วันจันทร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2551

แถลงการณ์ดร.ทักษิณระบุประชาธิปไตยคือภัยคุกคามต่อชนชั้นสูงผู้ไม่เชื่อในประชาธิปไตย


ดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรออกแถลงการณ์ต่อสำนักข่าวต่างประเทศระบุคำตัดสินของศาลที่ชี้ว่าเขามีความผิดนั้นเกิดจากแรงขับเคลื่อนทางการเมืองซึ่งเป็นการสมคบกันของบรรดาชนชั้นสูงที่มีอภิสิทธิ์ทั้งหลายผู้เชื่อในทุกสิ่งอย่างยกเว้นประชาธิปไตย

พร้อมกล่าวว่า “ผมเป็นภัยคุกคามต่อพวกเขา เพียงเพราะผมเป็นตัวแทนของหลักการแห่งระบอบเสรีประชาธิปไตย ซึ่งส่งเสริมความหวังและความภาคภูมิใจของคนยากคนจนในประเทศของผม“

เรื่องชนชั้นสูงที่มีอภิสิทธิ์ทั้งหลายที่ไม่เชื่อในประชาธิปไตยนี้ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นในประเทศไทยใน พ.ศ.นี้ แต่ค่านิยมของชนชั้นสูงที่มองว่าผู้ที่มีศักดิ์และคุณวุฒิด้อยกว่าตนไม่เหมาะกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั้นมันเป็นแนวความคิดที่ถูกฝังรากลึกมานานแล้ว

หากมองย้อนไปในอดีตจะเห็นว่าคนไทยเรามักจะถูกศักดินาชั้นสูงอย่างอภิรัฐมนตรีสภา(ในสมัยรัชกาลที่ 7) ไม่เห็นด้วยกับการที่สยามจะมีระบอบรัฐสภาที่มีตัวแทนมาจากการเลือกตั้งดังจะเห็นได้จากร่างรัฐธรรมนูญในปี 2474 (ร่างขึ้นเป็นการภายในและรับรู้เฉพาะแต่ในวงการชั้นสูงเท่านั้น)ที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีบทบัญญัติที่จะให้มีนายกรัฐมนตรีและสส.ที่มาจากการเลือกตั้งครึ่งหนึ่งอีกครึ่งหนึ่งมาจากการแต่งตั้งในขณะเดียวกันก็ยังรักษาพระราชอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้ส่วนหนึ่ง(มีการถกเถียงและต่อรองกันในเรื่องนี้หลังคณะราษฎร์ยึดอำนาจในปี2475) แต่ก็ได้รับการคัดค้านทั้งจากผู้ร่างเองคือพระยาศรีวิศาลวาจาและอภิรัฐมนตรี(คล้ายกับองคมนตรีในปัจจุบัน)อีกด้วย

ประเด็นของการคัดค้านร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็คือชาวสยามยังไม่เหมาะที่จะปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันเป็นความเห็นและประเพณีความเชื่อของบรรดาชนชั้นสูงที่มีอภิสิทธิ์ในสมัยก่อนที่เชื่อว่าความไม่พร้อมของสยามต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั้นมีรากฐานมาจากความด้อยการศึกษาของประชาชนเหมือนที่ทหารการเมือง นักวิชาการและชนชั้นสูงในสังคมไทยตอนนี้เชื่อว่าการเลือกตั้งไม่ใช่คำตอบในระบอบประชาธิปไตยเพราะประชาชนส่วนใหญ่มีวุฒิทางปัญญาต่ำและที่ลึกลงไปกว่านั้นก็คือความที่ไม่เชื่อว่าระบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยซึ่งเป็นระบบของตะวันตกนั้นจะเหมาะสมกับคนตะวันออกอันแพร่อยู่ในหมู่ชนชั้นสูงผู้มีอำนาจ

เมื่ออ่านแนวความคิดเกี่ยวกับประชาธิปไตยของชนชั้นสูงในสังคมไทยตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันที่มักจะบอกกับคนไทยว่าประเทศไทยยังไม่เหมาะกับประชาธิปไตยแบบตะวันตกหรอกเพราะคนชนบทยังด้อยการศึกษาแล้ว มาถึงตรงนี้เลยทำให้ผู้เขียนนึกถึงคำกล่าวของอดีตนายกรัฐมนตรีโทนี่ แบลร์แห่งอังกฤษที่ท่านได้เคยพูดไว้อย่างเหมาะสมกับทุกกาลสมัยว่า


“ มีมายาคติหนึ่งที่มักกล่าวกันว่า แม้เรารักเสรีภาพแต่ชนชาติอื่นไม่ได้บูชาเสรีภาพเหมือนอย่างเรา ความหวงแหนและยึดมั่นในเสรีภาพของเราเป็นเพียงผลผลิตทางวัฒนธรรม เรื่องเสรีภาพ ประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน หลักนิติรัฐ เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องของ “ค่านิยมอเมริกัน” หรือ “ค่านิยมของพวกตะวันตก” ทั้งสิ้น แต่เปล่าเลย ความหวงแหนในเสรีภาพ ประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน หลักนิติรัฐของเราหาใช่ “ค่านิยมตะวันตก” แต่มันคือ

“ค่านิยมสากลแห่งจิตวิญญาณของมวลมนุษยชาติ”

และไม่ว่า ณ ที่แห่งหนใด ไม่ว่าเวลาใดคนธรรมดาสามัญก็มีสิทธิและโอกาสที่จะเลือกและถวิลหาในสิ่งเหล่านี้ ตัวเลือกของพวกเขาก็ไม่แตกต่างจากเราเลยพวกเขายังถวิลหาเสรีภาพหาใช่การปกครองแบบกดขี่ ,ประชาธิปไตยหาใช่เผด็จการทรราชย์ ,ความเป็นนิติรัฐหาใช่กฏเหล็กของเครือข่ายตำรวจลับ “

-โทนี่ แบลร์, อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ


คำพูดดังกล่าวข้างต้นเป็นคำพูดของอดีตนายกรัฐมนตรีโทนี่ แบลร์ของอังกฤษที่ผู้เขียนคัดลอกมาจากหนังสือ The case for democracy: The power of freedom to overcome tyranny & terror ที่แต่งโดย Natan Sharansky ตอนที่เขากล่าวสุนทรพจน์ในที่ประชุมสภาคองเกรสแห่งสหรัฐอเมริกาเมื่อช่วงฤดูร้อนปี 2003 ถึงสิทธิเสรีภาพของชาวอิรัคที่พวกเขาควรจะได้รับเช่นเดียวกับชนชาติอื่นๆในโลกนี้ เฉกเช่นเดียวกับที่ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ลยู ที่ท่านได้เคยกล่าวสุนทรพจน์ในที่สาธารณะหลายครั้งถึงความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าของท่านในเรื่องประชาธิปไตยและเสรีภาพอันเป็นนิยามของคำว่าหลักการบุช ( Bush Doctrine) นั่นเองว่า


“อิสระเสรีภาพมิใช่เป็นของขวัญของชาวอเมริกันที่หยิบยื่นให้กับชาวโลกแต่มันเป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานมาให้กับมวลมนุษยชาติทั้งมวลต่างหาก”

จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช (Gorge W. Bush)


ประเทศไทยในวันนี้ที่การต่อสู้ของประชาชนกำลังเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เป็นบทพิสูจน์หนึ่งที่แสดงให้เห็นชัดเจนว่าไม่มีชนชั้นใดที่อยากจะอยู่ภายใต้การกดขี่และก็ไม่มีชนชั้นใดสมควรที่จะดำรงอยู่เยี่ยงทาส เสรีภาพและประชาธิปไตยจำเป็นต้องถูกปกปักษ์รักษาโดยประชาชน และการปกป้องสิทธิมนุษยชนจะไม่มีทางบังเกิดขึ้นได้หากเสรีภาพของมนุษย์ในสังคมนั้นถูกริดรอน ดังอมตะพจน์ของบุชและแบร์ที่กล่าวว่า Freedom is for everyone นั่นคืออิสระเสรีภาพเป็นของทุกคน นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมชาวเยอรมัน เจแปนนีส อิตาเลี่ยน สแปนยาร์ดและอีกหลายชนชาติได้พัฒนาสังคมการเมืองเปลี่ยนผ่านจากระบบหลักกฎหมู่ของชนชั้นเจ้าขุนมูลนายและชนชั้นนำในสังคม จากสังคมแห่งความหวาดกลัวมาเป็นสังคมแห่งเสรีภาพในช่วงศตวรรษที่ 20

จริงๆแล้ว “ระบอบประชาธิปไตย” นั้นไม่มีอำนาจใดใหญ่เท่าอำนาจประชาชนแต่ “ประชาธิปไตยแบบไทยๆ” นี้อำนาจประชาชนกลับเป็นอำนาจที่ถูกริดรอนโดยชนชั้นสูงในสังคมไทยมากที่สุด

ได้อ่านแถลงการณ์ของท่านอดีตนายกทักษิณฉบับนี้แล้วรู้สึก “ถูกใจและใช่เลย!” ผู้เขียนคิดว่านี่เป็นแถลงการณ์ฉบับที่ดีที่สุดในบรรดาแถลงการณ์ทั้งหลายที่ออกมาก่อนหน้านี้ทั้งช่วงและหลังรัฐประหาร 19 กันยาฯและเป็นแถลงการณ์ที่ประชาชนผู้รักประชาธิปไตยเฝ้ารอมานานแล้วรอวันที่ท่านอธิบายให้ชาวโลกรับรู้ถึง “ภัย” ที่ทำให้ท่านและครอบครัวต้องระหกระเหินมาอยู่ต่างประเทศและ “ภัย” ที่ท่านกำลังเผชิญอยู่นี้เป็น “ภัยคุกคาม” ต่อระบอบประชาธิปไตยด้วยนั่นเอง

การต่อสู้ทางการเมืองของประเทศไทยในตอนนี้ยิ่งตอกย้ำชัดเจนว่าเป็น

การต่อสู้กันระหว่าง “ประชาชน” และ “อภิสิทธิ์ชน” ที่อยู่เหนือกฎหมาย หรือ ประชาธิปไตย(Democracy) VS. อภิชนาธิปไตย(Aristrocracy/Oligarchy) นั่นเอง


Jess
ตุลาคม 24, 2008



คำต่อคำ แถลงการณ์ “ทักษิณ”
แจกสื่อนอกประจานบรรดาชนชั้นสูง
ที่มีอภิสิทธิ์ไปทั่วโลก (คำแปล)


วูดซัม แมเนอร์
เซอร์เรย์, อังกฤษ
22 ต.ค. 51


เรียน เพื่อนสื่อมวลชนต่างประเทศ


สิ่งที่ผมกำลังเขียนถึงพวกคุณในวันนี้เพื่อให้ความกระจ่างในข้อเท็จจริงบางอย่าง ข่าวพาดหัวที่มีการรายงานว่าผมถูกตัดสินว่ามีความผิดจากการทุจริตต้องโทษจำคุก 2 ปีจากการซื้อที่ดินของภรรยาผม, คุณหญิงพจมาน ชินวัตร

สิ่งที่คุณจะได้อ่านต่อไปนี้คือความจริง ผมถูกตัดสินโทษจำคุก 2 ปี ไม่ใช่เพราะข้อหาทุจริต เหตุผลเดียวที่ผมถูกสั่งจำคุก เพราะในช่วงเวลาที่ภรรยาของผมซื้อที่ดินโดยการเปิดประมูลนั้น ผมดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

ผมได้ฟังคำตัดสินเมื่อวันก่อนและจนถึงตอนนี้ ผมยังคงสับสน เพราะไม่มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่ามีการฉ้อฉล คอร์รัปชั่น หรือกระทั่งการใช้อำนาจในทางมิชอบที่เกี่ยวเนื่องกับประมูล คำถามคือ ภรรยาของผมเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องและตัดสินใจยื่นประมูลที่ดินดังกล่าว เป็นผู้ยื่นเสนอราคาจำนวนมากแก่ผู้ขายซึ่งคือ กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน มากกว่าผู้ยื่นประมูลรายอื่นๆ เป็นผู้เซ็นสัญญาซื้อขายกับผู้ขาย จ่ายเงินค่าที่ดินโดยที่สามีไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆเลย ยกเว้นเมื่อต้องเซ็นชื่อยินยอมในเอกสาร

ในแง่ของข้อกล่าวหาเรื่องอิทธิพลอำนาจที่ผมอาจมีเหนือกองทุนฟื้นฟูฯ มันเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องชี้ให้เห็นว่าคณะรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีไม่ได้มีอำนาจควบคุมโดยตรงเหนือกองทุนฟื้นฟูฯ เป็นที่น่าสนใจอย่างยิ่งที่ศาลไม่ได้พบว่าการซื้อขายที่ดินของภรรยาผมมีอะไรที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายหรือเป็นการกระทำนอกกฎหมาย เขาไม่ได้ตัดสินว่าเธอมีความผิด เพราะเธอไม่ใช่นักการเมือง แต่ผมเป็น ผมเชื่อว่าพวกคุณจะตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เหลืออย่างอิสระเยี่ยงผู้สื่อข่าวมืออาชีพปฏิบัติกัน แต่น่าเสียดายที่เพื่อนร่วมอาชีพของคุณส่วนใหญ่ในประเทศไทยปฏิเสธที่จะทำเช่นนั้น

สิ่งที่ผมจะสามารถทำความเข้าใจได้ดีที่สุดก็คือ ผมถูกตัดสินว่ามีความผิดจริงอย่างง่ายๆ เพียงเพราะผมเป็นนักการเมืองคนหนึ่งเท่านั้นเอง ผมผิดเพราะผมเป็นนักการเมืองที่ประสบความสำเร็จ ผมได้รับเลือกตั้งขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีถึงสองสมัยเพราะเสียงส่วนใหญ่จากประชาชน

ถ้าหากผมจะมีความผิดอะไรสักอย่าง นั่นก็คงเป็นสิ่งที่ผมได้แสดงออกมาให้ประชาชนชาวไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนไทยกลุ่มที่อยู่ในชนบทและไม่มีอภิสิทธิ์ใดๆ ได้เห็นว่าพวกเขาสามารถเรียกร้องและมีสิทธิเรียกร้องให้รัฐบาลของพวกเขาจัดทำนโยบายที่มีประสิทธิภาพและทำโครงการต่างๆที่จะยังผลให้ชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาดีขึ้น

ผมยอมรับคำตัดสินนี้ด้วยความรู้สึกที่ผสมปนเปกัน รู้สึกโล่งใจสำหรับภรรยาที่ผมดึงเธอเข้าไปสู่ความยากลำบากมากทีเดียว เพราะความทะเยอทะยานทางการเมืองของผมในการที่จะนำความยิ่งใหญ่และความเป็นอยู่ที่ดีมาสู่ประเทศและประชาชนของผม ทั้งรู้สึกนึกขัน ปนขมขื่นกับคำตัดสินที่ไร้เหตุผล และรู้สึกกังวลแทนนักการเมืองในประเทศไทยว่า พวกเขาสามารถเดินเข้าคุกไปได้ง่ายๆเพียงเพราะภรรยาที่โชคร้ายของพวกเขาพยายามทำตามกฎหมาย

สำหรับพวกคุณที่อาจไม่คุ้นเคยกับประเทศไทย ภาครัฐและภาคเอกชนในไทยที่กำลังดำเนินธุรกิจหลายๆ ด้าน ตั้งแต่ สื่อสารโทรคมนาคม ธนาคาร ไฟฟ้าหรือแม้กระทั่งปั๊มน้ำมัน

ผมไม่ทราบว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีกับทิศทางที่ประเทศไทยกำลังมุ่งไป ผู้นำที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยถูกขับพ้นจากตำแหน่ง เพียงเพราะว่าเขาทำรายการโทรทัศน์ แต่กลุ่มคนที่ล่วงละเมิดผิดกฎหมายและยึดครองทำเนียบรัฐบาลกลับได้รับความคุ้มครองจากศาล

ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับผม ล้วนแต่เป็นการกระทำที่เกิดจากแรงขับเคลื่อนทางการเมือง ซึ่งเป็นการสมคบกันของ บรรดาชนชั้นสูงที่มีอภิสิทธิ์ทั้งหลาย ผู้เชื่อในทุกสิ่งอย่าง ยกเว้นประชาธิปไตย ผมเป็นภัยคุกคามต่อพวกเขา เพียงเพราะผมเป็นตัวแทนของหลักการแห่งระบอบเสรีประชาธิปไตย ซึ่งส่งเสริมความหวังและความภาคภูมิใจของคนยากคนจนในประเทศของผม

ประเทศไทยเป็นและจะยังคงเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่และสวยงาม คนจำนวนไม่มากที่ไม่สามารถเผชิญกับความจริงได้ กำลังขัดขวางเจตจำนงของคนส่วนใหญ่ ผมเชื่อว่าในท้ายที่สุดพี่น้องชาวไทยจะเป็นผู้ชนะในการต่อสู้ครั้งนี้ และการสิ้นสุดของฝันร้ายอยู่ไม่ไกล

ผมขอขอบคุณที่ให้โอกาสผมได้ร่วมแบ่งปันข้อเท็จจริงกับคุณ


ด้วยความนับถือ
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร



จดหมายแถลงการณ์ของ “ทักษิณ”
ที่แจกสื่อมวลชนต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ)


Woodsome Manor
Surrey, England

22 of October, 2008


Dear My Friends in International Media,


I am writing to you today to clarify few facts, The news headlines have reported that I have been convicted of corruption for two years stemming from the purchase of land by my wife, Khunying Potjaman Shinawatra.

What you have read is true, I was convicted for two years, but not because of corruption charge. The only reason I was sentenced to Jail is because at the time my wife bought the land through the open bid, I was the Prime Minister.

I listened to the judgment yesterday and even now I am still confused ; there is no evidence of fraud, corruption nor abuse of power in relation to the bid in question; my wife was the one who in volved and made decision to bid for the land, offered a lot more seller, Financial Instit ution Development Fund (FIDF), than other bidders, signed the contract with the seller, paid for the land with no involvement from her husband except when he was required to sign a spousal consent form, In terms of any alleged influence I may have had no direct supervisory power over the FIDF. Interestingly, the Court did not find the sale transaction of my wife unlawful or illegal, they did not convict her because she is not a politician; nevertheless, I was . I trust that you will independently verify the above facts as professional journalists often do. Unfortunately, most of you professsional colleagues in Thailand refuse to do so.

The best. I can comprehend is that I was convicted simply because I was a politician . In that case I was quite guite guilty cause I was quite a successful politician, I got elected twice by the majority of thai people as Prime Minister.

If I were to be guilty of anything, that would be what I have shown to the Thai people, especially those underprivileged rural thais that they can, and have the right to, demand their government to provide effective policy and programs to improve their lives.

I received this judgment with mixed feeling; relief for my wife as I pulled her into enough troubles because of my politcal ambition to bring greatness and well-being to my country and my people, amused and bitter with the illogical of the judgment, and worry for those politicians in Thailand that they could go to jail simply because their unhappy spouses may sought to manipulate the law.

For those of you who may not be too familiar with Thailand, state offices and enterprises in Thailand are doing so many businesses from telecommunication, banking, power generator or even owning gas stations.

I do not know should I laugh or cry to see the direction Thailand is moving forward: a democratically elected leader was put out of job because he cooked on a TV show but those who unlawfully trespassed and occupying the government house got protection from the Court.

Whatever happen to me is a political driven actions collaborated by various group of privileged elites who believe in anything but democracy. I am a threat to them because I represent the principle of liberal democracy which promote hope and pride of the poor of my country.

Thailand is and will remain a great and beautiful country. Few people cannot face the face,obstructing the will of majority of the people. I believe that at the end Thai people will win over this struggle. And the end of their nightmare is not far.

I thank you for the opportunity to share the facts with you.

Truly Yours,


Dr. Thaksin Shinawatra


สำเนา"แถลงการณ์ Dr. Thaksin Shinawatra"
(ภาษาอังกฤษฉบับเต็ม-คำแปล) จาก มติชนออนไลน์ วันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ปล. การเน้นคำทำตามต้นฉบับ

ที่มา : Thinking in ink : แถลงการณ์ดร.ทักษิณระบุประชาธิปไตยคือภัยคุกคามต่อชนชั้นสูงผู้ไม่เชื่อในประชาธิปไตย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น