คดีแดงที่ 1294/2521
พนักงานอัยการ กรมอัยการ จ.
นายอนุชิต ธนัครสมบัติ จ.ล.
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
ขณะเปิดเพลงสรรเสริญพระบารมี จำเลยได้กล่าวถ้อยคำว่า
"เฮ้ย เปิดเพลงอะไรโว้ย ฟังไม่รู้เรื่อง"
และจำเลยมิได้ยืนตรงเช่นประชาชนคนอื่น การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการดูหมิ่นพระมหากษัตริย์
โจทก์ฟ้องว่า มีผู้อภิปรายเรื่องเกี่ยวกับการต่อต้านคอมมิวนิสต์และเรื่องการต่อต้านราคาสินค้าที่บริเวณท้องสนามหลวง เมื่อผู้อภิปรายได้ยุติการอภิปรายและเปิดแผ่นเสียงเพลงสรรเสริญพระบารมี ประชาชนยืนตรงแสดงความเคารพพระมหากษัตริย์ จำเลยได้บังอาจกล่าวถ้อยคำว่า "เฮ้ยเปิดเพลงอะไรโว้ย ฟังไม่รู้เรื่อง" และจำเลยมิได้ยืนตรง เป็นการดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ (พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชรัชการที่ ๙) และเป็นการแสดงอาการด้วยความไม่เคารพนบนอมต่อพระมหากษัตริย์ต่อหน้าประชุมชน ฯลฯ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า
จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ จำคุก ๒ ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ในวันเวลาเกิดเหตุมีการอภิปรายที่ท้องสนามหลวง กลุ่มศูนย์นิสิตนักศึกษาอภิปรายปัญหาเรื่องข้าวสารแพงอยู่ทางด้านทิศเหนือ กลุ่มของนายผัน วิสูตร อภิปรายเรื่องการต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์อยู่ทางด้านทิศใต้ ด้านวัดพระแก้ว จำเลยฟังกลุ่มนายผันอภิปราย เมื่อนายผันปิดอภิปรายและเปิดแผ่นเสียงเพลงสรรเสริญพระบารมี ประชาชนที่ฟังการอภิปรายทุกคนได้ยืนตรง ขณะที่เพลงสรรเสริญพระบารมียังไม่จบ จำเลยได้กล่าวถ้อยคำว่า "เฮ้ย เปิดเพลงอะไรโว้ย ฟังไม่รู้เรื่อง" และจำเลยมิได้ยืนตรงศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เพลงสรรเสริญพระบารมีเป็นเพลงที่ใช้บรรเลงในการพระราชพิธีหรือพิธีการต่าง ๆ เพื่อถวายพระเกียรติและถวายความเคารพแด่องค์พระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะคดีนี้ประชาชนที่ไปฟังการอภิปรายย่อมเข้าใจว่า เพลงสรรเสริญพระบารมีที่เปิดขึ้นเป็นการถวายความเคารพแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พระมหากษัตริย์ของไทยองค์ปัจจุบัน จึงได้ยืนตรงทุกคน จำเลยเป็นนักเรียนครูวิทยาลับครูสวนสุนันทา ย่อมต้องรู้และเข้าใจดีกว่าประชาชนธรรมดาสามัญ การที่จำเลยมิได้ยืนตรงเช่นประชาชนคนอื่นในขณะที่เพลงสรรเสริญพระบารมีเปิดขึ้น ทั้งยังบังอาจกล่าวถ้อยคำว่า "เฮ้ย เปิดเพลงอะไรโว้ย ฟังไม่รู้เรื่อง" เช่นนี้ เห็นได้ชัดว่า จำเลยมีเจตนาที่จะดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ ฯลฯ
พิพากษายืน
(จรัญ สำเร็จประสงค์ - พิสัณห์ ลีตเวทย์ - แถมดุลยสุข )
ศาลอาญา - นายประกอบ วนิคพันธ์
ศาลอุทธรณ์ - นายเสรี แสงศิลป์
เอาข้อมูลมาจาก เวปศาลฎีกา
http://www.deka2007.supremecourt.or.th/deka/web/search.jsp
แนะนำโดย. http://www.throneout.com/
ที่มา : ไม่เคารพเพลงสรรเสริญ... คุกสองปี
วันพฤหัสบดีที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2551
คดีแดงที่ 1294/2521 : ไม่เคารพเพลงสรรเสริญ คุกสองปี ?
ผู้จัดเก็บบทความ
เจ้าน้อย ณ สยาม
ที่
11:42 หลังเที่ยง
0
ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: กฎหมายหมิ่นฯ
วันอาทิตย์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550
ตัวบท กฎหมาย "หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ" จาก ร.ศ. ๑๑๘ ถึง ปัจจุบัน
พระราชกำหนดลักษณะหมิ่นประมาท
ด้วยการพูดฤาเขียนถ้อยคำเท็จออกโฆษณาการ
รัตนโกสินทรศก ๑๑๘
หมิ่นประมาทพระผู้เปนเจ้า พระอรรคมเหษี
พระบรมโอรสาธิราชแลพระเจ้าแผ่นดินต่างประเทศ
มาตรา ๔ ผู้ใดหมิ่นประมาทพระผู้เปนเจ้าซึ่งดำรงสยามรัฐมณฑล ฤาสมเด็จพระอรรคมเหษี ฤาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชก็ดี ฤาสมเด็จพระมหากระษัตราธิราชเจ้า ผู้ครองเมืองต่างประเทศ ฤามหาประธานาธิบดีผู้ครองเมืองต่างประเทศ ซึ่งมีทางพระราชสัมพันธมิตรไมตรีอันสนิทด้วยกรุงสยามก็ดี โดยกล่าวเจรจาด้วยปาก ฤาเขียนด้วยลายลักษณอักษร ฤากระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งในที่เปิดเผย ท่ามกลางประชุมชนทั้งหลาย ด้วยกายวาจาอันมิบังควร ซึ่งเปนที่แลเห็นได้ชัดว่าเปนการหมิ่นประมาทแท้ ท่านว่าผู้นั้นกระทำผิด
เมื่อพิจารณาเปนสัตย์ว่า ผู้นั้นกระทำผิดต่อข้อห้ามดังเช่นกล่าวมานี้แล้ว ก็ให้จำคุกไว้ไม่เกินกว่า ๓ ปี ฤาให้ปรับเปนเงินไม่เกินกว่า ๑๕๐๐ บาท ฤาทั้งจำคุกและปรับด้วย
แต่ถ้าในเมืองต่างประเทศ ของสมเด็จพระมหากระษัตราธิราชเจ้า ฤามหาประธานาธิบดีซึ่งถูกหมิ่นประมาทนั้น ไม่มีกฎหมายห้ามและลงโทษ คนในบังคับของเมืองต่างประเทศนั้น ไม่มีกฎหมายห้ามและลงโทษ คนในบังคับของเมืองต่างประเทศนั้น ในการหมิ่นประมาทพระผู้เปนเจ้า ซึ่งดำรงค์สยามรัฐมณฑล โดยกล่าวเจรจาด้วยปาก ฤาเขียนด้วยลายลักษณอักษร ฤากระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง ในที่เปิดเผยท่ามกลางประชุมชนทั้งหลาย ด้วยกายวาจาอันมิบังควร ซึ่งเปนที่แลเห็นได้ชัดว่าเปนการหมิ่นประมาทแล้ว ก็ห้ามมิให้ฟ้อง และมิให้ลงโทษแก่ผู้หมิ่นประมาท สมเด็จพระมหากระษัตราธิราชเจ้า ฤามหาประธานาธิบดีผู้ครองเมืองต่างประเทศ ตามมาตรานี้เหมือนกัน
กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. ๑๒๗
มาตรา ๙๘
ผู้ใดทะนงองอาจ แสดงความอาฆาตมาดร้าย หรือหมิ่นประมาทต่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ดี สมเด็จพระมเหษีก็ดี มกุฏราชกุมารก็ดี ต่อผู้สำเร็จราชการแผ่นดินในเวลารักษาราชการต่างพระองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ดี ท่านว่าโทษของมันถึงจำคุกไม่เกินกว่าเจ็ดปี และให้ปรับไม่เกินกว่าห้าพันบาทด้วยอีกโสดหนึ่ง
มาตรา ๑๐๐
ผู้ใดทะนงองอาจ แสดงความอาฆาตมาดร้าย หรือหมิ่นประมาทต่อพระราชโอรส พระราชธิดา ในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่ว่ารัชชกาลหนึ่งรัชชกาลใด ท่านว่าโทษของมันถึงจำคุกไม่เกินกว่าสามปี และให้ปรับไม่เกินกว่าสองพันบาทด้วยอีกโสตหนึ่ง
(มาตรานี้ยกเลิกโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายลักษณะอาญา
พ.ศ. ๒๔๗๗ (ฉบับที่ ๗) มาตรา ๓)
ประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. ๒๔๙๙
มาตรา ๑๑๒ ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี
ความในมาตรา ๑๑๒ เดิมนี้ ถูกยกเลิกและใช้ความใหม่แทน โดยข้อ ๑ แห่งคำสั่งคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ ๔๑ ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑๑๒ ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี
หมายเหตุ
เห็นมีคนถามถึงตัวบทของ กฎหมาย "หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ" ว่ามีความเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้างเคยคิดจะคัดมาให้ดูหลายครั้งแล้ว ถือโอกาส โพสต์ในทีนี้
สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล
ที่มา : http://www.sameskybooks.org/board/index.php?showtopic=4129
ผู้จัดเก็บบทความ
เจ้าน้อย ณ สยาม
ที่
5:58 หลังเที่ยง
0
ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: กฎหมายหมิ่นฯ
วันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2550
กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมีปัญหามากอยู่แล้ว : Lese majeste law still problematic
การเสนอแก้ไขกฎหมายหมิ่นฯ นี้เลอะเทอะและไม่ฉลาดเอาเสียเลย กฎหมายเท่าที่เป็นอยู่ก็มีปัญหาในหลายแง่มุมมากพออยู่แล้ว
โดยพื้นฐานแล้ว กฎหมายข้อนี้ขัดแย้งกับหลักการในรัฐธรรมนูญที่ว่า “ประชาชนทุกคนมีความเสมอภาคกันภายใต้กฎหมาย” แต่ประเทศไทยยอมให้ความขัดแย้งนี้ดำรงอยู่ตลอดมาด้วยกลไกและบรรทัดฐานทางกฎหมายที่น่ากังขา
ยิ่งกว่านั้น ปัญหาที่น่าหนักใจก็คือ การฉ้อฉลใช้กฎหมายนี้เพื่อจุดประสงค์ทางการเมือง เพราะกฎหมายอนุญาตให้ใครก็ได้กล่าวหาใครก็ได้ว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ต่างจากกฎหมายหมิ่นประมาท ที่เฉพาะผู้เสียหายเท่านั้นที่จะดำเนินการฟ้องร้องได้ กฎหมายหมิ่นฯ จึงกลายเป็นอาวุธทางการเมืองที่ฉวยใช้ง่ายเหลือเกิน
ผู้ถูกกล่าวหาโดยคดีหมิ่นฯ ได้รับความเสียหายไปแล้ว ไม่ว่ากระบวนการหรือผลทางกฎหมายจะออกมาเป็นอย่างไร และทั้งๆ ที่กรณีส่วนใหญ่ถูกยกฟ้องหรือไปไม่ถึงศาล ข้อหาหมิ่นฯ จึงถูกใช้อย่างไม่ต้องคิดหรือเป็นการเมืองสามานย์ แทนที่จะได้รับการจัดการอย่างระมัดระวังรอบคอบมากที่สุด
การเสนอแก้ไขกฎหมายครั้งนี้ละเมิดหลักการทางกฎหมายและขนบธรรมเนียมในหลายแง่ และอาจจะยิ่งทำให้มีการใช้กฎหมายนี้เป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างหนักข้อมากขึ้นไปอีก
ประการแรก การแก้ไขครั้งนี้จะเป็นการยกสถานะคนกลุ่มเล็กๆ (รวมถึงคนที่ไม่ใช่เจ้า) ขึ้นเหนือประชาชนทั่วไป ซึ่งจะสร้างแบบอย่างที่อันตราย เนื่องจากอาจจะมีการออกกฎหมายที่จะสร้างชนชั้นอภิสิทธิ์หรือพวก “firsts among the equals” เพิ่มขึ้นมาอีก
การแบ่งชนชั้นในสังคมอย่างเป็นทางการโดยมีกฎหมายรองรับกลับมากและหนักยิ่งขึ้นไปกว่าที่เป็นอยู่อีก แทนที่จะเป็นไปในทางที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น
ประการที่สอง การแก้ไขครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้คนกลุ่มเล็กๆ มีสถานะสูงกว่าประชาชนทั่วไปอย่างถูกกฎหมาย แต่ยังเป็นการยกบุคคลบางคนให้มีอภิสิทธิ์และฐานะใกล้เคียงเจ้าอีกด้วย นี่เป็นการไม่สมควรทั้งต่อสถาบันกษัตริย์ ขนบประเพณี และเป็นการลบหลู่หยามหลักประชาธิปไตยของสังคมสมัยใหม่ทุกประการ
การเสนอแก้ไขกฎหมายในครั้งนี้อาจจะเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเสียเองด้วยซ้ำ
ประการที่สาม ในโลกสมัยนี้ ที่ทุกคนบนโลกล้วนมีผลประโยชน์ทางวัตถุ ทั้งในเชิงการเมืองและเศรษฐกิจ ความโปร่งใส (transparency) และการสามารถตรวจสอบได้ (accountability) เป็นสิ่งจำเป็นมากยิ่งกว่าเดิม การเสนอแก้ไขครั้งนี้กลับเดินไปในทิศทางที่ตรงกันข้าม คือทำให้บุคคลที่อยู่ในตำแหน่งและความรับผิดชอบสูงอยู่ในความเร้นลับและไม่สามารถตรวจสอบได้
ลองนึกดูว่าหากบุคคลดังว่านี้ทำอะไรที่สร้างความเสียหายแก่สถาบันกษัตริย์ เขาก็จะได้รับการปกป้องด้วยกฎหมายตามที่แก้ไขครั้งนี้ เพราะตรวจสอบวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ หมายความว่า เขาจะไม่ถูกลงโทษจากการสร้างความระคายเคืองต่อสถาบันกษัตริย์
ประการที่สี่ การใช้กฎหมายหมิ่นฯ เป็นเครื่องมือเพื่อผลประโยชน์ของอภิสิทธิ์ชนและพวกพ้องก็จะได้รับการปกป้องโดยกฎหมายตามที่แก้ไขครั้งนี้ ผลกระทบที่จะเกิดแก่สถาบันกษัตริย์นั้นอาจใหญ่โตและอันตรายเกินกว่าจะคิดได้ในขณะนี้
ประการที่ห้า ทำไมถึงจะต้องห้ามสื่อมวลชนเสนอข่าวกรณีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ? เพื่อปกป้องสถาบันกษัตริย์หรือว่าเพื่อข่มขู่สื่อไม่ให้นำเสนอข่าวการใช้กฎหมายหมิ่นฯ ในทางฉ้อฉลกันแน่? สมาชิก สนช.สายสื่อมวลชนที่สนับสนุนการเสนอแก้ไขนี้ควรจะมีความละอายที่ได้ทรยศเพื่อนร่วมวิชาชีพและประชาชน
สุดท้าย เจตนาในการแก้ไขกฎหมายหมิ่นฯ ในครั้งนี้ โดยตัวของมันเองก็เป็นการใช้กฎหมายหมิ่นฯ ในทางฉ้อฉล นั่นคือเป็นการให้การคุ้มครองคนบางคนที่อยู่ในความขัดแย้งทางการเมืองในปัจจุบัน นี่เป็นการแก้ไขกฎหมายที่ผิดตั้งแต่ต้นแล้ว
หากมีการแก้ไขกฎหมายหมิ่นฯ ได้จริงๆ การกล่าวหาและคดีหมิ่นฯ ก็จะเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างแน่นอน ยิ่งมีคดีความขึ้นโรงขึ้นศาลมากขึ้นเท่าใด ความสนใจก็จะยิ่งพุ่งไปที่สถาบันกษัตริย์มากขึ้นเท่านั้น แต่จะสร้างอภิสิทธิ์ให้คนบางคน (รวมถึงคนที่ไม่ใช่เจ้า) ทั้งๆ ที่พวกเขากระทำการที่ไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์ของสาธารณชนและไม่สมควรจะได้รับการคุ้มครองพิเศษเหนือกฎหมายแล้วก็ไม่สามารถลงโทษพวกเขาเหล่านั้นได้ แม้กระทั่งหากพวกเขาสร้างความเสื่อมเสียแก่สถาบันกษัตริย์ก็ตาม
บทเรียนจากทั่วโลกแสดงให้เห็นว่าการมีอภิสิทธิ์มากเกินไปอย่างนี้ ในที่สุดจะนำไปสู่ความไม่พอใจของสาธารณชนและความปั่นป่วนในสังคม
กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่เป็นอยู่ก่อผลเสียต่อสถาบันกษัตริย์ มากกว่าที่จะเป็นผลดี การแก้ไขคราวนี้จะยิ่งก่อผลเสียมากขึ้นไปอีก
การเสนอแก้ไขครั้งนี้ทำกันอย่างไร้ความยั้งคิด ถึงจะยอมถอนร่างแก้ไขออกไป ความคิดและความพยายามผลักดันเรื่องนี้ก็ยังสมควรต้องถูกประณามอยู่ดี
เราจะต้องไม่ยอมให้มันหวนกลับมาอีก
Lese majeste law still problematic , The Nation วันที่ 11 ต.ค.2550
โดย ธงชัย วินิจจะกูล
ผู้แปล: พงศ์เลิศ พงศ์วนานต์
ที่มา : http://www.prachatai.com/05web/th/home/page2.php?mod=mod_ptcms&ContentID=9886&SystemModuleKey=HilightNews&System_Session_Language=Thai
ผู้จัดเก็บบทความ
เจ้าน้อย ณ สยาม
ที่
1:15 ก่อนเที่ยง
0
ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: กฎหมายหมิ่นฯ