมว่าน่าห่วง ต่างคนต่างทำ ผลิตป้อนไป งานวิชาการไม่น่ารับใช้ตลาดขนาดนั้น


GM : แล้วนักวิชาการคนไหนบ้างที่มีงานดีๆ ที่ประชาชนควรจะรับฟัง


สมศักดิ์ : ตั้งแต่ 17 พฤษภาคม 2535 เป็นต้นมา ผมว่าประชาชนฟังนักวิชาการมากเกินไป นักวิชาการมีฐานะที่เป็นอภิสิทธ์ทางสังคมมากเกินไป ไม่มีการวิพากษ์วิจารณ์ ตรวจสอบความคิดอย่างซีเรียส อย่างเรื่อง สกว. น่าจะทบทวน เพราะมันมีเงินเยอะ ผลิตงานกันเหมือนโรงงาน ใครอยากผลิตเสนอ สกว. ทั้งนั้น ด้านหนึ่งก็มีข้อดี แต่ตอนนี้ถึงจุดที่ว่ามีเงินเสียอย่าง ใครทำอย่างไรก็ได้ ไม่ลึกซึ้ง ทำเสร็จก็จบ เงียบ ไม่มีคุณภาพ เมื่อก่อนมีเงินน้อย นั่งคิดนาน ค้นคว้า มีเวลาเอาใจใส่มันจริงๆ คงเหมือนการทำงานศิลปะทั่วไป ถ้าลงลึกกับมันจริงๆ ละเอียดกับความคิด ความรู้สึก ผมว่าน่าจะได้งานที่ดี


GM : จากนักศึกษาที่ขึ้นเวทีไฮด์ปาร์ค แล้วถูกจับติดคุก จนมาเป็นอาจารย์ แล้วเชื่อมโยงอย่างไรถึงมาเป็น ผี ท่าพระจันทร์ ในวันนี้


สมศักดิ์ : ผมไม่ใช่ ผี ท่าพระจันทร์ ใครๆ ชอบหาว่าผมเป็น (หัวเราะ) นี่คุณไปได้มาได้ไง คนชอบว่าผมเป็น แต่เอาเถอะ เป็นหรือไม่เป็น ผมว่าไม่สำคัญ ผมไม่สนใจว่าเป็นใคร ผมสนใจแง่ issue มากกว่า


GM : แนวคิด ผี ท่าพระจันทร์ คืออะไร


สมศักดิ์ : จริงๆ คุณต้องไปถาม ผีท่าพระจันทร์ (หัวเราะ) แต่ถ้าถามผม เท่าที่ได้อ่าน เรื่องที่เขาคัดค้านว่าจะย้ายหรือไม่ย้ายธรรมศาสตร์นั้น ความเห็นผม ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ที่ไม่เห็นด้วยกับการย้าย ก็เพราะเดือดร้อนเรื่องการย้ายบ้าน เดือดร้อนเรื่องการเดินทาง มันเป็นเรื่องส่วนตัวมากเลยนะ ซึ่งผมรับได้ เพราะเป็นความเดือดร้อนจริงๆ

ต้องเรียนก่อนว่าเรื่องนี้ไม่มีความหมายกับผม เพราะผมอยู่กลางระหว่างสองแคมปัสนี้พอดี แต่คนจำนวนมากมีปัญหาเดือดร้อน ทุกครั้งที่มีการสำรวจ ปัญหานี้เดือดร้อนมาก แต่ก่อนหน้านี้ไม่มีการพูด อาจจะไม่กล้าพูดเพราะเห็นว่าเป็นเรื่องส่วนตัว ก็เงียบๆ ไป ไม่ได้หาทางออก คราวนี้พอจุดประเด็นเรื่องจิตวิญญาณ ฟังดูเป็นเรื่องอุดมการณ์ เป็นเรื่องส่วนรวม กลายเป็นร้อนแรงขึ้นมา

คือถ้าเอาเรื่องย้ายบ้านมาพูด มันไม่น่าฟัง แม้ว่ายกเรื่องจิตวิญญาณมาอ้าง ผมก็ไม่ซื้อมันในการเป็นเหตุผล เพราะจริงๆ แล้วจิตวิญญาณมันขึ้นอยู่กับปัจจุบัน แต่จิตวิญญาณธรรมศาสตร์ตายไปเป็นสิบปีแล้ว หายไปนาน ก่อนหน้านี้ไม่มีคนพูดเรื่องนี้ ทั้งที่รู้ว่าจะย้าย ทำไมคนไม่โวยวายเพราะจิตวิญญาณตายมานานแล้ว คนไม่อยากหยิบมาพูด ผมเชื่อว่าจิตวิญญาณขึ้นอยู่กับปัจจุบัน ถ้าปัจจุบันไม่มี ก็คือไม่มี คือถ้าคุณซีเรียสเรื่องจิตวิญญาณจริง หลายๆ เรื่องในธรรมศาสตร์มันไม่เป็นเรื่องอย่างนี้หรอก


GM : จิตวิญญาณที่ว่าตายเพราะอะไร


สมศักดิ์ : เมื่อก่อนเรามีขบวนการนักศึกษา พอไม่มีปุ๊บก็หมด จิตวิญญาณไม่ใช่เรื่องลึกลับซับซ้อนอะไร เป็นเรื่องของความจริง ถ้ามีขบวนการนักศึกษาก็มีกิจกรรมทางการเมือง ถ้าไม่มี ไม่ว่าคุณจะอ้างคำขวัญอะไรก็กลวง เหมือนคฤหาสน์ใหญ่ๆ ที่ว่างเปล่า ความจริงผมชอบบรรยากาศที่นี่ เพราะมันแคบ คณะต่างๆ เดิน 2-3 นาที เจอกันแล้ว จัดกิจกรรมพูดคุย ระดมอาจารย์ได้สบายมาก พีอาร์เล็กๆ มีคนฟัง 100-200 คน

คณะที่จุฬาฯ แค่รัฐศาสตร์คณะเดียวมีตั้ง 4 ตึก อาจารย์ที่อยู่คนละตึกไม่ค่อยได้สังสรรค์กัน แต่ที่นี่ใกล้ชิดกัน ผมชอบ มีอยู่ที่นี่ที่เดียวอาจารย์ที่เป็นคนรุ่นผม ปัญญาชนสาธารณะต่างๆ ก็ว่าดี ผมก็ว่าดี แต่นี่ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญขนาดที่จะเรียกว่านี่คือจิตวิญญาณ หรือสัญลักษณ์พิทักษ์ธรรม ไม่ใช่ ไม่ถึงขั้นนั้น เป็นแค่แง่มุมบางอย่างเท่านั้น จะว่าไปก็เป็นส่วนน้อยของธรรมศาสตร์ อาจารย์ที่สนใจสังคมมีน้อย ถ้าคุณมาวันที่มีการชุมนุมเรื่องย้ายหรือไม่ย้าย ก็จะเห็นว่ามีคนมา 400-500 คน ไม่ได้มีเป็นพัน

แต่เปรียบเทียบกับที่อื่นก็ยังเหนือกว่า ผมเคยอยู่จุฬาฯ อยู่ ม.เกษตรฯ เลือดตาแทบกระเด็นกว่าจะระดมคนมาฟังได้ เป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่ที่ผมคัดค้านและวิจารณ์แคมเปญนี้มาตลอดเพราะมันทำให้ไขว้เขว หลายคนกำลังเข้าใจว่าบรรยากาศเหล่านี้คือสัญลักษณ์พิทักษ์ธรรม ถ้าย้ายไปจะเสียสัญลักษณ์พิทักษ์ ป้อมปราการการต่อสู้พัง มันคนละเรื่อง


GM : ถ้าถามในประเด็นนี้ อาจารย์เห็นด้วยหรือไม่กับการย้ายมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


สมศักดิ์ : ผมไม่สามารถตอบได้ตรงๆ แต่ปัญหาคืออย่างนี้ พอคุณยกคำว่าจิตวิญญาณมาอ้าง ภาพมันออกไปอีกแบบเลย ประเด็นของผมคือถ้าที่พระจันทร์เต็ม คับแคบเกินไปแล้วคุณจะแก้ยังไง เอ้า! เรามาว่ากันตรงไปตรงมา ไม่ใช่เอาเรื่องจิตวิญญาณมาอ้าง เพราะมันเป็นการอ้างที่ใหญ่โตและไม่เป็นจริง จิตวิญญาณตายไปเป็นสิบปีแล้ว

ความสำคัญของธรรมศาตร์ต่อประชาธิปไตยไทยก็เกือบจะไม่เหลือแล้วในปัจจุบัน หรือตัวอย่างง่ายๆ อ.ชาญวิทย์ (ชาญวิทย์ เกษตรศิริ) เพิ่มนักศึกษาโครงการพิเศษ 200 คน ในปีเดียว ถามว่ามีส่วนรับผิดชอบไหม ผมก็ว่ามี ไม่ต้องเถียงกันถึงว่าตอนนั้นแกเป็นผู้บริหารซึ่งอาจจะมีส่วนในการผลักดันหรือเปล่า นี่ยังเถียงได้ ผมว่าแกมีส่วนสำคัญมากด้วย แต่เมื่อคุณมาพูดแบบนี้ กลายเป็นไขว้เขว แล้วไปโยงกับเรื่องเกาะรัตนโกสินทร์ ซึ่งผมไม่เห็นด้วยเลย เป็นเรื่อง silly มาก ไม่เห็นเกี่ยวกับเรื่องย้ายธรรมศาสตร์ตรงไหน

ถามผมว่าคิดยังไงกับเรื่องย้ายหรือไม่ย้าย พูดตรงๆ ผมไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องสำคัญ สำหรับผม เอายังไงก็ได้ ขอให้ศึกษาและคิดหน้าคิดหลังดีแล้วก็ว่ากันไป ผมไม่เห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่โต ถ้าย้ายพรุ่งนี้ จะทำให้ขาดสัญลักษณ์พิทักษ์ธรรมไหม ตอบได้เลยว่าไม่ แต่ถ้าถามว่าจะทำให้เสียบรรยากาศชุมชนทางปัญญาและกิจกรรมบางอย่างไหม ก็เสียบ้าง


GM : บรรยากาศดีๆ ที่ว่านั้นสร้างขึ้นใหม่ไม่ได้หรือ


สมศักดิ์ : ผมไม่แน่ใจ อาจไม่ได้ก็ได้ เพราะที่รังสิตกว้างมาก แต่จะบรรรยายว่าบรรยากาศที่ว่านี้คือสัญลักษณ์พิทักษ์ธรรม สำคัญกับประเทศชาติ ประชาชน อันนี้ผมรับไม่ได้ ผมไม่ซีเรียสว่าเป็นเรื่องคอขาดบาตาย คุณไปเอาเรื่อง 6 ตุลาฯ 14 ตุลาฯ มาหนุนความชอบธรรม ผมว่ามันคนละเรื่อง

โดยส่วนตัว ถ้าสมควรย้ายก็ย้ายส่วนใครมีปัญหาเรื่องย้ายบ้าน มาคุยกัน เพราะเป็นเรื่องใหม่ ย่อมมีปัญหาขลุกขลักบ้าง แต่ต้องจัดการ ถ้าผมเป็นผู้บริหาร ผมก็ต้องคิดคุย มองภาพใหญ่ เอาส่วนรวมเป็นหลัก คุณต้องยอมรับว่าบรรยากาศที่ดีที่ผมเล่านั้น เอาเข้าจริงก็เป็นกิจกรรมของพวกเราส่วนน้อยอยู่ดี

ขบวนการนักศึกษาจบ จิตวิญญาณก็หายไป คุณลองดูเลือกตั้ง อมธ. มีคนมาเลือกคณะละไม่กี่สิบ แม้การเคลื่อนไหวครั้งนี้ก็มีนักศึกษาเข้าร่วมน้อยมาก เพราะไม่มีแล้วไง หมดไปนาน กระทั่งกรณี17 พฤษภาฯ ผมว่าเป็นเรื่องของคนนอกมากกว่า ธรรมศาสตร์แทบไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเลย


GM : อาจารย์อยากให้รื้อฟื้นจิตวิญญาณขึ้นมาใหม่ไหม


สมศักดิ์ : จิตวิญญาณไม่ได้เกิดขึ้นเอง มันมีเงื่อนไขเฉพาะของมัน ก็น่ามาคุยว่าทำไมช่วง 14 ตุลาฯ มีขบวนการนักศึกษา หลังจากนั้นไม่มี น่ามาพูดคุย สาเหตุมาจากเรื่องอะไร ยุคสมัยความคิด เศรษฐกิจ หรือสังคม ผมเคยไปพูดที่จุฬาฯ ว่าลักษณะมหาวิทยาลัยกำลังเปลี่ยน เริ่มเป็นส่วนหนึ่งของทุนนิยมอย่างเต็มที่ สังเกตว่าก่อนปี 2510 มหาวิทยาลัยยังดูอิสระ

จนมาสมัยจอมพลสฤษดิ์ เริ่มเป็นทุนนิยมแบบเฟสแรกๆ ทุนนิยมยังไม่สามารถรองรับพวกที่เรียนมหาวิทยาลัยได้อย่างเต็มที่ ยังไม่ลงกันอย่างพอดี ระหว่างนักศึกษาในมหาวิทยาลัยกับระบบสังคมภายนอก แต่พอสังคมพัฒนามาถึงวันนี้ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างนักศึกษากับทุนนิยมข้างนอกแนบติดอย่างยิ่ง ฐานะนักศึกษาที่เรียนมหาวิทยาลัยก็สูงขึ้น ทุกคนจบแล้วต่างมุ่งไปที่เอกชน ทั้งที่ช่วงปี 2510 นักศึกษากว่าครึ่งยังภักดีต่อระบบราชการ

แต่เหตุผลหนึ่งเพราะข้างนอกไม่มีบริษัทเอกชนมากมาย เศรษฐกิจยังไม่โตมากขนาดนี้ รวมทั้งเงินที่ไหลมาเทมาในมหาวิทยาลัย โครงการพิเศษต่างๆ โครงการวิจัย สกว. นี่อีกอย่าง ตอนหลังอาจารย์มหาวิทยาลัยก็ออกไปเป็นที่ปรึกษาทั้งภาคการเมืองและเศรษฐกิจให้คนข้างนอก เอาเข้าจริง มหาวิทยาลัยเกือบจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของทุนนิยมไปแล้ว ฉะนั้น ขบวนการนักศึกษาจึงยากที่จะเกิดขึ้น ผมว่ามันอาจจะเกิดก็ต่อเมื่อนักศึกษาอยู่ในภาวะอิสระ ไม่ได้เป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกับทุนนิยมภายนอกเต็มรูปแบบอย่างทุกวันนี้

ผมคิดว่าสร้างเองไม่ได้ คุณจะให้มีจิตวิญญาณได้ไง ขนาดมีเรื่องใหญ่กรณีย้าย – ไม่ย้ายธรรมศาสตร์ ยังมีคนสนใจไม่กี่คน เหตุผลที่คัดค้านการย้ายก็กลวงข้างใน หากขาดโดมเจ้าพระยา เท่ากับขาดสัญลักษณ์พิทักษ์ธรรม มันไม่ใช่เหตุผลที่แท้ แต่ผมไม่ได้บอกว่าคนที่มาแคมเปญนั้นไม่ได้เชื่ออย่างนั้นจริงๆ ในทางทฤษฏีแล้ว อุดมการณ์เป็นลักษณะอย่างหนึ่งคือคุณต้องเชื่อ ไม่ว่าเริ่มต้นจะมายังไงก็แล้วแต่ ตอนนี้คนรณรงค์เขาเชื่อว่าทำเพื่อพิทักษ์ป้อมปราการ ไม่ใช่ว่าเขาโกหก แต่ปรากฏการณ์สังคมเป็นอย่างนี้

ผมชอบที่ฝรั่งคนหนึ่งพูดไว้ ไม่ว่ารัฐบุรุษหรือคนเดินดิน ต่างมีความต้องการที่จะรู้สึกว่าที่ตัวเองทำนั้น morally life คือ ถูกในทางศีลธรรม หน้าที่ของอุดมการณ์คือ ทำให้คนรู้สึกว่าทำในสิ่งที่ถูกต้องทางศีลธรรม ถ้าคุณบอกว่าคัดค้านเพราะไม่อยากย้ายบ้าน คนอื่นฟังก็ไม่รู้สึกร่วม เป็นฟังก์ชันของอุดมคติว่าเขากำลังทำในสิ่งที่ถูก เขาต้องเชื่อมันมีพลัง เป็นอุดมคติในความหมายนี้


GM : ฟังๆ มา ดูเหมือนอาจารย์เลือกที่จะยืนอยู่นอกวง อาจจะเรียกว่าไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด


สมศักดิ์ : เพราะผมไม่ถือว่าเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย แต่ถ้าถามว่าระบบมหาวิทยาลัยควรปรับปรุงอะไร เขาพูดหลายเรื่องที่ดี ผมเห็นด้วย แต่มีอย่างหนึ่ง ถ้าคุณซีเรียสเรื่องจิตวิญญาณจริงๆ คุณทำไมไม่ทำอย่างอื่นตั้งหลายอย่าง เช่น ย้ายไปแล้วทำให้เกิดการเซ็งลี้ คุณมาแคมเปญไหมล่ะว่าทำให้เกิดเรื่องการทำธุรกิจการศึกษา ผมเอาด้วยนะ

อย่างเรื่องที่อาจารย์ชาญวิทย์ ทำโครงการ south east asia ควรจะยุบไหม และโครงการพิเศษหลายอย่าง ควรยุบไหม ผมไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะมันจำกัดเฉพาะคนมีเงิน น่าจะเปิดกว้างกว่านั้น เรื่องพวกนี้น่าคิดให้ซีเรียส หรือต้องปฏิรูปการศึกษาไหม เพราะมันคอมเมอร์เชียลเกินไปแล้ว การแพร่สะพัดของเงิน โอ…มีเรื่องมากมายที่ควรคิด แต่ไม่มีใครพูด กลับมาอ้างว่าถ้าย้ายก็เท่ากับว่าขาดจิตวิญญาณ


GM : ถ้าจิตวิญญาณตายจริง อาจารย์คิดว่ามันจะกลายเป็นจุดอ่อนที่จะทำให้คนหนุ่มสาวยุคนี้แย่หรือว่างโหวงเกินไปไหม


สมศักดิ์ : แล้วแต่จะมองแง่ไหน ถ้ามองแง่ว่าทำให้คนที่พยายามเข้ามามีส่วนทางการเมืองขาดหายไป อันนี้ขาดแน่นอน ผมไม่อยากพูดว่าแย่หรือไม่แย่ เพราะคนเรามีหลายแง่มุม


GM : มันตายหรือเปลี่ยน หมายถึงเปลี่ยนไปเป็นจิตวิญญาณคนละอย่าง เป็นไปตามยุคสมัย


สมศักดิ์ : มันตายในความหมายว่านักศึกษาส่วนใหญ่ไม่ได้คิดจะทำอะไรแง่การเคลื่อนไหวทางสังคม การเมือง คิดเพียงว่าเรียนจบก็ทำงานเอกชน เมคมันนี่ไปตามเรื่อง ผมไม่ได้พูดว่านี่เป็นความผิด แต่คือข้อเท็จจริง ภาวะมันเป็นไปอย่างนั้น เป็นการเติบโตของทุนนิยม ซึ่งการศึกษาหรือสถาบันก็ไม่ได้อยู่ลอยๆ เลยตลกไงที่ใครจะบอกว่าธรรมศาสตร์เป็นสัญลักษณ์พิทักษ์ธรรม

ในทรรศนะผม มหาวิทยาลัยทุกที่ก็เหมือนกัน จะน้อยจะมากกว่ากันเรื่องคอมเมอร์เชียลเท่านั้นเอง การที่เขามุ่งหาเงินไม่ใช่ความผิด เพราะความสัมพันธ์ระหว่างนักศึกษามหาวิทยาลัยกับระบบธุรกิจสูงขึ้น ส่วนเรื่องว่านักศึกษาควรมีบทบาททางสังคมการเมืองมากน้อยแค่ไหนรูปแบบอย่างไร อย่างที่คุณว่ามันเปลี่ยนไป นั่นต้องคุยกัน แต่คงหวังยาก เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของทุนนิยมไปแล้ว


GM : วิธีคิดแบบนี้ เพื่อนๆ อาจารย์เขารับได้ไหม หรือว่ามันเป็นที่มาว่าต้องโดดเดี่ยว ไม่มีพวกพ้อง


สมศักดิ์ : ผมโดดเดี่ยวมานานแล้ว (หัวเราะ) การออกมาวิจารณ์ เรื่องเหล่านี้ยิ่งทำให้โดดเดียวไปกันใหญ่ อย่างหนึ่งที่มีปัญหาคือเรื่องความรู้สึก ผมว่าคนเคลื่อนไหวไม่ซีเรียสเรื่อง 14 ตุลาฯ 6 ตุลาฯ เท่าไร ในขณะที่ผมอาจเป็นพวก nostalgia ผมไปอยู่เมืองนอก 8-9 ปี พอกลับมา รู้สึกว่าในหมู่เพื่อนฝูงทุกคนเปลี่ยนไป หลายเรื่องที่เราต่างเคยถือว่าซีเรียส เขามองว่าไม่ซีเรียสอีกต่อไป

ปัญหาเรื่องหลักการหลายๆ อย่างบิดเบี้ยวไป พูดยาก คงเป็น mood ของคน ปัญหาเรื่องวงการวิชาการไม่มีการถกเถียงอย่างซีเรียส ภาพทุกวันนี้กลายเป็นว่าพอนักวิชาการใหญ่ๆ หรือราษฎรอาวุโสพูดอะไรออกมา ก็ถูกหมด คนอื่นเงียบหมด เงียบทั้งที่บางทีก็ไม่เห็นด้วย เหล่านี้ผมว่าประหลาดมาก ผมจำได้ว่าสมัยก่อน เกิดมีใครแสดงความคิดอะไรไม่เข้าท่า เขาจะนำมาถกเถียงกัน วิพากษ์วิจารณ์ อย่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ผมเกือบหาคนที่เห็นด้วยกับผมไม่ได้ว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้อ้างความเป็นประชาชนไม่ได้ เพราะทุกคนเอาด้วยหมด



GM : ประเด็นนี้มันสะท้อนว่าคนไทยไม่ค่อยยอมรับความคิดแตกต่างอย่างนั้นหรือเปล่า


สมศักดิ์ : อาจจะจริง เคยมีคนพูดว่าคนไทยมักอยากได้คำตอบแน่ๆ เช่น ย้ายหรือไม่ย้าย พูดมาเลย หรือเรื่องรัฐธรรมนูญใหม่ดีกว่าเก่า โอเค ใหม่ดีกว่า แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นรัฐธรรมนูญแบบนี้ก็ได้ ปฏิรูปด้วยการเป็นอีกแบบ แต่เหมือนกับว่าคนต้องเลือกว่าจะเอาอันนี้หรืออันโน้น ไม่มีทางเลือกที่ 3-4-5 คุณไม่สนับสนุนพรรคเก่า ไม่เอาชวลิต บรรหาร คุณต้องมาสนับสนุนรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ผมว่าไม่จำเป็น ไม่เห็นด้วยกับคอนเซ็ปต์เรื่องคัดค้านการย้ายธรรมศาสตร์ ผมไม่เห็นด้วยกับเหตุผล เพื่อนฝูงกลับมองไปในเชิงหักหลัง ขวางลำ ชีวิตผมก็เลยอยู่เงียบๆไม่ได้คุยกับใคร ประเภทไม่ค่อยสังคมเท่าไรอยู่แล้ว

สมัยผมเป็นนักศึกษา การเถียงกันเป็นเรื่องธรรมดามาก ผมเองก็ชอบมาก วงการวิชาการปัจจุบันไม่ต่างจากจารีตสมัยก่อน เคารพผู้ใหญ่ เออออ ผมพยายามนึกว่ามีการเถียงอย่างซีเรียสในแวดวงวิชาการไม่ หรือถกเถียงกันครั้งสุดท้ายเมื่อไร นึกไม่ออก รู้สึก 10 ปีที่ผ่านมา ไม่มีเลย อ.นิธิ ว่าอะไร คนก็เชียร์กันใหญ่ ไม่มีใครซีเรียสเรื่องไอเดียอีกต่อไป ผมคิดว่านี่เป็น ‘ยุคสมัยที่เห็นร่วมกันทั้งหมด’ เออออ ว่าอะไรว่าตามกัน ไม่มีการเถียง โอเค ผมรู้ว่า อ.นิธิ (เอียวศรีวงศ์) เก่ง แต่ถึงระดับที่ไม่มีข้อบกพร่องหรือเปล่า ก็ไม่ใช่ แกไม่ใช่ถูกทุกเรื่อง แต่ไม่มีใครวิจารณ์เลย อ.นิธิก็ดี หมอประเวศ (วะสี) ก็ดี ทุกคนเออออหมด ลงชื่อไปตามๆ กัน

เรื่องปฏิรูปการเมือง อ.นิธิตั้งคำถามขึ้นมาว่าผู้รับเหมาจะเป็นคนกำหนดสเปคบ้านได้อย่างไร ผมก็เออ…..คำขวัญนี้มันงี่เง่า แล้วจะยังไง ทุกวันนี้ร่างโดยใครหรือ ในที่สุด ก็ไม่ได้ร่างโดยประชาชนเหมือนกัน เป็นฝีมือของพวก expert มาร่าง และพอนักวิชาการเสนอ ก็รับหมด ไม่มีการเถียง โอเค ตอนที่หมอประเวศหนุน ดร. ทักษิณ มีคนแย้งบ้าง แต่นิดเดียว พักเดียวก็เงียบ

ผมไม่เข้าใจตั้งแต่เรื่องศาลรัฐธรรมนูญแล้วว่ามีความชอบธรรมแค่ไหน ควรมีไหม ชอบธรรมแค่ไหน ผมไม่รับตั้งแต่ต้น ไม่ใช่ผมเชียร์ทักษิณนะ แม้กระทั่งศาลชี้ว่าทักษิณไม่ผิดผมก็ไม่รับ พูดง่ายๆ ผมไม่รับรัฐธรรมนูญนี้ เพราะการพูดว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน แต่กำหนดว่าคนที่จบปริญญาตรีเท่านั้นที่สมัคร ส.ส. ได้นั้นมันตลกมาก คนจบปริญญาตรีบ้านเรามีแค่ 3-5 % เองมั้ง ถ้าคนส่วนใหญ่ไม่สามารถลง ส.ส. ได้ จะเรียกรัฐธรรมนูญประชาชนได้อย่างไร ไม่เข้าใจ

นี่เป็นประเด็นใหญ่มาก นักวิชาการที่อ้างว่าเป็นฝ่ายประชาชนเชียร์ว่าเป็นรัฐธรรมนูญประชาชน พูดได้ยังไง ปัญหารัฐธรรมนูญมีอีกหลายเรื่อง ตอนนั้นคนรู้สึกว่ารณรงค์ไปก่อน ถ้าไม่สนับสนุนเท่ากับเป็นการสนับสนุนนักการเมืองรุ่นเก่า ผมว่าไม่จำเป็น ไม่จริง ผมโตมา ถ้ามีเหตุผล ถูก-ผิด เรามาคุยกันสิ ไม่ใช่ว่าต้องเอาอันนี้หรือไม่เอาอันนี้ เหมือนเรื่องธรรมศาสตร์ ผมไม่เห็นว่าต้องเคลื่อนไหวด้วยการชูเรื่องจิตวิญญาณ พอผมเถียงขึ้นมา หาว่าทำลายการเคลื่อนไหวกันเองก็เป็นเรื่องน่าเศร้า 10 กว่าปีหลัง ทุกๆ เรื่องมักออกมาในรูปเออออกันไป

บางคนวิจารณ์ว่าผมไม่เปลี่ยน คนอื่นเขาไปไหนกันหมดแล้ว ก็ไม่รู้ ตอนผมกลับมา คนเชียร์อานันท์ ปันยารชุน กันใหญ่ ผมแปลกใจว่าทำไมคนไม่ประณามอานันท์ อานันท์ขึ้นมาเป็นนายกฯ ครั้งแรกจากการรัฐประหาร เขาขึ้นมา โอเค ดีกว่า รสช. แน่ๆ แต่ปัญหาคือว่า เมคเซ้นส์หรือเปล่า รสช. ทำผิดกฏหมาย แต่ตั้งอานันท์ขึ้นมาสร้างความชอบธรรมแทน ถ้าอานันท์ไม่เป็นนายกฯ อาจไม่เกิดพฤษภาทมิฬก็ได้ เพราะอานันท์ไม่ไปช่วย re-gime คนเหล่านั้นให้มีความชอบธรรมขึ้นมา ถ้าคนดีทุกคนปฏิเสธตำแหน่งที่ได้มาโดยไม่ชอบธรรม กลุ่มยึดอำนาจขึ้นมา มันอาจอยู่ไม่ได้ตั้งแต่ต้นก็ได้ แต่นี่อานันท์รับ ก็เท่ากับเห็นด้วย เท่ากับคุณไปช่วย รสช.

จอมพลผิน ทำรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน 2490 อ้างเหตุผลเหมือนกันเป๊ะ เพื่อราชบัลลังก์และเพื่อขจัดปัญหาคอร์รัปชั่น รสช. ก็นำเหตุผลนี้มาอ้างตอนโค่นชาติชาย ตอนนั้นจอมพลผินกับจอมพล ป. หาคนอื่นไม่ได้ จึงไปชวน นายควง อภัยวงศ์ มาเพื่อรับใช้ชาติ หลังๆ ปัญญาชนเชียร์ ปรีดี พนมยงค์ เพราะตอนที่นายควงทำนั้นทำเพื่อชาติ ผมถามหน่อยว่าต่างกับการมาของอานันท์ตรงไหน ไม่ต่างเลย ควงเชื่อว่าเขาเป็นคนดี ดีกว่าปล่อยให้จอมพลผินเป็น ดีกว่าให้จอมพล ป. เป็น มาถึง รสช. อานันท์ก็คงเชื่อว่าเขาดี อาสามารับใช้ชาติ ซึ่งผมไม่เก็ต ผมกลับมาเจอภาวะแบบนี้ คนเชียร์อานันท์ มีกลุ่มเพื่อนอานันท์ วิธีมองเปลี่ยนไปเยอะมากบรรยากาศหลายอย่างเปลี่ยน

เรื่องอ.นิธิ ผมเขียนตั้งแต่ปี 2535 ผมเป็นคนแรกด้วยซ้ำที่เขียนว่าแกมีความสำคัญ ทั้งที่แกเริ่มเขียนงานมาไม่นาน แม้ในวงวิชาการเองก็ไม่เห็นความสำคัญ ตอนนั้นผมเรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้าย ผมเขียนตีพิมพ์ออกมาว่างาน อ.นิธิ ดีกว่าใครในยุคเดียวกัน แต่บรรยากาศหลังๆ มานี้ยกย่องแกในระดับที่ไม่เคยมีการวิจารณ์ ผมว่าแย่ เห็นแย้งแตกต่างกันไม่ได้เลยในวงการวิชาการ

บ้านเราจึงอยู่ในยุคที่ uncritical มาก อย่างปรีดี พนมยงค์ ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากรัฐ โอเค ควรพูด แต่ลักษณะการเชิดชูปรีดีตอนนี้ ผมว่าโอ้โฮ มันเวอร์จนไม่รู้จะพูดยังไง วิจารณ์อะไรไม่ได้เลย เขาจะย้ายมหาวิทยาลัย และมีการพูดว่าจะย้ายรูปปั้นปรีดี พวกก็ว่าย้ายไม่ได้ นี่เป็นประวัติศาตร์ เป็นรูปเคารพของชาวโดม ย้ายไปเลย ถ้าเป็นผม ไม่ใช่แค่ย้าย ผมว่าควรยกเลิกไปเลยด้วยซ้ำ ผมไม่เห็นว่ามหาวิทยาลัยควรจะมีรูปปั้นของใครทั้งนั้น ไม่ว่าปรีดี พนมยงค์ หรือ ป๋วย อึ๊งภากรณ์

ผมคิดว่าไม่ต้องมียกเว้น ใครๆ ก็สามารถถูกวิจารณ์ได้ทั้งนั้น ฝรั่งเรียกว่า critical mind คือจิตใจที่รู้จักวิพากษ์วิจารณ์ วิเคราะห์ การมองประวัติศาสตร์ธรรมศาสตร์ก็เหมือนกัน โอเคว่ามีตำนาน แต่ส่วนหนึ่งของโครงสร้าง ที่นี้ก็ผลิตคนออกมารับใช้ระบบตั้งเยอะแยะ เคสปรีดีและป๋วยเห็นชัดมาก ยอมรับว่าตอนอาจารย์ป๋วยตายใหม่ๆ ผมก็เขียนบทความอาลัยเพราะเรารู้จักและสะเทือนใจ แต่พอผมเห็นบทความที่คนอื่นเขียนๆ กันออกมาเต็มไปหมด แล้วมีแต่คนชื่นชม ยกย่อง ผมยอมรับว่าผมเซ็งมากๆ

ผมเคยยกเรื่องป๋วยไปถกเถียงที่คณะเศษรฐศาสตร์ มีอาจารย์บางท่านไม่พอใจ ที่ผมเปิดประเด็นขึ้นมาว่าเรื่อง อ.ป๋วยรับใช้จอมพลสฤษดิ์จะอธิบายยังไง คนเขาไม่พอใจกันมาก ผมรู้สึกว่านี้เป็นปัญหาอันชอบธรรมที่น่าจะมาคิด หยิบยกมาวิพากษ์วิจารณ์ แต่คนไม่รับ จนบัดนี้ ในประเด็นนี้ ไม่มีใครให้คำอธิบายที่เข้าท่าได้เลย ยกเว้นแต่จะบอกว่านี่เป็นตัวอย่างที่ถึงจุดหนึ่งปัญญาชนเราก็ไม่คำนึกถึงหลักการ ไม่คิดถึงประชาธิปไตยเหมือนกัน สฤษดิ์มือเปื้อนเลือด สมควรไหมที่เราจะรับใช้เขา บางคนว่าแกไม่มีทางเลือกเพราะเป็นข้าราชการ

ผมว่าตลกมาก คนเชียร์ป๋วย เขียนว่าเยี่ยมอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นรัฐบุรุษ อ.นิธิเรียกอ.ป๋วยว่าไงนะ มหาบุรุษ ผมไม่รู้ว่าจะขำหรือเศร้าดี ถ้าเขาเป็นมหาบุรุษจริง เขาต้องตัดสินใจเองได้ระดับหนึ่ง แต่พอถามว่าทำไมรับใช้สฤษดิ์ คุณกลับอธิบายในทางกลับกันว่าเพราะเขาไม่มีทางเลือก คนละเรื่องกันเลย มันต้องมีคำอธิบายมากกว่านี้ ผมว่าตอนนั้น ป๋วยไม่คิดแง่ประชาธิปไตยอะไรหรอก คือถ้าให้เลือกระหว่าง จอมพล ป. กับจอมพลสฤษดิ์ ป๋วยเชื่อว่าสฤษดิ์ดีกว่า ป. จึงรับใช้สฤษดิ์ ซึ่งไม่ใช่เขาคนเดียว ปัญญาชน เทคโนแครตยุคนั้นก็คิดแบบนี้

และไอเดียว่าสฤษดิ์มือเปื้อนเลือดนั้นมาทีหลัง เทคโนแครตสมัยนั้นใครจะคิดแบบนี้ แต่ถ้าเรามองย้อนหลังก็สามารถวิจารณ์ได้ ถูกไหมที่เทคโนแครตพวกนี้เป็นอย่างนี้ เป็นจุดออ่อนของพวกนี้ ไม่คำนึงถึงว่ารีจีมยังไงก็รับใช้ได้ พอมีคนพูดว่าป๋วยเป็นคนดีปุ๊บ ทุกอย่างดีหมด ปรีดีเหมือนกัน คนที่มีชีวิตอยู่ก็หมอประเวศ กับ อ.นิธิ ทุกคนมองแกเป็นอย่างนั้นหมด ผมว่ามันเกินไป บรรยากาศพวกนี้ ผมใช้เวลาอยู่นานที่จะทำใจรับ รับได้เป็นระยะ หงุดหงิดทีผมก็เขียนออกมาทะเลาะกับชาวบ้านเขาที


GM : แล้วพอมีแง่มุมวิจารณ์อาจารย์ป๋วยอย่างนี้แล้ว แง่ความเคารพนับถือของอาจารย์ยังเหมือนเดิมไหม หรือรู้สึกว่าด้อยค่าลงไป


สมศักดิ์ : มันคนละอย่าง ถามว่าเขาเป็นคนดีไหม ก็ดีที่ไม่โกงไม่กิน ก็โอเค แต่ถามว่าลักษณะที่เขารับใช้สฤษดิ์อยู่หลายปีละ รับใช้ในขณะที่กำลังมือเปื้อนเลือดจริงๆ เลยนะ ไม่ใช่บังเอิญ สั่งฆ่าคนไม่รู้เท่าไร ไม่ว่าคนนั้นจะผิดหรือไม่ผิดอย่างไร แต่คุณสั่งฆ่า อ.ป๋วยทำไมไม่ลาออกจากผู้ว่าฯแบงก์ชาติ เพื่อประท้วงเรื่องนี้ อย่างนี้เราวิจารณ์ได้ไหม วิจารณ์ด้วยความรุนแรงได้ด้วยซ้ำ

เรื่องนี้ยังโยงไปถึงเรื่องอื่น คือคนจำนวนมากเอา อ.ป๋วยมาด่าขบวนการนักศึกษาสมัย 6 ตุลาฯ ว่านักศึกษาซ้ายไป ไม่เชื่อ อ.ป๋วย ถ้าถามผม ผมยืนยันความถูกต้องของนักศึกษา คนอย่างผม ประเภทไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ตอนนั้นจะเลือกใครระหว่าง พคท. (พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย) กับ อ.ป๋วย ผมว่ามีเหตุผลกว่าที่เราเลือก พคท. คุณจะให้เลือกป๋วยได้ยังไง ในเมื่อเขาเป็นเทคโนแครตที่ไม่ได้ทำอะไรตลอดเวลาที่สฤษดิ์อยู่ในอำนาจ จะอธิบายในเรื่องนี้ยังไง ทำอะไรไม่ได้จะเรียกว่ามหาบุรุษได้ยังไง ยกย่องแบบไม่ critical เลย


GM : แง่นี้ ความศรัทธาต่อมนุษย์ของอาจารย์ก็คงลดหายไป เพราะทุกคนต่างมีข้อบกพร่องกันทั้งนั้น


สมศักดิ์ : น่าจะอย่างนั้น ผมยอมรับว่าผมศรัทธาคนน้อยมาก คนสุดท้าย ตอนนั้นผมโง่ (หัวเราะ) เช่นเดียวกับขบวนการนักศึกษา ตอนนั้นเชียร์เหมา เจ๋อ ตง แต่พอฉลาดขึ้น รู้จักคิด ผมนึกไม่ออกว่าผมศรัทธาใครในความหมายที่คุณว่า นึกไม่ออกจริงๆ

ช่วงที่มีการคิดเรื่องย้ายธรรมศาสตร์ มีคนเขียนอีเมล์มาหาผม เขาเล่าเรื่องต่างๆ แสดงความคิดเห็น และมีตอนหนึ่งเขาเปรียบปรีดีว่าเป็นเหมือนพ่อของพวกเรา ถ้าย้ายก็เท่ากับอกตัญญู ผมโกรธมาก พ่อผมตายไปนานแล้ว ปรีดีไม่ใช่พ่อผม ไปเรียกปรีดีว่าพ่อ เรียกทำไม ผมไม่เห็นประเด็น

ถามว่าปรีดีสำคัญไหม ก็มีความสำคัญ ทำอะไรหลายอย่างที่ถูกต้อง แต่ทำอะไรหลายอย่างที่ผิดก็เยอะ การไปสร้างเขาให้เป็นอรหันต์หรือพระปฏิมา ผมไม่เห็นด้วย ย้ายรูปปั้นก็ย้ายไปเถอะ ผมไม่สนใจ นี่ก็เป็นเรื่องขำอย่างหนึ่งของผม ตอนนี้รูปปั้นปรีดีกลายเป็นรูปที่นักศึกษาเดินผ่านแล้วไหว้ ผมว่าไม่เมคเซ้นส์เลย


GM : แปลว่าการสร้างอนุสาวรีย์คงเป็นเรื่องยากมากๆ


สมศักดิ์ : จะสร้างไปทำไม อนุสาวรีย์คน ผมไม่เห็นความจำเป็น ยอมรับในระดับหนึ่งถ้าเป็นการสร้างเพื่อรำลึกเหตุการณ์ แต่คุณจะสร้างอนุสาวรีย์คน มันขนาดนั้นเชียวหรือ แค่รูปถ่ายหรือรูปปั้นเล็กๆ ก็โอเคแล้ว แล้วรูปปั้นปรีดีขนาดเท่าตัวจริงที่อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาก็โอเค แม้ว่าตอนผมเดินผ่าน เคยเห็นคนเอามาลัยมาไหว้เหมือนบูชาพระพรหม ก็ว่าไป

แต่ตอนนี้ที่รังสิต ผมได้ยินว่าเขาจะสร้างอนุสาวรีย์ป๋วยและปรีดี ขนาดใหญ่ถึง 2 เท่าจากตัวจริง ผมแปลกใจว่าสร้างทำไมให้ใหญ่ขนาดนั้น มันตลกมาก มหึมามาก สร้างไปทำไม ถ้าอยากจริงๆ ก็เอาแค่เท่าตัวจริง เออ….

จะมากจะน้อย ยังดูมีรสนิยม แต่สำหรับผม ถ้าจะมีแบบนั้น ผมว่าปั้นเล็กๆ สูงสักฟุตสองฟุต แล้วตั้งในห้องสมุด โอเคนะ เหมือนประติมากรรมชิ้นหนึ่ง แต่นี่สร้าง 2 เท่า คุณหวังให้คนมากราบหรือไง นี่ในธรรมศาสตร์แท้ๆ แล้วมาบอกว่ามีจิตวิญญาน ผมมองไม่เห็น การที่คุณเคารพโดยไม่วิจารณ์นี่นะ หรือเพียงแค่เคารพก็เคารพ สำหรับผม ไม่ใช่


GM : มีหลักคิดหรือแบบอย่างจากบุคคลใดในประวัติศาสตร์บ้างไหมที่อาจารย์นำมาใช้ในชีวิตประจำวัน


สมศักดิ์ : ไม่มี มันจะเอามาใช้ได้ไง เขาตายไปตั้งนานแล้ว ผมศึกษาประวัติศาสตร์เพราะเป็นความสนใจ เหมือนกับเป็นเรื่องปัจจุบัน เป็นการกระตุ้นสมอง ไม่ใช่ ไม่ได้ศึกษาเพื่อเป็นบทเรียนทางศีลธรรม ค่อนข้างจะต่างกับคอนเซ็ปต์ที่เขากำลังโปรโมตกันอยู่ หลายคนศึกษาเพื่อเป็นบทเรียนทางศีลธรรม ผมไม่คิดแบบนั้น แม้กระทั่งศีลธรรมก็ต้องมานั่งคุยกัน ปรีดีแอนตี้เกย์นะ คุณรู้ไหม เคยเขียนประณามเกย์ บอกว่าเป็นพวกวิปริตอะไรแบบนั้น คนรุ่นเก่าคิดแบบนี้ได้ไหม ได้ ถามว่าแกเคยมีความคิดเชยๆ ไหม มี นี่เป็นตัวอย่างหนึ่ง แต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เรื่องที่แกเคยทำผิดทางประวัติศาสตร์มีมากกว่านี้เยอะ

สังคมไทยค่อนข้างเน้นจริยธรรมมาก ไม่เน้นความคิด หรือเน้นการถกเถียงกัน มีตัวอย่างเล็กๆ อีกอย่างคือการเรียกชื่ออาจารย์ เช่นอาจารย์ชาญวิทย์ ผมว่าโอเคนะถ้าสนทนาด้วยปาก แต่ถ้าเป็นการเขียนหรือถกเถียงในที่สาธารณะ โดยเฉพาะสิ่งตีพิมพ์ ผมมองไม่เห็นว่าทำไมต้องเรียก อย่าง อ. นิธิ ตอนแกอายุ 60 ปี มีการเขียนถึงผลงานของแก แต่ทุกคำ เรียกนำหน้าชื่อตลอดว่า อาจารย์ อย่างนี้จะเป็นงานวิชาการได้อย่างไร คุณแสดงความเคารพตลอดเวลาที่เขียน นิธิก็นิธิสิ ต้องขึ้นด้วยอาจารย์ทำไม ในเมื่อเราพูดกันเรื่องไอเดีย


GM: แง่การใช้ชีวิตละ อาจารย์มีหลักการส่วนตัวอย่างไร


สมศักดิ์ : critical ผมชอบตั้งคำถามกับทุกเรื่อง แม้ว่าสิ่งนั้นจะมาจากคนแวดล้อมรอบๆ ตัว ชีวิตไม่ค่อยมีความสุขเท่าไหร่หรอก


GM : เหมือนคนเยอรมัน?


สมศักดิ์ : อาจจะใช่ (หัวเราะ) ผมรู้สึกว่านับวันคนไทยยิ่งตั้งคำถามน้อย คิดน้อย ซึ่งจะว่าไป คงมีประโยชน์อยู่บ้าง แต่ถามผม ผมว่ามันน้อยจนน่าเป็นห่วง เรื่องป๋วยเรื่องปรีดี เป็นตัวอย่างของบรรยากาศที่แย่มาก แทนที่มหาวิทยาลัยจะเป็นแหล่งวิจารณ์ แหล่งโต้แย้งความคิด แต่กลับกลายเป็นอะไรไม่รู้ ยกยอกันเกินเหตุ


GM : แนวคิดเหล่านี้มาจากการใช้ชีวิตในต่างประเทศ


สมศักดิ์ : คงมีส่วน ผมชอบ open and free เรื่องความคิด มีอีกอย่างหนึ่ง เวลาพูดถึงปรีดีเหมือนกัน เดี๋ยวนี้หลายคนต้องขึ้นว่า ท่านปรีดี แง่นี้ผมว่าเมืองไทยมีข้อจำกัดมาก ความคิดจึงไม่เสร็จจริงๆ ไม่ฟรี ข้อหนึ่งที่ประทับใจตะวันตกมากคือแง่ความคิด ทุกอย่างมันเปิดกว้างมาก เปิดและไม่ต้องรู้สึกว่าผิดทางศีลธรรมเมื่อคุณแสดงทรรศนะ โอเค สิ่งที่เสนอออกไปอาจจะเฉิ่มบ้าง โง่บ้าง แต่ไม่ผิดทางศีลธรรม

ไม่เหมือนสังคมไทยที่มีกรอบศีลธรรมครอบอยู่ ทั้งที่สิ่งนั้นเป็นความคิดที่ดี แต่หลายคนอาจว่าก้าวร้าว มันต่างกันมาก ต้องเคารพผู้ใหญ่ แม้ในกลุ่มคนรุ่นใหม่เองยังมีความรู้สึกต้องคอยระวังเรื่องศีลธรรม ไม่ควรวิจารณ์กันเอง ห้ามแตะต้องผู้ใหญ่ แต่ที่โน่นฟรี แม้กระทั่งระหว่างนักศึกษากับอาจารย์ ผมชอบ ทุกคนเถียงกันได้อย่างตรงไปตรงมา

ก่อน 6 ตุลาฯ มีคนบอกว่าพวกเราซ้ายมากไม่เคารพผู้ใหญ่ แต่ผมชอบแบบนั้นมากกว่า ลักษณะที่ว่าเป็นผลมาจากบรรยากาศทางการเมือง เราไม่เห็นด้วยกับฝรั่ง เราวิจารณ์ ไม่เห็นด้วยกับป๋วย เราวิจารณ์ ทั้งที่อายุแค่ 20 ต้นๆ พอไปอยู่ออสเตรเลียนานๆ นิสัยนี้ก็เลยยิ่งติดอยู่กับตัว คนอื่นอาจจะเปลี่ยนหมดแล้ว แต่ผมไม่เปลี่ยน


GM : มีคนบอกว่าเดี๋ยวนี้พวกซ้ายเก่ากลายเป็นพวกขวาจัดไปแล้ว จากก้าวหน้ากลายเป็นหัวโบราณ อาจารย์คิดยังไงกับข้อสังเกตนี้ โดยเฉพาะในหลายๆ เรื่องที่คุยกันมา


สมศักดิ์ : ผมว่าไม่ถึงกับขวา แต่วิธีหลายอย่างไม่ต่างจากพวกขวาในอดีต เช่น วิธียกย่องคน มันไม่ต่างแล้ว เรียกปรีดีว่าพ่อตามแบบบทกวีของเฉินซัน เมื่อก่อน เราเชียร์เหมาขนาดไหน เรายังไม่เรียกว่าพ่อสักคำ ก็จริง ตอนนี้เราเหมือนฝ่ายขวาพอสมควรที่ไปเรียกใครต่อใครว่าพ่อ แต่เขาไม่รู้สึกกันนะ เฉยๆ กรณี อ. นิธิ ที่จัดงานครบรอบ 60 ปี ก็กลายเป็นงานฉลอง ไม่มีงานวิชาการที่ซีเรียส งาน critical ไม่มีเลย มีแต่สดุดีฮีโร่ของตัวเอง respect ในงาน ผมเห็นด้วยนะ แต่แง่ critical หายไปเลย นี่ผมยังขำเรื่องอาจารย์เสน่ห์ จามริก ไปรับเป็นประธานกรรมการสิทธิมนุษยชน

ผมถามหน่อยว่าไปรับทำไม เพราะแกอายุ 70 กว่าปีแล้ว ถามว่าการเคารพความสามารถคนรุ่นใหม่ไม่ควรเป็นหนึ่งในสิ่งพึงปฏิบัติด้วยหรือ ถึงใครจะบอกว่าแกยังทำงานได้ก็ตาม และตำแหน่งที่ว่าก็ได้มาเพราะคนอื่นเลือก แต่แกน่าจะบอกว่าอายุมากไปแล้ว ผมไม่แอนตี้คนอายุมาก แต่ในทางปฏิบัติจริง คนอายุขนาดนั้นจะทำงานได้เต็มที่ไหม ผมไม่เชื่อ ยังไงก็ไม่คล่องเท่าคนอายุ 40-50 เชิงบริบทสังคมไทยก็ไม่ถูก อายุมากถึงรับตำแหน่งสำคัญได้ เรื่องพวกนี้ทำไมถึงไม่มีการวิจารณ์กันเพื่อให้เกิดหลักการใหม่ๆ

มีคนพูดว่าบางแง่ผมก็ไม่เหมือนคนไทยเท่าไร ผมยอมรับว่าอาจจะดัดจริต ถ้าพูดในความหมายหนึ่ง แต่มันเถียงกันได้ไหม แค่ไหน ความเป็นไทย ผมอาจจะสุดขั้วไปอีกทาง แต่ถ้าผมจะแก้ตัวกับตัวเอง มันก็มีเหตุผลเพราะเนื่องจากอีกทางเขาสุดขั้วไปก่อน (หัวเราะ)


GM : โดยธรรมชาติอาจารย์เป็นคน extreme ไหม


สมศักดิ์ : ผมว่าเพราะอีกฝ่ายหนึ่งมากกว่า เรื่องปรีดี ถ้ามันเข้าท่ากว่านี้ ผมคงไม่ extreme เรื่องป๋วย นิธิ ถ้าชาวบ้านชาวเมืองเขารู้จักคิดบ้าง ผมคงเงียบ ตอนนี้หลายอย่างผิดปกติ คุณไม่รู้สึกบ้างหรือว่ามีอะไรแปลกๆ มีการยกย่องกันเกินไป


GM : ทำไมถึงเลือกมาสอนที่ธรรมศาสตร์


สมศักดิ์ : ที่นี่บรรยากาศดีผมชอบ ที่จุฬาฯ –เกษตรฯ เงียบเกินไป ไม่กระตุ้นสมอง ที่นี่มีห้องสมุดที่เทียบกับที่อื่นไม่ได้ จุฬาฯ นี่อย่าให้พูดเลย จุฬาฯ ควรจะอายตัวเองในฐานะที่รวยที่สุด แต่ห้องสมุดแย่ หนังสือภาษาอังกฤษแย่มาก คอลเลกชั่นไม่ดี น้อย ไม่ทันสมัย ตอนอยู่ ม. เกษตรฯ มีปัญหามาก ผมมายืมหนังสือที่นี่ทุกสัปดาห์ ก็มาเสียเลยดีกว่า


GM : ชีวิตช่วงนี้อาจารย์กำลังจดจ่ออยู่กับเรื่องอะไร


สมศักดิ์ : ผมสนใจหลายเรื่อง พวกโพสต์โมเดิรน์ คัลเจอร์อินดัสทรี อำนาจของมีเดีย รวมทั้งประวัติศาสตร์ 6 ตุลาฯ 14 ตุลาฯ ในแง่ลึกซึ้ง


GM : สนใจงานการเมืองบ้างไหม


สมศักดิ์ : ไม่, ผมยังไม่รู้สึกว่ามันอิสระและเปิดกว้างพอ ส่วนใหญ่ยังเหมือนมาร์เก็ตแคมเปญ การเถียงและการหาทางออกจริงๆ ไม่มี หลายๆ เรื่องยังไม่เคลียร์ไล่มาตั้งแต่ศาลรัฐธรรมนูญ ทำไมต้องมี 15 คน อเมริกามีพลเมือง 200 กว่าล้านคน ศาลสูงสุดของเขามีแค่ 9 คน หลักการคัดเลือกคนมายังไง ไม่มีการเปิดอย่างโปร่งใส แต่ละคนมีความเห็นต่อตัวบทกฎหมายด้านต่างๆ อย่างไร ผมไม่เคยรู้เลยว่าศาลบ้านเราที่ใช้ๆ อยู่เขาเลือกจากอะไร คนดี คุณวุฒิ เป็นข้าราชการมานาน แค่นั้นหรือเปล่า หลายๆ เรื่องในระบบของเราทุกวันนี้ไม่มีเหตุผลเอาเลย กกต. มาจากไหน และอีกมากมายเหลือเกินครับ สำหรับเรื่องที่อยู่ในมุมมืด



บากบั่นพิมพ์โดย : Kasmos

ที่มา : ฟ้าเดียวกัน : สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ดับเครื่องชนสังคม Close and Uncritical

วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

สัมภาษณ์พิเศษ ‘พุทธทาสภิกขุ’ : การเมืองเรื่องศีลธรรม


วาระชาตกาล 100 ปี
‘พุทธทาสภิกขุ’
ปูชนียบุคคลของโลก
ตามการประกาศของ
องค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก้) ในปี 2549
‘ประชาไท’ ขออนุญาตท่านผู้อ่าน
นำธรรมะของ พุทธทาส มาเรียบเรียงนำเสนอในรูปบทสัมภาษณ์พิเศษ
นัยหนึ่งเพื่อนำเสนอเนื้อหาและธรรมะอันลุ่มลึก
นัยหนึ่งเพื่อยืนยันและให้ผู้คนทั่วโลกพิสูจน์ว่า
‘พุทธทาส’ ยังไม่ตาย

0 0 0

ท่านอาจารย์ครับ คำว่า ‘การเมือง’ ในความหมายทางศาสนาเหมือนหรือต่างจากความหมายโดยทั่วไปอย่างไร
สิ่งที่เรียกว่า การเมือง เรามีความหมายหรือบทนิยามโดยเฉพาะตามแนวทางของศาสนา แต่ก็คงจะมีใจความที่ตรงกันโดยหลักทั่วๆ ไปว่า การเมือง นั้นคือ การจัดอย่างถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ เพื่อคนมากจะอยู่ร่วมกันอย่างผาสุก. มันจะไม่ตรงกันบ้างก็คือว่า นักการเมืองทั้งหลาย จะไม่ยอมรับว่า ‘จะต้องมีการจัดอย่างถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ’ เพราะดูเหมือนเขาจะไม่พูดถึง กฎธรรมชาติกันเสียเลย ; เขาพูดถึงปรัชญาบ้าง อุดมคติบ้าง ตามลัทธินั้นๆ แล้วก็ตามความคิดเห็นของเขาเอง

เรื่องการเมืองนี้ก็ต้องเป็นเรื่องเพื่อคนมาก ถ้าคนน้อยก็ไม่จำเป็น ; เมื่อคนมันมากขึ้น จะอยู่ร่วมกันอย่างผาสุกได้อย่างไร? มันก็ต้องจัดไปด้วยเจตนาที่บริสุทธิ์ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของตัวผู้จัดเอง ; ดังนั้น เรื่องการเมืองที่บริสุทธิ์ ก็เป็นเรื่องของศีลธรรม ; แต่นักการเมืองสมัยนี้ก็ไม่ยอมรับ ลักษณะอย่างนี้ ; ไปถือว่าเป็นเรื่องอื่นไม่ใช่เรื่องศีลธรรม. (‘ธรรมสัจจะของธรรมชาติกับอุดมคติทางการเมือง’ ธรรมสัจจสงเคราะห์(ธรรมโฆษณ์) ธรรมทานมูลนิธิ, ๒๕๒๑)

ท่านอาจารย์กรุณาอธิบายเพิ่มเติมนิดหนึ่งว่า ทำไมการเมืองจึงต้องเป็นเรื่องของศีลธรรม
เรายืนยันว่า เป็นเรื่องที่มีหัวใจเป็นศีลธรรมโดยตรง ; ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วมันจะถูกต้องไม่ได้ คือมันจะไปตามความต้องการของคนบางหมู่บางคณะเท่านั้นเอง. มันก็เลยเป็นการเมืองที่ทุจริต หรือเป็นการเมืองที่ปลอม เทียม สร้างความยุ่งยากขึ้นในหมู่มนุษย์ แทนที่จะสร้างสันติภาพ ; ฉะนั้น เมื่อจะเอาความถูกต้องกันก็ต้องเล็งถึงการถูกต้องจริงๆ คือ ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ...

ฉะนั้น สิ่งที่เรียกว่า ศีลธรรมนั้นมีความสำคัญมาก คือเป็นสิ่งที่ทำให้อุดมการณ์ของมนุษย์ทุกชนิด ไม่เป็นปัญหา หรือถ้าจะเผอิญเกิดปัญหาขึ้นมา มันก็แก้ได้ด้วยความมีอยู่แห่งศีลธรรมนั้นเอง. นี้เป็นธรรมสัจจะที่ตายตัว. ถ้าธรรมสัจจะในส่วนนี้มันผิดไป อุดมคติทั้งหลายมันก็ผิดไป. อุดมการณ์ทางการเมืองโดยตรงนี้ ก็จะเสียไป ; เราจึงต้องย้อนไปหา สิ่งที่เรียกว่า ศีลธรรม ในฐานะเป็นรากฐานของอุดมคติทั้งหลาย. (‘ธรรมสัจจะของธรรมชาติกับอุดมคติทางการเมือง’ ธรรมสัจจสงเคราะห์(ธรรมโฆษณ์) ธรรมทานมูลนิธิ, ๒๕๒๑)

ถ้าเช่นนั้นในทรรศนะของท่านอาจารย์ การเมืองที่ถูกต้องควรเป็นอย่างไร
คำว่าการเมือง การเมือง เขาจะพูดกันอย่างไรก็ไม่รู้ตามปรัชญาการเมืองของเขา อาตมาไม่รู้ดอก แล้วไม่อยากจะรู้ด้วย, จะรู้เพียงแต่ว่า การเมือง คือระบบที่ทำให้อยู่กันเป็นผาสุก โดยไม่ต้องใช้ศาสตรา โดยไม่ต้องใช้อาญา, ไม่ต้องใช้ศาสตรา ไม่ต้องใช้อำนาจอะไร, เราอยู่กันได้ ตกลงกันได้ เข้าใจกันได้ อยู่กันอย่างความเป็นสุขสงบสุข เป็นผาสุก โดยไม่ต้องใช้ศาสตรา, นั้นแหละคือระบบการเมืองที่เราต้องการในที่นี้ ; แต่มันก็ต้องประกอบด้วยส่วนประกอบหลายๆ อย่าง เช่นว่ามันจะต้องเป็นอย่างที่มีอยู่นี้จะต้องมีรัฐบาล มีการบริหาร มีตุลาการ มีนิติบัญญัติ มีสภา มีตุลาการ เอาละ, เรายอมรับสิ่งเหล่านี้ว่าต้องมีในระบบการเมือง แต่ขอให้มันถูกต้อง.

ให้มีรัฐสภา หรือสภาประชาชน ที่ออกกฎหมายโดยถูกต้องสมควรแก่สถานการณ์จริงๆ ; แต่ถ้าเอาคนโง่มาเป็นสมาชิก มันก็ทะเลาะกันไม่มีที่สิ้นสุดแหละ, มันต้องมีคนที่มีธรรมะ มีศีลธรรม หรือเป็นมนุษย์อย่างที่กล่าวมาข้างต้นถูกต้องนั้น มาเป็นสมาชิกของรัฐสภาหรือสภาประชาชน...

แล้วจะต้องมีการควบคุมรัฐบาลอย่างถูกต้อง ควบคุมรัฐบาล สภาต้องควบคุมรัฐบาล ควบคุมรัฐบาลด้วยจิตใจที่เป็นธรรม, ไม่ใช่เพื่อจะล้มรัฐบาลอยู่ตลอดเวลา. เดี๋ยวนี้เรามีพรรคการเมืองที่พร้อมจะล้มรัฐบาลอยู่ตลอดเวลา จนไม่มีเวลาทำงานทำหน้าที่, พรรคการเมืองนี้ที่จริงส่วนใหญ่แล้ว มันเป็นของที่ไม่น่าเสน่หา เพราะว่าพรรคการเมืองมันเห็นแก่พรรคยิ่งกว่าเห็นแก่ชาติ, พรรคการเมืองไหนๆ ก็ตาม มักเห็นแก่พรรคมากกว่าเห็นแก่ชาติ มักเห็นแก่พรรคมากกว่าเห็นแก่ชาติทั้งนั้นแหละ. อาตมาคิดว่าทั้งโลกเลย จะเอาพรรคอยู่รอดและเอาพรรคเจริญก่อนชาติเจริญ, เพราะมันมีพรรคอย่างนี้แหละมันเลยยุ่ง ; ถ้ามันไม่มีพรรค มันมีพรรคเดียว ทุกคนมุ่งหน้าต่อประเทศชาติแล้ว มันคงจะไม่ยุ่ง...

แล้วจะต้องมีรัฐสภาหรือผู้แทนราษฎร ที่สื่อความประสงค์ของประชาชนอย่างถูกต้อง อย่างครบถ้วน ; ถ้ามันเป็นหน้าที่ของสมาชิกสภา มันก็ต้องเป็นผู้แทนราษฎรชนิดที่สื่อความประสงค์ของราษฎร ให้แก่สภาหรือแก่รัฐบาลอย่างถูกต้องและครบถ้วน...

ในที่สุดเราจะพูดว่า เขาจะต้องถือหลักศีลธรรมเป็นหลักในการปฏิบัติหน้าที่ทุกแขนง ; รัฐบาลก็ดี รัฐสภาก็ดี ตุลาการก็ดี อะไรก็ดี ที่รวมกันเป็นระบบการปกครองนี้ จะต้องมีศีลธรรมเป็นหลัก ให้เรามีความเป็นชาติที่มีศีลธรรม, ให้เรามีความเป็นชาติหรือชาติที่มีศีลธรรม ซึ่งจะต้องรวมถึงว่า มีวัฒนธรรม มีศาสนา มีขนบธรรมเนียมประเพณี อะไรที่ถูกต้อง แต่เราใช้คำว่าศีลธรรมคำเดียวก็พอ ถ้ามีศีลธรรมได้จริง มันไม่เสียในทางวัฒนธรรมหรือศาสนาใดๆ นี่ระบบการปกครองทุกแขนง ไม่ว่าจะไปในทิศทางไหน จะต้องมีความเป็นธรรม คือมีศีลธรรมในการปฏิบัติหน้าที่การงาน.

ฉะนั้น การเมืองนี้ ถ้ามันบริสุทธิ์ มันก็เพื่อความสงบ หรือสันติภาพของมนุษย์นั่นเอง... ถ้าการเมือง ไม่ประกอบอยู่ด้วยธรรมะ หรือพระธรรมแล้ว มันก็เป็นระบบโจรที่ปล้นธรรมชาติ โจรที่ทำลายธรรมชาติ โจรที่ทำลายทรัพย์สมบัติของพระเจ้านั่นเอง... (‘ธรรมสัจจะของธรรมชาติกับอุดมคติทางการเมือง’)

ในระบอบประชาธิปไตยซึ่งถือว่าเป็นการปกครองที่ให้ความสำคัญกับสิทธิเสรีภาพของประชาชนมากที่สุดแล้วนั้น ทำไมจึงยังมีปัญหามากมาย
...ประชาธิปไตย ถ้าว่าประชาชนหรือคนแต่ละคนมันไม่มีศีลธรรมแล้วมันก็วินาศแหละ วินาศในเวลาอันสั้น, ถ้าประชาชนทุกคนไม่มีศีลธรรมแล้วเอามาเป็นใหญ่สำหรับปกครองบ้านเมือง พักเดียวมันก็ทำวินาศหมด เราต้องมีประชาธิปไตยที่ประกอบไปด้วยธรรม เรียกว่าธัมมิกประชาธิปไตย นี้เกี่ยวกับการปกครอง ธัมมิกสังคมนิยม นั้นมันเกี่ยวกับเศรษฐกิจ, ถ้าธัมมิกประชาธิปไตย นี้มันเกี่ยวกับการปกครอง เอาธรรมะเป็นใหญ่ เอาความถูกต้องเป็นใหญ่ ไม่ใช่ประชาธิปไตยของคนเห็นแก่ตัว เอาคนที่เห็นแก่ตัว เต็มอัดทุกๆ คน มาเป็นระบบปกครองเป็นประชาธิปไตย มันก็ฆ่ากันตายหมดแหละ ด้วยความต่างคนต่างเห็นแก่ตัว ต่างคนต่างเห็นแก่ตัว. ฉะนั้นประชาธิปไตยต้องจำกัดความให้ดีๆ ว่าต้องของประชาชนที่มีศีลธรรม เลยต้องใช้คำว่า ธัมมิกประชาธิปไตย, มีธรรมเป็นหลัก มีความถูกต้องเป็นหลัก อย่าเห็นแก่ตัว แต่เห็นแก่ธรรมะ, เห็นแก่ธรรมะ แล้วก็อย่าเห็นแก่ตัว นี่เรียกว่า มีธรรมะเป็นหลัก มีระบบการปกครองชนิดนี้ แล้วก็จะมีการปกครองสังคม หรือโลกให้มีสันติภาพได้โดยง่าย.

...ทีนี้เราดูให้ดี เราจะเห็นได้ว่า ประชาชนในโลกสมัยนี้ กำลังตกเป็นทาสของวัตถุนิยม หนักขึ้นๆ อย่างรั้งไว้ไม่อยู่ เมื่อประชาชนทั้งหมดเป็นทาสของวัตถุนิยมแล้ว ประชาธิปไตย ก็มีความหมายแต่เพียงว่า ช่วยกันทำโลกนี้ให้เป็นทาสของวัตถุเร็วๆ เข้าเท่านั้นเอง และผลที่จะเกิดขึ้นก็คือ การเบียดเบียน เพราะว่าวัตถุเป็นที่ตั้งแห่งความลุ่มหลง ปราศจากธรรมะแล้ว ยิ่งมีความลุ่มหลงมาก ลุ่มหลงแล้วก็เห็นแก่ตัว ก็เบียดเบียนกันอย่างที่กำลังเป็นอยู่นี่

ทีนี้เราลองดูให้กว้าง ๆ ออกไปว่า ถ้าเป็นธรรมาธิปไตยแล้ว ก็หมดปัญหา จะใช้ระบบไหนก็ตาม ถ้าธรรมะเข้าไปเกี่ยวข้องแล้ว ก็เป็นธรรมาธิปไตยไปหมด สมมติว่า จะใช้ระบบเผด็จการ ผู้เผด็จการเป็นผู้ประกอบด้วยธรรมอย่างยิ่งแล้ว ก็ไม่เป็นเผด็จการไปได้ มันก็เป็นธรรมาธิปไตยอยู่นั่นเอง หรือเราจะใช้ระบบประชาธิปไตยอย่างที่ใช้ ๆ กันอยู่นี่ ถ้าทุกคนที่มีสิทธิ์มีเสียง ที่จะออกเสียงเป็นผู้มีธรรมะแล้ว มันก็กลายเป็นธรรมาธิปไตยไปหมด ฉะนั้น ขอให้ถือว่า โลกนี้จะรอดได้เพราะความเป็นธรรมาธิปไตย ไม่ใช่อธิปไตยอย่างไหนเลย. (‘ธรรมะ ทำไมกัน ?’ บรรยายในการประชุมสมาคมพุทธศาสนาทั่วราชอาณาจักร ครั้งที่ ๑๖ ณ ค่ายธรรมบุตร สวนโมกขพลาราม อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ๒๑ มกราคม ๒๕๑๒)

ในขณะที่โลกกำลังวุ่นวาย หลายประเทศเกิดปัญหาการเมืองทั้งภายในและระหว่างประเทศ เกิดสงครามแย่งชิงทรัพยากร ท่านอาจารย์มองปัญหาการเมืองของโลกที่เป็นอยู่นี้อย่างไร
...เราจะมองดูระบบการเมืองในโลกปัจจุบันกันสักสามแง่ คือ ดูที่ต้นเหตุของมัน, ดูที่ความเจริญของมัน, แล้วก็ดูที่มันพัวพันกันอย่างสับสน แง่อย่างแรก ที่ว่าต้นเหตุของปัญหาการเมืองทั้งโลกนี้มันมีอยู่ที่ไหน? อาตมาอยากระบุลงไปว่า โดยเฉพาะปัจจุบันนี้ ไปหลับหูหลับตาหลงใหลในเรื่องความเจริญทางวัตถุมากเกินไป ไม่มีใครรู้สึกตัว ไม่มีใครละอายในการที่จะกอบโกยวัตถุ. เมื่อตกเป็นทาสของกิเลสหรือตกเป็นทาสของวัตถุเสียแล้ว, จิตใจก็ไม่อาจจะรู้สึกละอายได้ ก็ไม่รู้สึกกลัวด้วย... เป็นทาสของเนื้อหนังมันก็ละทิ้งพระเจ้า ; พวกฝรั่ง เขาเคยมีพระเจ้า เขาก็ละทิ้งพระเจ้า เขาจัดให้พระเจ้าตายแล้ว ไม่มีอยู่แล้ว.

ฝ่ายตะวันออกนี้ก็ละทิ้งพระธรรม ซึ่งมีฐานะอย่างเดียวกับพระเจ้า ละทิ้งศาสนา ละทิ้งพระธรรม แม้แต่วัฒนธรรมของบรรพบุรุษฝ่ายตะวันออก อย่างจีน อย่างไทยแท้นี้ มันก็ถูกละทิ้งไป ไปเป็นทาส ของเนื้อหนัง... (‘ถ้าจะให้ธรรมะครองโลกต้องมีระบบการเมืองแบบธัมมิกสังคมนิยม’ เมื่อธรรมครองโลก (ธรรมโฆษณ์) ธรรมทานมูลนิธิ,๒๕๒๓.)

ลัทธิวัตถุนิยม ได้เป็นชนวนให้เกิดการแย่งชิงระหว่างชาติ ที่เราเรียกกันว่า สงคราม, ถึงขนาดที่เป็นวิกฤตกาลถาวร ยืดเยื้อเรื้อรังเหลือความสามารถขององค์การโลกทุกชนิดจะระงับได้ ดังที่ทุกคนได้เห็นกันอยู่แล้วในบัดนี้. นี่แหละคือการกระทำและผลงานของซาตาน ที่กระทำหน้าที่ของตนได้อย่างดีที่สุด ในการรับใช้พระเจ้า เพื่อการทดสอบมนุษย์และลงโทษมนุษย์ผู้สอบไล่ตก พร้อมกันไปในตัว. ดังนั้น เพื่อการที่มนุษย์เราจะเปลี่ยนกลับไปเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า จนได้รับสันติภาพที่แท้จริงเป็นรางวัลนั้น เราจะต้องมองลงไปยังสิ่งที่เรียกว่าวัตถุนิยม หรือ ‘วัฒนธรรมทางวัตถุ’ ที่เรากำลังบูชากันยิ่งกว่าพระเจ้านั่นเอง ว่าเป็นสิ่งที่ตั้งขวางกีดกั้นอยู่ ระหว่างเรากับพระเจ้า. ทำให้เราเกลียดพระเจ้าที่แท้จริง และตั้งตัวเอง เป็นพระเจ้าเสียเอง. (‘รบกันพลาง แลกธรรมกันพลาง’ เอกสารประกอบ คำบรรยายในโอกาสมีการประชุมพุทธสมาคมฯ ที่ค่ายธรรมบุตร ๒๒ ธันวาคม ๒๕๑๑)

ท่านอาจารย์บอกว่า มนุษย์กำลังบูชาวัตถุนิยมมากกว่าศาสนายิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ในสภาพเช่นนี้จะนำไปสู่การที่โลกจะไม่มีศาสนาหรือไม่
โลกในสภาพปัจจุบันนี้ เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปโดยไม่มีใครแย้ง ว่ากำลังตกอยู่ในวิกฤตกาลอย่างหนัก ใกล้ต่อความวินาศยิ่งขึ้นทุกที ทั้งนี้ เนื่องมาจากการที่โลกตกเป็นทาสของวัตถุ หรือวัตถุนิยม, มากเกินไปนั่นเอง. โลกกำลังก้าวหน้าแต่ทางวัตถุ. โดยไม่มีความก้าวหน้าทางวิญญาณ (spiritual) เอาเสียเลย, มีแต่จะตกต่ำหรือถอยหลังไปเสียอีก. โลกกำลังหลงใหลในความสุขทางเนื้อหนัง, กำลัง หันหลังให้ธรรม, หันหลังให้ศาสนา, หันหลังให้พระเจ้า, จนกระทั่งไม่ให้ความสำคัญแก่สิ่งเหล่านี้เลย. (‘รบกันพลาง แลกธรรมกันพลาง’ เอกสารประกอบ คำบรรยายในโอกาสมีการประชุมพุทธสมาคมฯ ที่ค่ายธรรมบุตร ๒๒ ธันวาคม ๒๕๑๑)

โลกไม่มีศาสนา ! ที่เป็นอย่างนี้ ไม่ใช่เป็นเฉพาะพุทธศาสนา เป็นหมดทุกศาสนา ; เพราะว่าโลกทั้งโลก มันถูกครอบงำด้วยวัตถุนิยม หรือความเจริญอย่างแผนใหม่ คนในโลกกำลังหายใจเป็นวัตถุ แล้วก็บูชาวิชาเทคโนโลยี่ ที่จะช่วยให้สำเร็จประโยชน์ สำเร็จตามความต้องการในทางวัตถุ เขาบูชาเทคโนโลยี่แทนสิ่งที่เรียกว่าศาสนา. ศาสนาไม่มีวัตถุให้ เหมือนเทคโนโลยี่ ; ศาสนามีแต่ความรู้แจ้งในฝ่ายจิตฝ่ายวิญญาณให้. ส่วนคนไม่ต้องการ เพราะว่าเขาเห็นว่า ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร ; ฉะนั้นจึงไม่พอใจ ไม่ชอบศาสนา ถือเป็นของทำให้เสียเวลา เป็นของครึคระ. (‘ วิญญาณของความเป็นครู’ บรรยายในโอกาส งานอบรมครูของทางราชการผู้พักแรมอยู่ที่ค่ายธรรมบุตร ๘ เมษายน ๒๕๑๓)

สรุปความว่า มนุษย์ในทุกวันนี้ ทำสงครามกับพระเจ้า. กำลังเอาชนะพระเจ้า เพื่อให้ตัวเองได้ทำอะไรตามชอบตัว ตามความเห็นแก่ตัว ตามกิเลสของตัว, โดยยกเอากิเลสนั้นขึ้นเป็นพระเจ้าเสียเอง. ข้อนี้เท่ากับการตั้งตัวเอง เป็นพระเจ้า, โดยการทำสงครามกับพระเจ้าตามที่มีอยู่ในบทบัญญัติทางศาสนา. เขาไม่เข้าใจพระเจ้าในบทบัญญัติของศาสนาอย่างถูกต้อง จนถึงกับมอบชีวิตกับพระเจ้าจริง จึงได้สร้างพระเจ้าองค์ปลอมขึ้นตามที่ตนจะถูกลวงด้วยซาตานอย่างไร พระเจ้ากิเลสของเขา ก็คือตัวเขาเอง กำลังเหยียบย่ำบทบัญญัติทางศาสนา ที่ได้ตราไว้โดยพระเจ้าที่แท้จริง นั่นคือการทำสงครามกับพระเจ้าของมนุษย์แห่งยุคปัจจุบัน (‘รบกันพลาง แลกธรรมกันพลาง’ เอกสารประกอบ คำบรรยายในโอกาสมีการประชุมพุทธสมาคมฯ ที่ค่ายธรรมบุตร ๒๒ ธันวาคม ๒๕๑๑)

เหมือนที่ท่านอาจารย์บอกไว้ตั้งนานแล้วว่าตอนนี้โลกเข้าสู่ ‘กลียุค’แล้ว
กลียุค คือยุคที่โลกมีความเสื่อม มีความทุกข์ร้อน มีความลำบากยากเข็ญ สำหรับอินเดีย ในสมัยพระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นนั้น มีความลำบากยากเข็ญ ด้วยเรื่องความคิดเห็น ถือกันเป็นปัญหาใหญ่ กำลังมีความคิดเห็นที่ผิด ซึ่งไปหลงที่จะแก้ปัญหาต่างๆ ด้วยการบูชายัญอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งเรียกกันว่า เป็นยุคที่มีความมืดทางวิญญาณ เพราะฉะนั้น ความหมายของคำว่า กลียุค ก็คือ ยุคที่โลกกำลังมีปัญหา กำลังเดือดร้อน.

แต่ถึงอย่างไรก็ดี มันยังไม่มีความสำคัญมากเท่าๆ กับว่า ในตัวบุคคลคนหนึ่งๆ นั่นแหละ กำลังมี กลียุค โดยส่วนตัวในใจของคนสมัยนี้กำลังมีลักษณะแห่งกลียุค กำลังเดือดร้อน, กำลังตกเป็นทาสของวัตถุ, กำลังในโอกาสแก่กิเลสตัณหามากขึ้นๆ จึงมีความทุกข์ร้อนอยู่ในจิตใจของมนุษย์ในสมัยนี้มากขึ้น จึงเรียกว่า กลียุคนั้นกำลังมีอยู่ในใจของคนทุกคน ในเวลานี้ จึงเป็นการสมควรอย่างยิ่งที่จะมีธรรมะเป็นเครื่องขจัดปัญหาข้อนี้ ความหมายของคำว่า กลียุคนั้น หมายถึงเรื่องของโลก แผ่นดินก็ได้ หมายถึงเรื่องของมนุษย์เป็นส่วนรวมก็ได้ แต่ไม่สำคัญเท่ากับเรื่องที่บุคคลคนหนึ่งกำลังมีกลียุคอยู่ในใจของตน ฉะนั้น ธรรมะมีขึ้นก็เพื่อที่จะแก้ไขปัญหาข้อนี้ เพื่อจะปัดเป่าความเป็นกลียุคนั้นให้หมดไปจากใจ นี่แหละ เราจะได้ดูกันต่อไปว่า มันจะได้อะไรที่ดีมากไปกว่านี้

แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังเชื่อว่า ถ้าได้ครอบครองวัตถุสิ่งของมากขึ้น ชีวิตก็จะมีความสุขเพิ่มขึ้น
พวกที่นิยมวัตถุนี้เขาเชื่อกันว่า ถ้าเราทำการพัฒนาทำให้เจริญนั้น, การพัฒนาหรือการทำให้เจริญนั้นมันขึ้นอยู่ กับวัตถุ โดยมุ่งแต่จะพัฒนาหรือให้เจริญทางวัตถุ ซึ่งมีผลมหาศาลออกมาเป็นที่พอใจมากมายได้เหมือนกัน; แต่มันเสียสมดุลในการที่ว่าจิตจะนำวัตถุ มันไม่สมดุล, มันก็ถูกให้วัตถุนำไป, เฮ เฮ เฮกันไปทางวัตถุ. ฉะนั้นการที่ถือว่าความเจริญหรือการพัฒนาขึ้นอยู่กับวัตถุนั้นแหละ คือวัตถุนิยม, เป็นความคิดที่เป็นวัตถุนิยม; ฉะนั้นการพัฒนาวัตถุจนท่วมโลก พัฒนากันจนโลกเป็นทาสของวัตถุนิยม, นั่นแหละคือวัตถุนิยม.

ระวังให้ดีๆ ผู้ที่ชอบวัตถุและพัฒนาทางวัตถุนั้นอย่าให้มันไปถึงขนาดว่า พัฒนาจนตัวเองตกเป็นทาสของวัตถุ; นี่พุทธบริษัทจะต้องระมัดระวัง มิฉะนั้น จะสูญเสียศักดิ์ศรีของความเป็นพุทธบริษัทจนหมดสิ้น.

มาศึกษาให้รู้ความเลวร้าย เสน่ห์อันเลวร้ายของวัตถุนิยม หลอกลวงคนไปจมปลักอยู่ในเรื่องของวัตถุ, ทรมานจิตใจอยู่ด้วยเรื่องมีกิเลสเป็นเหตุให้ทำกรรม ทำกรรมแล้วรับผลกรรม, รับผลกรรม แล้วก็เพิ่มกิเลส, แล้วก็เพิ่มกรรม แล้วก็เพิ่มผลของกรรม แล้วก็เพิ่มกิเลส, นี่คืออาการที่ว่ามันจมปลักอยู่ในวัตถุนิยม เห็นแก่ความสุขสนุกสนานเอร็ดอร่อยทางรูปธรรมก็ได้ ทางอรูปธรรมก็ได้; แต่ทางอรูปธรรมนั้นเป็นไปน้อยมาก ฉะนั้นเราจึงไม่พูดถึงกัน. แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่เรื่องดับทุกข์, อรูปธรรม อรูปฌาน อรูปสุขนี้ ยังไม่ใช่เรื่องดับทุกข์ มันต้องมาเป็นเรื่องของพระนิพพาน จึงจะเป็นเรื่องของการดับทุกข์, คืออยู่เหนืออำนาจของวัตถุ โดยประการทั้งปวง. (‘ปณิธานข้อสาม การนำโลกออกมาเสียจากวัตถุนิยม’ ธรรมบรรยาย วันล้ออายุ ภาคค่ำ ๒๗ พ.ค. ๒๕๒๙)

ปัจจุบัน ความขัดแย้งและสงครามได้ดึงเอาความแตกต่างทางด้านศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้อง และมีแนวโน้มว่าจะเป็นไปในทางที่รุนแรงยิ่งขึ้น ท่านอาจารย์มองเรื่องนี้อย่างไร และเราจะมีทางออกจากวิกฤตการณ์นี้อย่างไร
โลกต้องมีหลายศาสนา นี้เป็นสภาพความจริงอันแรกที่ต้องยอมรับ เพราะว่าคนในโลกไม่เหมือนกัน มันจัดเป็นพวกๆ เป็นยุคเป็นสมัย, แล้วก็มีภูมิหลังแห่งวัฒนธรรมต่างกันๆ ฝังแน่นอยู่ในจิตใจเปลี่ยนไม่ได้, เขาก็เหมาะที่จะถือศาสนาที่เหมาะสมกับภูมิหลังแห่งวัฒนธรรมของตนๆ โดยภูมิศาสตร์ ในโลกนี้ก็ต้องแบ่งศาสนาให้เหมาะสมกับมนุษย์ ตามถิ่นโดยภูมิศาสตร์และยังจะต้องคำนึงถึงขนบธรรมเนียมประเพณีที่มันมีอยู่อย่างแน่นแฟ้น ซึ่งจะต้องปรับปรุง

ศาสนาทุกศาสนาต้องทำหน้าที่เป็นแสงสว่างของสังคม, นำวิญญาณของสังคมไปอย่างถูกวิถีทาง คือไปสู่จุดหมายปลายทางไม่เห็นแก่ตัว แล้วรักผู้อื่น โดยอัตโนมัติ, ข้อนี้ขอให้สนใจให้มาก ถ้ามันไม่เห็นแก่ตัว แล้วมันจะรักผู้อื่นโดยอัตโนมัติ; ดังนั้น หน้าที่ของศาสนาจึงมีหน้าที่เพียงแต่ทำลายความเห็นแก่ตัว, ทำลายความเห็นแก่ตัว เมื่อหมดความเห็นแก่ตัวจะรักผู้อื่นโดยอัตโนมัติ โลกนี้ก็จะมีสันติภาพ.

เดี๋ยวนี้คนถือศาสนาต่างกันมาก จนไม่ค่อยจะมองหน้ากัน; แต่ไปดูเถอะว่าในหัวใจของคนเหล่านั้น ซึ่งต่างศาสนากันนั่นแหละ มันก็มีกิเลสเหมือนกัน. ความโลภของคนที่ถือศาสนาพุทธ ก็ไม่ต่างจากความโลภของคนที่ถือศาสนาคริสต์ อิสลาม พราหมณ์ ฮินดู ซิกข์อะไร, ความโกรธก็เหมือนกัน, ความหลงก็เหมือนกัน. ฉะนั้นความทุกข์ที่เกิดขึ้นมันก็เป็นความทุกข์เหมือนกัน, ถ้าไปดูกันที่ตัวกิเลสและตัวความทุกข์แล้ว มันก็เหมือนกันดิกเลยของทุกคนที่ถือศาสนาต่างกัน. เมื่อเป็นอย่างนี้มันก็ควรจะมีสิ่งซึ่งแก้ทุกข์หรือดับทุกข์ได้ร่วมกัน ไม่ว่าเขาจะถือศาสนาอะไร; เหมือนอย่างว่าปัจจุบันใครจะถือศาสนาอะไรก็ตามใจ ถ้ากินน้ำตาล มันก็รู้สึกหวาน, ถ้ากินเกลือ มันก็รู้สึกเค็ม. ถ้ากินน้ำส้ม มันรู้สึกเปรี้ยว, อย่างนี้ใช่ไหม? จะถือศาสนาอะไร มันก็ไม่เว้นที่ว่าจะต้องมีความเป็นอย่างเดียวกันอยู่ในด้านลึก. หรือว่าจะมียาแก้โรค ขึ้นมาในโลกแม้แต่ยาแก้ปวดศีรษะอย่างนี้ คนถือศาสนาอะไรซื้อไปกินมันก็หายได้, ไม่ว่าจะถือศาสนาอะไร. ทีนี้มันยิ่งกว่านั้นก็ว่าเมื่อกิเลสของคนก็เหมือนกัน ความทุกข์ของคนก็เหมือนกันในการที่จะดับทุกข์ มันก็เหมือนกันได้, เหมือนกับว่ายาแก้โรคทางฝ่ายกายใช้ร่วมกันได้อย่างนี้ ยาแก้โรคในทางฝ่ายจิตฝ่ายวิญญาณ มันก็ใช้ร่วมกันได้อย่างนี้แหละ.

การทำความเข้าใจระหว่างศาสนา ก็เพื่อแก้ปัญหาคือการกระทบกระทั่งกัน ในระหว่างศาสนา ซึ่งมีผลมาถึงบุคคลแต่ละคน เดี๋ยวนี้ก็มีปัญหาเกี่ยวเนื่องกับศาสนาต่างกัน ทางการเมืองบ้าง, ทางภายในหรือส่วนบุคคลบ้าง ก็มีอยู่แล้วก็เป็นปัญหาใหญ่โตเหมือนกัน ที่เป็นปัญหาทางการเมืองเกิดจากพลเมืองถือศาสนาต่างกันวิวาทกันอะไรกันทำนองนี้. เราอาจจะขจัดปัดเป่าปัญหาประเภทนี้โดยเฉพาะออกไปได้โดยการทำความเข้าใจระหว่างศาสนา. (‘ปณิธานข้อสอง การทำความเข้าใจระหว่างศาสนา’ ธรรมบรรยาย วันล้ออายุ ภาคบ่าย ๒๗ พ.ค. ๒๕๒๙)

ในขณะที่สังคมโลกกำลังรุดหน้าไปด้วยพลังของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนั้น โลกก็กำลังก้าวไปสู่ภาวการณ์ขาดสันติภาพยิ่งๆ ขึ้นเรื่อยๆ ขอให้ท่านอาจารย์กรุณาพูดถึงประเด็นนี้เป็นการทิ้งท้าย
...มนุษย์สามารถไปดวงจันทร์แล้วกลับมาได้ เขาตะโกนกันทั่วโลกอย่างระบือลือชาทีเดียวว่า ชัยชนะของมนุษย์! ชัยชนะของมนุษย์! ชัยชนะสูงสุดของมนุษย์!...

ถ้าไปดวงจันทร์ได้นั้น มันนำมาซึ่งสันติภาพหรือไม่ อาตมาเห็นว่า การไปดวงจันทร์ได้ ยังไม่นำมาซึ่งสันติภาพ แล้วก็เป็นการพ่ายแพ้แก่ดวงจันทร์ แล้วการกระทำนี้ เป็นการกระทำเพื่อขู่ขวัญกัน เพื่ออวดฝีมือในโลกนี้กันอย่างมากเท่านั้นเอง แล้วมันจะนำมาซึ่งสันติภาพอย่างไร ความรู้สึกของเราที่เป็นพุทธบริษัท รู้สึกว่านี่แหละคือวันที่พ่ายแพ้แก่ดวงจันทร์ถึงที่สุดแล้ว...

หรือว่าถ้าจะพูดให้ตรงกว่านั้น มันเป็นเรื่องการกระทำของคนบ้าถึงขนาดหนัก เท่านั้นเอง มันจึงทนทำของยุ่งยากลำบากหมดเปลืองอยู่ได้ แต่ถ้าว่าจะต้องการความดับทุกข์ หรือสันติภาพโดยตรงกันแล้ว มันไม่ต้องมากมายถึงอย่างนั้น มันไม่ต้องลงทุนมากถึงอย่างนั้น ไม่ต้องลำบากมากถึงอย่างนั้น ก็ยังทำให้มีสันติภาพ และความสงบสุขอันแท้จริงได้

ทีนี้การชนะผู้อื่น ซึ่งเป็นมนุษย์ เป็นคู่ปรปักษ์ หรือเป็นคู่แข่งกันนี้ ก็ไม่นำมาซึ่งสันติภาพ จงฟังดูให้ดีๆ ว่า ชนะวัตถุล้วนๆ เช่นก้อนดวงจันทร์เป็นต้นนั้น ก็ไม่นำมาซึ่งสันติภาพ เพราะฉะนั้นการชนะมนุษย์ด้วยกันซึ่งเป็นคู่ปรปักษ์คู่แข่งขัน คู่อะไรก็ตาม มันก็ไม่นำมาซึ่งสันติภาพ เพราะว่ามันทำให้สร้างความเกลียดชัง อาฆาต จองเวรอะไรกันมากขึ้น แล้วก็กลับแพ้ กลับชนะอย่างรุนแรงกันไปมา ๆ ยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม ดังนั้นการชนะคู่ปรปักษ์นั้นไม่นำมาซึ่งสันติภาพ แต่การชนะตน คือชนะกิเลสของตนเท่านั้นที่จะนำมาซึ่งสันติภาพ

ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ชนะตนนั่นแลเป็นดีเลิศนี้หมายความว่า ชนะตัวเอง อะไรเป็นตัวเอง ในที่นี้ก็หมายถึงอ้ายความโง่ ว่าตัวกูว่าของกูนั่นแหละ คือตน อุปาทานว่าตัวกูว่าของกูนั่นแหละคือตน อุปทานนั้นคือกิเลส เพราะฉะนั้นกิเลสนั่นแหละคือตน ทีนี้ชนะกิเลสหรือตนเสียให้ได้ ก็จะนำมาซึ่งความสุขหรือสันติภาพแก่ตน ดังนั้นทุกคน ๆ จะต้องพยายามชนะตน คือชนะกิเลสของตนให้ได้ แล้วการชนะนั้นจะนำมาซึ่งสันติภาพกล่าวคือพระนิพพาน ในปริยายใด ปริยายหนึ่ง ลักษณะใดลักษณะหนึ่ง หรืออันดับใดอันดับหนึ่งไม่มากก็น้อย มันจึงเป็นสันติภาพขึ้นมา การชนะตนเท่านั้นนำมาซึ่งสันติภาพ

ทีนี้ดูต่อไปอีก การชนะน้ำใจผู้อื่น หลังจากที่ชนะตนแล้ว ให้เหมือนกับที่ตนชนะตนเท่านั้น จะยิ่งนำมาซึ่งสันติภาพของสากลโลก หรือของสากลจักรวาล ข้อนี้หมายความว่า เมื่อเราชนะตัวเราเองได้ จริง ๆ แล้วหมดความเห็นแก่ตนแล้ว เราชนะน้ำใจผู้อื่น ให้เขาหมดความเห็นแก่ตัวอย่างเราบ้าง เหมือนกับที่เราได้หมดแล้วนั่นแหละจะนำมาซึ่งสันติภาพของสากลโลก สากลจักรวาล...
(‘ชนะดวงจันทร์ หรือชนะตนดี’ เทศน์ในวันอาสาฬหบูชา (กัณฑ์บ่าย), ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๑๒ ณ สวนโมกขพลาราม ไชยา)


0 0 0
พุทธทาสคงอยู่ไปไม่มีตาย
ถึงดีร้ายก็จะอยู่คู่ศาสนา
สมกับมอบกายใจรับใช้มา
ตามบัญชาองค์พระพุทธไม่หยุดเลย

พุทธทาสยังอยู่ไปไม่มีตาย
อยู่รับใช้เพื่อนมนุษย์ไม่หยุดเฉย
ด้วยธรรมโฆษณ์ตามที่วางไว้อย่างเคย
โอ้เพื่อนเอ๋ยมองเห็นไหมอะไรตาย

แม้ฉันตายกายลับไปหมดแล้ว
แต่เสียงสั่งยังแจ้วแว่วหูสหาย
ว่าเคยพรอดกันอย่างไรไม่เสื่อมคลาย
ก็เหมือนฉันไม่ตายกายธรรมยัง

ทำกับฉันอย่างกะฉันนั้นไม่ตาย
ยังอยู่กับท่านทั้งหลายอย่างหนหลัง
มีอะไรมาเขี่ยไค้ให้กันฟัง
เหมือนฉันนั่งร่วมด้วยช่วยชี้แจง
......................................

คำถาม และบทเรียบเรียง : โดย บัณฑิต เอื้อวัฒนานุกูล