วันอังคารที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

"ไหนใครๆ ว่าฉันมีบุญจะได้เป็น พระเจ้าแผ่นดิน ทำไมถึงเป็นไปเช่นนี้"



" ไหนใครๆ ว่าฉันมีบุญจะได้เป็น
พระเจ้าแผ่นดิน ทำไมถึงเป็นไปเช่นนี้ "


เป็นพระปรารภใน พลเรือเอก สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา ขณะประชวรหนักใกล้เสด็จทิวงคต

สมเด็จเจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ ๗ ในสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ เป็นพระราชโอรสที่ทั้งพระบรมราชชนกชนนีทรงสนิทเสน่หาและทรงเอาพระทัยใส่อย่างใกล้ชิด เมื่อทรงพระเยาว์มีพระพักตร์และพระวรกายอ้วนป้อมน่ารัก ตรัสเรียกอย่างทรงเอ็นดูว่า
"ลูกเอียดเล็ก" แต่มีพระพลานามัยไม่สู้จะสมบูรณ์นัก ประชวรหนักหลายครั้ง เช่น ครั้งหนึ่งเมื่อเสด็จประพาสชวา พ.ศ. ๒๔๔๔ ได้โดยเสด็จพระบรมราชชนกชนนีด้วย ขณะเสด็จประทับอยู่ที่โฮเต็ลโฮมันน์ เมืองบันดุง ประชวรไข้ไทฟอยด์ มีพระอาการหนักมาก เล่ากันว่าถึงขั้นเตรียมการว่าจะสิ้นพระชนม์ ทั้งพระบรมราชชนกชนนี ทรงเศร้าโศกเสียพระทัย ทรงพระกันแสงเมื่อทรงเห็นพระอาการ ตรัสว่าเหมือนกับจะถูกใครเอาไปประหารชีวิตวันละ ๒ ครั้ง ๓ ครั้ง บรรยากาศสลดหดหู่เงียบเหงา บางวันดูเหมือนพระอาการหนักจะสิ้นพระชนม์ เวลาทรงไม่สบายทรงร้องจะเฝ้าพระเจ้าอยู่หัว ทูลว่า "---ทูลหม่อมป๋าคะ เอียดเล็กทูลลา---" ยิ่งทำให้พระบรมราชชนกชนนีทรงโศกเศร้ามากขึ้น แต่พระชาตาชีวิตยังไม่ทรงถึงที่สิ้นจึงมีหมอแขกชวารับรักษานานกว่าเดือน โดยใช้ผ้าโสร่งชุบน้ำแข็งพันพระองค์จนไข้ลด พระอาการค่อยทุเลาลง

ด้วยเหตุที่พระพลานามัยไม่ทรงสมบูรณ์ดังกล่าว ทำให้พระบรมราชชนกชนนีทรงห่วงใยกว่าพระราชโอรสพระองค์อื่น เช่น เมื่อมีพระชนมายุสมควรออกวัง ก็โปรดให้สร้างวังที่ประทับ คือวังสวนกุหลาบ ตั้งอยู่บริเวณส่วนหนึ่งของพระราชวังดุสิต และทรงได้รับการยกเว้นหลายอย่าง เช่น ทรงศึกษาต่างประเทศในระยะเวลาสั้นๆ โปรดให้เข้าเฝ้าตามพระทัย ด้วยทรงเกรงจะกระทบกระเทือนพระพลานามัย แม้เมื่อทรงพอพระทัยนางสาวแผ้ว สุทธิบูรณ์ สตรีสามัญชน ได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเสกสมรสเป็นพระชายา ตำแหน่งหม่อมแผ้ว นครราชสีมา ก็ไม่มีผู้ใดขัดพระทัย

พระปรารภที่ว่า "ฉันมีบุญจะได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน" สืบเนื่องมาจากการที่พระองค์เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ซึ่งทรงกราบบังคมทูลขอพระพรพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หลังจากที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาสมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ของพระองค์ เป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร แทนสมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ ที่เสด็จสวรรคต ว่าขอให้สิทธิในการเป็นผู้สืบสันตติวงศ์ อยู่ในพระราชโอรสของพระองค์จนสิ้นสายวงศ์ จึงจะเริ่มสายวงศ์ของพระมเหสีพระองค์อื่น ซึ่งก็ทรงได้รับพระพรนั้น ด้วยเหตุนี้สมเด็จเจ้าฟ้าอัษฎางค์ ฐานะพระราชโอรสในสมเด็จพระบรมราชินีนาถ จึงทรงมีสิทธิในราชบังลังก์เป็นลำดับที่ ๒ ต่อจากจอมพล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ พระเชษฐา แต่หลังจากที่กรมหลวงพิษณุโลกฯ เสด็จทิวงคตอย่างกะทันหันเมื่อพระชนมายุเพียง ๓๘ พรรษา สมเด็จเจ้าฟ้าอัษฎางค์ จึงทรงมีสิทธิในพระราชบังลังก์เป็นลำดับที่ ๑ ตามกฎมณเฑียรบาล หมวดที่ ๔ ว่าด้วยลำดับชั้นผู้ควรสืบราชสันตติวงศ์ ระบุไว้ชัดเจนว่า

"---หากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสวรรคตลง โดยที่มิได้ทรงสมมติพระรัชทายาทไว้ก่อนตามกฎมณเฑียรบาล กำหนดให้เลือกสายตรงก่อนเสมอ---"

เพราะเหตุว่าในขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงยังไม่มีพระราชโอรส อันถือเป็นรัชทายาทสายตรง ทุกคนจึงหมายว่าหากสิ้นรัชกาลเมื่อใด สมเด็จเจ้าฟ้าอัษฎางค์ก็จะต้องได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติอย่างแน่นอน จึงมีผู้คนบางพวกบางกลุ่มแห่ล้อมถวายพระพรว่า ทรงเป็นผู้มีบุญจะได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน

พันตรี หลวงจบกระบวนยุทธ นายทหารผู้รับใช้ใกล้ชิดพระองค์ตลอดเวลา ได้บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับพระอาการประชวรจนเสด็จทิวงคต ไว้ในหนังสือเรื่องการดำเนินชีวิตของพันตรี หลวงจบกระบวนยุทธ ความตอนหนึ่งว่า

"---เมื่อวันทิวงคตนั้น เฝ้าอยู่ข้างพระที่ตลอดเวลา ประชวรครั้งนั้นประชวรไข้ ทรงร้อนมาก ตรัสถามหมอว่าจะอาบน้ำได้หรือไม่ หมอทูลว่าได้ จึงลงแช่พระองค์ในอ่าง พอขึ้นมาก็มีพระอาการปับผาสะบวม ขณะประชวรน้ำพระเนตรไหล ตรัสว่า "ไหนใครๆ ว่าฉันมีบุญ จะได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ทำไมถึงเป็นไปเช่นนี้" รับสั่งเสร็จไม่ถึงชั่วโมงก็เสด็จทิวงคต---"

การเสด็จทิวงคตของพระราชโอรสผู้มีสิทธิในพระราชบัลลังก์เป็นไปอย่างรวดเร็ว และในระยะเวลาอันสั้น ถึง ๓ พระองค์ คือจอมพล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ พลเรือเอก สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย เป็นเหตุให้สมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ พระราชโอรสพระองค์ท้ายสุดในสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ที่มิได้มีผู้คาดหมายว่าจะต้องรับพระราชภาระใหญ่ยิ่งนี้ได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ แห่งพระบรมราชวงศ์จักรี


ศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย

ศิลปวัฒนธรรม
ฉบับเดือน ตุลาคม 2547


ที่มา : ศิลปวัฒนธรรม : สโมสรศิลปวัฒนธรรม : "---ไหนใครๆ ว่าฉันมีบุญจะได้เป็น พระเจ้าแผ่นดิน ทำไมถึงเป็นไปเช่นนี้---"

หมายเหตุ
การเน้นข้อความทำโดยความเห็นของผู้จัดเก็บบทความ

3 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ16 กรกฎาคม 2551 เวลา 00:22

    ถ้าเจ้าเป็นพระเจ้าแผ่นดินได้แล้ว เจ้าจะทำประโยชน์ ให้กับประเทศชาติ และประชาชนได้หรือ?...อ้าวเจ้าจะทำอะไร? บ้าง จงยกตัวอย่างสิ่งที่เจ้าทำ...ก่อนหน้าที่เจ้าจะตาย มาให้โลกเห็นบ้างซิ.. หรือเจ้าแค่เพียงอยากเป็น... แต่เจ้าไม่อยากทำอะไร? เจ้าไม่เคยนำพาสิ่งใดๆ หรืออะไรทั้งสิ้น ถ้าเจ้าไม่เคยทำสิ่งที่ว่า ก็สาสมดีแล้วที่เจ้าไม่ได้เป็น ..พระอะไรของเจ้า สมควรแล้ว..สำหรับพวกคนไร้สาระ..เช่นเจ้า!!!
    เจ้าพวกลูกฮาเล็มทั้งหลาย
    จาก..ต้นหญ้าน้อย วังกรุงเก่า
    16 ก.ค. 2551

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ16 กรกฎาคม 2551 เวลา 17:07

    ต้องเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ในใจประชาชน มิใช้บนหัวประชาชน ต้องไม่หวงอำนาจ เพราะอำนาจไม่เคยปราณีใคร ต้องเป็นกลางทางการเมือง เพราะถ้าไม่เป็นกลาง ก็จะกลายเป็น ตัวป่วนการเมือง ต้องไม่หูเบา เพราะคนหูเบา จะกลายเป็นคนตาบอด และตกเป็นเครื่องมือของลูกน้อง และคนใกล้ชิด อย่าคิดว่าตนใหญ่กว่าประชาชน เพราะประชาชนใหญ่ที่สุด และถ้าไม่มีประชาชน การเป็นกษัตริย์ ก็ไร้ความหมาย จำไว้นะเด็กดื้อ...!?!?!?!
    มดแดง ณ รอบๆ กทม.
    17 ก.ค. 2551

    ตอบลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ17 กรกฎาคม 2551 เวลา 09:47

    NOW A DAY ANY HOE KID CAN BE เจ้าแผ่นดิน
    MIX THE SPERM IN THE TEST TUBE AND
    KABOOM YOU GOT A NEW เจ้าแผ่นดิน .
    I AM WILL NOW BOW FOR DOG OR THIS TEST TUBE BABY.

    ตอบลบ